ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #28 : TOM (or) BOY - 26 {new version}

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 55


    TOM (or) BOY

    26

     

     

     

     

     

    ครึ่งเทอมหลังถึงมรสุมงานจะเยอะแค่ไหน... แต่คนอย่างคชามีหรือจะไหวหวั่น

                คงเพราะยังไม่ใกล้กำหนดส่งงานเลยไม่มีใครรีบร้อนกัน เย็นวันนี้จึงมีที่หมายใหม่เป็นบ้านของเจมส์  หกโมงเย็น รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันสีดำก็แล่นออกจากคณะนิเทศศาสตร์ไปยังบ้านของหนุ่มร่างหมีที่อยู่แถบชานเมือง คชาซึ่งนั่งเบาะหน้ากดโทรศัพท์เพื่อนเล่นเกมฆ่าเวลา  จริงๆ ตอนแรกเขา รวมทั้งเฟรมกับเต้ที่นั่งอยู่เบาะหลังยังไม่ค่อยสนิทกับเจมส์ด้วยเพราะรายนี้ชอบปลีกวิเวกแถมยังทำหน้ามึนตลอดยกเว้นเวลาแข่งกีฬา  แต่ไปๆ มาๆ พอได้คุยกันมากขึ้นจึงถูกคอจนแทบจะกลายเป็นกลุ่มแก๊งค์เดียวกัน

    ดังนั้น... ตอนนี้คชาจึงขอตั้งชื่อกลุ่มชายโสด(?)สี่คนบนรถว่า

    “เอฟโฟร์... ดีปะชื่อนี้?”  เขาเอ่ยกับเพื่อนอีกสามบนรถ โดยมีคนขับอย่างเจมส์ที่พยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ

    “เอโฟร์ไม่ได้หรอวะ เสียว F มันจะลอยมาจริงๆ”  โปเต้ว่า

    “ถ้าเอโฟร์ก็เป็นกระดาษดิ”  เฟรมพูดขึ้น  “กูพูดจริงนะ หล่อๆ อย่างพวกเราเหมาะกับชื่อเอฟโฟร์แล้วเว่ย”

    แล้วตลอดระยะทางไปบ้านเจมส์นั้น ก็เต็มไปด้วยเสียงคู่หูเฟรมกับเจมส์ที่ดำเนื้อเพลงเอฟโฟร์ออกมาแบบมั่วๆ

     

    หนึ่งชั่วโมงต่อมา... กลุ่มเอฟโฟร์ก็ฝ่าด่านรถติดในใจกลางเมืองหลวงจนมาถึงบ้านของเจมส์  บ้านสีขาวหลังใหญ่พร้อมสนามหญ้าเล็กๆ เรียกความแปลกตาให้คชาไม่น้อย โดยเฉพาะหน้าบ้านมีสระว่ายน้ำสีฟ้าใสแจ๋วอยู่ด้วยยิ่งรู้สึกตื่นเต้น

    ต้องเรียกได้ว่าบ้านเจมส์มีฐานะดีเลยล่ะ แต่พอมาอยู่ด้วยแล้วไม่พาให้คชารู้สึกอึดอัดหรือต่ำต้อยสักนิด คงเพราะความสนิทแบบเพื่อนกันที่ไม่มีเรื่องฐานะมาเชื่อมโยง

    อาหารมื้อเย็นที่ตั้งสำรับไว้รอดูน่าทานไปเสียทุกอย่าง มื้อนี้เขาคงเจริญอาหารไม่ต่างจากตอนไปบ้านโปเต้หรือบ้านเต๋า  พวกเขาเอ่ยสวัสดีคุณแม่ของเจมส์ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ด้วยท่าทางแสนใจดี

    “ไม่ต้องเกรงใจนะลูก ไม่พอเติมอีกได้”  คุณแม่ท่านว่าอย่างนั้น แล้วมันก็ไม่ผิดสักนิดเดียว

    ก็แหม...ฝีมือคุณป้าแม่บ้านเขาเยี่ยมยอดจริงๆ

     

    กว่าทุกคนจะได้เข้าสู่จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้จริงๆ ก็เป็นตอน 2 ทุ่ม สี่หนุ่มเอฟโฟร์นั่งตั้งวงจั่วกันอยู่ในห้องของเจมส์

    แต่อย่าเข้าใจผิดไปเชียว นี่ไม่ใช่การพนันแต่เป็นเกมการ์ดยูกิต่างหาก

    เพราะบัดนี้ คือช่วงเวลาแห่งการดูเอล!!!!!

