ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Ina]Judge Killer นักฆ่าผู้พิพากษา

    ลำดับตอนที่ #26 : >>Chapter 1 : Puzzle Girl

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 55




    Las mentes de las personas que ... No es diferente de las flores ... Las flores son como las personas, cada uno es diferente ... El espíritu de la variedad de flores diferentes ...



    จิตใจของคนเรา... ไม่ต่างไปจากดอกไม้... เพราะดอกไม้แต่ละชนิดก็เปรียบเหมือนคนแต่ละคน...  ที่มีจิตใจที่ต่างกันไปตามพันธุ์ของดอกไม้...




     

     

    By : Winsent Chaln

     

     

     

    Chapter 1 : Puzzle Girl

     

    นายน้อยขอครับ... วันนี้ช่วง 12.00 น. หลังกินข้าวเสร็จมีสัมมณาที่ญี่ปุ่น เมืองโตเกียวนะขอครับ”เสียงแก่ๆ ของวัยชราที่แต่งตัวเป็นพ่อบ้านสีดำทมิฬกล่าวบอกผมที่ตอนนี้กำลังนั่งจิบชาแดงต้นตำหรับของอังกฤษอย่างเบื่อหน่าย


    “เรื่องอะไรน่ะ เอสโซ่”ผมถามกลับไป


    “การกระชับมิตรขอรับ”เขาตอบผมอย่างสุภาพ


    เอสโซ่ คาเมกัส เป็นพ่อบ้านประจำตระกูลของผม... เขาเป็นผู้ชายร่างท้วม ๆ มีผมสีดำเทาแซมขาวตามวัยเจ้าของดวงตาเซี่ยงซึมสีครามดำ



    ผมเบื่อ... เบื่อเรื่องสัมมณาที่จะไปต่างหาก



    “อืม... เอสโซ่... ผมไม่อยากไป”ผมบ่นให้เขาฟัง


    “เป็นกระผม กระผมก็ไม่อยากให้ไปหรอกขอรับ... วัยอย่างนายน้อยเหมาะสมที่จะเรียนหนังสือมากกว่า”เอสโซ่เสนอขึ้นมาอย่างเห็นด้วย


    “ว่าแต่นายน้อยทำการบ้านเสร็จไหมขอรับ”


    “อืม... เหลือแต่งประโยคภาษาอิตาลีน่ะครับ”ผมตอบกลับไป


    “ให้กระผมช่วยไหมขอรับ”เอสโซ่เอ่ย


    “ไม่ต้องหรอก... ผมอยากทำเอง”ผมปฏิเสธ


    “ไม่รู้จริง ๆ ทำไมคุณท่านกับคุณหญิงถึง...”


    “พอ... ไม่อยากฟัง... ฝากเตรียมข้าวของด้วยนะครับ”ผมห้ามเอสโซ่แล้วลุกจากที่นั่งตรงระเบียงบ้านแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นทันที


    ผมหล่ะนะ...

     

     



    เบื่อพวกเขาที่สุด!


    น่ารำคาญ...


    เอาแต่ให้ทำงานนู้นทำนี่...


    ไม่สนใจว่าผมเป็นยังไง...


    แถมต้องการให้ผมเป็นในสิ่งที่พวกเขาต้องการ...


    เงินก็จนไม่รู้จะมียังไง...


    แต่เอาแต่บ้างานเอาเงิน...


    ไม่มีหรอก... เวลาที่จะมาแวะคุยลูกชายคนเดียวในตระกูลอย่างผม...


     

    ผมว่านะ...




    ไม่มีพ่อแม่เลยสักดีกว่า!

     

     


    อ๋อ!... ผมยังไม่ได้แนะนำตัวสินะ



    ผมชื่อลันเชียร์ รีนโอกัสเซอร์... หรืออีกชื่อ...   ฟุโดะ อากิโอะ...

     


    ว่าที่บอสของรีนโอกัสเซอร์แฟมิลี่ในอิตาลี กรุงโรม





    ..


    .



     

     

     

    ณ ประเทศญี่ปุ่น เมืองโตเกียว

     

    หลังจากที่ผมนั่งบนเครื่องบินส่วนตัวจากอิตาลีตอนนี้มันก็มาถึงที่ญี่ปุ่นแล้ว...

    เครื่องบินค่อย ๆ บินลงมาที่พื้นสนามบินและค่อย ๆ เคลื่อนตามพื้นและค่อย ๆ ลงจอดช้า ๆ


    เมื่อจอดสนิทประตูก็ถูกเปิดโดยเอสโซ่ที่นั่งข้าง ๆ ผม ผมจึงกล่าวขอบคุณเบา ๆแล้วค่อย ๆ เดินออกจากประตูแล้วเอาแว่นกันแดดมาสวมและกวาดตามองก็ผมผู้คนสวมชุดสูทสีดำสวมแว่นกันแดดสีดำทมิฬ ซึ่งผมก็แอบสงสัยว่าพวกเขามองเห็นกันหรือป่าวนะ - -;


    ตอนนั้นเองก็มีร่างผู้ชายผมสีแดงซอยสั้นตรงปรกบ่าในชุดสูทสีดำเช่นกันสวมแว่นกันแดดเช่นกันเดินขึ้นบันไดมาหาผมและจับมือผมตามธรรมเนียมสากล


