คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : TOM (or) BOY - 25
TOM (or) BOY
25
ไม่สบายตัวเลย...
ร่างเล็กบนเตียงนอนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาต่อมา คิ้วที่ขมวดจนหน้ามุ่ยยังคงอยู่เพราะร่างกายที่ไม่ค่อยจะสู้ดี หันไปมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถืออีกทีก็พบว่าเกือบหกโมงแล้ว
คชายันตัวนั่งบนเตียง ยกมือขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงกว่าเดิมอย่างนึกรำคาญใจ ตาคู่เรียวสอดส่องภายในห้องก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่คนเดียว ย้อนนึกไปก่อนที่เขาจะหลับ จำได้ว่าเต๋าบอกว่าเย็นๆ จะแวะมาใหม่
โกหก... นี่ก็เย็นแล้ว ยังไม่เห็นโผล่มาแม้แต่เงา
เพราะร่างกายที่อ่อนแอยิ่งทำให้รู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ... คชาเลยทั้งเหงาทั้งน้อยใจที่ไม่มีใครอยู่ด้วยสักคน เต๋ากลับบ้านไปก่อนเขาจะหลับ แพรวากับเฟรมกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนปอก็คงจะกลับไปนอนบ้านแล้วเหมือนกัน
กระเพาะอาหารส่งเสียงโครกครากขึ้นมาเบาๆ ยาที่วางอยู่ข้างเตียง...ว่าที่คุณหมอปอที่ซื้อมาให้กำชับว่ากินหลังอาหาร แต่คนป่วยตัวเล็กที่นั่งขมวดคิ้วมองมันเกิดรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในตอนนั้น
อยู่ดีๆ ก็คิดถึงบ้าน... ถ้าตอนนี้คชาอยู่ที่นั่นคงจะมีข้าวต้มร้อนๆ กับน้ำอุ่นวางรอไว้ให้แล้ว ข้าวต้มของแม่ไม่ค่อยอร่อยหรอก มันออกจะจืดชืดไปหน่อยแต่เขากลับคิดถึงมันขึ้นมาจับใจ
แม่คงจะเข้ามาป้อนยากับวัดไข้ให้ เค้นท์ก็คงไม่กล้ากวนใส่เหมือนทุกทีแถมยังเชื่อฟังเขาอีกต่างหาก
นั่งคิดไป... รู้ตัวอีกที น้ำตาก็หยดใส่หมอนแปะๆ
ไม่ได้เจอแม่มาหลายเดือนแล้ว...
เหงา... คิดถึงบ้าน... คิดถึงทุกคนที่นั่น... แต่จะโทรหาตอนนี้แม่ก็รู้หมดสิว่าเขาป่วยแล้วยังแอบร้องไห้อีก
โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกกำไว้แน่น มืออีกข้างยกขึ้นปาดน้ำตา วันนี้มันจะอะไรกันนักกันหนา ทำไมตัวเองถึงอ่อนแอแบบนี้ ร้องไห้มากี่รอบแล้วเรา?
แล้วเต๋าไปไหน... ทำไมไม่มาปลอบกันเลย
‘ป่วยแล้วเอาแต่ใจนะเรา’ จำได้ว่าแม่เคยพูดประโยคนี้สองสามหน คชาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คราวนี้ คชาชอบอ้อนแม่เวลาป่วย อ้อนว่าถ้าหายแล้วจะเอานู่นนี่... แต่คราวนี้ไม่อยู่กับแม่แล้ว คชาจะไปอ้อนใคร?
ใครๆ เขาก็กลับบ้านกัน คชาก็อยากกลับเหมือนกันนะ
ตั๋วรถอยู่ไหน? โบกแท็กซี่ไปบขส.ตอนนี้เลยได้รึเปล่า?
คิดได้แล้วไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ เมื่อคชาลุกขึ้นจากเตียงแม้จะโงนเงนอยู่บ้าง ร่างเล็กเปิดตู้เสื้อผ้าเอากระเป๋าสัมภาระออกมา มือก็หยิบเอาเสื้อผ้าใส่เข้าไป ก่อนจะรื้อมันออกมาใหม่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าไปนี่นา...