    “ขอส่งเทพมังกรฟ้าโอชีริส โจมตีแบล็กเมจิคเชียนเดี๋ยวนี้!”  คชาได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเหวอได้ที่ ...ไอ้บ้าเอ๊ยยยยย มีการ์ดแบบนี้อยู่ในกองด้วย

    “ไอ้เจมส์ โกงนี่หว่า เล่นมีมอนสเตอร์แบบนี้อยู่ในเด็คคนอื่นก็ตายเรียบดิ”  คชาเอ่ยพลางทำหน้าย่นอย่างเซ็งๆ  การ์ดกับดักเมื่อกี๊ก็ใช้ไปหมดแล้วเสียด้วย

    “โปรดเรียกผมว่า เคน ไม่ใช่เจมส์”  หนุ่มร่างหมีว่า เก๊กหน้าหล่อเสมือนเป็นเคนวงเอฟโฟร์เต็มที่  “ลาก่อนซันช่าย จบเทิร์น”  ยื่นมือมาหยิบการ์ดแบล็คเมจิกเชียนของคชาที่ตั้งรุกไว้ และพลันตานั้น เขาก็ออกจากการแข่งขันไปโดยปริยายเนื่องจาก hp หมดพอดี

    “ใครซันช่ายวะ?”  แพ้ไม่พอยังโดนกวนใส่อีก... วัยรุ่นเซ็ง

    “ก็มึงไง... ช่วงเวลานี้อนุญาตให้โทรหาเต้าหมิงซื่อได้ โอเค๊?”  เฟรมรีบสมทบ

    “ไม่ใช่เต้าหมิงซื่อเว่ย เต๋าหมิงซื่อต่างหาก กร๊ากกกกกก”  ไอ้เต้มันก็เอากับเขาด้วย

    เหนื่อยจะเถียง... คชานึกในใจเพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินออกมา ไม่ได้โทรหาไอ้เต๋าหมิงซื่ออย่างที่คนอื่นมันล้อหรอกนะ แค่เดินมาสำรวจห้องเจมส์เล่นๆ เท่านั้น  ห้องนอนกว้างขวางกว่าห้องของเขาหลายเท่า ทั้งตู้เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ กีต้าร์ แล้วยังมีวิดีโอเกมกับอุปกรณ์ออกกำลังกายอีก

    คนตัวเล็กเดินไปดูใกล้ๆ  ดัมเบลสีน้ำเงินที่วางอยู่บนพื้นเห็นแล้วก็พาให้นึกถึงแขนหนาๆ ของเต๋า(หมิงซื่อ)... ใหญ่แบบนั้นคงต้องไปแอบเล่นที่ไหนมาแน่ๆ

    ว่าแล้วก็หยิบมันขึ้นมายกทีสองที...

    ก็ไหวอยู่หรอก...แต่หนักเหมือนกันนะเนี่ย

    “ไอ้ชาทำอะไร๊ อย่าทำหล่นทับขานะเว้ย”  โปเต้ที่สายตาว่องไวหันมาบอกเพื่อน  ก่อนจะตามด้วยเสียงของเจมส์  “อันนั้น 5 โล”

    “กูไม่ซุ่มซ่ามขนาดนั้นซะหน่อย... ว่าแต่ต้องเล่นวันละกี่ทีถึงจะมีกล้ามวะ?”  คชาถามขึ้นต่อ  แขนขวายังคงยกขึ้น-ลงอย่างต่อเนื่อง

    “ของแบบนี้มันต้องใช้เวลานะซันช่า”  ชื่อใหม่ที่ถูกเอ่ยขึ้นมาทำเอาคนตัวเล็กเบะปากเซ็งๆ  “ว่าแต่ซันช่าจะอยากมีกล้ามไปทำไมล่ะ?”  เจมส์ถามกลับ

    “กูไม่อยากเป็นซันช่า”  คชาตอบ แค่โดนเรียกน้องทอมๆ ก็ว่าแย่แล้ว ยังโดนเรียกซันช่าอีก... ที่เป็น F4 เพราะอยากเป็นวิคว้อย กูอยากเป็นรุ่นพี่จีฮู อยากเป็นคิมฮยอนจุง!!!!!