    “สวัสดีครับ คุณฟุโดะ”เขาทักผมเป็นภาษาอิตาลี


    “อืม”ผมตอบไร้หางเสียง


    “สวัสดีครับ คุณเอสโซ่”ตอนนั้นเองเจ้านั่นก็ทักเอสโซ่ที่ตามผมด้วยเช่นกัน


    “โอ้... สวัสดี ริชาร์ด... นายน้อยขอรับ... นี่คุณริชาร์ด เวสกัส บอสไซคลาเมนแฟมิลี่ที่อิตาลี เมืองเวนิสขอรับ”เอสโซ่แนะนำคนตรงหน้าผมให้ดู


    “อืม... ยินดีที่ได้รู้จัก ริชาร์ด”ผมตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์


    “เอ่อ... นายน้อย”


    “ทำไมหรอ? เอสโซ่”ผมถามกลับไป


    “ปะ... ป่าวขอรับ...”


    “(หัวเราะ)ชั่งเถอะ แต่ว่าคุณฟุโดะก็เป็นเด็กที่น่ารักดีนะ”ริชาร์ดออกปากชมผม


    ผมจึงเหล่มองไปทางกระจกของสนามบินซึ่งสะท้อนให้เห็นร่างของผมซึ่งเป็นร่างผู้ชายผมสีน้ำตาลซอยสั้นหยักศกและกำลังสวมชุดสูทสีดำแบบเด็กและมีดวงตาสีเขียวดั่งมรกตเรียวคมโต... นั่นแหล่ะ...ตัวผม - -


    “คงไม่ได้ชมผมเพื่อประจบผมหรอกนะ”


    “นะ... นายน้อย = =;;;”เอสโซ่ร้องห้ามผมอย่างเสียงหลง


    “(หัวเราะ)ไม่เป็นไรหรอก... พ่อกับแม่คงหาเวลาว่างไม่ได้สินะ”ว่าแล้วเขาก็มองผมอย่างร่าเริง... แต่นั่นมันทำให้ผมหงุดหงิด - -+


    “พูดเหมือนรู้ดีจังนะ”ผมแซวอย่างโกรธเคือง


    “แหม... ไม่เอาน่า... เมื่อก่อนผมก็เป็นเหมือนกับคุณฟุโดะนั่นแหล่ะ”ริชาร์ดเอ่ยก่อนจะเดินพาผมไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่


    “จะว่าไปผมก็มีว่าที่บอสของแฟมิลี่อายุเท่า ๆ กับคุณฟุโดะแหล่ะนะ”หลังจากเงียบสักพักริชาร์ดก็เริ่มชวนผมคุย


    “อืม”


    “ชื่อ ฟิดิโอ้ อัลเดล่า เป็นลูกชายของน้องสาวของผม สีผมเหมือนคุณเลยนะ”พูดเสร็จเขาก็เอารูปจากกระเป๋าสตางค์มาให้ผมดู



    คนในรูปเป็นเด็กผู้ชายวัยประมาณผมในชุดพื้นเมืองของอิตาลีเจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มและยาวสั้นต้นคอและซอยผมเล็กน้อย  ถือว่าหน้าตาดูดีใช่ได้


    “น่ารักใช่ไหมหล่ะ : )


    “อืม... ดูท่าทางนายจะเอ็นดูเขามากเลยนะ”ผมถามออกไปอย่างสงสัย


    “มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว... ก็แฟนน้องสาวผมที่เป็นนาวาเอกได้รับอุบัติเหตุทางเรือ... ผมเลยต้องมาเป็นพ่อคนที่สองให้เขาน่ะ”สิ้นเสียงริชาร์ด ผมก็ชายตามองมาทางริชาร์ดก็เห็นได้ว่าเขายิ้มอย่างปราบปลื้มกับรูปหลานชายของเขาก่อนจะเก็บลงไปอย่างขมขื่นเล็กน้อย ขนาดเขา... ไมใช่พ่อแท้ ๆ กลับใส่ใจอย่างนี้ ทำไมคนเป็นพ่อแท้ ๆ ไม่สนใจเขาเหมือนคนตรงหน้าบ้าง ผมคิด


    “ใกล้ถึงแล้ว... วันนี้คงถกเถียงเรื่องน่าเบื่อตามเคยแหล่ะ จะหลับก็ได้นะ”พูดเสร็จเขาก็เปิดประตูให้ผมเข้าไปในห้องประชุมซึ่งพอผมเข้าไป ผู้คนที่อยู่ในห้องประชุมก็ต่างกันยืนเคารพผมก่อนจะนั่งลงที่เดิมของตัวเองหลังจากที่ผมนั่งที่ของผมเรียบร้อยแล้ว


    และแล้วก็เริ่มเจรจาทันที

     

     


    It's all in the Vomido family should be the number one best ally. (ผมว่ากลุ่มวอมิโด้ แฟมิลี่ ควรจะอยู่ในตำแหน่งพันธมิตรเบอร์ 1 ได้ดีที่สุด)”คน ๆ หนึ่งเริ่มเสนอออกมาเป็นภาษาอังกฤษ


    Here you favor a new procedure?? It must be Kumon family! (นี่คุณเข้าข้างตัวเองนี่หน่า!!? ต้องเป็นคูมอง แฟมิลี่สิ!)”คนหนึ่งเถียงกลับไปเช่นกัน


    Must be Mamiya Family!!!!(ต้องเป็นมามิยะ แฟมิลี่สิ!!!)”