ป่วยแล้วเบลอไปหมดเลย...
ขณะที่สมองกำลังรวบรวมความคิดว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง สมองก็ชะงักไปเสียก่อน ด้วยเพราะเสียงเคาะประตู ร่างเล็กจึงเดินไปเปิดให้แขกผู้มาเยือน
“ตื่นนานรึยัง? อาการเป็นไงบ้าง?” ไม่ผิดจากที่คิดนักเมื่อคนมาใหม่คือเต๋า... คชายังยืนนิ่งไม่ตอบ ปล่อยให้อีกคนใช้หลังมือหนาทาบวัดไข้อยู่อย่างนั้น
“อืม...ก็ดีขึ้นแล้วนะ” เต๋าพูดพลางระบายยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของอีกฝ่ายแค่อุ่นๆ ไม่ได้ร้อนรุมๆ เหมือนตอนแรก หากแต่ข้อสรุปนั้นกลับทำเอาคชาเบะปากออกมา
“ยังไม่หายซะหน่อย” คนตัวเล็กว่าก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ ไม่รู้หรอกว่าตัวเองอาการดีขึ้นจริงรึเปล่า แต่สำหรับคชา...ตอนนี้วัดกันที่อารมณ์ล้วนๆ
“โอเคครับคนป่วย ยังไม่หายก็ยังไม่หาย” เต๋าพูดอย่างเอาใจ “แล้วนี่เอากระเป๋าออกมาทำไมน่ะ?”
“จะกลับบ้าน” คชาตอบเสียงห้วน จริงๆ ตอนเต๋ามาก็ทำให้คชาลืมเรื่องนี้ไปชั่วครู่ แต่ดันเป็นเจ้าตัวที่ไปสะกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
“กลับบ้าน? กลับโคราช?” เต๋าเลิกคิ้วขึ้นในเชิงถาม
“อือ จะกลับบ้านแล้ว” เหงา... คำพูดสุดท้ายเพียงเอ่ยในใจเท่านั้นไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
ข้อความแสนง่ายของคนตัวเล็กทำเอาอีกคนถอนหายใจหนักๆ ออกมา... ก่อนจะพูดสวนกลับไป “แน่ใจแล้วหรอ?”
“ทำไมต้องไม่แน่ใจด้วย แค่จะกลับบ้าน” คำพูดที่ฟังดูรั้นกว่าปกติทำเอาคนถามมองตามเข้าไปในแววตาคู่ใส เขาเพิ่งสังเกตว่ามันแดงกว่าปกติ ซ้ำข้างในนั้นยังคงมีความเหงาที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดเลย
“อยู่ห้องคนเดียวเหงาใช่ไหม? ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย” เต๋าถามพลางดึงอีกคนมากอดไว้แนบอก แอบยิ้มมุมปากที่เห็นอีกคนส่ายหัวเป็นพัลวันเพราะไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองตรงๆ
“ไม่เหงาก็ไม่เหงา งั้นไปกินข้าวกันก่อนนะ จะได้กินยา” ไม่รู้ว่าผิดไหมที่รั้งอีกคนไว้แบบนี้ ไม่รู้ที่ทำลงไปมันเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า ก็รู้ว่าคชามีสิทธิ์จะกลับบ้านเพราะยังไงซะก็บ้านของเขา แต่เต๋าไม่นึกอยากให้คนตัวเล็กไปไหนคนเดียวเลย
โดยเฉพาะในยามที่อีกคนทั้งอ่อนไหวและอ่อนแอแบบนี้…
ไม่ต้องรอให้อีกคนตอบตกลง เต๋าก็มัดมือชกพาคนตัวเล็กออกมาจากห้องพักโดยไม่ลืมจะหยิบถุงยาที่หัวเตียงออกมาด้วย
“อีกนิดจะถึงแล้ว... หลับตาหน่อยสิชา” เต๋าเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงใกล้ๆ ที่หมาย จริงๆ มันก็แถวๆ บ้านเต๋านั่นแหละ แต่ในละแวกนี้คชาก็ลองกินมาแทบทุกร้านแล้ว
“หลับตาทำไม ร้านแถวนี้มีอะไรหรอ?”