    “ถามจริงเหอะ กูดู ไม่แมน ขนาดนั้นเลยหรอวะ?”  คนตัวเล็กเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล มือวางดัมเบลลงกับพื้นพลางมองหน้าเพื่อนอีกสามคนเครียดๆ

    “ก็ไม่ขนาดนั้น แต่มึงเหมาะกับเป็นทอมมากกว่า”  โปเต้พูดเหมือนจะปลอบ  “เออ...นั่นดิจะอยากมีแขนใหญ่ๆ ไปทำไมวะ?”  เฟรมพูดขึ้นต่อ

    “เอาน่ะ กูทำได้ก็แล้วกัน พวกมึงจั่วกันไป เดี๋ยวกูขอเล่นนี่หน่อย”  คชาเอ่ยรั้นๆ ไม่ตอบคำถามเพื่อนที่รอฟัง  เพราะคำตอบของเขารู้ดีแก่ใจตัวเอง

    อยากมีแขนใหญ่ๆ ไว้แข่งกับไอ้เต๋าหมิงซื่อ!!!!

    คชาย้อนนึกไปถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ไปนอนบ้านอีกคน อ้อมแขนนั้นที่โอบเขาไว้ตอนนอน ที่จริงก็อุ่นดีแต่พอนึกภาพตอนนั้นมันพาให้ขนลุกแปลกๆ

    ใครจะคิด ว่าชีวิตลูกผู้ชาย(ที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ)ของนายนนทนันท์จะต้องมากังวลกับเรื่องแบบนี้  รูปร่างเต๋าที่ตอนแรกแค่คิดว่าสูงกว่านิดเดียวกลับดูบึกบึนแข็งแรงกว่าที่คิดไว้เยอะ ทั้งแขนใหญ่ๆ ที่อวดโชว์เขาเมื่อใส่เสื้อกล้าม แล้วยังหุ่นสวยๆ ไร้พุงนั่นอีก

    เอาตรงๆ... ว่ากันด้วยเรื่องสรีระ คชาก็คิดว่าตัวเองเสียเปรียบนิดหน่อยมาโดยตลอด จนตอนที่เต๋าบอกว่า คชาจะเอาครั้งแรกของเต๋าไปนั่นแหละ เขาเลยคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกคนจะยอมเสียสละพรหมจรรย์ข้างหลังให้

    แต่มาคิดอีกทีดูท่าเขาจะตีความผิดไป ...ภาพเต๋าเปลือยท่อนบนโชว์แขนล่ำๆ หุ่นหนาๆ กับสายตาวิบวับที่ลอยมายิ่งเป็นเครื่องยืนยันสมมติฐานนั้น

    มาถึงตอนนี้... ถึงปากจะเคยถามอีกคนว่า ไม่กลัวเจ็บหรอ แต่นั่นคือการเตะถ่วงเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ใสซื่อขนาดที่ว่าเจอแบบนี้แล้วไม่เอะใจอะไรเลย  แต่จะให้ยอมรับแต่โดยดีก็ยังไม่อยากทำ...เพราะงั้นเลยขอหลอกตัวเองต่อไปอีกสักหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่นา

    ระหว่างนี้... มาลองฟิตกล้ามซะหน่อยดีกว่า เผื่อสถานการณ์มันจะพลิกกลับได้จริงๆ

    คชายิ้มให้กับตัวเองอย่างมีความหวังซะจนเพื่อนอีกสองคนมองหน้ากันงงๆ  คนตัวเล็กอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่ได้ยินเสียงเพื่อนที่กำลังคุยกัน

