ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #27 : TOM (or) BOY - 25

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 55


      TOM (or) BOY  

    25

     

     

     

     

     

    ไม่สบายตัวเลย...

    ร่างเล็กบนเตียงนอนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาต่อมา คิ้วที่ขมวดจนหน้ามุ่ยยังคงอยู่เพราะร่างกายที่ไม่ค่อยจะสู้ดี  หันไปมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถืออีกทีก็พบว่าเกือบหกโมงแล้ว

    คชายันตัวนั่งบนเตียง ยกมือขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงกว่าเดิมอย่างนึกรำคาญใจ ตาคู่เรียวสอดส่องภายในห้องก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่คนเดียว  ย้อนนึกไปก่อนที่เขาจะหลับ จำได้ว่าเต๋าบอกว่าเย็นๆ จะแวะมาใหม่

    โกหก... นี่ก็เย็นแล้ว ยังไม่เห็นโผล่มาแม้แต่เงา

    เพราะร่างกายที่อ่อนแอยิ่งทำให้รู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ... คชาเลยทั้งเหงาทั้งน้อยใจที่ไม่มีใครอยู่ด้วยสักคน เต๋ากลับบ้านไปก่อนเขาจะหลับ แพรวากับเฟรมกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนปอก็คงจะกลับไปนอนบ้านแล้วเหมือนกัน

    กระเพาะอาหารส่งเสียงโครกครากขึ้นมาเบาๆ  ยาที่วางอยู่ข้างเตียง...ว่าที่คุณหมอปอที่ซื้อมาให้กำชับว่ากินหลังอาหาร แต่คนป่วยตัวเล็กที่นั่งขมวดคิ้วมองมันเกิดรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในตอนนั้น

    อยู่ดีๆ ก็คิดถึงบ้าน... ถ้าตอนนี้คชาอยู่ที่นั่นคงจะมีข้าวต้มร้อนๆ กับน้ำอุ่นวางรอไว้ให้แล้ว  ข้าวต้มของแม่ไม่ค่อยอร่อยหรอก มันออกจะจืดชืดไปหน่อยแต่เขากลับคิดถึงมันขึ้นมาจับใจ

    แม่คงจะเข้ามาป้อนยากับวัดไข้ให้ เค้นท์ก็คงไม่กล้ากวนใส่เหมือนทุกทีแถมยังเชื่อฟังเขาอีกต่างหาก

    นั่งคิดไป... รู้ตัวอีกที น้ำตาก็หยดใส่หมอนแปะๆ

    ไม่ได้เจอแม่มาหลายเดือนแล้ว...

    เหงา... คิดถึงบ้าน... คิดถึงทุกคนที่นั่น... แต่จะโทรหาตอนนี้แม่ก็รู้หมดสิว่าเขาป่วยแล้วยังแอบร้องไห้อีก

    โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกกำไว้แน่น มืออีกข้างยกขึ้นปาดน้ำตา วันนี้มันจะอะไรกันนักกันหนา ทำไมตัวเองถึงอ่อนแอแบบนี้ ร้องไห้มากี่รอบแล้วเรา?

    แล้วเต๋าไปไหน... ทำไมไม่มาปลอบกันเลย

                ป่วยแล้วเอาแต่ใจนะเรา’  จำได้ว่าแม่เคยพูดประโยคนี้สองสามหน คชาเพิ่งจะรู้ตัวว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็คราวนี้  คชาชอบอ้อนแม่เวลาป่วย อ้อนว่าถ้าหายแล้วจะเอานู่นนี่... แต่คราวนี้ไม่อยู่กับแม่แล้ว คชาจะไปอ้อนใคร?

                ใครๆ เขาก็กลับบ้านกัน คชาก็อยากกลับเหมือนกันนะ

    ตั๋วรถอยู่ไหน? โบกแท็กซี่ไปบขส.ตอนนี้เลยได้รึเปล่า?

    คิดได้แล้วไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ เมื่อคชาลุกขึ้นจากเตียงแม้จะโงนเงนอยู่บ้าง  ร่างเล็กเปิดตู้เสื้อผ้าเอากระเป๋าสัมภาระออกมา มือก็หยิบเอาเสื้อผ้าใส่เข้าไป ก่อนจะรื้อมันออกมาใหม่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าไปนี่นา...