“เอาน่า...” เต๋าพูดแล้วก็ไปยืนซ้อนหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาคนข้างหน้าและพาเดินตรงไป “นิดเดียวก็จะถึงแล้ว ห้ามแอบมองนะ”
“เล่นเป็นเด็กๆ” เสียงป่วยๆ บ่นอุบอิบในลำคอ หากทว่าเจ้าตัวกลับหลับตาตามคำบอกแต่โดยดีเมื่อฝ่ามือหนาค่อยๆ ลดลงแล้วเปลี่ยนเป็นจูงเขาไว้แทน
“จะพามาแกล้งรึเปล่าเนี่ย?” เสียงเดิมเอ่ยต่ออย่างระแวดระวัง “ไม่มีขี้หมานะ” ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากรอยยิ้มขำๆ ของคนจูงที่คนถูกจูงมองไม่เห็น
“อีกนิดเดียว...จะถึงแล้ว” เต๋าว่าแล้วก็ละข้อมืออีกคนก่อนจะคว้าที่ช่วงเอวไว้แทน ก่อนจะบิดให้หันซ้าย “ยืนรอตรงนี้แปปนะ ห้ามลืมตาล่ะ”
มาถึงจุดนี้แม้ไม่ลืมตาคชาก็พอรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ที่ไหน เพราะเสียงเปิดประตูน่ะสิเขาถึงรู้ว่ากำลังยืนอยู่หน้าบ้านของเต๋าแท้ๆ หากแต่ก็หลับตาต่อไปด้วยเพราะยังอยากลุ้นต่อว่าสุดท้ายเต๋าจะพาไปเจอกับอะไร
“มาแล้วครับ รอนานไหม?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำเอาคนตัวเล็กอุ่นใจในทันที มือบางถูกคว้าไปจับไว้โดยฝ่ามือด้านๆ ที่ยังอบอุ่นเหมือนเคย “ค่อยๆ ยกขาก้าวขึ้นมานะ”
“โอเค...ทีนี้ก็ถอดรองเท้า” เสียงเดิมเอ่ยต่อ
คนตัวเล็กถอดรองเท้าแตะออกตามคำบอก ปลายเท้าที่สัมผัสพื้นกระเบื้องเย็นๆ ทำเอาคนตัวเล็กยิ้มขำเพราะอีกคนช่างไม่เนียนเอาซะเลย
คชายังถูกพาไปเดินเรื่อยๆ แต่จุดนี้เขาไม่ทันรู้แล้วว่าอยู่ส่วนไหนของบ้านเพราะถูกแกล้งพาให้เดินวน ก่อนที่เต๋าจะพาคชานั่งลงบนเก้าอี้ที่พอเดาได้ว่าเป็นโซฟาที่ห้องรับแขกเป็นแน่
“ชา... ลืมตาได้แล้ว” พอเสียงทุ้มเอ่ยจบคนตัวเล็กก็รีบเบิกตาขึ้นมองทันที หากแต่พอเห็นทุกสิ่งรอบกายก็ทำเอาตัวหดลงไปนิดหน่อย
พ่อต๋อยแม่เต่า แล้วยังน้องต๋อ... มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ชา... สวัสดีพ่อกับแม่เร็ว” เต๋าสะกิดเตือน
“อ่า... สวัสดีครับ” คนตัวเล็กตามน้ำไปแม้ว่าจะยังงงๆ กับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ หากแต่รอยยิ้มอบอุ่นที่ผู้ใหญ่ทั้งสองส่งมาให้ก็คลายความกังวลออกไปได้มาก
“พ่อ แม่... วันนี้พาลูกชายมาฝากอีกคน” เสียงเต๋าที่เอ่ยขึ้นง่ายๆ เหมือนกับจะพูดเล่นทำเอาคชาหันไปมองคนพูด ประสานสายตากับร่างสูงที่หันมาบอกเขา “จะยกพ่อกับแม่ให้วันนึงละกัน”
เพราะคำพูดที่เต๋าเอ่ยขึ้นท่ามกลางคนอีกสามคน คชาจึงยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ เพราะติดจะเขินอยู่หน่อยๆ ...เหมือนกำลังถูกพามาฝากตัวเป็นลูกเขย(?)ยังไงอย่างนั้น
“ยกน้องให้ด้วยสิพี่เต๋า” ก่อนคำพูดของน้องสาวแก้มกลมที่เอ่ยแทรกจะทำเอาทุกคนอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ หากแต่พี่ชายหันไปแกล้งบีบจมูกอย่างหมั่นเขี้ยว