    “มึงว่ามันจะไหวหรอวะ”  แวนเนสว่า

    “กูว่าท่าจะยาก”  เคนตอบ

                สองหนุ่มหันมองเพื่อนซี้ร่างเล็กที่ยกเวทด้วยสองแขนพลางขมวดคิ้วไปด้วยเพราะความหนัก... ก่อนที่อีกคนจะพูดขึ้นอย่างปลงๆ

                “ไม่รอดแน่ๆ...”  วิคสรุปความ

                เล่นเวทจะรอดไม่รอดไม่รู้...แต่ถ้าต้องสู้แรงไอ้เต๋า(หมิงซื่อ)เห็นทีจะยาก

                สู้เพื่อเอกราชต่อไปนะซันช่าพวกเรา F3 จะเป็นกำลังใจให้!!!!!

     

     

    - - -

     

     

                เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน...

                คงเพราะช่วงนี้คชาติดเพื่อนเป็นพิเศษล่ะมั้งถึงอินกับประโยคนี้  อยู่มหาลัยก็ไปทำรายงานนู่นนี่โดยมีเพื่อนสั่งเพื่อนช่วยตลอด  พอกลับหอมาก็ได้เพื่อนว่าที่คุณหมอมาช่วยสอนการบ้านอย่างขะมักเขม้นให้การบ้านวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนเหมือนกันทั้งมหาวิทยาลัย โชคดีที่ตัดเกรดกันแค่ในคณะของตัวเอง

                ในห้องพักเบอร์ 603 ระหว่างที่คชากำลังดูปอแก้เรียงความของเขาอยู่เงียบๆ โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าก็ส่งเสียงดังขึ้นรบกวน และเมื่อหยิบมันขึ้นมาดู ก็ทำเอารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

    “ดีครับพี่ตี๋”  พี่ตี๋ที่ว่า...เป็นพี่รหัสคชาที่แทบไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน เพราะเจ้าตัวค่อนข้างเป็นแรร์ไอเท็มที่นานๆ จะมาให้เห็นสักครั้ง แต่ถึงกระนั้นชื่อเสียงของพี่ท่านช่างขจรไปไกล

    “เฮ้ย! ไอ้น้อง วันนี้พี่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น มีของฝากมาว้อย”  พี่รหัสว่าด้วยน้ำเสียงจิ๊กโก๋เป็นสไตล์

    “โห ขอบคุณครับพี่”  ซื้อมาให้อย่างนี้คชาก็ไม่ขัดศรัทธา สำหรับพี่รหัสที่ไม่ค่อยมาให้เห็นหน้า หนังสือก็ไม่มีให้จนคชาเคยคิดน้อยใจเบาๆ พอได้ยินอย่างนี้ก็ดีใจว่ายังไม่ลืมกัน

                “เออ...งั้นคืนนี้เจอกันที่ร้าน xxx ดีไหม จะพาไปเลี้ยงด้วยสักหน่อย”

                “ได้พี่ แต่นั่นมันร้านเหล้าไม่ใช่หรอ?”  คชาถามกลับเมื่อนึกขึ้นได้ ตาโตลุกวาวอย่างตื่นเต้น สบตากับปอที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี

                “เออ เลี้ยงเหล้าสักหน่อย พี่รหัสมึงเป็นใครให้มันรู้ซะบ้าง”  เพราะฉายา จิ๊กโก๋ขี้เมาที่ได้จากการดวดเหล้าเป็นอาจิณสินะ... “ตกลงว่างเปล่า? สองทุ่มเจอกัน โอเค?”

                “โอเคครับพี่”  คชาตอบนิ่งๆ แต่ในใจยิ้มกริ่มเหมือนกำลังได้แหกกฎบางอย่าง  เพราะครั้งก่อนที่เพื่อนๆ ไปกินกันเขาไม่ได้ไป บอกตรงๆ เลยว่าไอ้เรื่องแบบนี้คชาก็อยากรู้อยากลองตามประสาวัยรุ่นทั่วไปล่ะนะ

