คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : บทเกริ่น [SS2]
บทเกริ่น
ไกลออกไปหลายสิบไมล์
หมอกควันหนาที่ลอยอยู่เหนือแม่น้ำสกปรกอันแสนคดเคี้ยว
สองฝั่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้และเศษขยะ
ปล่องไฟขนาดใหญ่ของโรงทอผ้าที่เจ๊งไปแล้วตั้งตระหง่านเป็นเงาทะมึนดูน่ากลัวพิกล
ไม่มีเสียงอื่นใดในที่นี้นอกจากเสียงของกระแสน้ำสีดำคล้ำที่ไหลริน
แต่แล้วเสียงดัง ป๊อบ เบาๆ พร้อมกับร่างผอมบางที่มีผ้าคลุมศีรษะก็ปรากฏขึ้นมาที่ริมแม่น้ำ
ร่างนั้นดูเหมือนจะจับทิศทางอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเริ่มออกเดินด้วยก้าวยาวๆ
อย่างรวดเร็วและแผ่วเบา เสื้อคลุมตัวยาวส่งเสียงสวบสาบยามที่สองเท้าก้าวเหยียบลงบนพื้นหญ้า
อึดใจต่อมาเสียง ป๊อบ ดังกว่าหนแรกพร้อมกับร่างคลุมศีรษะอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลัง
“รอเดี๋ยวก่อน!” คนที่ถูกเรียกหยุดเดินและหันกลับไปมอง
“ซิสซี่! นาร์ซิสซาร์!! ฟังฉันก่อนสิ!!!”
เสียงผู้หญิงดังออกมาจากร่างสวมผ้าคลุมนั้นหลังจากที่เธอรีบวิ่งตามร่างแรกไปอย่างรวดเร็วและคว้าแขนของหล่อนเอาไว้
แต่อีกคนนั้นกลับสะบัดออกและเดินต่อไปอย่างไม่ใยดี
“กลับไปซะเบลล่า!”
“แต่เธอต้องฟังฉัน!!”
“ฉันฟังแล้ว! ฉันตัดสินใจแล้ว ปล่อยฉันเถอะ”
นาร์ซิสซาร์เดินเลี้ยวเข้าตรอกไปอย่างรวดเร็ว เบลาทริกซ์รีบเดินตามเธอไปในทันที
ทั้งสองเดินตามกันไปจนถึงตึกแถวก่ออิฐรูปร่างทรุดโทรมผ่านที่นั่นไปแถวแล้วแถวเล่า
หน้าต่างแถวนั้นล้วนหม่นหมองและมืดมิด
“เขาอยู่ที่นี่หรอ?” เบลาทริกซ์เอ่ยเสียงเหยียด
“ที่กองขยะของพวกมักเกิ้ลเนี่ยนะ! นี่เราต้องเป็นพวกแรกที่เหยียบย่างเท้ามาถึง...”
นาร์ซิสซาร์ไม่ได้สนใจฟัง
เธอรีบก้าวข้ามถนนไปอย่างเร่งรีบ
“ซีสซี่รอก่อนสิ!!”
เบลาทริกซ์เดินตามไป
เสื้อคลุมปลิวสะบัด
เธอมองเห็นนาร์ซิสซาร์เดินผ่านตรอกระหว่างบ้านเรือนไปอีกตรอกหนึ่ง
เข้าไปในตรอกที่สองซึ่งดูเหมือนตรอกแรกไม่มีผิดเพี้ยนอย่างกับคัดลอกและวาง
ทั้งสองวิ่งผ่านช่วงถนนที่สว่างและมืดมืด
ในที่สุดเบลาทริกซ์ก็คว้าเอาแขนของนาร์ซิสซาร์ไว้ได้ทัน
“ซิสซี่
เธออย่าทำแบบนี้นะ! เธอไว้ใจเขาไม่...”
“แต่จอมมารไว้ใจเขา!”
