ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #12 : After Dark: PROLOGUE – Je Ne Sais Quoi

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 67


    PROLOGUE
    (I) Je Ne Sais Quoi
    Playlist: Bud Powell – Cleopatra's Dream












    .

    แม้ว่าจะเป็นวันก่อนปีใหม่ แต่กิจวัตรประจำวันของอิวาซากิ ไทโชก็ยังคงไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม อย่างเช่นการตื่นนอนพร้อมคนรักสามเดือนที่ชื่อโมริโซโนะ ซาคุมิในตอนสาย คุ้ยหาของเหลือจากตู้เย็นมาทำยากิโซบะง่ายๆ แล้วนั่งพูดคุยดูหนังจากม้วนวิดีโอด้วยกันในตอนบ่าย ร่วมรักด้วยกันก่อนที่จะผล็อยหลับไปแล้วตื่นนอนขึ้นมาอีกทีในตอนค่ำ จากนั้นก็อาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานโดยการขึ้นรถไฟใต้ดิน แล้วเดินเท้าฝ่าอากาศหนาวไปยังคาบาเรต์คลับในกินซ่าที่เขาทำงานอยู่

    งานเล่นเปียโนในคาบาเรต์คลับกระจอกๆ ไม่เคยใช่สิ่งที่ไทโชต้องการ ใช่ว่าความฝันอยากเป็นนักเปียโน...นักร้อง...เพลงแจ๊ซของเขาจะยิ่งใหญ่จนไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ดี สิ่งเดียวที่ไทโชในเวลานี้ไขว่คว้ามาได้ก็คืองานที่ไม่มีใครสำนึกหรือว่าซาบซึ้ง ต่อให้เขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดลงไป หรือต่อให้เขาจะพลาดพลั้งที่บ่อยครั้งคือการจงใจเล่นผิดคีย์ก็ไม่ยักกะมีใครมาสนใจ ความรักอันแสนบริสุทธิ์ที่มีต่อดนตรีทำให้ไทโชนึกเกลียดการต้องทำงานในที่เฮงซวยแบบนี้จนแทบบ้า แต่เขาจะทำอะไรได้กับสังคมที่ขับเคลื่อนไปด้วยเงิน เงิน และเงิน ขณะที่คนมีก็ใช้จ่ายกันมือเติบแบบไม่บันยะบันยัง คนไม่มีก็ได้แต่กระเหม็ดกระแหม่เหมือนอย่างที่เขาเป็นอยู่นี้ เมื่อลำพังแค่งานชงเครื่องดื่มในร้านกาแฟนั้นไม่มากพอที่จะหล่อเลี้ยงความฝัน หรือแม้แต่ชีวิต และสิ่งเดียวที่จะช่วยหล่อเลี้ยงความต้องการ เป็นดั่งใบเบิกทางให้กับเขา ก็คือการแสดงฝีมือให้ผู้คนได้ประจักษ์ ถึงตลอดหกเดือนที่ผ่านมาจะเป็นไปอย่างน่าสิ้นหวัง เสียจนบางครั้งเขาก็เริ่มท้อแท้และหมดหวัง เพราะอย่างนั้นไทโชถึงได้ไม่คาดคิดว่าค่ำคืนนี้จะมีอะไรที่แปรเปลี่ยน

    เช่นเดียวกับการเล่นบทเพลงน่าเบื่อหน่ายด้วยความแห้งแล้งอันเป็นกิจวัตร หรืออาจต้องบอกว่าเฮงซวยกว่าที่เคยเป็นกิจวัตร เพราะลูกค้าที่แห่แหนกันมาจนแน่นขนัด ไหนจะเสียงตะโกนโหวกเหวกที่วันนี้ยิ่งฟังหนวกหูน่ารำคาญเป็นบ้า ไทโชคิดว่าหลังเลิกงานเขาจะซื้อเบียร์สักโหลกลับไปดื่มให้เมาไม่รู้เรื่อง เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถสลัดความน่าสมเพชต่อชีวิตของตัวเองเมื่อเทียบกับพวกลูกค้ากระเป๋าหนักที่ยิ่งใจป้ำกันเป็นพิเศษในคืนวันสิ้นปีแบบนี้ ถึงขนาดเผื่อแผ่มาให้เขาที่เล่นดนตรีถูกอกถูกใจ — ทั้งที่ไทโชไม่เห็นว่าจะมีใครตั้งใจฟังสักนิด — โดยไม่ต้องคิดมากด้วยซ้ำ และไทโชก็ไม่อยากต้องนอนร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาในคืนปีใหม่ที่ซาคุมิซึ่งถือโชคลางจะบอกว่าไม่เป็นมงคลและเขาจะต้องทุกข์ตรมไปตลอดทั้งปี

    ถ้าไม่ใช่เพราะไทโชจะได้รับคำขอที่โฮสเตสรับฝากข้อความจากลูกค้ามาให้ แม้เขาจะไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนขอบทเพลง ตีม ฟรอม นิวยอร์ก นิวยอร์กเช่นเดียวกับที่คนคนนั้นก็คงไม่รู้หรอกว่ามันคือบทเพลงที่มีความผูกพันแนบแน่นกับเขาซึ่งเฝ้าฝันถึงมาโดยตลอด แต่มันก็ได้มอบแรงฮึดอย่างที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีมัน พร้อมกับการปลดปล่อยความมุ่งมั่นอันร้อนแรงออกไปในทุกวินาทีที่ปลายนิ้วพร่างพรม

    ถ้าหากวันหนึ่งเขาตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองได้เป็นราชาแห่งขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ มันจะเป็นความรู้สึกที่ดีสักแค่ไหนกันนะ?