                ป่วยแล้วเบลอไปหมดเลย...

                ขณะที่สมองกำลังรวบรวมความคิดว่าต้องเอาอะไรไปบ้าง สมองก็ชะงักไปเสียก่อน ด้วยเพราะเสียงเคาะประตู ร่างเล็กจึงเดินไปเปิดให้แขกผู้มาเยือน

                “ตื่นนานรึยัง? อาการเป็นไงบ้าง?”  ไม่ผิดจากที่คิดนักเมื่อคนมาใหม่คือเต๋า... คชายังยืนนิ่งไม่ตอบ ปล่อยให้อีกคนใช้หลังมือหนาทาบวัดไข้อยู่อย่างนั้น

                “อืม...ก็ดีขึ้นแล้วนะ”  เต๋าพูดพลางระบายยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของอีกฝ่ายแค่อุ่นๆ ไม่ได้ร้อนรุมๆ เหมือนตอนแรก  หากแต่ข้อสรุปนั้นกลับทำเอาคชาเบะปากออกมา

                “ยังไม่หายซะหน่อย”  คนตัวเล็กว่าก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้  ไม่รู้หรอกว่าตัวเองอาการดีขึ้นจริงรึเปล่า แต่สำหรับคชา...ตอนนี้วัดกันที่อารมณ์ล้วนๆ

                “โอเคครับคนป่วย ยังไม่หายก็ยังไม่หาย”  เต๋าพูดอย่างเอาใจ  “แล้วนี่เอากระเป๋าออกมาทำไมน่ะ?”

                “จะกลับบ้าน”  คชาตอบเสียงห้วน จริงๆ ตอนเต๋ามาก็ทำให้คชาลืมเรื่องนี้ไปชั่วครู่ แต่ดันเป็นเจ้าตัวที่ไปสะกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง

                “กลับบ้าน? กลับโคราช?”  เต๋าเลิกคิ้วขึ้นในเชิงถาม

                “อือ จะกลับบ้านแล้ว” เหงา... คำพูดสุดท้ายเพียงเอ่ยในใจเท่านั้นไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ

                ข้อความแสนง่ายของคนตัวเล็กทำเอาอีกคนถอนหายใจหนักๆ ออกมา... ก่อนจะพูดสวนกลับไป  “แน่ใจแล้วหรอ?”

                “ทำไมต้องไม่แน่ใจด้วย แค่จะกลับบ้าน”  คำพูดที่ฟังดูรั้นกว่าปกติทำเอาคนถามมองตามเข้าไปในแววตาคู่ใส เขาเพิ่งสังเกตว่ามันแดงกว่าปกติ ซ้ำข้างในนั้นยังคงมีความเหงาที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดเลย

                “อยู่ห้องคนเดียวเหงาใช่ไหม? ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย”  เต๋าถามพลางดึงอีกคนมากอดไว้แนบอก  แอบยิ้มมุมปากที่เห็นอีกคนส่ายหัวเป็นพัลวันเพราะไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองตรงๆ

    “ไม่เหงาก็ไม่เหงา งั้นไปกินข้าวกันก่อนนะ จะได้กินยา”  ไม่รู้ว่าผิดไหมที่รั้งอีกคนไว้แบบนี้ ไม่รู้ที่ทำลงไปมันเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า ก็รู้ว่าคชามีสิทธิ์จะกลับบ้านเพราะยังไงซะก็บ้านของเขา  แต่เต๋าไม่นึกอยากให้คนตัวเล็กไปไหนคนเดียวเลย

    โดยเฉพาะในยามที่อีกคนทั้งอ่อนไหวและอ่อนแอแบบนี้

                ไม่ต้องรอให้อีกคนตอบตกลง เต๋าก็มัดมือชกพาคนตัวเล็กออกมาจากห้องพักโดยไม่ลืมจะหยิบถุงยาที่หัวเตียงออกมาด้วย

               

     

                “อีกนิดจะถึงแล้ว... หลับตาหน่อยสิชา”  เต๋าเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงใกล้ๆ ที่หมาย  จริงๆ มันก็แถวๆ บ้านเต๋านั่นแหละ แต่ในละแวกนี้คชาก็ลองกินมาแทบทุกร้านแล้ว

                “หลับตาทำไม ร้านแถวนี้มีอะไรหรอ?”