                “พาเพื่อนมาด้วยก็ได้นะไอ้น้อง จะได้สนุกกัน ป๋าจ่ายไม่อั้นอยู่แล้ว”  ได้ยินดังนั้นคชาที่ประสานตากับปอก็ยิ้มกว้าง ยังไงก็ตามเขาคงไม่อยากกลับหอมาคนเดียว แถมกับพี่รหัสก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากขนาดไปนั่งกันสองคนแล้วไม่มีเดดแอร์

    “ได้เลยพี่ เดี๋ยวผมถามเพื่อนก่อน”


               

     

    เหมือนนกกำลังหัดบินเป็นครั้งแรก

                มันตื่นเต้น อยากรู้ว่าท้องฟ้าเป็นยังไง อยากโฉบกางปีกไปสัมผัสก้อนเมฆและพระจันทร์ดูสักครั้ง อยากรู้จักโลกกว้างให้มากขึ้นกว่าเดิม

                และตอนนี้ คชากับปอก็เป็นเช่นนั้น

              “โหยปอ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มาด้วยซะแล้ว เห็นเรียนหมอ”  คชาว่าพลางเดินนำเพื่อนไปที่ร้านในตรอกไม่ไกลจากมหาลัยนัก  ใครที่บอกว่าร้านเหล้าห้ามอยู่ใกล้สถานศึกษาดูท่าจะไม่จริง

                “เพราะเรียนหมอสิยิ่งต้องมา”  ปอว่า ปรายตามองดูร้านเหล้าสองสามร้านที่เรียงรายติดกัน  “เห็นพี่โตๆ บอกว่าปีหนึ่งต้องรีบกินเหล้าเข้าไว้ พอปีสองดูอาจารย์ใหญ่ที่เป็นตับแข็งตายแล้วตอนนั้นจะเลิกกินไปเอง”

                “โห พูดซะน่ากลัว”  คชาพูดพลางหัวเราะเบาๆ แต่ในใจไม่ได้นึกกลัวอะไรอย่างนั้นเลย

               

                ร้านเหล้าใกล้มหาลัยที่เปิดเพลงเบาๆ เคล้าเสียงพูดคุยของเหล่านักศึกษาในคราบลูกค้า  คชาเปิดประตูเข้าไปก็เจอพี่รหัสเจ้าของฉายา จิ๊กโก๋ขี้เมานั่งรออยู่แล้วที่มุมด้านใน

                “ทางนี้ไอ้น้อง”  พี่ท่านอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำ บนโต๊ะมีเหล้ากับมิกเซอร์วางอยู่เตรียมลงมือเต็มที่  “นั่งเลยๆ”

                สำหรับพี่รหัสอย่างพี่ตี๋นั้น เป็นผู้ชายแมนๆ ลุยๆ ไปไหนไปกัน ได้ยินว่าบ้านทำธุรกิจทัวร์เลยได้ติดสอยห้อยตามไปเที่ยวนู่นนี่อยู่เรื่อย และถึงเห็นมาดจิ๊กโก๋ไว้หนวดแบบนี้แต่มีดีกรีพูดได้หลายภาษาทั้งจีนทั้งญี่ปุ่นเลยทีเดียว

                ส่วนเรื่องความประทับใจเกี่ยวกับพี่รหัสคนนี้นั้น มันไม่มีอะไรนอกจากตอนวันแรกที่เปิดเทอมเพื่อนพี่ตี๋ก็มาบอกว่าพี่รหัสอยู่เนปาล ยังไม่กลับ  ได้เจอหน้าอีกทีก็อีกหลายวันต่อมา

                คชาเอ่ยแนะนำเพื่อนที่มาด้วยอย่างปอ

                “พี่ตี๋ นี่เพื่อนผมเอง...ปอ”  คชาแนะนำ

                “ปอ?”  คนอาวุโสกว่ามองหน้าอย่างครุ่นคิด  “เด็กคณะเราป่าววะ?”