     

    “คุณเล่นเปียโนเพราะมากเลย”

    ฝีเท้าในรองเท้าผ้าใบคู่เก่าของไทโชชะงักงัน เมื่อได้ยินน้ำเสียงสดใสเอ่ยประโยคที่ฟังอย่างไรก็เป็นการเจาะจงพูดกับเขาในตอนที่เดินออกจากคลับ ครั้นหันมองตามต้นเสียงก็ได้เห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่ไทโชไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้ากำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ เธอสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ตัวหนาทับชุดกระโปรงเหนือเข่ากับรองเท้าบู๊ตยาวครึ่งน่อง ถึงอาจไม่ใช่เสื้อผ้าภูมิฐานอย่างสาววัยทำงานในตอนกลางวันหรืออวดหรูฟู่ฟ่าในตอนกลางคืน กระนั้นคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่นอย่างเขาก็ยังดูออกว่าเธอเป็นของจริง ไทโชไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนแบบเธอจะกำลังรอคอยเขาอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ เพราะใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงจากอากาศหนาวที่ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไม่กี่วินาที

    “ฉันคือคนที่ขอเพลงไปเองแหละ” เธอก้าวฝีเท้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขาที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วกล่าวต่อ แม้ว่าด้วยระยะห่างที่พอเหมาะพอดีแล้วก็ยังต้องแหงนคอมองเขาที่ตัวสูงกว่ามากอยู่ดี “ว่ากันตามตรง ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้นจากคนที่เล่นแบบตายซากมาตลอดทั้งคืน แต่คุณก็ทำให้ฉันประทับใจมากจนอยากกลับไปนิวยอร์กทั้งที่ก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรนักหนาตอนที่จากมาเลยด้วยซ้ำ เป็นเอามากถึงขนาดนั้นเลยนั่นแหละ!” พอพูดมาถึงตรงนี้เธอก็เปล่งเสียงหัวเราะรวนร่า ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างทั้งจากริมฝีปากและดวงตา “รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณยิ้มด้วยนะตอนที่เล่น พอคิดว่าเป็นเพราะฉันที่ทำให้คุณยิ้มได้ทั้งที่ก่อนหน้านั้นคุณแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาสักอย่าง ก็ทำเอาหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นมาเลยล่ะ!

    แต่ตอนนี้อาจเป็นหัวใจของไทโชเองต่างหากที่กำลังเต้นรัวแรงอยู่ ทั้งจากใบหน้าที่สะสวย รอยยิ้มที่สดใส และคำพูดที่นักเปียโนตกอับอย่างเขาเฝ้ารอที่จะได้ยินจากใครสักคนมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่คำชมเลื่อนเปื้อนจากลูกค้าที่เมาแอ๋ คำเยินยอจนน่าสะเอียนจากผู้หญิงที่อยากโดดขึ้นเตียงด้วย หรือแม้แต่คำพูดพล่ามของซาคุมิที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรไกลเกินกว่าปลายจมูกของตัวเอง

    “คุณอยากไปเล่นที่คลับของฉันไหม? เอ...หรือฉันต้องบอกว่าไปร้องดีล่ะ?”

    “ครับ?”

    “ฉันจะให้มากกว่าที่นี่สองเท่า ไม่สิ! คลับกระจอกแบบนี้คงให้คุณได้แค่เศษเงินจนต้องไปรับจ๊อบตอนกลางวันที่ร้านกาแฟสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คุณห้าเท่า...สิบเท่าไปเลยก็ได้ถ้าเพื่อให้ได้ตัวคุณมา! คุณจะได้ใส่ชุดสูทแพงๆ อยู่ในคลับหรูๆ กับลูกค้าที่ตั้งใจมาฟังคุณกับวงดนตรีแจ๊ซของเรา ความฝันถึงนิวยอร์กและบอสตันของคุณจะกลายเป็นจริง ไม่ใช่แค่ในบทเพลงที่มีชื่อว่านิวยอร์ก หรือร้านกาแฟที่มีชื่อว่าบอสตัน

    เธอรู้เรื่องของเขาได้อย่างไรไม่ใช่ความสนใจของไทโชในตอนนี้ เมื่อสิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการได้มองดูริมฝีปากสีแดงที่ขยับขึ้นลงตลอดเวลาเหล่านั้นต่างหาก

    “งั้นฉันจะถือว่าความเงียบเป็นการตกลงนะ”

    ทั้งที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที แต่เธอก็ดันทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ

    “ง่ายๆ แค่นี้เลยเหรอครับ?”

    “ก็แล้วทำไมต้องทำให้มันยากด้วยล่ะ?” ก่อนเสียงหัวเราะรวนร่าของเธอกับคำพูดหยอกเย้าล้อกับประกายวาววับในดวงตาที่จ้องสบว่า “เพราะฉันตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกพบ มันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ ยิ่งพอได้มาเห็นความสามารถและความมุ่งมั่นร้อนแรงของคุณที่มีให้กับดนตรีในค่ำคืนนี้ด้วยแล้วก็คิดว่าไม่อยากปล่อยไปเลย ร้านของฉันต้องการคุณนะ ว่าแต่ความร้อนแรงของคุณมีให้แค่กับดนตรีอย่างเดียวหรือเปล่า?” ก็จะทำให้ความอดทนของไทโชหมดลง ณ วินาทีนั้น

    ริมฝีปากของเธอเย็นเยียบ ทว่าลมหายใจที่รดรินนั้นร้อนผ่าว เฉกเช่นเดียวกับอุณหภูมิในร่างกายเมื่อลิ้นของเธอเกาะเกี่ยวกับเขาเพื่อพิสูจน์คำตอบของคำถามนั้นให้ได้กระจ่าง แต่ทันทีที่มือข้างหนึ่งซึ่งประคองใบหน้าเอาไว้เปลี่ยนไปสอดเข้าใต้เรือนผมสีดำที่ปล่อยสยาย เธอก็กลับผละห่างออกไป ทว่าริมฝีปากที่สีลิปสติกยังคงไม่เลือนหายอย่างที่ไทโชปรารถนาว่าจะทำก็เปลี่ยนไปยกยิ้ม ยามเอ่ยถ้อยประโยคที่จงใจยั่วเย้ายิ่งกว่าเดิมว่า

    “แล้วนิ้วของคุณล่ะ เก่งแค่เรื่องเปียโนด้วยหรือเปล่า?”