    Must be Christal Parade!!!! More appropriate!!!(ต้องเป็นคริสตัล พาเหรดสิ!!! เหมาะสมกว่า!!)”


    Our family! (แฟมิลี่เราต่างหาก!!!)”


    Hey Calmly, I guess ... I asked the president better. (เฮ้ ๆ ใจเย็น ๆ ผมว่านะ... ถามประธานดีกว่าไหม)”ตอนนั้นเองริชาร์ดก็เสนอขึ้นมาก่อนจะหันมามองผมซึ่งกำลังทำหน้าเหนื่อยหน่ายเตรียมพร้อมหลับคาโต๊ะเรียบร้อย - -;  จะหลับแล้วเชียว ผมคิด


    Hm...? If the Allies had already said New ... What else do you want to be. (หืม...? ถ้าพันธมิตรพวกนายก็เป็นกันอยู่แล้วนิ... ยังจะเอาอะไรอีก)”ผมถามไปอย่างเหนื่อยหน่าย


    But your partner is 10 and my family. It's time to sort it. (แต่พันธมิตรของคุณฟุโดะมีตั้ง 10 แฟมิลี่แล้วนะครับ ได้เวลาเรียงลำดับแล้วนะครับ)”ผู้ชายที่เป็นบอสของคริลตัลพาเหรดแฟมิลี่ทักขึ้นมา



    อืม... มันก็จริงพันธมิตรของผมตอนนี้ นอกจากไซคลาเมน แฟมิลี่ของริชาร์ดในอิตาลีก็ยังมีวอมิโด้ แฟมิลี่ในสเปน คูมอง แฟมิลี่กับมามิยะ แฟมิลี่ ในญี่ปุ่น บลาเบฟลอ แฟมิลี่ในฝรั่งเศส โซลมาร์ แฟมิลี่ในสหรัฐอเมริกา ยูริบา แฟมิลี่ในอิตาลี และไวโอเล็ต แฟมิลี่กับคริสตัล พาเหรด แฟมิลี่ในอังกฤษ


    If it breaks then it is not ... I do not like to divide it bourgeois complicated headache ... But we have to help each other services. Family is the only country where it is made well. But must be coordinated with the international. (ถ้าจะแบ่งเป็นอันดับก็ได้หรอกนะ... ฉันไม่ชอบมาแบ่งแยกชนชั้นให้มันยุ่งยากปวดหัว... แต่พวกเราจะต้องช่วยกันบริการกัน แฟมิลี่ไหนอยู่ประเทศเดี๋ยวกันก็ทำด้วยกัน แต่จะต้องมีการประสานงานระหว่างประเทศด้วยนะ)”ผมเสนอออกไปซึ่งหลายคนก็พยักหน้าและปรึกษาด้วยเสียงกระซิบด้วยความเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่


    United States, Japan and the UK work together in all five Family Housing or so. (สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กับ อังกฤษ ทำงานด้วยกันโอเคหรือป่าว ทั้ง 5 แฟมิลี่)”ผมตะโกนถามไป


    Yes(ได้ครับ/ค่ะ)”ทั้ง 5 ตอบกลับด้วยความยินดี


    Italy, France, Spain, working together. (อิตาลี ฝรั่งเศสและสเปนทำงานด้วยกัน)”


    ¿Qué? / Qu'est-ce? (อะไรนะ!!!?)/(อะไร!!!?)”กลุ่มตัวแทนฝรั่งเศสกับสเปนสบถภาษาของตัวเองอย่างตะลึงจนหูผมเกือบสะเทือนและอาจจะหูหนวดได้... ดังจริง ๆ ผมบ่นในใจ


    I do not agree with what this country really low. (ผมไม่ทำกับไอ้ประเทศต่ำซ้านี้หรอก)”บอสของบลาเบฟลอ แฟมิลี่พูดออกมาอย่างรังเกลียดทันที


    I think I want to do with the social nobility began to wane as you or not? (แล้วคิดว่าผมอยากจะทำกับประเทศไฮโซที่สังคมเริ่มเสื่อมโทรมอย่างคุณหรือไง?)”บอสของวอมิโด้ แฟมิลี่ก็เถียงกลับไปอีก


    You!!!?(แก!!!?)”


    Then you do or not. (แล้วจะทำหรือป่าวหล่ะ)”


    Boss!!!!!!!(บอส!!!!!)”ทั้งคู่ตะโกนและหันมาทางผมอย่างไม่พอใจ


    It is common that the country is close to France and Spain, plus a good friend for a long time. You do not have anything against it. (ที่ให้ร่วมกันเพราะเห็นว่าประเทศอยู่ใกล้ ๆ กัน แถมฝรั่งเศสกับสเปนก็เป็นมิตรที่ดีกันมานานแล้ว คงไม่มีคัดค้านอะไรนะ)”ผมถามกลับไปซึ่งทั้งสองก็เงียบและค่อย ๆ ยอมรับอย่างว่าง่าย


    I had to do eh ... (งั้นก็ต่อเลยแล้วกันนะ...)”หลังจากนั้นผมก็เล่าไปเลื่อยๆ จนทุกอย่างลงตัวและจบการประชุมอันแสนน่าเบื่อเสียที