เต๋าผลักคนตัวเล็กให้เดินไปหาพ่อกับแม่ของตนที่นั่งอยู่ ร่างเล็กเดินเข้าไปหาอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะถูกแม่เต่าคว้าเข้าไปกอดเต็มรัก ส่วนแผ่นหลังบางก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ของพ่อต๋อยที่วางลงมา
“อย่างที่เคยบอกแหละ... คชาก็เหมือนลูกแม่อีกคนนะ” ถ้อยคำอบอุ่นที่เอ่ยขึ้นทำเอาคนตัวเล็กกอดตอบแม่เต่าพลางซุกใบหน้าลงบนบ่าเล็กนั้น น้ำตาแห่งความตื้นตันเอ่อล้นดวงตาทั้งสอง ไม่รู้เต๋ามาพูดอะไรให้คุณแม่ฟัง แต่ตอนนี้คชารู้สึกอบอุ่นหัวใจจริงๆ
“มีอะไรก็มาหาพ่อกับแม่ได้นะ” พ่อต๋อยเอ่ยขึ้นบ้าง ตอนนั้นที่แม่เต่าผละจากคชาเพื่อให้อีกคนกอดต่อ
คชารู้สึกเก้ๆ กังๆ เล็กน้อยเพราะค่อนข้างห่างเหินกับพ่อ เนื่องด้วยพ่อแท้ๆ ของตนหย่าขาดกับแม่และอาศัยอยู่อีกจังหวัดทำให้นานๆ จะเจอกันสักครั้ง หากแต่เพราะความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทำให้คชาค่อยๆ กอดตอบคุณพ่อตรงหน้าเบาๆ
“ขอบคุณครับ” เขาตอบเท่านั้น สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ลูบศีรษะอย่างเอ็นดูก็ก้มหัวลงไปอีก ก่อนจะค่อยๆ ผละออกเพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้เป็นเด็กขี้แยอีกหน
หมดจากตรงนั้น ทั้งห้าคนขาดเพียงน้องเต๋อที่ติดซ้อมกีฬาที่โรงเรียน ก็พากันเข้าไปทานอาหารเย็นในวันนี้ที่โต๊ะอาหาร เต๋าที่เดินรั้งท้ายแอบยกมือขึ้นขยี้ศีรษะคนตัวเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู... รอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานทำให้เต๋าเริ่มหมดห่วง
อาหารมื้อเย็นวันนี้เป็นสุกี้ที่ต้มกันสดๆ หม้อไฟฟ้าถูกนำมาตั้งไว้ตรงกลางโต๊ะ คชาเดินตามไปนั่งข้างๆ ลูกชายคนโตแล้วก็รับประทานพร้อมๆ กับสมาชิกครอบครัวเพียงพอที่มารวมตัวกันเกือบจะพร้อมหน้าในเย็นวันศุกร์
“เอ้านี่” เต๋าส่งชามคนตัวเล็กคืนหลังจากฉวยมันไปตักสุกี้ให้ เพราะคชานั่งไกลจากหม้อจึงตักเองไม่ถนัดเท่าที่ควร
คชาพึมพำคำว่า “ขอบใจ” ข้างในลำคอ แต่นั่นไม่เบาพอที่จะทำให้คนข้างๆ ไม่ได้ยิน
แม้จะรู้สึกหมดกังวลกับบรรยากาศที่ผ่อนคลาย หากแต่ลึกๆ ในใจคชายังมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนปะปนอยู่... พ่อกับแม่ของเต๋าดูแลเขาเหมือนกับเป็นลูกอีกคน แต่ถ้ารู้ว่าภายใต้คำว่า ‘เพื่อน’ ที่พูดบอกมันมีอะไรที่เกินกว่านั้นล่ะ
ทว่าไม่ต้องมีคำพูดใด สัมผัสอุ่นๆ ที่มือขวาก็ทำเอาคนตัวเล็กหมดกังวลภายในชั่วอึดใจ ใต้โต๊ะอาหารราวกับล่วงรู้ความคิดนั้น... มือซ้ายของเต๋าเคลื่อนไปบีบมือขวาของคชาเบาๆ ราวกับจะบอกว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้
คชาก้มหน้าทานอาหารซ่อนรอยยิ้มเขินๆ นั้นไว้ แอบเหลือบตามองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็หันมากินข้าวต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาบ้าง แม้ในหัวใจจะกำลังพองโต