    ทั้งความเสียดายระคนไปกับความหงุดหงิดเพราะจังหวะที่ถูกขัด ไทโชเลยยอกย้อนกลับไปโดยไม่รักษามารยาทว่า

    “แล้วปากของคุณล่ะ เก่งแต่พูดหรือเปล่า?”

    เธอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา ซ้ำยังไม่ได้มีทีท่าว่าเขินอาย และไทโชก็คิดว่าอยากจะปิดปากเธอแล้วหาคำตอบมันด้วยตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็จะเพียงพูดว่า “งั้นไปพิสูจน์ด้วยกันสิ” ปล่อยมือทั้งสองข้างที่ยึดเสื้อโค้ตตัวนอกของเขาออก เพื่อเปลี่ยนมาสอดแขนข้างหนึ่งควงกับเขาด้วยท่าทีที่เหมือนกับคนรัก...มากกว่าคนรักตัวจริงที่เขาไม่ได้รักนอกจากแค่หาที่พึ่งพิงในยามยาก แต่ตอนนี้เขาจะต้องคิดถึงซาคุมิไปทำไมในเมื่อเธอคนนี้มีทุกสิ่งที่ไทโชต้องการ อย่างเช่นเพนต์เฮาส์ชั้นยี่สิบสามในรปปงงิที่ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตเขาก็ไม่มีปัญญาแม้แต่จะได้เข้ามาย่างกราย ไม่ต้องพูดถึงการได้ครอบครองเป็นเจ้าของ หรือความรู้สึกบางอย่างข้างในอกที่ใกล้เคียงกับการตกหลุมรัก แม้ไทโชจะไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ว่ามันใช่สิ่งนั้นจริงหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่ไทโชแน่ใจได้คือความปรารถนาที่จะได้หลอมละลายกลายเป็นส่วนหนึ่งกับเธอในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้

    และเมื่อริมฝีปากที่บดเบียดกันด้วยความโหยกระหาย ราวกับการสานต่อเรื่องราวที่คั่งค้างของพวกเขาไปยังโซฟาบนห้องรับแขกที่สามารถมองเห็นวิวของโตเกียวทาวเวอร์ได้ผละออกจากกัน เพราะแรงผลักที่หน้าอกซึ่งเธอกระทำกับเขาจากการขาดอากาศหายใจที่นานเกินไปหน่อย เมื่อนั้นไทโชถึงได้แน่ใจว่าปากของเธอเก่งแต่พูดจริงๆ ขนาดแค่จูบยังอ่อนหัด ไม่จำเป็นต้องไปถึงเรื่องอื่นที่มากกว่านั้นอย่างการปรนเปรอให้อีกฝ่าย ทั้งอย่างนั้นไทโชก็พึงพอใจที่ได้เห็นรอยลิปสติกสีแดงที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเพราะของเหลวที่แลกเปลี่ยนกัน รวมถึงการได้เป็นฝ่ายควบคุมเธอที่มีทุกอย่างเหนือกว่าสักทางหนึ่ง เหมือนกับที่เขากำลังทำอยู่จากปลายนิ้วที่ขยับขับเคลื่อนพร้อมกับควานไขว่กระตุ้นย้ำจุดอ่อนไหวอยู่ในตัวเธอที่อยู่ใต้ร่าง และไทโชก็คิดว่าเธอคงได้คำตอบของคำถามก่อนหน้านั้นอย่างดีมากแล้วผ่านเสียงร้องเรียกชื่อเขาที่ไทโชไม่รู้ว่าเธอไปรู้ได้ยังไงในตอนที่เสร็จ

    แต่ก่อนที่จะถึงตาของเขาบ้าง ทันใดเธอก็จะพรวดขึ้นมากระชากแขนทั้งสองข้างผ่านเสื้อเชิ้ตที่เขากำลังจะถอดลงมาใกล้ น้ำเสียงของเธอสั่นพร่า ลมหายใจของเธอหอบแรง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ทั้งอย่างนั้นก็ยังไม่เท่ากับถ้อยประโยคที่เธอเอ่ยว่า

    “ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกของฉัน และฉันไม่อยากได้ความอ่อนโยนอะไรทั้งนั้น ช่วยเป็นคนแรกของฉัน ช่วยมอบความเร่าร้อนเหมือนอย่างที่คุณมีกับดนตรีให้ฉัน ช่วยทำให้ฉันต้องการคุณมากจนไม่อยากปล่อยไปเลยที นะ ไทโช”

    แค่เพียงเท่านั้น ความอดทนที่ไม่ได้มีมากมายอีกครั้งของไทโชก็จะสิ้นสุดลงไป




    PROLOGUE
    (II) Je Ne Sais Quoi
    Playlist: Nat King Cole – You Stepped Out Of A Dream













    .