                “ป่าวพี่ ปอมันเรียนหมอ”

                “แล้วนี่ใช่ไอ้คนที่เขาว่าเป็นแฟนเอ็งป่าววะไอ้น้อง?”  พี่ตี๋ถามต่อ  “กูได้ยินเขาลือกัน”

                คำพูดตรงเผงของพี่รหัสทำเอาคนตัวเล็กเหวอไปเล็กน้อยก่อนจะตั้งตัวทัน  “เปล่าพี่ ผมยังโสดเหอะ”  พูดจบดังนั้น... โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมก็ดังขึ้นพอดีราวกับจะรู้งาน

                ‘@love’

    “เดี๋ยวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะพี่”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งออกไปรับโทรศัพท์ที่หน้าร้าน กลัวปลายสายได้ยินเพลงที่เปิดแล้วจะพาลสงสัย

                “ฮัลโหล...เต๋า”  เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่ใจกังวลกลัวโดนจับได้

                “อยู่ไหนน่ะ ไม่ได้อยู่หอหรอ?”

                “อือ ใช่...”  เขานิ่งคิดชั่ววินาที  “มา..ทำรายงานบ้านเพื่อน นี่ออกมาซื้อขนมที่เซเว่น”  ว่าพลางมองตรงไปไม่ไกล สัญลักษณ์ร้านสะดวกซื้อสีส้มเขียวสว่างจ้าอยู่ตรงหัวมุม  “ว่าแต่โทรมามีอะไรรึเปล่า?”

    “ก็ไม่มีอะไร”  เขาได้ยินเสียงลมหายใจลอดออกมาเบาๆ  “แค่คิดถึง” 

    เพียงคำสั้นๆ คำเดียวทำเอาคนฟังจุกอกไม่น้อย หมู่นี้เขากับเต๋าไม่ค่อยเจอหน้ากันด้วยเพราะต่างคนก็เริ่มมีโลกของตัวเอง เขาต้องทำรายงานการบ้านจุกจิก ไหนจะไปเฮฮากับเพื่อนอีก ส่วนเต๋าก็มีซ้อมบาสเกตบอลและทำกิจกรรมที่คณะ  และแม้ฝ่ายนั้นจะชวนให้ไปหาหลังเลิกเรียนแต่เขากลับไม่กล้าพอ

                “แล้วนี่จะกลับมานอนที่หอรึเปล่า?”

                “ก็..คงไม่”  คชาตอบเพื่อตัดปัญหา  “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

                “อืม...ตั้งใจทำรายงานนะคชา”

                “อือ จะตั้งใจเต็มที่เลย”

                เป็นนาทีเดียวที่แสนยาวนานในความรู้สึก กว่าจะถึงจังหวะที่ได้กดปุ่มวางสาย หัวใจก็เต้นรัวจนแทบระเบิดออกมา คชารู้สึกผิด คชาไม่ได้อยากโกหก...แต่ก็ไม่อยากให้เต๋ารู้ว่าออกมาทำอะไร

                ว่ากันตามตรง... เขากลัวอีกฝ่ายรู้แล้วจะตามมาคุม กลัวตัวเองไม่อิสระเหมือนเคย

                ก็รู้ดีว่าเต๋าเป็นห่วงมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่บอกออกไป เต๋าก็ไม่ต้องมามัวพะวง มันไม่ดีกว่าหรอ???

               



                บรรยากาศในร้านเหล้าค่อนข้างเป็นไปอย่างสบายๆ  คนไม่เยอะถึงกับแน่นขนัดแต่ก็ไม่ได้โหรงเหรง  คชานั่งลงตรงที่เดิมข้างๆ พี่รหัส โดยมีฝั่งตรงข้ามเป็นปอ  ไม่ทันที่ก้นติดเก้าอี้ดีนัก แก้วน้ำสีอำพันก็ถูกส่งยื่นมาให้

                “เอาไปไอ้น้อง” 

                “ขอบคุณคร้าบพี่ตี๋”

    แวบแรก... เขารู้สึกได้ถึงรสชาติขมปร่าและความร้อนวูบขึ้นมานิดๆ ที่ลำคอ  จนเมื่อแก้วที่สองที่สามตามมา แอลกอฮอล์ที่เข้าสู่เส้นเลือดก็เริ่มทำงานให้จนใบหน้าหวานเริ่มขึ้นสีจางๆ

    “ไหวเปล่าวะคชา?”  เพื่อนผิวสีถามขึ้นในขณะที่เจ้าตัวยังนั่งจิบเหล้าไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวี่แววสะทกสะท้าน