แทบไม่รู้สึกเลยว่า ตอนนี้ตนเองลืมคำว่า ‘เหงา’ ไปสนิทเลย
“เป็นหวัดนิดหน่อยแม่... ไปตากฝนมา”
“อืม... กินยาแล้ว โอเค เดี๋ยวชาจะรีบเข้านอน”
“ครับแม่” ร่างเล็กที่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสี่กดวางสายทั้งรอยยิ้ม มีความสุขที่ได้คุยโทรศัพท์กับแม่ ถึงจะนึกขำที่เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนตัวเองยังงอแงเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านอยู่เลย
“ออกมาทำอะไรตรงนี้ ลมเย็นๆ เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก” เสียงทุ้มที่เอ่ยจากด้านหลังทำเอาคนฟังหันควับไปมอง คชาชูโทรศัพท์ในมือ “โทรหาแม่”
“เป็นไง คุยแล้วสบายใจไหม?”
“อื้อ”
“แล้วยังอยากกลับบ้านอยู่รึเปล่า?”
“อยาก” คำตอบของคชาทำเอาคนถามนิ่งไปสนิท “แต่คงไม่ใช่ตอนนี้” คชาพูดต่อพลางเปรยยิ้ม
ไม่มีใครไม่อยากกลับบ้าน ทุกคนย่อมคิดถึงที่ที่ตนจากมาทั้งนั้น... แต่ตอนนี้ คชายังมีความสุขกับการอยู่ที่นี่
คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเพราะใคร...
รอยยิ้มกว้างๆ บนใบหน้าหวานทำเอาอีกฝ่ายโล่งใจไปได้เยอะ นิ้วมือหนายกขึ้นเกลี่ยผมที่เริ่มยาวปรกใบหน้า จับมันทัดหูก่อนจะก้มลงประทับรอยจูบที่หน้าผากอีกครั้ง
“ต่อไปถ้าคิดถึงบ้าน จำไว้ว่ายังมีบ้านนี้อยู่นะชา”
“อื้ม” คชาพยักหน้าตอบอีกคน ยอมให้กุมมือข้างหนึ่งอย่างไม่ขัดขืน ร่างเล็กเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง
“ไปนอนได้แล้วมั้งคนป่วย”
“ไม่ป่วยซะหน่อย หายแล้ว” คชาเอ่ยเสียงใส ถึงเขาจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสีฟ้าแล้วแต่ยังไม่นึกง่วงเลยสักนิด “นอนมาทั้งวันแล้ว นี่ก็ยังไม่ดึกเลย หาอะไรทำกันเหอะ”
เต๋าได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มเบาๆ นึกถึงตอนเย็นที่ไปหาอีกฝ่ายที่ห้อง เจ้าตัวยังบอกว่า ‘ยังไม่หาย’ อยู่เลย สงสัยเพราะตอนนั้นจะอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆ
“แล้วจะทำอะไรล่ะ ตอนกลางคืน ในห้องนอนเนี่ย” น้ำเสียงเรียบๆ เริ่มส่อแววขี้เล่นซุกซน “อะไรน้า...ที่ทำกันในห้องนอนสองคน”
“ทะลึ่ง” คชาผละคนที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ออก ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล “ไม่กลัว..เจ็บ..รึไง?” ยังยืนยันประโยคเดิมแม้ว่าสภาพตอนนี้มันจะไม่เหมือนอย่างนั้นเลยก็ตาม เขาอยู่ในชุดนอนสีฟ้าลายสก็อต ส่วนเต๋าใส่เสื้อกล้ามสีดำที่โชว์กล้ามแขนหนาๆ เกินกว่าที่คชาคิด
แค่จินตนาการว่าจะผลักให้เต๋าล้มลงไปยังยากเลย... ไม่อยากจะนึก ถ้าเกิดว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริงๆ
เขาคง....... เฮ้ย! ไม่เอาไม่คิด...