    “ฉันอยากเที่ยว”ผมบ่นขึ้นมาเป็นภาษาอิตาลี่หลังจากที่ออกมาจากห้องประชุมสักพักแล้ว


    “แต่มะรืนนี้นายน้อยจะต้องเรียนหนังสือแล้วนะขอรับ... เดี๋ยวจะเหนื่อย”เอสโซ่กล่าวกับผมอย่างขอร้อง


    “ไม่หรอก... ชินแล้ว... อยากเล่นบ้าง”ผมอธิบายไป


    “งั้นผมไปด้วยนะขอรับ”เอสโซ่กล่าว


    “โอเค”


    “งั้นผมพาเที่ยวเอาไหมครับ : )”ริชาร์ดเสนอตัวก่อนจะนำทางไปโดยไม่รอคำตอบจากผมเลย  เยี่ยมจริง ๆ ผมคิดแล้วเดินตามไป


     


    18.00. ณ วัดโอกามิ


    “ที่นี่คือวัดโอกามิ... ที่นี่กำลังจัดนิทรรศการเทศกาลทานาบาตะของญี่ปุ่นพอดี... กว่าจะมาจัดมาก็ปีละหน”ริชาร์ดอธิบายก่อนที่ผมจะกลาดตามมองบรรยากาศรอบ ๆที่มีทั้งโคมไฟที่มีลวดลายต่าง ๆ ตามต้นไผ่ที่เอามาจัดซึ่งตามต้นไผ่มีกระดาษสีสันสดใสเต็มไปหมดซึ่งเข้ากับงานได้อย่างดี


    “นี่! ริชาร์ด”


    “อะไรครับ ^^


    “ทำไมฉันต้องใส่ชุดนี้ - -;”ผมถามพร้อมกับมองชุดของตัวเองซึ่งเหมือนชุดอาบน้ำสีเลือดนกประดับลวดลายเปลวไฟสีแดงส้มซึ่งโคตาระโมเอะเท่าที่ผมเคยได้ใส่มา... ชุดญี่ปุ่นนี่แหล่ะ ที่มันทำให้ผมรู้สึกโมเอะขึ้นก็วันนี้ - -;  ผมบ่นในใจ


    “มันเป็นธรรมเนียมที่เวลามาเทศกาลต้องใส่ชุดกิโมโนครับ”ริชาร์ดอธิบายก่อนจะให้ผมดูริชาร์ด เอสโซ่และคนอื่น ๆ ใส้ชุดที่คล้ายคลึงกัน... ของริชาร์ดเป็นกิโมโนลายสีขาวเส้นเล็ก ๆ ดูขรึมและเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก ส่วนเอสโซ่ใส่กิโมโนสีเทาไร้ลวดลายเหมาะสมวัยหน่อย ก็ฉันไม่ชอบนี่หน่า... มันทำให้โมเอะแล้วฉันไม่ชอบ ผมบ่นในใจ


    “ใส่แล้วหล่อดีนะ”ริชาร์ดชมก่อนจะเอากระจกมาส่องตัวผมให้ผมดู... แต่มันไม่ได้ทำให้ผมดีใจหรือชอบใจสักนิด - -;


    “นายน้อยขอรับ... ชอบหรือป่าวขอรับ”เอสโซ่ถามอย่างรู้ทัน


    “ก็... ชอบแหล่ะ... นี่ๆๆๆ! ฉันอยากเล่นไอ้นั่นน่ะ”ผมบอกพร้อมกับชี้ไปตรงคนที่กำลังถือปืนและกำลังเล็งเป้าซึ่งมันคือของเล่นวางตามที่ต่าง ๆ


    “เกมส์ยิงเป้าหรอ?”ริชาร์ดพึมพำอยู่คนเดียว


    “โอเคขอรับ”เอสโซ่กล่าว


    “งั้นผมเล่นด้วยนะ”ริชาร์ดเสนอตัวทันที


    “ไม่ต้อง ๆ ฉันอยากลงฝึกฝีมือก็เท่านั้น”ผมห้ามริชาร์ดแล้วเดินไปที่ร้านจ่ายเงิน(ซึ่งแลกเป็นเงินเยนแล้ว)แล้วรับกระวุนมาใส่ในปืน  ฮึ่ม... ปืนนี้มัน... ถ้าต่อให้เล็งตรงมันก็จะเอียงไปทางซ้ายเพราะตัวลำกล้องมันมีเบิดเบี้ยวเล็กน้อย... แสดงว่าปืนนี้ของเก๋แน่นอน ผมคิดพิจารณาอย่างรู้ทันแล้วเริ่มยิงทันที   ว่าแต่จะเอาอะไรดีนะ ผมคิด


    งั้นเอาให้หมดเลยแล้วกัน

     

     




    ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  


    เคร่งๆๆๆๆๆๆ





    =[       ]=;;<<<หน้าคนขาย


    “ผมเอาหมดเลยนะครับ”ว่าแล้วผมก็เดินไปหยิบใส่ถุงของทางร้านแล้วลากมันและส่งให้กับเอสโซ่ทันที


    “มีฝีมือนิครับ”ริชาร์ดชม


    “แถมพัฒนาขึ้นด้วยนะขอรับ”เอสซ่ชมผมต่ออีกคน


    “แน่อยู่แล้ว”ผมหัวเราะในลำคอแล้วเดินออกห่างทั้งคู่อย่างรวดเร็วทันที ผมลองแอบเหล่ตามองเล็กน้อยซึ่งเอสโซ่เข้าใจดีแล้วเดินจากไป แต่ริชาร์ด(ผู้ไม่รู้ความต้องการของผม)รีบเดินมาอย่างเป็นห่วง