                “เอาน่า...”  เต๋าพูดแล้วก็ไปยืนซ้อนหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาคนข้างหน้าและพาเดินตรงไป  “นิดเดียวก็จะถึงแล้ว ห้ามแอบมองนะ”

                “เล่นเป็นเด็กๆ”  เสียงป่วยๆ บ่นอุบอิบในลำคอ หากทว่าเจ้าตัวกลับหลับตาตามคำบอกแต่โดยดีเมื่อฝ่ามือหนาค่อยๆ ลดลงแล้วเปลี่ยนเป็นจูงเขาไว้แทน

                “จะพามาแกล้งรึเปล่าเนี่ย?”  เสียงเดิมเอ่ยต่ออย่างระแวดระวัง  “ไม่มีขี้หมานะ”  ไม่ได้รับคำตอบใดๆ นอกจากรอยยิ้มขำๆ ของคนจูงที่คนถูกจูงมองไม่เห็น

                “อีกนิดเดียว...จะถึงแล้ว”  เต๋าว่าแล้วก็ละข้อมืออีกคนก่อนจะคว้าที่ช่วงเอวไว้แทน ก่อนจะบิดให้หันซ้าย  “ยืนรอตรงนี้แปปนะ ห้ามลืมตาล่ะ”

                มาถึงจุดนี้แม้ไม่ลืมตาคชาก็พอรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ที่ไหน เพราะเสียงเปิดประตูน่ะสิเขาถึงรู้ว่ากำลังยืนอยู่หน้าบ้านของเต๋าแท้ๆ  หากแต่ก็หลับตาต่อไปด้วยเพราะยังอยากลุ้นต่อว่าสุดท้ายเต๋าจะพาไปเจอกับอะไร

                “มาแล้วครับ รอนานไหม?”  เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำเอาคนตัวเล็กอุ่นใจในทันที  มือบางถูกคว้าไปจับไว้โดยฝ่ามือด้านๆ ที่ยังอบอุ่นเหมือนเคย  “ค่อยๆ ยกขาก้าวขึ้นมานะ”

                “โอเค...ทีนี้ก็ถอดรองเท้า”  เสียงเดิมเอ่ยต่อ

                คนตัวเล็กถอดรองเท้าแตะออกตามคำบอก ปลายเท้าที่สัมผัสพื้นกระเบื้องเย็นๆ ทำเอาคนตัวเล็กยิ้มขำเพราะอีกคนช่างไม่เนียนเอาซะเลย

                คชายังถูกพาไปเดินเรื่อยๆ แต่จุดนี้เขาไม่ทันรู้แล้วว่าอยู่ส่วนไหนของบ้านเพราะถูกแกล้งพาให้เดินวน ก่อนที่เต๋าจะพาคชานั่งลงบนเก้าอี้ที่พอเดาได้ว่าเป็นโซฟาที่ห้องรับแขกเป็นแน่

                “ชา... ลืมตาได้แล้ว”  พอเสียงทุ้มเอ่ยจบคนตัวเล็กก็รีบเบิกตาขึ้นมองทันที หากแต่พอเห็นทุกสิ่งรอบกายก็ทำเอาตัวหดลงไปนิดหน่อย

                พ่อต๋อยแม่เต่า แล้วยังน้องต๋อ... มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

                “ชา... สวัสดีพ่อกับแม่เร็ว”  เต๋าสะกิดเตือน

                “อ่า... สวัสดีครับ”  คนตัวเล็กตามน้ำไปแม้ว่าจะยังงงๆ กับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่  หากแต่รอยยิ้มอบอุ่นที่ผู้ใหญ่ทั้งสองส่งมาให้ก็คลายความกังวลออกไปได้มาก

    “พ่อ แม่... วันนี้พาลูกชายมาฝากอีกคน”  เสียงเต๋าที่เอ่ยขึ้นง่ายๆ เหมือนกับจะพูดเล่นทำเอาคชาหันไปมองคนพูด ประสานสายตากับร่างสูงที่หันมาบอกเขา  “จะยกพ่อกับแม่ให้วันนึงละกัน”