“ชา...” จังหวะนั้นที่เสียงเรียกใกล้ๆ ลำคอทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง... เขาคงเหม่อนานไปหน่อยจนไม่ทันรู้ตัว “เต๋าอยากเข้าไปอยู่ในนั้นของชานะครับ”
คำพูดชวนคิดลึกทำเอาคชาหน้าร้อนวูบวาบ ยิ่งลมหายใจที่เป่ารดจมูกยิ่งทำเอาคชาหัวใจเต้นแรง... อยากเข้าไปอยู่...ในนั้น...?
แล้วมันในไหนล่ะวะ? นี่เต๋าทะลึ่งจริงๆ หรือเขาคิดไปเองกันแน่...
แม้ในใจจะมีคำพูดต่อต้าน หากแต่ริมฝีปากที่ประทับจูบอ่อนหวานลงมาทำเอากลืนข้อความนั้นไปหมดสิ้น มือข้างหนึ่งถูกกำประสานเอาไว้แน่น...
จูบกัน...อีกแล้ว...
แม่...คชาไม่ได้ใจง่ายนะ ชาโดนบังคับ
ไม่ได้ยินยอมเลย...จริงๆ
คชาส่งเสียงอื้ออึงในลำคอที่ถูกช่วงชิงลมหายใจออกมาจากอีกคน อารมณ์เริ่มเตลิดไปกับจินตนาการในหัวที่มากเกินความจำเป็น ก่อนจะหอบหายใจถี่ๆ เมื่อริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ
คชาประสานมองอีกคนตาแป๋ว... ก่อนที่สมองจะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ คำตอบก็ถูกเฉลยขึ้นเสียก่อนเมื่อมือข้างที่ถูกประสานไว้ถูกยกขึ้นมาแล้ววางลงบนตำแหน่งอกข้างซ้ายของเขา
“ในนี้ของชา... ให้เต๋าเข้าไปอยู่ได้รึยัง?” ถึงจะฟังดูน้ำเน่า แต่คชาก็เขินเกินกว่าจะขัดบรรยากาศนั้นลง คนตัวเล็กหน้าร้อนอย่างที่ไม่คิดว่าจะเคยเป็นมาก่อน การที่เต๋ามาพูดแบบนี้ใส่มันพาให้ใจสั่นซะยิ่งกว่าถูกจูบเสียอีก
“ไม่ถามปีหน้าเลยล่ะ” คชาตอบกลับ พยายามเสียงดังสู้ก่อนจะบ่นอุบอิบในลำคอ “ทำขนาดนี้แล้วเพิ่งถาม” ก็ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาเสียจูบไปกี่ครั้งแล้วล่ะ... ไม่อยากบอกเลยว่า ขนาดกับแฟนเก่า คชาเคยแค่แตะๆ ปากกันครั้งเดียวเอง แถมพอทำเสร็จแล้วเขายังขอโทษฝ่ายนั้นยกใหญ่เลย
“ก็คชาน่ารัก” คำพูดหวานเชื่อมนั้นทำเอาคชาต้องรีบพูดแก้เก้อ “ต้องหล่อสิ”
“ครับ...หล่อก็หล่อ” เต๋าพูดแล้วก็ยกมือเกลี่ยผมอีกฝ่ายที่ลงมาปรกหน้าอีกครั้ง ยิ่งผมเริ่มยาวขึ้นแบบนี้ คชายิ่งเหมือนทอมกว่าตอนแรกเสียอีก “คชาหล่อมากเลย” หล่อจนเหมือนทอมแน่ะ...