    “นี่ๆๆ! คุณฟุโดะ... เดินอย่างนี้เดี๋ยวหลงทางนะครับ”ริชาร์ดเตือนผมอย่างเป็นห่วง


    “ถึงตอนนั้นค่อยเจอกันที่สถานนีตำรวจแล้วกันนะครับ”พูดเสร็จผมห็เดินเลี้ยวไปทางตึกแล้ววิ่งไปมาวนอยู่ในซอกตึกก่อนจะออกมาแล้ววิ่งออกห่างออกไปเล็กน้อยแล้วหยุดการวิ่งทันที(เลวมาก! เด็ก ๆ อย่าทำตามนะ : ผู้แต่ง)


    หลังจากที่พ้นจากริชาร์ดแล้วผมก็เดินตามทางไปเรื่อย ๆอย่างสบายอารมณ์... อยู่แบบนี้มัยดีกว่าจริง ๆ นั่นแหล่ะ(ถะ...ถ้ามีกลุ่มจับเด็กขึ้นมาจะทำยังไง!!? = =;;; : ผู้แต่ง)ก็... ถึงตอนนั้นตัวใครตัวมันแล้วกัน - -;

     


    Hajimaru yo KIMI to BOKU o

    (มันได้เริ่มขึ้นแล้วนะ)


    Tsunagu tobira NOKKU sureba

    (หากเคาะประตูที่เชื่อมโยงเธอกับฉันไว้ด้วยกัน)

    Donna mirai ga bokura o matte iru no

    (อนาคตเช่นใดกันที่จะรอคอยพวกเราอยู่?)

    Otona ga sou motomeru no wa

    (ใช่แล้ว สิ่งที่พวกผู้ใหญ่ต่างต้องการนั้น)


    kanpekina SUTAIRU

    (คือรูปแบบที่สมบูรณ์พร้อม)

    Itsuka haguruma no you nim

    (เหมือนกับฟันเฟืองที่ในสักวัน)


    Subete ga kasanaru you ni…

    (ทุกสิ่งจะหมุนซ้อนลงกันได้พอดี)

     



    ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องเพลงขึ้นมา... มันเป็นเพลงที่ให้ผมรู้สึกกินใจจนน่าประหลาดเสียงของคนร้องก็ไพเราะจนผมอยากฟังทั้งวัน ผมจึงตัดสินใจเดินตามหาต้นเสียงของเพลงนี้ไปเรื่อย ๆ และคนร้องก็ยังงร้องต่อไปเรื่อย ๆ

     

    KAMISAMA iru nara kiite yo

    (พระเจ้า หากท่านมีจริงโปรดช่วยฟังฉันที)
     

    Itsu itsu made mo kono shunkan

    (ไม่ว่าจนถึงเมื่อใดก็ตามที)

    RIPIITO dekinai mainichi o

    (ท่านต้องคอยมองส่ง)
     

    Miokuranakucha
    (ช่วงเวลานี้ซึ่งเป็นแต่ละวันที่ไม่อาจห้วนย้อนคืนมาได้อีกนะ)

     

    Dakara ato mou sukoshi dakette

    (ดังนั้นอีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น)
     

    Kodomo de itai

    (อยากที่จะเป็นเด็กต่อไปอย่างนี้)
     

    BOYS & GIRLS ga nannin mo
    (เหล่า BOYS & GIRLS ไม่รู้กี่เท่าใด)

     

    Kono yo ni kakure hisonde wa yume o miteiru

    (ที่หลบซ่อนอยู่ทั่วโลกใบนี้นั้นกำลังมองดูความฝันอยู่)
     

    Tte iu SUTOORII…

    (และนี่ก็เป็นเรื่องราวเช่นนั้นเอง)
     

     

    ตอนนั้งเอง... ผมเดินมาเรื่อย ๆ จนพบกับผู้หญิงผมสีฟ้ามัดผมแกะทั้งสองข้างซึ่งหางแกะนั้นเป็นลอน ๆ คล้าย ๆ กับสปิงและผมของเธอนั้นก็มีบางส่วนปิดตาข้างซ้ายของเธอไว้เหลือไว้เพียงดวงตาสีน้ำตาลเรียวคมดั่งกับสีโกเมนข้างขวาที่กำลังจับจ้องอูคูเรเร่ที่เธอกำลังนั่งเดินอยู่ตรงม้านั่งสีน้ำตาลเข้มซึ่งเธอสวมชุดกิโมโนสีน้ำเงินเข้มลายดอกไม้สีชมพู... เพียงเท่านั้นผมก็เผลอใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก

     

    Yuuyami ni kieteiku kyou wa

    (วันนี้ที่จะหายลับไปพร้อมกับความมืดของราตรี)
     

    Ittai nani o nokoshi te iku no
    (จะหลงเหลือไว้ซึ่งสิ่งใดกัน?)