“เขาก็ผิดพลาดได้เหมือนกัน!” เบลาทริกซ์พูดเสียงหอบ
ดวงตามองสอดส่องดูว่ามีเพียงทั้งสองคนอยู่ตามลำพังหรือเปล่า “อีกอย่าง
เราห้ามพูดเรื่องแผนนี้กับใคร ทำแบบนี้เหมือนกับทรยศต่อจอมมาร...”
“ปล่อยฉันเบลล่า!!”
นาร์ซิสซาร์สะบัดแขนออกก่อนจะเดินต่อโดยไม่สนใจเสียงเรียกของเบลาทริกซ์ที่เดินตามเธอมาเรื่อยๆ
ในที่สุดทั้งสองก็เดินเข้าไปในหมู่ตึกก่ออิฐรกร้างและวกวน
นาร์ซิสซาร์เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในตรอกที่เรียกว่าตรอกช่างปั่นฝ้ายซึ่งมีปล่องไฟสูงตระหง่านของโรงทอผ้าตั้งค้ำอยู่
จนกระทั่งเธอเดินมาถึงบ้านหลังสุดท้ายในตรอก
บนหน้าต่างมีแสงไฟสลัวๆ ส่องริบหรี่ผ่านม่านหน้าต่างออกมาจากห้องชั้นล่าง
เธอเคาะประตูอย่างรวดเร็วก่อนที่เบลาทริกซ์จะเข้ามาห้ามได้ทัน หล่อนสบถออกมาเบาๆ
และยืนคอยพร้อมกับน้องสาว
กลิ่นแม่น้ำสกปรกถูกลมพัดโชยมาเข้าจมูกชวนอ้วก
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีประตูก็ถูกเปิดออก ร่างเสี้ยวหนึ่งของชายที่มีผมสีดำยาวแหวกเหมือนม่านรอบใบหน้าซีดเซียวและดวงตาสีดำสนิท
นาร์ซิสซาร์ปัดผ้าคลุมศีรษะไปด้านหลัง ผิวขาวซีดราวกับจะส่องแสงได้ในความมืด
ผมยาวสีบลอนด์ที่แผ่สยายอยู่ด้านหลังทำให้ชายตรงหน้าค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
“นาร์ซิสซาร์?” ชายคนนั้นเอ่ยก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกกว้างขึ้นอีกหน่อย
แสงไฟในบ้านจึงส่องออกมาต้องใบหน้าของเธอและเบลาทริกซ์ “น่าแปลกใจที่คุณมาที่นี่”
“เซเวอรัส
ฉันขอคุยอะไรหน่อยได้ไหม เป็นเรื่องด่วน”
“แน่นอน
เชิญสิ”
เขาถอยหลังไปเพื่อให้เธอเดินเข้าไปในบ้าน
เบลาทริกซ์ปัดผ้าคลุมออกก่อนจะเดินตามนาร์ซิสซาร์เข้าไปโดยไม่รอคำเชิญก่อนที่เขาจะปิดประตูตามหลังเสียงดังกึก
ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นเล็กๆ
ผนังทุกด้านปลุกคลุมไปด้วยชั้นหนังสือมากมายราวกับห้องสมุด เก้าอี้โซฟาเก่าๆ
และโต๊ะกาแฟดูโยกเยกจวนจะพังตั้งรวมกลุ่มกันอยู่ในแสงไฟสลัวๆ
ที่ส่องมาจากโคมไฟห้องอยู่เหนือศีรษะ
บรรยากาศเหมือนกับห้องที่ถูกทิ้งร้างไม่มีใครพักอาศัยอยู่
สเนปเชื้อเชิญให้นาร์ซิสซาร์นั่งที่โซฟา
เธอถอดเสื้อคลุมมาถือก่อนจะนั่งลงและประสานมืออันสั่นเทาเอาไว้บนหน้าตัก
เบลาทริกซ์ยืนมองหน้าสเนปไม่วางตาในขณะที่เคลื่อนตัวมายืนด้านหลังของนาร์ซิสซาร์
“ผมจะทำอะไรให้คุณได้บ้างล่ะ”
สเนปว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เท้าแขนตรงข้ามสองพี่น้อง
“เรา...