    “ไหวๆ เพิ่งกินไปแก้วเดียวเอง”  คชาว่า คีบถั่วเข้าปากเคี้ยวหงับๆ

    “แก้วเดียวที่ไหน นับมั่วแล้ว เห็นเติมไปตั้งหลายรอบ”

    “อ้าว ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแก้วใหม่ซะหน่อย ฮะๆๆ”  คนตัวเล็กว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนจะขำกับคำพูดของตนเอง

     

    หนึ่งชั่วโมงผ่านไป แก้วเหล้าที่ถูกเติมไม่ขาดทำเอาคนตัวเล็กอยู่ในอาการกึ่มได้ที่  คชาในตอนนี้พูดเยอะกว่าปกติคงเพราะฤทธิ์จากแอลกอฮอล์

    “ไอ้น้อง...ไหนๆ มาเจอกันทั้งที เรามาเปิดใจกันหน่อยดีไหมวะ?”  พี่ตี๋ว่าพลางยิ้มมุมปากตามสไตล์  “เอ็งด้วยไอ้ปอ”

    คชาพยักหน้าหงึกหงักตามด้วยปอที่เออออตามไป...

    หารู้ไม่ว่าการเปิดใจของพี่ตี๋...

    “ไอ้ชา... ชีวิตช่วงนี้เป็นไงบ้างวะ?”

    “ก็เรื่อยๆ อะพี่”

    “แล้วเรื่องความรักล่ะ เป็นไง?”

    คือการหลอกถามความลับดีๆ นั่นเอง...

              คนตัวเล็กทำหน้าลังเลนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำถาม จนเมื่อถูกกดดันด้วยเหล้าปั่นรสสตรอเบอร์รี่ที่พี่ตี๋เพิ่งสั่งมาให้เลยเกรงใจจนหันหน้าไปกระซิบบอกเรื่องตัวเองกับพี่รหัสให้ได้ยินกันแค่สองคน

                “ก็ดีอะพี่ เขาก็ดูแลผมดีทุกอย่าง”  คชาว่าแล้วก็หลุดยิ้มเขินๆ ออกมา ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างพาให้พูดตามที่ใจคิดออกไป  “แต่มันตัวใหญ่จังพี่ ผมล่ะกลั๊วกลัว กอดทีผมเหลือตัวนิดเดียว”

                ตี๋หลุดขำออกมาทันทีเมื่อได้ยินที่น้องรหัสตัวเองเล่า 

    “อย่าบอกใครนะพี่  จุ๊ๆ ไว้”  เสียงคนใกล้เมาที่เอ่ยออกมาฟังดูทั้งตลกทั้งน่าเอ็นดูซะจนตี๋เริ่มหมั่นเขี้ยว ยื่นมือไปขยี้หัวน้องรหัสจนยุ่งเหยิง  “โธ่เอ๊ย น้องกู”

                “พี่ตี๋อะ...ผมเล่าเรื่องผมแล้วนะ พี่เล่าเรื่องพี่มั่งสิ”  คนเป็นน้องว่าเสียงอ้อน ปากดูดเหล้าปั่นรสสตรอเบอร์รี่อย่างชอบอกชอบใจ  “อร่อยจัง”

                “เฮ้ยชา เดี๋ยวเมาหรอก”  ปอพยายามปรามเพื่อน

                “ยังไม่เมาน่า...ถ้าเมาแกก็ลากเรากลับหน่อยละกัน”

               

    บทสนทนาว่าด้วยเรื่อง ความรักดูจะเป็นหัวข้อหลักในค่ำคืนนี้ ตี๋กำลังเล่าเรื่องตัวเองที่ไม่เคยเป็นความลับให้น้องๆ ฟัง

                “วันนั้นกูก็มากินเหล้าแบบวันนี้นี่แหละ...แต่มากับหญิงอื่น แล้วแฟนกูมากับเพื่อนพอดีไง”  ตี๋ว่า หน้าสลดเพียงชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยต่อ  “โป๊ะแตกเลย โดนตบไปทีนึงแล้วก็เลิกกัน”

                “โหย...เจ็บน่าดูว่ะพี่”

                “เออ เจ็บฉิบหายมือโคตรหนัก”  หนุ่มจิ๊กโก๋หลุดหัวเราะเบาๆ  “พวกเอ็งก็ระวังแล้วกัน ถ้าริจะมีกิ๊กต้องสับรางให้เก่งเข้าไว้”  ว่าพลางเอื้อมแขนไปคล้องคอน้องรหัสพลางตบบ่าปุๆ  “เข้าใจไหมไอ้น้อง?”