     

    Chikazuitekuru kimi no tashikana ashioto
    (ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอใกล้เข้ามาอย่างแจ่มชัด)

     

    Takusan no hibi dakishimetara

    (หากโอบกอดเอาวันเวลามากมายไว้)


    Yoru no sora mo waruku wa nai
    (ท้องฟ้ายามค่ำคืนเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร)

     

    Hoshi ga kagayaku zekkou no haikei de…
    (ดวงดาวเองก็ส่องประกายด้วยทิวทัศน์ที่สมบูรณ์แบบอยู่)

     

    ทั้งใบหน้ารูปไข่เรียวสีแทนถูกปัดแก้มให้ออกสีชมพูอ่อนเป็นประกาย ริมฝีปากอิ่มได้รูปที่แต้มด้วยลิบมันกากเพชรเล็กน้อย รอยยิ้มที่เธอยิ้มขณะร้องเพลงและเสียงที่เปล่งออกมานั้น ใจของผมยิ่งเต้นกว่าเก่า

    KAMISAMA HAPPY SONG kiite yo

    (พระเจ้า โปรดจงฟัง HAPPY SONG )
     

    Eikyuu hozonban no REKOODINGU
    (ที่บันทึกไว้เพื่อเก็บเอาไว้ชั่วนิรันดร์นี้)

     

    TAKE 1, 2,,, FOR YOU!

    (TAKE 1, 2,,, FOR YOU!)


    Koe takaraka ni utatteitai yo
    (ฉันอยากที่จะร้องให้เต็มเสียงเลยนะ)

     

    Ima wa ato mou sukoshi dakette

    (ถึงตอนนี้จะเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิด)
     

    Awai omoi ni

    (พร้อมกับที่ในความคิดอันเบาบาง)
     

    Ushiro kami hikarenagara

    (มีบางสิ่งที่ยังค้างคา)
     

    Nagareru hibi o onkai he LaLa

    (เรามาขับร้องท่วงทำนอง LaLa)
     

    MERODI narasou

    (ผ่านช่วงวันเวลาที่ผันผ่านไปสู่บันไดเสียงกัน)

     

    ทั้งการดีด... การร้อง... มันเข้าขากันได้อย่างดี... ผมว่าผมได้ดูนักดนตรีแบบนี้หลายคนในอิตาลีแล้วนะ... แต่ไม่มีใครสู้คนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ได้แม้แต่คนเดียว

     

    BLACK OR WHITE kono sekai ni

    (บนโลกใบนี้ที่มีเพียง BLACK OR WHITE)
     

    Itotsu hitotsu imi o

    (โปรดจงกำหนดความหมาย)
     

    Ataete PAINT MY LIFE

    (ของแต่ละสิ่งแต่ละอย่างให้ฉันที PAINT MY LIFE)
     

    3D GUREE no aimaisa wa NASHI sa
    (โดยไร้ซึ่งความคลุมเครือของ 3D GRAY)

     

    Otona no itsumo

    (เพราะนั่นเป็นคำต่อว่าที่พวกผู้ใหญ่นั้น)
     

    Kimari monku nandakara

    (มักจะตัดสินกันไว้แล้ว)
     

     

    ตอนนั้นเองคนที่อยู่ก่อนหน้าผมค่อย ๆ เดินมาและวางเหรียญใส่ในตะกร้าขนาดเล็ก ๆที่วางไว้ตอนแรกซึ่งถือว่ามีเยอะจนเกือบหล่นตะกร้าทีเดียว

     

    KAMISAMA iru nara kiite yo

    (พระเจ้า หากท่านมีจริงโปรดช่วยฟังฉันที)
     

    Itsu itsumademo kono shunkan
    (ไม่ว่าจนถึงเมื่อใดก็ตามที)

     

    RIPIITO dekinai mainichi o

    (ท่านต้องคอยมองส่ง)
     

    Miokuranakucha
    (ช่วงเวลานี้ซึ่งเป็นแต่ละวันที่ไม่อาจห้วนย้อนคืนมาได้อีกนะ)

     

    Dakara ato mou sukoshi dakette kodomo de itai

    (ดังนั้นอีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น)
     

    PIITAA PAN no tame ni

    (เพื่อปีเตอร์แพนแล้ว)
     

    MOONINGu mata mezametara kono sekai o

    (อยากที่จะเป็นเด็กต่อไปอย่างนี้)
     

    Terashi

    (หากในยามเช้าได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว)
     

    Te ne ALL RIGHT?

    (โลกนี้คงจะเปล่งประกายอยู่ใช่ไหม ALL RIGHT?)


    เมื่อเธฮร้องจบเพลงคนที่ยังยืนอยู่พร้อมใจกันปรบมือให้(รวมถึงผมด้วยแหล่ะ)และยื่นถุงมาให้อีกมากมายก่อนคนจะจางลงทำให้ผมสามารถมองเห็นเธอได้ชัดขึ้น... ตอนนี้เธอกำลังเก็บข้าวและกำลังจะเดินออกไป


    ダニーデン...今!(ดะ... เดี๋ยว!!)”ผมเรียกเธอไว้เป็นภาษาญี่ปุ่น


    私は?(คะ?)”อา... เสียงเธอตอนพูดน่ารักจังเลย... ผมคิด


    えー... (เออ...)”ว่าแต่เราจะพูดอะไรดีเนี่ย - -;;;


    (笑)あなたはチロル旅行です。((หัวเราะ)คุณเป็นนักท่องเที่ยวสินะ)”เธอถามผม


    あなたは知っていますか?(คุณรู้ได้ไง?)”ผมถามอย่างสงสัย


    それのイタリア訛りあなたから。(สำเนียงคุณออกไปทางอิตาลีน่ะ)”