อยู่ตามลำพังใช่ไหม” นาร์ซิสซาร์กระซิบถาม
“แน่นอน! อ้อ หางหนอนก็อยู่นี่
แต่ก็คงไม่นับสัตว์จำพวกหนูใช่ไหมล่ะ”
สเนปชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่กำแพงหนังสือทางด้านหลังพร้อมกับเสียงปังที่ดังขึ้นและประตูที่ถูกซ่อนเอาไว้เปิดอ้าออก
เผยให้เห็นช่องแคบๆ ที่มีชายร่างเล็กยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
“เซเวอรัส
ฉันขอโทษที่มาแบบนี้ แต่ฉันจำเป็นจะต้องพบคุณ
ฉันคิดว่าคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยฉันได้”
สเนปยกมือขึ้นปรามนาร์ซิสซาร์
เขาโบกไม้กายสิทธิ์อีกครั้งไปทางหางหนอนก่อนที่ประตูจะปิดลงอย่างแรงและผลักหางนอนลงบันไดด้านหลังไปพร้อมกับเสียงร้องแหลมสูงและเสียงฝีเท้าเล็กๆ
วิ่งเผ่นหนีไป
“ขอโทษที”
สเนปเอ่ย “คุณกำลังจะพูดอะไรนะนาร์ซิสซาร์”
เธอหลายใจเข้าลึกๆ
ร่างกายผอมบางสั่นเทาก่อนจะเริ่มพูดออกมาอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรมาที่นี่
ฉันได้รับคำสั่งไม่ให้พูดอะไรกับใครทั้งนั้นแต่ว่า...”
“แบบนั้นเธอก็ควรจะหุบปากไว้นะซิสซี่!” เบลาทริกซ์ตวาด “โดยเฉพาะกับหมอนี่!!”
“หมอนี่?” สเนปทวนคำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ให้ผมเข้าใจว่าไงเบลาทริกซ์”
“ฉันไม่ไว้ใจแกไงสเนป! แกก็รู้ดีอยู่แล้ว”
เบลาทริกซ์คำรามแต่สเนปกลับส่งยิ้มให้เธอ
“นาร์ซิสซาร์
ผมคิดว่าคุณควรฟังก่อนว่าเบลาทริกซ์อยากจะพูดอะไร
จะได้ไม่ถูกขัดจังหวะอย่างน่ารำคาญแบบนี้” เขาว่าแล้วหรี่ตามองเบลาทริกซ์
“ทำไมถึงไม่เชื่อใจผมล่ะ”
“จะให้เริ่มตรงไหนดี! ทำไมแกไม่เคยตามหาตอนที่จอมมารหายตัวไป
แกทำอะไรอยู่ในตลอดเวลาหลายปีที่ซุกหัวอยู่ภายใต้ผ้าหลุมของดัมเบิ้ลดอร์
ทำไมแกถึงหยุดยั้งจอมมารไม่ให้เอาศิลาอาถรรพ์มาได้
แกอยู่ที่ไหนมาตอนที่เราต่อสู้เพื่อชิงลูกแก้ว แล้วอีกเรื่องหนึ่ง...”
เบลาทริกซ์เว้นระยะหายใจ
“ทำไมไอ้เด็กแฝดพอตเตอร์ถึงยังมีชีวิตอยู่ได้
ทั้งที่มันอยู่ภายใต้ความเมตตาของแกมาตลอดห้าปี!!”
นาร์ซิสซาร์นั่งฟังนิ่งไม่กระดุกกระดิก
สเนปยิ้มออกมานิดหน่อย
“ก่อนที่ผมจะตอบคำถาม...
คุณจะได้เอาคำพูดของผมไปบอกคนอื่นๆ ที่กระซิบลับหลังผมที่ว่าผมทรยศไปฟ้องจอมมาร
ผมขอถามคุณกลับบ้างนะ” เขาผ่อนลมหายใจออกมานิดหน่อย
“คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าจอมมารก็เคยถามคำถามพวกนี้กับผมมาก่อน แล้วคุณคิดจริงๆ
เหรอว่าผมไม่สามารถหาคำตอบที่น่าพอใจก่อนจะมานั่งคุยกับพวกคุณตรงนี้”
“ฉันรู้ว่าท่านเชื่อแกแต่...”