    เพราะคำพูดที่เต๋าเอ่ยขึ้นท่ามกลางคนอีกสามคน  คชาจึงยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ เพราะติดจะเขินอยู่หน่อยๆ ...เหมือนกำลังถูกพามาฝากตัวเป็นลูกเขย(?)ยังไงอย่างนั้น

                “ยกน้องให้ด้วยสิพี่เต๋า”  ก่อนคำพูดของน้องสาวแก้มกลมที่เอ่ยแทรกจะทำเอาทุกคนอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ หากแต่พี่ชายหันไปแกล้งบีบจมูกอย่างหมั่นเขี้ยว

                เต๋าผลักคนตัวเล็กให้เดินไปหาพ่อกับแม่ของตนที่นั่งอยู่  ร่างเล็กเดินเข้าไปหาอย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะถูกแม่เต่าคว้าเข้าไปกอดเต็มรัก ส่วนแผ่นหลังบางก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆ ของพ่อต๋อยที่วางลงมา

                “อย่างที่เคยบอกแหละ... คชาก็เหมือนลูกแม่อีกคนนะ”  ถ้อยคำอบอุ่นที่เอ่ยขึ้นทำเอาคนตัวเล็กกอดตอบแม่เต่าพลางซุกใบหน้าลงบนบ่าเล็กนั้น  น้ำตาแห่งความตื้นตันเอ่อล้นดวงตาทั้งสอง  ไม่รู้เต๋ามาพูดอะไรให้คุณแม่ฟัง แต่ตอนนี้คชารู้สึกอบอุ่นหัวใจจริงๆ

                “มีอะไรก็มาหาพ่อกับแม่ได้นะ”  พ่อต๋อยเอ่ยขึ้นบ้าง ตอนนั้นที่แม่เต่าผละจากคชาเพื่อให้อีกคนกอดต่อ

                คชารู้สึกเก้ๆ กังๆ เล็กน้อยเพราะค่อนข้างห่างเหินกับพ่อ เนื่องด้วยพ่อแท้ๆ ของตนหย่าขาดกับแม่และอาศัยอยู่อีกจังหวัดทำให้นานๆ จะเจอกันสักครั้ง  หากแต่เพราะความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทำให้คชาค่อยๆ กอดตอบคุณพ่อตรงหน้าเบาๆ

                “ขอบคุณครับ”  เขาตอบเท่านั้น สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ลูบศีรษะอย่างเอ็นดูก็ก้มหัวลงไปอีก  ก่อนจะค่อยๆ ผละออกเพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้เป็นเด็กขี้แยอีกหน

     

                หมดจากตรงนั้น ทั้งห้าคนขาดเพียงน้องเต๋อที่ติดซ้อมกีฬาที่โรงเรียน ก็พากันเข้าไปทานอาหารเย็นในวันนี้ที่โต๊ะอาหาร เต๋าที่เดินรั้งท้ายแอบยกมือขึ้นขยี้ศีรษะคนตัวเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู... รอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานทำให้เต๋าเริ่มหมดห่วง

    อาหารมื้อเย็นวันนี้เป็นสุกี้ที่ต้มกันสดๆ  หม้อไฟฟ้าถูกนำมาตั้งไว้ตรงกลางโต๊ะ  คชาเดินตามไปนั่งข้างๆ ลูกชายคนโตแล้วก็รับประทานพร้อมๆ กับสมาชิกครอบครัวเพียงพอที่มารวมตัวกันเกือบจะพร้อมหน้าในเย็นวันศุกร์

                “เอ้านี่”  เต๋าส่งชามคนตัวเล็กคืนหลังจากฉวยมันไปตักสุกี้ให้  เพราะคชานั่งไกลจากหม้อจึงตักเองไม่ถนัดเท่าที่ควร

                คชาพึมพำคำว่า “ขอบใจ” ข้างในลำคอ แต่นั่นไม่เบาพอที่จะทำให้คนข้างๆ ไม่ได้ยิน

                แม้จะรู้สึกหมดกังวลกับบรรยากาศที่ผ่อนคลาย หากแต่ลึกๆ ในใจคชายังมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนปะปนอยู่... พ่อกับแม่ของเต๋าดูแลเขาเหมือนกับเป็นลูกอีกคน แต่ถ้ารู้ว่าภายใต้คำว่า เพื่อนที่พูดบอกมันมีอะไรที่เกินกว่านั้นล่ะ