    私はこれであなたを残して?(คุณฟังออกด้วยหรอ?)”ผมถามอย่างประหลาดใจ


    私はそれが出てだと思う。(ก็พอเดาออก)”เธอตอบก่อนยิ้มให้


    ああ...私の名前はアランシアーズので、彼女はしなかった。(อ๋อ... ฉันชื่อลันเซียร์นะ เธอหล่ะ)”ผมบอกอีกชื่อนึงให้เธอรู้(ส่วนใหญ่เขาจะรู้จักผมในชื่อฟุโดะ - -;)


    ええと...あなたブルース^ ^(เออ... บลูค่ะ ^^)”เธอพูดก่อนจะจับมือทักทายกับผมเป็นธรรมเนียม... มือนิ่มจัง ผมคิด


    です...私はそれを返すために持っている...私には。(คือ... ฉันต้องรีบกลับแล้ว... ไปแล้วนะ)”


    ヘイ!そう。(เฮ้!!! เดี๋ยวสิ)”ผมรีบยืนรั้งเธอไว้อย่างรวดเร็ว


    ...それは私ですか?(มีอะไร... หรือป่าวคะ?)”เธอถามผมพร้อมเอียงคออย่างสงสัย  อา...../////////


    彼女はあるので...良い。(คือ... เธอร้องเพราะดีนะ)”ผมตอบปอย่างเขินอาย


    うーん?私を訪問していただきありがとうございます。(หืม?  ขอบใจที่ชมนะ)”เธอพูดแล้วยิ้มให้ผม... อา.... น่ารักเกินไปแล้ว////////


    (อะ)”ผมยื่นถุงเงินให้เธอ


    何も。(?อะไร)”


    私が聴く音楽!はい、これは...私を維持するために。(ค่าฟังเพลงไง!!!! คือ... ต้องเก็บใช่ไหมหล่ะ)”ผมพูดย่างตะกุกตะกักอย่างประหม่าพร้อมหลบสายตาของเธอที่มองมาทางผมด้วย


    うーん...ありがとうございました。(อืม... ขอบคุณนะ)”ว่าแล้วเธอก็รับไว้แล้วเก็บรวมของตะกร้าของเธอทันที


    しかし、これはただ両親や何ではないか(ว่าแต่ตัวแค่นี้ไม่มากับพ่อแม่หรือไง?)”



    ฉึก!



    ชั่งเป็นคำถามที่ทิ่มแทงใจมาก ๆ ผมคิด  แล้วจะตอบยังไงดีเนี่ย


    ホテルは...この辺りの両親。(คือ... โรงแรมที่อยู่กับพ่อแม่อยู่แถวนี้น่ะ)”ผมโกหกไป


    私はそれが好きです。(อย่างนั้นหรอ)”


    うん。(อื้ม)”และผมกับบลูก็เงียบไปสักพัก


    A…(คือ...)”


    私はアラン·シアーズと思う? (มีอะไรหรอลันเซียร์?)”อา... เธอเรียกชื่ผมด้วย... น่ารัก -w-/// ผมคิดในใจ


    です...私はここにしたいのですが、私は最初はわからない。彼女は私を導く助けた?(คือ... ฉันอยากเที่ยวที่นี่แต่พึ่งมาครั้งแรกเลยไม่ค่อยรู้นะ เธอช่วยนำทางได้ไหม?)”สิ้นประโยคบลูก็อึ้งก่อนจะทำหน้าเศร้าทันที


    それはあんまり... (ไม่ได้หรอ...)”ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย... เพราะเธอดูลำบากใจมาก ๆ เลย... แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอเสียใจ... และมาอยากให้เธอจากไป... จะทำ... ยังไงดี... เราน่ะ...


    A…(คือ...)”ในวินาทีนั้นผมเตรียมใตรับคำตอบจากเธอแล้ว...

     

     


    それを投げる...3(ไม่เกิน... สามทุ่มนะ)”หูฟาด!!!?


    本当!?(จริงนะ!!!?)”ผมถามอย่างดีใจ


    うん^^ B(^^b  อื้ม)”เธอยิ้มและชูนิ้วโป้งให้ว่าใช่ ผมแทบหยุดยิ้มไม่ได้และกอดเธอพักหนึ่งแล้วให้เธอเดินจูงผมนำทางไป


    ขณะที่เดินในเทศกาลนี้นั้นผมไม่เคยรู้สึกเท่านี้มาก่อน... ทั้งซื้อขนมทานกัน ซื้องของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ  เล่นเกมส์กันและพูดคุยกับเธอนั้น... เธอเปรียบดหมือนคนมอบความหวังเล็ก ๆ ให้กับตัวผม  เธอคือคนที่ผม... เริ่มหลงรักเสียแล้ว

     




    ブルース...私はこの日の彼らはとても楽しいが大好きです。(บลู... ขอบคุณที่พาเที่ยวนะ วันนี้สนุกมาก ๆ เลย)”ผมกล่าวขอบคุณอย่างเขินอาย


    どう致しまして。(ไม่เป็นไรหรอก)”เธอพูดพร้อมกับจูงมือผมต่อไป


    ブルース(บลู...)”ผมเรียกเธอแผ่วเบา


    これは何だ?(มีอะไรหรอ?)”เธอถาม


    私は与える。(ฉันให้)”พูดเสร็จผมก็ให้กำไลลายดวงจันทร์ที่คุณปู่ให้ผมก่อนจะเสียไปไม่นานให้เธอ


    ブレスレット?なぜ私がやった。(กำไล? ทำไมให้ฉันหล่ะ)”เธอถาม


    私は彼女に小切手を与え、彼女は私のガールフレンドです。(ฉันให้เธอแทนคำขอเธอเป็นแฟนไง)”ผมพูดก่อนจะใส่กำไลให้เธอซึ่งเธอก็ตกใจและหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก(ผมก็แอบเขินเหมือนกันนะ - -///)


    それは私がファンだっただけにしました。(อายุแค่นี้จะนับเป็นแฟนแล้วหรอ)”



    ฉึก!