“คุณคิดว่าผมตบตาจอมมารได้งั้นเหรอ?”
เบลาทริกซ์เงียบเสียงไป
สเนปไม่บีบคั้นเธอก่อนจะเอ่ยตอบคำถามของเบลาทริกซ์
“คุณถามว่าผมไปอยู่ที่ไหน
ผมก็อยู่ที่ฮอกวอตส์เพราะท่านต้องการให้ผมจับตาดูอัลบัส ดัมเบิ้ลดอร์
จอมมารพอใจที่ผมไม่เคยละทิ้งหน้าที่
ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับดัมเบิ้ลดอร์ตลอดสิบแปดปีเต็มที่อยู่ที่นั่นมามอบให้ท่าน
เป็นของขวัญที่มีประโยชน์มากกว่าความทรงจำในคุกอัซคาบันเป็นไหนๆ”
“นี่แก...!!”
“ผมมีงานสบายๆ
ที่ชอบมากกว่าในคุก” สเนปตอบน้ำเสียงเริ่มเอนเอียงไปทางรำคาญใจ
“ดัมเบิ้ลดอร์ช่วยปกป้องผมไม่ให้ต้องไปติดคุก มันสะดวกมากโดยการใช้โอกาสนั้น
จอมมารไม่ว่าอะไรเลยที่ผมอยู่ที่นั่น”
“และผมคิดว่าคุณคงอยากรู้อีก”
ประโยคนั้นทำให้เบลาทริกซ์กัดริมฝีปากล่างแรงจนห้อเลือด
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ! เราไม่เห็นได้ข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์จากแกเลย!!” เบลาทริกซ์ขึ้นเสียง
“ข้อมูลข้องผมส่งตรงถึงจอมมาร”
สเนปเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ท่านคงเลือกจะไม่บอก...”
“เขาบอกฉันทุกอย่าง!”
เบลาทริกซ์ตวาดและดูหัวร้อนเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที
“ท่านบอกว่าฉันซื่อสัตย์ที่สุด!”
“ตอนนี้ด้วยเหรอ?” สเนปถามเสียงสูง
“หลังจากความล้มเหลวที่กระทรวง?”
“นั่นไม่ใช่ความผิดฉัน! ถ้าลูเซียสไม่โง่พอจะทำแบบนั้น
ก็สมควรแล้วที่จะตาย!!”
“อย่าบังอาจมาโทษสามีฉัน!!”
นาร์ซิสซาร์พูดเสียงเขียวเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว
“ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเถียงกันว่าเป็นความผิดใคร”
สเนปถอนใจ “เพราะมันผ่านไปแล้ว”
“แกยังหลีกเลี่ยงคำถามสุดท้ายของฉันนะสเนป! ไอ้เด็กแฝดนั่น!! แกจะฆ่ามันเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดห้าปี แต่แกไม่ทำ! ทำไมสเนป!!”
“คุณได้คุยเรื่องนี้กับจอมมารรึยัง”
สเนปเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ฉันกำลังถามแกสเนป!!” เบลาทริกซ์ขึ้นเสียงดัง
“ถ้าผมฆ่าสองแฝดพอตเตอร์
จอมมารก็ไม่สามารถใช้เลือดของพวกเขามาสร้างร่างใหม่ที่ทำให้ไม่มีใครสามารถชนะท่าได้”
“นี่คือข้ออ้างของแกงั้นสิ!” เธอพูดเยาะเย้ย
“ผมก็ไม่ได้อ้างนะ
ผมไม่เคยรู้เรื่องแผนการของท่าน ผมสารภาพว่าผมคิดว่าจอมมารตายไปแล้ว
ผมแค่พยายามอธิบายว่าทำไมจอมมารถึงไม่เสียใจที่เด็กแฝดนั่นยังรอดตาย
อย่างน้อยก็จนถึงตอนที่ได้เลือดยัยเด็กคนน้องนั่นมา...”
“แล้วทำไมแกถึงยังปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่!”
“นี่คุณไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายรึไง? เพราะดัมเบิ้ลดอร์ปกป้องผมไม่ให้เข้าไปอยู่ในคุกอัซคาบัน
คุณไม่คิดเหรอว่าการฆ่านักเรียนคนโปรดของเขาจะทำให้เขามาเป็นศัตรูของผมแล้วก็ยังมีเหตุผลอื่นอีก”
เบลาทริกซ์เงียบเสียงลงรอฟัง
“เรื่องเล่ามากมายที่บอกว่าสองพี่น้องนั่นจะกลายมาเป็นพ่อมดแม่มดศาสตร์มืดผู้ยิ่งใหญ่เป็นเหตุผลที่พวกเขารอดตายจากการโจมตีของจอมมารมาได้
สมุนของจอมมารหลายคนคิดแบบนี้กันทั้งนั้นว่าพี่น้องพอตเตอร์อาจจะเป็นธงชัยคันใหม่ให้พวกเขากลับมารวมกำลังกัน”
สเนปทิ้งระยะพูด “ผมเองก็อยากรู้ ผมยอมรับ
ก็เลยไม่อยากจะฆ่าพวกเขาในทันทีที่เข้ามาถึงฮอกวอตส์”
“แน่นอนว่าผมเห็นได้ชัดในทันทีว่าแฮร์รี่
พอตเตอร์ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรเลย! เขาน่ะแสนธรรมดาสามัญแม้ว่าจะน่ารังเกียจและหลงตัวเองเหมือนกับพ่อของเขาก็ตาม”
“แล้วเฮเลน
พอตเตอร์ล่ะ! แกหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงยัยเด็กนั่นรึไง!!”
สเนปเงียบเสียงไปพลางครุ่นคิด
“เด็กนั่นถึงจะพิเศษกว่าหน่อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีอะไรน่าสนใจหรือว่าจะกลายมาเป็นแกนนำให้กับพวกเราได้เลย”
“พิเศษกว่า?”
“ใช่! เด็กนั่นมีความสามารถพิเศษในด้านการพยากรณ์ล่วงหน้าพอๆ
กับซีบิล ทรีลอว์นีย์และถ้าหากคอยดูให้นานกว่านี้
บางทีเธออาจจะเป็นคนที่มีประโยชน์สำหรับพวกเรา จริงๆ
แล้วผมพยายามเต็มที่ให้พวกเขาถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์
ที่ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาไม่สมควรจะมาอยู่
แต่การฆ่าพวกเขาหรือปล่อยให้ถูกฆ่าคงเป็นเรื่องโง่มากที่จะเสี่ยงเมื่อผมอยู่ใต้จมูกของอัลบัส
ดัมเบิ้ลดอร์”
“เราจะต้องเชื่อด้วยเหรอว่าดัมเบิ้ลดอร์ไม่เคยสงสัยคนอย่างแกเลย?” เบลาทริกซ์ถามอีก
“เขาไม่เคยรู้เลยเหรอว่าความจงรักภัคดีที่แท้จริงของแกนั่นอยู่ที่ไหน”
“เพราะผมแสดงบทบาทของผมได้ดีน่ะสิ”
สเนปตอบ “แล้วคุณก็มองข้ามจุดอ่อนของดัมเบิ้ลดอร์ไป
เพราะเขามักจะเชื่อว่าทุกคนมีส่วนดีอยู่ในตัว
ผมแต่งนิทานหลอกเด็กให้เขาฟังจากชีวิตผู้เสพย์ความตายแล้วเขาก็อ้าแขนรับผม
แต่ก็อย่างว่า...