    ทว่าไม่ต้องมีคำพูดใด  สัมผัสอุ่นๆ ที่มือขวาก็ทำเอาคนตัวเล็กหมดกังวลภายในชั่วอึดใจ  ใต้โต๊ะอาหารราวกับล่วงรู้ความคิดนั้น... มือซ้ายของเต๋าเคลื่อนไปบีบมือขวาของคชาเบาๆ ราวกับจะบอกว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้

                คชาก้มหน้าทานอาหารซ่อนรอยยิ้มเขินๆ นั้นไว้  แอบเหลือบตามองคนข้างๆ ที่นั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็หันมากินข้าวต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาบ้าง แม้ในหัวใจจะกำลังพองโต

                แทบไม่รู้สึกเลยว่า ตอนนี้ตนเองลืมคำว่า เหงา ไปสนิทเลย

               

     


                “เป็นหวัดนิดหน่อยแม่... ไปตากฝนมา”

                “อืม... กินยาแล้ว โอเค เดี๋ยวชาจะรีบเข้านอน”

                “ครับแม่”  ร่างเล็กที่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสี่กดวางสายทั้งรอยยิ้ม มีความสุขที่ได้คุยโทรศัพท์กับแม่  ถึงจะนึกขำที่เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนตัวเองยังงอแงเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านอยู่เลย

                “ออกมาทำอะไรตรงนี้ ลมเย็นๆ เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก”  เสียงทุ้มที่เอ่ยจากด้านหลังทำเอาคนฟังหันควับไปมอง  คชาชูโทรศัพท์ในมือ  “โทรหาแม่”

                “เป็นไง คุยแล้วสบายใจไหม?”

                “อื้อ”

                “แล้วยังอยากกลับบ้านอยู่รึเปล่า?”

                “อยาก”  คำตอบของคชาทำเอาคนถามนิ่งไปสนิท  “แต่คงไม่ใช่ตอนนี้”  คชาพูดต่อพลางเปรยยิ้ม

                ไม่มีใครไม่อยากกลับบ้าน ทุกคนย่อมคิดถึงที่ที่ตนจากมาทั้งนั้น... แต่ตอนนี้ คชายังมีความสุขกับการอยู่ที่นี่

    คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเพราะใคร...

    รอยยิ้มกว้างๆ บนใบหน้าหวานทำเอาอีกฝ่ายโล่งใจไปได้เยอะ  นิ้วมือหนายกขึ้นเกลี่ยผมที่เริ่มยาวปรกใบหน้า จับมันทัดหูก่อนจะก้มลงประทับรอยจูบที่หน้าผากอีกครั้ง

    “ต่อไปถ้าคิดถึงบ้าน จำไว้ว่ายังมีบ้านนี้อยู่นะชา” 

    “อื้ม”  คชาพยักหน้าตอบอีกคน ยอมให้กุมมือข้างหนึ่งอย่างไม่ขัดขืน  ร่างเล็กเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง

    “ไปนอนได้แล้วมั้งคนป่วย” 

    “ไม่ป่วยซะหน่อย หายแล้ว”  คชาเอ่ยเสียงใส ถึงเขาจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสีฟ้าแล้วแต่ยังไม่นึกง่วงเลยสักนิด  “นอนมาทั้งวันแล้ว นี่ก็ยังไม่ดึกเลย หาอะไรทำกันเหอะ”

    เต๋าได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มเบาๆ  นึกถึงตอนเย็นที่ไปหาอีกฝ่ายที่ห้อง เจ้าตัวยังบอกว่า ยังไม่หายอยู่เลย สงสัยเพราะตอนนั้นจะอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆ 

    “แล้วจะทำอะไรล่ะ ตอนกลางคืน ในห้องนอนเนี่ย”  น้ำเสียงเรียบๆ เริ่มส่อแววขี้เล่นซุกซน  “อะไรน้า...ที่ทำกันในห้องนอนสองคน”

    “ทะลึ่ง”  คชาผละคนที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ออก ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล  “ไม่กลัว..เจ็บ..รึไง?”  ยังยืนยันประโยคเดิมแม้ว่าสภาพตอนนี้มันจะไม่เหมือนอย่างนั้นเลยก็ตาม  เขาอยู่ในชุดนอนสีฟ้าลายสก็อต ส่วนเต๋าใส่เสื้อกล้ามสีดำที่โชว์กล้ามแขนหนาๆ เกินกว่าที่คชาคิด

    แค่จินตนาการว่าจะผลักให้เต๋าล้มลงไปยังยากเลย... ไม่อยากจะนึก ถ้าเกิดว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริงๆ

    เขาคง....... เฮ้ย! ไม่เอาไม่คิด...

    “ชา...”  จังหวะนั้นที่เสียงเรียกใกล้ๆ ลำคอทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง... เขาคงเหม่อนานไปหน่อยจนไม่ทันรู้ตัว  “เต๋าอยากเข้าไปอยู่ในนั้นของชานะครับ”

    คำพูดชวนคิดลึกทำเอาคชาหน้าร้อนวูบวาบ ยิ่งลมหายใจที่เป่ารดจมูกยิ่งทำเอาคชาหัวใจเต้นแรง... อยากเข้าไปอยู่...ในนั้น...?

    แล้วมันในไหนล่ะวะ? นี่เต๋าทะลึ่งจริงๆ หรือเขาคิดไปเองกันแน่...

    แม้ในใจจะมีคำพูดต่อต้าน หากแต่ริมฝีปากที่ประทับจูบอ่อนหวานลงมาทำเอากลืนข้อความนั้นไปหมดสิ้น  มือข้างหนึ่งถูกกำประสานเอาไว้แน่น...

    จูบกัน...อีกแล้ว...

    แม่...คชาไม่ได้ใจง่ายนะ ชาโดนบังคับ

    ไม่ได้ยินยอมเลย...จริงๆ

    คชาส่งเสียงอื้ออึงในลำคอที่ถูกช่วงชิงลมหายใจออกมาจากอีกคน อารมณ์เริ่มเตลิดไปกับจินตนาการในหัวที่มากเกินความจำเป็น  ก่อนจะหอบหายใจถี่ๆ เมื่อริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ

    คชาประสานมองอีกคนตาแป๋ว... ก่อนที่สมองจะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ คำตอบก็ถูกเฉลยขึ้นเสียก่อนเมื่อมือข้างที่ถูกประสานไว้ถูกยกขึ้นมาแล้ววางลงบนตำแหน่งอกข้างซ้ายของเขา

    “ในนี้ของชา... ให้เต๋าเข้าไปอยู่ได้รึยัง?”  ถึงจะฟังดูน้ำเน่า แต่คชาก็เขินเกินกว่าจะขัดบรรยากาศนั้นลง  คนตัวเล็กหน้าร้อนอย่างที่ไม่คิดว่าจะเคยเป็นมาก่อน  การที่เต๋ามาพูดแบบนี้ใส่มันพาให้ใจสั่นซะยิ่งกว่าถูกจูบเสียอีก

    “ไม่ถามปีหน้าเลยล่ะ”  คชาตอบกลับ พยายามเสียงดังสู้ก่อนจะบ่นอุบอิบในลำคอ  “ทำขนาดนี้แล้วเพิ่งถาม”  ก็ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาเสียจูบไปกี่ครั้งแล้วล่ะ... ไม่อยากบอกเลยว่า ขนาดกับแฟนเก่า คชาเคยแค่แตะๆ ปากกันครั้งเดียวเอง แถมพอทำเสร็จแล้วเขายังขอโทษฝ่ายนั้นยกใหญ่เลย

    “ก็คชาน่ารัก”  คำพูดหวานเชื่อมนั้นทำเอาคชาต้องรีบพูดแก้เก้อ  “ต้องหล่อสิ”

    “ครับ...หล่อก็หล่อ”  เต๋าพูดแล้วก็ยกมือเกลี่ยผมอีกฝ่ายที่ลงมาปรกหน้าอีกครั้ง ยิ่งผมเริ่มยาวขึ้นแบบนี้ คชายิ่งเหมือนทอมกว่าตอนแรกเสียอีก  “คชาหล่อมากเลย”  หล่อจนเหมือนทอมแน่ะ...