    ทั้งที่เป็นวันก่อนปีใหม่ แต่แผนการที่อุกิโช ฮิดากะอุตส่าห์วางไว้ตลอดทั้งวันร่วมกับโนโระ มันโย คนรักสามปีที่เพิ่งจะขยับฐานะมาเป็นคู่หมั้นได้สามเดือนก็มีอันต้องพังครืนลงไป เมื่อตื่นเช้ามาหล่อนก็ดันเกิดปวดหัวตัวร้อนขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่ฮิดากะถึงกับแน่ใจเลยว่าเป็นเพราะการออกไปเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกตอนดึกๆ ดื่นๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเล่มใหม่อยู่นานสองนาน

    ฮิดากะนึกโกรธความสะเพร่าของตัวเองที่ปล่อยปละละเลยหล่อน ถึงหล่อนจะเป็นฝ่ายปล่อยปละละเลยเขาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่คนรักควรต้องหาทางเอาชนะกัน หากเมื่อฮิดากะบอกว่าจะช่วยอยู่ดูแลหล่อนตลอดทั้งวันนี้ มันโยที่ไม่ได้ป่วยหนักขนาดทำอะไรเองไม่ได้เลยสักหน่อยก็จะไล่เขาออกไปหากิจกรรมอย่างอื่นที่สนุกกว่าการเป็นพยาบาลจำเป็นที่น่าเบื่อหน่ายให้หล่อนในวันส่งท้ายปีใหม่แทน

    ใช่ว่าฮิดากะอยากทำแบบนั้น ในเมื่อเขาจะมีแก่ใจไปสนุกคนเดียวทั้งที่คนรักกำลังนอนซมเพราะพิษไข้อยู่ได้ยังไง แต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่สบายจากโทรศัพท์ภายในที่เขาติดต่อไปแจ้ง ฮาชิโมโตะ เรียว ญาติผู้พี่ของมันโย ควบตำแหน่งหัวหน้าบริษัทนำเข้าส่งออกและเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยของเขา ตัวตั้งตัวตีเรื่องทริปปีใหม่  แถมยังเป็นคนออกค่าใช้จ่ายราคาแพงระยับในโรงแรมสี่ดาวที่มีชื่อว่ามิกาซึกิแห่งนี้ ก็จะรีบมาลากตัวพาเขาออกไปสร้างความสนิทสนมกับว่าที่นักลงทุนจากต่างประเทศด้วยกัน

    เป็นอย่างที่ฮิดากะคิดไว้ไม่มีผิด เมื่อนักลงทุนจากต่างประเทศที่ว่าคือชายวัยกลางคนซึ่งมาพักผ่อนกับลูกสาววัยไล่เลี่ยกับพวกเขา และสิ่งที่เรียวซึ่งถนัดการใช้หัวล่างพอๆ กับหัวบนอยากลงทุนด้วยจริงๆ ก็คือสาวลูกครึ่งผมแดงหน้าตาสะสวยอย่างกับดาราจอเงินรายนั้นต่างหาก เป็นความฉุนกึกในทีแรก เมื่อฮิดากะอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาต้องถูกลากตัวมาทำงานในวันหยุดเพื่อให้บริษัทได้นักลงทุนรายใหญ่แทนรายเก่าที่ถอนตัวออกไป ขณะที่เรียวกลับได้แอ้มสาวอยู่คนเดียวสบายใจเฉิบ ตรงกันข้ามกับฮิดากะที่ถูกมันโยปฏิเสธไม่ให้หลับนอนด้วยตั้งแต่พวกเขามาถึงโรงแรมเมื่อห้าวันก่อน เสียจนบ่อยครั้งฮิดากะซึ่งไม่เคยขัดใจคนรักเลยสักครั้งก็นึกเกลียดอาชีพการงานของหล่อน ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่หล่อนเริ่มต้นเขียนเรื่องใหม่ — อย่างในตอนนี้ — หรือก่อนที่จะปิดต้นฉบับเรื่องเก่าอย่างบ้าคลั่ง หากเมื่อแม่สาวผมแดงควงแขนขอแยกตัวไปกับเรียวหลังมื้อเช้าเพราะไม่อยากเดินขึ้นเขาไปกับพ่อ ฮิดากะที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งอยู่แล้วจึงขันอาสาเป็นไกด์นำทางให้คุณลีด้วยความเต็มใจ เป็นเพราะอากาศที่แม้จะหนาวบาดผิวแต่ก็ปลอดโปร่งสดชื่นจากแสงอาทิตย์อบอุ่นที่สาดทอลงมา ไหนจะการได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาในเรื่องสัพเพเหระโดยไม่เฉียดกรายไปยังธุรกิจหรือเงินทอง เมื่อนั้นอารมณ์ของฮิดากะจึงชื่นบานขึ้นกว่าเดิมมาก ถึงขนาดนึกขอบคุณเรียวที่ทำให้เขาไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในโรงแรมเสียด้วยซ้ำไป

     

    มันโยยังคงนอนหลับสนิทในตอนที่ฮิดากะกลับมาถึงโรงแรมตอนเย็นย่ำ มีโน้ตที่เขียนว่า เชิญคุณฮิดากะดื่มเหล้าเมาแอ๋ฉลองปีใหม่กับพี่เรียวได้ตามสบายเลยค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะคะ สัญญาว่าจะไม่โกรธอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงที่หล่อนคงลุกมาเขียน ฮิดากะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เพราะอย่างกับว่าหล่อนเคยโกรธอะไรเขาหรือแม้แต่ในทางกลับกันเสียที่ไหน น่าเสียดายที่ฮิดากะไม่อาจแตะริมฝีปากหรือจะแค่หน้าผากที่เขาวางหลังมือทาบลงไปได้ดั่งใจ แม้ว่าอาการไข้ของหล่อนจะทุเลาลงจากตอนเช้ามากแล้วก็ตาม ฮิดากะตัดสินใจปล่อยให้หล่อนนอนหลับพักผ่อนต่อ ขณะที่ตัวเองก็ออกไปใช้ห้องอาบน้ำในโรงแรมตามคำชักชวนของคุณลีแทนที่จะเป็นในห้องนอน และไม่อิดออดกับการไปกินดื่มที่บาร์ด้วยกันต่อจากนั้น