เขาไม่เคยให้ผมเข้าใกล้ศาสตร์มืดเลยเท่าที่จะทำได้...ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยหยุดไว้วางใจเซเวอรัส
สเนปและนี่คือข้อมูลสูงค่าที่ผมมอบให้กับจอมมาร”
เบลาทริกซ์ยังคงชักสีหน้าไม่พอใจแต่ดูเหมือนเธอจะคิดไม่ออกแล้วว่าจะหาคำพูดไหนมาโจมตีใส่เขาดี
สเนปถือโอกาสในจังหวะนี้หันไปพูดกับนาร์ซิสซาร์
“เอาล่ะ
คุณจะให้ผมช่วยอะไร” นาร์ซิสซาร์มองหน้าเขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ฉันคิดว่าคุณจะเป็นคนเดียวที่ช่วยฉันได้
ลูเซียสตายแล้วและ...” หยาดน้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาทั้งสองของเธอ
“จอมมารห้ามไม่ให้ฉันพูดเรื่องนี้ มันเป็นความลับ แต่ว่า...”
“ถ้าเขาสั่งห้าม
คุณก็ไม่ควรพูด” สเนปตอบทันควัน “คำสั่งของเขาคือที่สุด”
นาร์ซิสซาร์ผงะราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ
เบลาทริกซ์มีสีหน้าพอใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่
“แม้แต่สเนปยังพูดแบบนี้! เพราะฉะนั้นก็เงียบซะซิสซี่!!”
“แต่บังเอิญว่าผมรู้แผนนี้”
สเนปพูดเสียงต่ำ “ผมเป็นหนึ่งในผู้ที่จอมมารเล่าให้ฟัง
ยังไงก็ตามถ้าผมไม่ได้อยู่ในแผนนี้ด้วยคุณก็จะมีความผิดในฐานะผู้ทรยศต่อจอมมารนะ”
“ฉันคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องรู้!” นาร์ซิสซาร์โพลงขึ้น “ท่านเชื่อใจคุณ...”
“แกรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ!?” เบลาทริกซ์เปลี่ยนสีหน้า
“แน่นอน”
สเนปยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “แต่คุณต้องการให้ผมช่วยเรื่องอะไรล่ะนาร์ซิสซาร์
แต่ผมคงเปลี่ยนใจจอมมารไม่ได้หรอก ไม่มีหวังอย่างแน่นอน”
“เซเวอรัส”
เธอกระซิบ “ลูกชายคนเดียวของฉัน... ลูกชายที่เหลือคนสุดท้ายในครอบครัวฉัน”
“เธอควรจะภูมิใจ! เดรโกก็ด้วย!!”
เบลาทริกซ์พูดอย่างไม่แยแส “จอมมารมอบเกียรติอัยยิ่งใหญ่ให้กับเขา
ฉันต้องชมเดรโกนะที่เขาไม่ได้หดหัวหนีจากหน้าที่!”
นาร์ซิสซาร์เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
เฝ้ามองสเนปอย่างขอความเมตตา
“นั่นเพราะเขาอายุแค่สิบแปด! เขาไม่รู้เลยว่าอะไรที่รอเขาอยู่
ทำไมต้องเดรโก! ทำไมต้องลูกชายฉัน!!”
สเนปไม่พูดอะไร
เขาเบือนหน้าหนีน้ำตาของเธอแต่ไม่อาจะเสแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเธอได้
“เพื่อลงโทษที่ลูเซียสทำพลาด
นั่นคือสาเหตุที่ท่านเลือกเดรโก”
“ถ้าเขาทำสเร็จ”
สเนปตอบทั้งที่ยังไม่หันไปมองเธอ “เขาจะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่”
“แต่เขาไม่มีทางทำสำเร็จ!!” นาร์ซิสซาร์สะอื้นไห้
“เขาจะทำได้ยังไงกันในเมื่อจอมมารเองยัง...”