    ทำไมเธอเป็นคนพูดเจ็บอย่างนี้ บลู =[   ]=;; ผมบ่นในใจ


    彼はその前に本を呼ば...だから...私も1ファンを持っていない。(เขาเรียกว่าจองตัวไว้ก่อนไง... เพราะฉะนั้น... เธอห้ามมีแฟนแม้แต่คนเดียว)”ผมสั่งเธอ


    そうです、私は、私が夫を持っていることが示されている。- -(งั้นแสดงว่าฉันมีสามีได้ใช่มะ - -)”



    ฉึก!



    เจ็บอีกแล้ว =[    ]=;;;


    彼氏や夫がそこにはありません!理解しています。(ทั้งแฟนหรือสามีก็ห้ามมี! เข้าใจไหม - -^)”ผมสั่งอีกรอบแกมเขินอาย


    うーん.../ / /(เอ่อ...///)”สรุปก็อายทั้งคู่หล่ะนะ -0-///


    ありがとう。(ขอบคุณนะ)”อา... น่ารัก -w-///


    豊富に(อื้อ)”


    3番目と...私はそれのために行きました。(สามทุ่มแล้ว... ฉันไปหล่ะ)”เธอพูดพร้อมโบกมือให้แล้วตั้งท่าจะเดินออกไป


    今すぐ!その後、我々はお互いを参照するか、しないのだろうか?(เดี๋ยว!!! แล้วเราจะเจอกันอีกหรือป่าว???)”ผมตกใจและรั้งเธอไว้


    私は知らない...私は約束します。(ไม่รู้สิ... งั้นมาสัญญากัน)”เธอพูดพร้อมกับชูนิ้วก้อยขึ้นมาแล้วจับมือของผมขึ้นมาแล้วให้มาเกี่ยวก้อยกัน


    覚えて...私は馬の束を作った...それは長いとよくある。(เพื่อให้จำกันได้... ฉันจะทำผมแบบมัดหางม้า... และจะให้มันยาว ๆ ด้วย)”เธอพูดพร้อมกับยิ้มให้


    彼女は短い髪で言った。(พูดอย่างกับว่าเธอจะไปตัดผมสั้น)”ผมถาม


    私は...私はすでに述べた。(ก็... นะ แล้วนายหล่ะ)”เธอถามผมกลับบ้าง


    だから...私はヒースでスキー。(งั้น... ผมสกีนเฮท)”ผมคิดแล้วบอกไป


    !? =___=;;;!?(หา!? =__=;;!?)”เธออึ้งเล็กน้อย


    頭を冷やしてください!しかし、この研究。私は学校、そうしない。(เท่ดีออก! แต่ตอนนี้เรียนอยู่ ที่โรงเรียนฉันไม่ให้ทำ)”ผมบ่นก่อนจะทำหน้ามุ่ยอย่างเบื่อหน่ายส่วนบลูก็แอบหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ก่อนจะมองผม


    私は約束します。(สัญญานะ)”


    うーん!(อื้ม!)”หลังจากนั้นก็ปล่อยมือแล้วเธอก็เดินจากไป ส่วนผมก็มองออกไปแล้วยิ้มอ่างดีใจ

     


    สักวัน...

     

     




    ฉันต้องขอเธอเป็นเจ้าสาวให้ได้



    `★APPLE PIE.

    จากผู้แต่ง :

    กริ๊ด!!!!! ในที่สุด ฉันก็สามารถลงได้หลังจากเอาไปซ่อมคอมอยู่นาน 5555 (เป็นบ้าไปชั่วขณะ) ก็ก็ค้างไว้เท่านี้แล้วกันนะ ไว้ปิดเทอมหน้าจะมาอัพต่อ รับรองว่าทันแน่นอน(หรอ?) เอาเป็นว่าจะช้ามากโดยเฉพาะของโกเอ็นจิ อุ๊บ! เกือบหลุดแล้วไง(ไม่ต้องแก้ตัว! แกบกไปแล้ว) งั้นก็บอกเลยแล้วกันว่า คนที่สามที่จะแต่งต่อคือโกเอ็นจินั่นเอง และต่อด้วยคิโดและเอ็นโดคนสุดท้าย(บอกไปเลยขี้เกียจเก็บไว้) ตอนนี้ก็ขอดองไว้แด่เพียงเท่านี้ คราวหน้าเจอกันนะ (ขอคอมเม้นท์ 250 ตอนกลับมาคราวหน้านะ หรือไม่ก็ แฟนครับ 21 คนก็ได้เน้อ ตอนนี้กำลังหดหู่กับคอม อยู่ในช่วงฟื้นฟูจิตใจ) บ้ายบี

    <<<กลับหน้าหลัก
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×