    แม้เต๋าจะแกล้งพูดเอาใจ แต่คำพูดนั้นก็ทำให้อีกฝ่ายพอใจไม่น้อยเลยทีเดียว คนตัวเล็กแย้มยิ้มกว้าง นิ่งมองอีกคนอยู่นาน ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุขที่ทุกอย่างมาถึงตรงนี้

    ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนริมฝีปากไปประทับข้างแก้มอีกคนเบาๆ

    “วันนี้..ทำตัวน่ารัก.. ให้รางวัล”  เสียงใสเอ่ยกระท่อนกระแท่น ก่อนเจ้าตัวจะแสร้งนอนลงบนเตียงพลางดึงผ้าห่มมาปิดจนเห็นเพียงแค่ตาคู่เรียว  “นอนดีกว่า ปิดไฟด้วยล่ะ”  ว่าแล้วก็ตะแคงหันหน้าหนีไปซะอย่างนั้น

    เต๋ามองคนน่ารักภายใต้ผ้าห่มผืนหนาก็ยิ้มกว้าง... คำตอบของคำถาม คงไม่จำเป็นอีกต่อไป

    มาขนาดนี้...จะบอกว่าคชาไม่ให้เขาไปอยู่ในใจก็แย่เกินไปหน่อยแล้ว

    แต่มาหอมแก้มแล้วชิงมุดผ้าห่มหนีไปนี่สิ... มันน่า...นัก...

    คนตัวเล็กที่ยังนอนกระดุกกระดิกใต้ผ้าห่มนั้นทำเอาเต๋ายิ้มขำ... มือหนายกขึ้นลูบรางวัลที่ได้รับบนแก้มขาวแผ่วเบา  แม้ใจจริงจะอยากดึงคนแกล้งหลับขึ้นมาอะไรๆ ต่อ แต่เพราะความใสซื่อของเจ้าตัวนั่นแหละที่ย้อนมาเป็นเกราะกำบังที่เต๋าไม่กล้าทำร้ายได้ลง

    คชากลัวเต๋าเจ็บ... ครับ... เต๋าก็กลัวคชาเจ็บเหมือนกัน

    คนตัวโตที่ยังไม่คลายยิ้มลุกเดินไปปิดไฟเพื่อเข้านอน

    เรื่องความสัมพันธ์ทางกาย ไว้รอวันที่เราพร้อมก็คงไม่สาย... เพราะความสัมพันธ์ทางใจต่างหากที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน

    เต๋าล้มตัวลงนอนบนอีกฝั่งของเตียงที่เว้นไว้ ก่อนที่อ้อมแขนแกร่งดึงร่างเล็กไปกอดไว้หลวมๆ

    คชาแกล้งหลับได้... เต๋าก็แกล้งกอดได้เหมือนกัน

    “รักนะคะชา”

    แต่ประโยคสุดท้าย ไม่ได้แกล้งหรอกนะ...

     

     

     

     

     

    TBC


    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะค้า ใครคิดเห็นยังไงเม้นบอกได้นะ แม้บางความเห็นจะทำเราเฟลไปบ้างก็ตาม แต่ก็ดีใจที่บอกกันตรงๆ หลังไมค์มาที่ทวต.ก็ได้จ้า @rainbobow เผื่อไม่สะดวกเม้น

    ขอตอบคอมเม้นที่บอกว่าฟิคเราสาววววว อ่านๆไปเหมือนอ่านฟิคยูริ
    อ่านตอนแรกก็ตกใจและเฟล เป็นครั้งแรกที่เจอคอมเม้นที่วิจารณ์ตรงขนาดนี้  ก็ยอมรับว่ามีส่วนจริง แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วค่า อีกอย่าง เราเองก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้อะ ขอโทษด้วยนะถ้าแต่งไม่ถูกใจ จะพยายามปรับปรุงในเรื่องหน้า แต่อาจจะปรับปรุงไม่ได้เยอะเพราะเราก็ชอบแบบนี้   ส่วนที่บอกว่าคนแต่งต้องหญิงจ๋าแน่ๆ  คือถ้าเจอตัวจริงจะแบบ... 5555 ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดเลยค่า

    ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะค้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×