    ทว่าฮิดากะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีแขกกลุ่มหนึ่งมาร่วมโต๊ะด้วยในตอนที่นักดนตรีกำลังร้องเพลง ยู สเต็ปป์ เอาท์ ออฟ อะ ดรีม(เธอเดินออกมาจากความฝัน) และหญิงสาวผมสีน้ำตาลทองตัดกับใบหน้าขาวจัดและริมฝีปากสีแดงสดในชุดกระโปรงรัดรูปถึงเข่าตัวสีเขียวเข้มก็ทำให้ลมหายใจของฮิดากะคล้ายว่าจะขาดห้วงลงไป เมื่อเขากำลังรู้สึกแบบนั้น...อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ไม่แม้แต่คู่หมั้นสามปีที่คบหากันมาโดยไม่เคยปันใจไปให้ใครสักครั้ง ครั้นเธอส่งยิ้มกว้างจากทั้งดวงตาและริมฝีปากแล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมาให้จับ ฮิดากะก็บังเกิดความคิดคล้อยตามบทเพลงขึ้นมาว่าอยากพาเธอวิ่งหนีออกไปจากฝูงชนมันเสียเดี๋ยวนั้น!

    “ไอโซเมะ อามิริค่ะ”

    แปลกดีที่น้ำเสียงของเธอไม่ได้ไพเราะกังวานอย่างที่เขาจินตนาการไว้เมื่อแรกเห็น กระนั้นมันก็ดูเข้ากับความเป็นคนเปิดเผยและก๋ากั่นในแบบเด็กสาวมากกว่าหญิงสาว เหมือนอย่างที่มันโยเป็น เหมือนอย่างที่เขาเคยคิดว่าชอบ หรือแท้จริงแล้วความรักก็อาจเป็นแค่สิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีคำว่าถูกผิด

    ฮิดากะแทบละความสนใจจากใบหน้าอันงดงามของเธอไม่ได้เลยราวกับแม่เหล็กที่ถูกดูดดึง  ถึงเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนหนึ่งจะมีชื่อว่าคานาซาชิ อิซเซย์ เจ้าของฐานะและนามสกุลที่คงทำให้เรียวตาลุกตาวาว เพราะเขาคือเจ้าของโรงแรมมิกาซึกิคนปัจจุบันหลังบิดาเสียชีวิตกะทันหัน ทว่าคนที่ทำให้ฮิดากะตาลุกตาร้อนได้มากกว่ากลับเป็นผู้จัดการโรงแรมที่คนอื่นเรียกอย่างมีมารยาทว่าคุณซาคุมะ หากเธอเรียกอย่างสนิทสนมว่าริวโตะ ชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาดูดี สวมชุดสูทสีดำเรียบกริบซึ่งขับความภูมิฐานแบบผู้ชายมากกว่าเด็กหนุ่มเหมือนอย่างที่คานาซาชิเป็น คนที่เธอพยายามกระแซะกระเซ้าโดยไม่ปิดบังเจตนาต่อทุกคนในที่นี้เลยแม้แต่น้อย ถึงสิ่งเดียวที่เธอได้รับจะเป็นสีหน้าแสดงความหงุดหงิดรำคาญใจ หากก็อาจเปรียบได้กับความบันเทิงเริงใจที่เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจจากเธอ

    กระทั่งการมาถึงของหญิงสาวในชุดสูทอีกคนหนึ่งที่ก้าวฉับมายังโต๊ะที่อยู่ติดเวทีของพวกเขา เมื่อค้อมหัวแสดงมารยาทแล้วก็ก้มลงไปกระซิบบางอย่างกับซาคุมะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เป็นเพราะส้นรองเท้าห้านิ้วที่ทำให้ส่วนสูงของเธอแทบจะทัดเทียมกับหัวหน้าที่รีบร้อนเดินออกจากบาร์ไปด้วยกัน พวกเขาดูเหมาะสมกันมากขนาดทำให้ฮิดากะที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนแปลกหน้ายังอดคิดขึ้นมาไม่ได้ เธอเองก็คงคิดเหมือนกัน มุมริมฝีปากคู่นั้นถึงได้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม อาจเย้ยหยันด้วยความสมเพชต่อตัวเอง หรือไม่ก็เหยียดหยันด้วยความอิจฉาต่อสองคนนั้น หลังจากยกค็อกเทลเต็มแก้วขึ้นซดรวดเดียวจนหมดแล้ว เธอก็ขอตัวกลับห้องก่อนโดยไม่สนใจที่จะหาคำแก้ตัวเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามกับฮิดากะที่ยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างว่าเพราะเป็นห่วงคู่หมั้นที่ไม่สบายได้อย่างลื่นไหล ทั้งที่เขาแทบไม่ได้คิดถึงมันโยเลยสักเสี้ยวเศษ

    แต่เขาจะคาดหวังอะไรจากเธอได้ ไม่ต้องคิดไปไกลถึงความพยายามสานสัมพันธ์ ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอตกหลุมรักผู้ชายคนนั้น และแหวนเกลี้ยงสีเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขากับผู้หญิงอีกคนก็ชัดเจนทนโท่

    ทั้งอย่างนั้นฮิดากะก็ยังบ้าพอที่จะตามเธอออกมา บ้ายิ่งกว่าที่พูดจาเหมือนว่ารู้ดีใส่หน้าเธอที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ ว่า

    “ปีใหม่ทั้งที จะกลับไปนอนเหงาอยู่ในห้องแค่เพราะผู้ชายคนเดียวเหรอครับ คุณไอโซเมะ?”