                คชาที่สติเหลือน้อยแค่ครึ่งพยักหน้าลงเออออตามไป  มือจะหันไปฉวยแก้วเหล้าก็ต้องชะงักไปเพราะเพื่อนข้างห้องอย่างปอพยักเพยิดหน้าไปด้านหลัง  ใบหน้าหวานซับสีแดงระเรื่อหันหน้าไปตามที่เพื่อนบอก มองจากระดับสายตาตัวเองขึ้นไป จนพบกับใบหน้าขาวและแววตาคู่คมที่มองตรงมา

                “แกโทรชวนเต๋ามาด้วยหรอวะ?”  ปอถามซื่อๆ หากแต่คชาแทบจะร่ำไห้  ยิ่งเห็นสายตาเย็นชาดุดันคู่นั่นก็เริ่มกลัว

                “เปล่า...บอกมาทำรายงาน”  คชาว่า ตามองตามใครคนนั้นที่เดินไปนั่งอีกมุมของร้าน เต๋ามากับเพื่อนประมาณเจ็ดแปดคน นั่งเบียดกันจนเต็มโต๊ะ

                ความรู้สึกผิดแล่นเข้าปราด ระหว่างที่ใจกำลังตรึกตรองจะเดินไปขอโทษ ความคิดก็พลันสลายไปในพริบตา

                ผู้หญิงที่นั่งเบียดไหล่กับเต๋านั่นมัน แฟงไม่ใช่หรือไง?

              ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วหันไปหัวเราะด้วยแบบนั้น สนิทกันหรอ?

                บรรยากาศสนุกสนานของโต๊ะนั้นไม่ชวนให้อยากเดินไปก้าวก่าย แม้จะเห็นใครคนนั้นเพียงด้านข้างแต่เสียงหัวเราะครึกครื้นที่ดังมาคงมากพอจะสรุปความ...  

     

    เหมือนมีเส้นบางๆ มากั้นอาณาเขตแบ่งฟากร้านเอาไว้ ราวกับกระจกใสที่มองทะลุแต่ไม่สามารถข้ามผ่าน

     มันเป็นเส้นบางๆ ที่ก้ำกึ่งระหว่าง หึง กับ ความรู้สึกผิดในใจ

     ระยะทางแค่ไม่กี่ก้าว ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน...

     

     

     


     

     

     

     TBC

    เต๋าหมิงซื่อกับซันช่าจะเป็นยังไงต่อไป ตี๋ขี้เมากับนศพ.ปอจะช่วยเหลือซันช่าจากเหตุการณ์นี้ได้หรือไม่ แฟงโผล่มาได้ไง  โปรดติดตาม 5555555555555 (นี่มันอาร๊ายยยยย)

    ที่ลบไปเพราะอันเก่ายังไม่ค่อยชอบ ก็เลยแต่งใหม่ นับเป็นรอบที่ 5 (บ้าเนอะ) ซึ่งมีเค้าของเก่านิดนึง
    อันเก่าเป็นยังไงลืมๆ มันไปซะนะ แหะๆ  ต่อจากนี้จะพยายามไม่เวิ่น ไม่อยากยืดไปกว่านี้ กลัวไม่สนุก นะจ๊ะ <3
    ขอบคุณทุกคน ใครสะดวกเม้นก็เม้นหน่อยนะ ชอบอ่าน


    ป.ล. ฝากฟิคอีกเรื่องด้วยนะ ลงตอนแรกแล้วล่ะ ติชมเสนอแนะกันได้ 
    http://writer.dek-d.com/bozang/writer/view.php?id=839681

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×