แม้เต๋าจะแกล้งพูดเอาใจ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้อีกฝ่ายพอใจไม่น้อยเลยทีเดียว คนตัวเล็กแย้มยิ้มกว้าง นิ่งมองอีกคนอยู่นาน ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุขที่ทุกอย่างมาถึงตรงนี้
ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนริมฝีปากไปประทับข้างแก้มอีกคนเบาๆ
“วันนี้..ทำตัวน่ารัก.. ให้รางวัล” เสียงใสเอ่ยกระท่อนกระแท่น ก่อนเจ้าตัวจะแสร้งนอนลงบนเตียงพลางดึงผ้าห่มมาปิดจนเห็นเพียงแค่ตาคู่เรียว “นอนดีกว่า ปิดไฟด้วยล่ะ” ว่าแล้วก็ตะแคงหันหน้าหนีไปซะอย่างนั้น
เต๋ามองคนน่ารักภายใต้ผ้าห่มผืนหนาก็ยิ้มกว้าง... คำตอบของคำถาม คงไม่จำเป็นอีกต่อไป
มาขนาดนี้...จะบอกว่าคชาไม่ให้เขาไปอยู่ในใจก็แย่เกินไปหน่อยแล้ว
แต่มาหอมแก้มแล้วชิงมุดผ้าห่มหนีไปนี่สิ... มันน่า...นัก...
คนตัวเล็กที่ยังนอนกระดุกกระดิกใต้ผ้าห่มนั้นทำเอาเต๋ายิ้มขำ... มือหนายกขึ้นลูบรางวัลที่ได้รับบนแก้มขาวแผ่วเบา แม้ใจจริงจะอยากดึงคนแกล้งหลับขึ้นมาอะไรๆ ต่อ แต่เพราะความใสซื่อของเจ้าตัวนั่นแหละที่ย้อนมาเป็นเกราะกำบังที่เต๋าไม่กล้าทำร้ายได้ลง
คชากลัวเต๋าเจ็บ... ครับ... เต๋าก็กลัวคชาเจ็บเหมือนกัน
คนตัวโตที่ยังไม่คลายยิ้มลุกเดินไปปิดไฟเพื่อเข้านอน
เรื่องความสัมพันธ์ทางกาย ไว้รอวันที่เราพร้อมก็คงไม่สาย... เพราะความสัมพันธ์ทางใจต่างหากที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน
เต๋าล้มตัวลงนอนบนอีกฝั่งของเตียงที่เว้นไว้ ก่อนที่อ้อมแขนแกร่งดึงร่างเล็กไปกอดไว้หลวมๆ
คชาแกล้งหลับได้... เต๋าก็แกล้งกอดได้เหมือนกัน
“รักนะคะชา”
แต่ประโยคสุดท้าย ไม่ได้แกล้งหรอกนะ...
TBC
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะค้า ใครคิดเห็นยังไงเม้นบอกได้นะ แม้บางความเห็นจะทำเราเฟลไปบ้างก็ตาม แต่ก็ดีใจที่บอกกันตรงๆ หลังไมค์มาที่ทวต.ก็ได้จ้า @rainbobow เผื่อไม่สะดวกเม้น
ขอตอบคอมเม้นที่บอกว่าฟิคเราสาววววว อ่านๆไปเหมือนอ่านฟิคยูริ
อ่านตอนแรกก็ตกใจและเฟล เป็นครั้งแรกที่เจอคอมเม้นที่วิจารณ์ตรงขนาดนี้ ก็ยอมรับว่ามีส่วนจริง แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วค่า อีกอย่าง เราเองก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้อะ ขอโทษด้วยนะถ้าแต่งไม่ถูกใจ จะพยายามปรับปรุงในเรื่องหน้า แต่อาจจะปรับปรุงไม่ได้เยอะเพราะเราก็ชอบแบบนี้ ส่วนที่บอกว่าคนแต่งต้องหญิงจ๋าแน่ๆ คือถ้าเจอตัวจริงจะแบบ... 5555 ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดเลยค่า
ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะค้า
ความคิดเห็น