    เธอไม่ได้หยุดฝีเท้าในส้นสูงหรือแม้แต่จะหันมองเขาที่เดินขึ้นมาอยู่ข้างกันด้วยซ้ำ ขณะยอกย้อนกลั้วไปกับเสียงหัวเราะที่ราวกับจะทำลายเส้นคั่นบางๆ ของศีลธรรมอันน้อยนิดให้ขาดผึง

    “ไม่เหงาหรอกค่ะ ก็ที่คุณตามฉันมาแบบนี้เพราะไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือคะ คุณอุกิโช?”

    ________________________________________________________________________________________________________________________________


    2023年11月25日
    _______________
     สวัสดีวันบีทูบอะเกนจ้าาา (วีคนี้เล่นทรงตัวบน...กระป๋อง orz) เดี๋ยววันครบรอบเอาไว้ลงฟิคอีกเรื่องย้อนหลังแทนละกันนะ ฟู่วว / ที่มาของฟิคเรื่องนี้เกิดจากวันหนึ่งกูว่างเลยย้อนไปอ่านบทสัมในแมกฯเรื่อยเปื่อย แล้วก็เจอที่ไทโชเล่าว่าเพิ่งไปดูหนังมาเพราะนักแสดงที่ชอบเล่น (กูไม่รู้ว่าใคร โซสึเกะ อิเคมัตสึหรือว่าพี่โก โมริตะ แต่น่าจะเป็นพี่โกเพราะไทโชเคยบอกว่าชอบหนังเรื่องหนึ่งที่พี่โกนี่แหละเล่นมาก) แล้วก็ชอบโลกทัศน์ของกินซ่าในยุค 80s ซึ่งกูเผอิญจำได้ว่ามีคนญปในไทม์ไลน์เคยพูดว่ามันคือเรื่อง Between the White and Black Keys ที่เพิ่งฉายไปตอนตุลาจริง สตอรี่เป็นเรื่องก่อนปีใหม่ที่กินซ่าในปี 1988 เป็นเรื่องราวในบาร์แจ๊ซแล้วก็พวกยากูซ่าไรงี้แหละ มั้ง ไม่รู ้กูอ่านมา เดาๆ นะ ทีนี้พอดูเทรเลอร์แล้วเห็นเป็นฉากไนท์ไลฟ์กูก็ชักแหง่กๆ เลย เพราะมันสวยจริง จริตกูจริง อันนี้เรื่องจริง เผอิญก่อนหน้านั้นก็เพิ่งอ่านบทสัมที่ไทโชบอกว่าชอบแนวแจ๊ซมาก แล้วน้ำลายกูก็ฟูมปากเลย เพราะมึงรู้ว่าเมื่อสิบปีโน้นกูเคยกระแดะชอบแจ๊ซเพราะฟังอินยาเมลโลว์โทน อ่านนิยายมูราคามิ แล้วก็ชอบตามพัคเจจอง 55555 ถึงทุกวันนี้จะไม่ค่อยเท่าไหร่แล้ว แต่นานๆ ทีกูจะฟังเพลงแนวเดียวกับเมนคนนี้ เพราะงั้นกูกลับไปเป็นคอแจ๊ซปลอมๆ ใหม่ได้ ไม่ติด อิอิ TvT ละบังเอิญมากที่ในปี 88 คือยุคฟองสบู่ซึ่งกูเคยพูดว่าอยากลองแต่งมากตั้งแต่ดูคลิปฝรั่งไปโรงแรมร้างที่โทจิกิ กับข่าวของคนนั้นที่ทำให้กูได้รู้จักโรงแรมอาซายะที่ก็อยู่โทจิกิ (และบ้านเกิดของไทโชก็คือโทจิกิ) และแล้ว...ความฝันที่อยากแต่งเซ็ตติ้งในโรงแรมยุคฟองสบู่กูก็ได้เป็นจริงวันนี้นี่แหละโว้ยยย!
     เรื่องนี้ไม่ได้เน้นไปที่ดนตรีแจ๊ซอะไรเพราะกูไม่เชี่ยวละ สมัยก่อนยังพอกระแดะแต่งได้ สมัยนี้ขอกูกลับไปวิชวลเคย์ที่ใช่กับใจกูเถอะ เป้าหมายมีแค่อยากแต่งแนวรักน้ำเน่า คบชู้ แย่งแฟนชาวบ้าน พระนางสี่คนนี้คือสันดารหมด แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะตอแหลเพราะคนเฬวอย่างเราไม่แต่งนิทานสอนใจห่าเหวอะไรทั้งนั้น 55555 / เล่าหน่อยว่าบังเอิญมากที่กูเจอคันจิโมเนะตัวนี้จากเรื่องโอคาเอริ, โมเนะที่แปลว่าร้อย(เสียง) ส่วนอิสเสคือ(ที่)หนึ่ง ละอะไรรู้ป่ะ มันโยคือพัน(ใบไม้) โอ๊ยย มันก็เกิ๊นนน! ส่วนไทก็ล่อไปสาม ถ้ามีไทกะอีกคนก็คือครบองค์เลย ยูโตะก็ซ้ำไปสอง เซย์เหมาไปอีกสาม กูจะบ้า / ส่วนชื่อเรื่องแน่นอนว่ามาจากนิยายของมูราคามิ (ที่ทำให้กูไปตามหาหนังเรื่องอัลฟ่าวิลล์มาดูนี่แหละ) และชื่อตอนก็มาจากเพลงของโออีซีที่ผ่านตาพอดี ไหนๆ ก็ตรงกับสตอรี่ตอนนี้พอดีก็เลยใช้อีกแล้วกันต้องแคร์อะไร / ชื่อบาร์ว่าน็อกเทิร์นเพราะเป็นบทเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโนในลักษณะโรแมนติก ให้บรรยากาศยามค่ำคืน (ก๊อปวิกิมา) โรงแรมชื่อมิกาซึกิที่มาจากเพลงของอาราชิ (ที่ไทริวเคยคัฟเวอร์) เพราะอยากได้อะไรที่สื่อถึงกลางคืนมันก็ต้องพระจันทร์ไหมวะ ทรงๆ แคลร์เดอลูนไรวี้ ส่วนร้านกาแฟบอสตันลักชื่อมาจากในหนัง และอย่างที่เรารู้กันว่ามหาลัยดนตรีเบิร์กลีย์ตั้งอยู่ที่บอสตันนั่นเองจ้าา และแน่นอนว่าตีมฟรอมนิวยอร์กๆ มันต้องได้มาอีกเพราะนี่คือเพลงของไทโช! เป็นเพลงฝรั่งที่กูชอบไทโชร้องที่สุด! และเพราะไทโชชอบนิวยอร์กหลังจากเล่นบุไตเรื่องเอลฟ์ที่สุด! กูแต่งฉากในนิวหยอกเหมือนมึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ให้ฝันเอาแล้วเขียนคำว่านิวยอร์กก็พอใจแล้วจ้าา >_< (ว่าไปในหนังก็มีฉากที่พระเอกเล่นเลิฟตีมฟรอมเดอะก๊อดฟาเตอร์นี่หว่า เฮ้ย! เพลงจากหนังของปู่สกอร์เซซีเหมือนกันเลยนี่!)
     เล่าบทจ้า: โมเนต์กับอิสเสเป็นฝาแฝดกัน (กูจะให้เป็นแฝดอีกกี่แสนล้านเรื่องก็ไม่มีใครห้ามได้!) ตอนแรกอยู่เมกา พอพ่อตายเลยกลับมาญี่ปุ่น รับช่วงต่อโรงแรมของครอบครัว แต่โมเนต์ไม่อยากบริหารเลยให้น้องทำแทน ส่วนตัวเองก็ไปดูแลบาร์ที่เซ้งต่อมาจากครอบครัวนาสุที่ถังแตก เพื่อนอีกสองคนที่ก็ไม่อยากทำงานแต่อยากมีตังค์เลยมาหุ้นด้วย ตอนแรกไทโชจะได้เล่นเปียโนแล้วแหละ แต่พอดูที่ร้องเพลงฝรั่งในโชคุระแล้วก็ว่าอย่าให้เสียของเลย มาร้องเถอะ ลิสเล่นเปียโนได้ทรงคุรหนูไฮซ้อไฮโซผมทองแล้วดูฝรั่ง ไทโกะตีกลองโคตรเท่โคตรเทพเจ๋งจริงไม่ได้มาเล่นๆ ส่วนมือแซ็กตอนแรกจะเป็นรินเนะเพราะกูลืมริชาร์ดจริงๆ 55555 พอนึกได้ก็ว่าเฮ้ย! พี่เค้าเป็นเมกา (เก๊) นี่หว่า ลุคเลิคก็ได้เลย จะรออะไรอยู่ เพราะฉะนั้นแก๊งสามใบเถายูปี้ไทโชไทโกะจึงได้มาเปิดตัวร่วมกันในฟิคเรื่องแรกของกูด้วยเหตุฉะนี้ / โคจิเคนกับนาโอโกะเป็นคนช่วยดูแลอิสเส / ไทเสเป็นเจ้านาย ฮิดะเป็นลูกน้อง ตีไปเลยว่ารวยทั้งคู่เพราะนักธุรกิจสมัยบับเบิ้ลเอร่าคือมีเงินถุงเงินถังจริง มันโยเป็นญาติสนิทที่เหมือนน้องของไทเสและเป็นคู่หมั้นของฮิดะปิโยะ ทำงานเป็นนักเขียนนิยายเลยแวดไปโรงแรมบ่อยๆ / ส่วนพี่เสยะฮักเมาวากะที่แว่บไปแว่บมาบ่อยๆ
     อีกพาร์ทของฮิดะปิโยะจะเป็นเรื่องที่โรงแรม ไม่ต้องห่วงเพราะกูแต่งแน่ กูอยากแต่งมานานแล้วก็ต้องได้แต่งดิวะ! เห้อออ ละช่วงนี้เป็นไรไม่รู้มีแต่พล็อตฟิคยาว แต่แต่งได้แค่บทนำไม่ก็คำสองคำแล้วก็ดองหมด เรื่องไหนที่พอมีบ้างก็ไม่เกลาสักที เนี่ย มันตึงสันดาร แต่ตอนนี้ถ้าวันหนึ่งกูจะเลิกชอบบชนก็ไม่เสียดายแล้วจริงว่ะ เพราะแต่งฟิค สปอยล์ฟิค ทำรูปจนซ่ะใจไปพอประมาณแล้ว ถ้ารอแต่งจบเหมือนวงเก่าวงโน้นคงไม่มีให้อ่านสักเรื่องในปีนี้ เหี้ยมากจริงๆ 55555 เนี่ยย กูลองนับดูว่าแต่งฟิคไทโชไปกี่เรื่อง จบไม่จบมีแค่รูปเป็นฟิคแปลงอะไรก็ช่างนับรวมหมด สรุปเกือบสามสิบเรื่องเลยแน่ะ! เริ่ดจริง ขนาดยังไม่ถึงปีนะเนี่ย คนนี้ของจริง หักทุกปากกาเซียนจริง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อได้แล้ว ริปลีย์ บีลีฟอิทออร์นอท