เบลาทริกซ์อ้าปากค้างที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากน้องสาว
นาร์ซิสซาร์หยุดพูดและก้มหน้าร้องไห้
“ผมไม่โง่พอที่จะเกลี้ยกล่อมจอมมาร”
สเนปพูดอย่างเฉยเมย “จอมมารไม่โกรธลูเซียสไม่ได้เพราะเขาเป็นหัวหน้านำทีมแต่กลับมาตายพร้อมกับคนอื่นที่ถูกจับอีก
แถมลูกแก้วพยากรณ์ยังมาแตก เขาคงโกรธมากเลยทีเดียวนาร์ซิสซาร์”
“งั้นท่านก็ต้องการให้เดรโกถูกฆ่าในขณะที่กำลังพยายามทำใช่ไหม!!”
สเนปไม่ได้ว่าอะไรต่อ
นาร์ซิสซาร์รู้สึกเหมือนสูญสิ้นทุกอย่างไป
เธอลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาสเนปคว้าเสื้อคลุมของเขาเอาไว้
น้ำตามากมายไหลพรั่งพรูลงไปบนเสื้อของเขา
“คุณทำได้”
เธอพูดปนสะอื้น “คุณทำแทนเดรโกได้ คุณจะทำสำเร็จแล้วท่านจะให้รางวัลคุณ...”
สเนปดึงมือเธออก
เขาเงยหน้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นและพูดอย่างช้าๆ
“ท่านตั้งใจให้ผมทำในท้ายที่สุด
ในกรณีที่เดรโกทำได้สำเร็จ
ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้แต่ผมก็ยังคงมีเวลาอยู่ที่ฮอกวอตส์ต่ออีกหน่อย
ทำหน้าที่สายลับของผมต่อไป” สเนปเว้นระยะ “พูดอีกอย่าง
ท่านไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะถูกฆ่า!”
“ท่านไม่ได้ฟังคำพยากรณ์
คุณก็รู้ดีว่าท่านไม่ยกโทษให้ง่ายๆ หรอก”
นาร์ซิสซาร์ทรุดตัวลงไปนั่งแทบเท้า
สะอึกสะอื้นคร่ำครวญอย่างน่าสมเพช
“เขาเป็นแค่เด็ก...
เป็นลูกชายคนเดียวที่ฉันมี”
นาร์ซิสซาร์กรีดร้องอย่างหมดหวัง
สเนปพยุงเธอขึ้นและพากลับไปนั่งที่โซฟา
“พอได้แล้วนาร์ซิสซาร์
ฟังผม” สเนปเดินกลับไปนั่งที่เดิมแล้วพูดขึ้น “ผมอาจจะช่วยเดรโกได้”
“คุณจะช่วยเขา?”
“ผมจะพยายาม”
เธอเลื่อนตัวลงจากโซฟาอย่างรวดเร็วลงมานั่งคุกเข่าแทบเท้าสเนป
สองมือคว้าขาของเขามากุมเอาไว้
“นี่เธอไม่ได้ฟังรึไงซิสซี่ว่าเขาแค่จะพยายาม! มันก็แค่คำพูดไร้ความหมาย
มันก็แค่หาทางหนีเท่านั้นแหละ”
สเนปไม่ได้หันไปมองเบลาทริกซ์
ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาของหญิงตรงหน้าในขณะที่สองมือเธอกุมขาขวาของเขาเอาไว้แน่น
“ผมจะทำปฏิญาณไม่คืนคำ”
เขาพูดเบาๆ เบลาทริกซ์อ้าปากค้าง สเนปดึงมือนาร์ซิสซาร์ออกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามกับเธอ
ทั้งสองกุมมือขวาเข้าด้วยกันแน่น
“คุณอาจจะต้องใช้ไม้กายสิทธิ์ของคุณนะเบลาทริกซ์”
สเนปพูดเสียงเย็น “แล้วขยับมาตรงนี้ด้วย”
ใบหน้าพิศวงของเบลาทริกซ์ท่ามกลางแสงเจิดจ้าที่พุ่งจากไม้กายสิทธิ์ซึ่งบิดตวัดเกี่ยวพันผูกรัดกันเป็นเส้นหน้าอยู่รอบมือของทั้งสองที่เกาะกุมกันแน่นดุจดั่งงูกำลังลุกโชตช่วงราวกับไฟ
ติดตามตอนต่อไป...
ความคิดเห็น