    2024年01月01日
    _______________
     โลกไม่รู้หรอกว่ากูกะจะเอามาลงตั้งแต่วันก่อนปีใหม่แล้ว แต่ข่าวของไทเซย์คือทำกูช็อก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เข้าใจอย่างถ่องแท้วันนี้เลยว่าไปเมกา ไปอีกค่าย ก็ยังไม่เสียใจเท่าไปไหนไปทำไมเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่รู้เลย ไม่มีแม้แต่คำบอกลา ค่ายประกาศปุ๊บลบทุกอย่างปั๊บไม่ให้ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ จบ! พัง! ยับ! ปีที่แล้วพระโคน่าจะแดกหัวกูมึงนี่แหละ อิสเส นาสุ อุมิ มิตสึ เคียวเฮ มาถึงไทเส ส่วนมึงแค่ไคโตะคนเดียวก็จบ! พัง! ยับ! กูยังจำตอนไทเซย์แลกเสื้อกับไทโชในวัชโช่ย ไทโชพูดถึงไทเซย์ว่ามาเที่ยวที่บ้านไม่นานมานี้ได้อยู่เลย อยากร้องไห้ ถึงกูจะร้องไปแล้วสามรอบจริง อีเหี้ย แซวนะ มอร์นิ่งไหมล่ะ ถึงกูจะพูดโน่นนี่นั่น แต่ความจริงกูก็คงรักเค้ามากจริงๆ นั่นแหละ นั่งดูรูปในแมกฯ ดูเพิร์ฟอะไรก็เส้าชิบหาย แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะฟุคุโมโตะ ไทเซย์ แม้ว่าเราจะต้องบอกลากันตรงนี้ แม้ว่านายจะไม่ได้เป็นไอดอลค่ายสตาร์โตะที่เรารักแล้ว แต่เราก็จะไม่ลืมรอยยิ้มของนาย มือเบสของเอ๋กรุ๊ปที่มี 6 คน สมาชิกควิซคลับคนเก่ง สมาชิกที่ทำงานหนัก คนที่เล่นมุกให้ผู้ว่าตอนแถลงข่าวงานเอ็กซ์โปโอซาก้า และคนที่ตีกลองไทโกะโดยไม่ต้องดูได้ตรงจังหวะเป๊ะและได้เงินล้านเยนมา เกือบสองปีที่ได้รู้จักนายและชอบนายในฐานะคันไซจูเนียร์เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากและมีความสุขมากจริงๆ T_T
     ฟิคเดิมๆ ไทเซย์ก็ยังจะอยู่เหมือนเดิม แต่ฟิคไหนที่ (คิดว่าจะ) แต่งอยู่คงต้องขอเปลี่ยนเพราะมันแสลงใจเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะกูคีพค่าย แต่เพราะเค้าอาจไม่ได้อยู่ในวงการอีกเลยแล้วจะให้กูทำอย่างใด เพราะงั้นเรื่องนี้กูก็เลยจำต้องเปลี่ยนเป็นคนที่ลุคใกล้เคียงสุดในหัวแทน จริงๆ มีแคนดิเดตอีกสองคนแต่เคนก็ยังบ่ เรย์อะก็มีฮั่นอย่างที่บ่า เลยมาจบที่ผู้ชายคนนี้...ที่กูจะเล่าว่าแต่งเรื่องฮาโลวีนต่อไปได้แค่สองร้อยคำแล้วตึ๊กเลยเพราะพิมพ์แล้วขนลุกมากมึง ไม่ไหวจริง กูยอม ส่วนเรื่องครูเอ้วที่ยกเครื่องมาแล้วรอบหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นเรย์อะแทน คนนี้เกมเมอร์ตัวจริงของแท้แน่นอน จบนะ พอละนะ ให้มันจบที่รุ่นนี้ T_T
     เป็นเรื่องที่มีพล็อตในหัวอยู่แล้วแต่แต่งไม่ออกสักทีจนคิดว่าน่าจะไม่ทันลงปลายปีแล้วล่ะ (สรุปคือทัน แต่หมดใจจะเกลาเลยไม่ทันลงเมื่อวาน เฮ้อออ) กระทั่งไทโชพูดถึงสตีวี่ วันเดอร์ในแมกฯไม่กี่วันก่อน แล้วไฟกูก็กลับมาลุกฮือ! (ไม่ใช่ไฟร่านพี่ ใจเยสๆ) ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีเด็กค่ายนี้ที่ชอบเพลงฝรั่งแนวแจ๊ซแนวโซล และไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็นเมนกู! ขอบคุณตัวกูที่เลือกรักได้ถูกคน ทำให้พล็อตฟิคที่กูคงจะแต่งสมัยสิบกว่าปีที่แล้วกลับมาได้อีกครั้ง น่าเสียดายที่กูไม่สามารถเลียนสำนวนมูราคามิมาได้แล้ว เพราะงั้นก็อ่านภาษาแบบตัวกู (ที่ก็ดีมากจ้า) นี่แหละไปนะ / เปลี่ยนบทเคนเป็นคาโดะ เพราะเพิ่งมึ๊งได้ตอนแต่งว่าแคสต์กว่าครึ่งหนึ่งเป็นเมนกู ไม่ก็คนที่เราแต่งไม่ได้หรือไม่ก็ไม่แต่งดีกว่า 55555 ที่จริงตอนแรกจะเปลี่ยนซาคุมิเป็นสินอวี่ด้วยนะเพราะอุตส่าห์เคยเรียนเบิร์กลีย์ว่ะ เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้กูให้เกี่ยวได้ แต่ตัวร้ายจะมาสวยกว่านางเอกเว่อร์ๆ ก็ไม่ได้ มันผิดผี T_T
     เอาจริงคือนึกบริษัทที่อุกิโชจะทำไม่ออก ยุคนั้นควรเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่กูแต่งมาแล้วแสนล้านแปดเรื่อง (และยังจะแต่งอีก) แต่ก็คิดว่าช่างมัน ใส่อะไรก็ใส่ไปเหอะ อาชีพฝั่งนี้ไม่สำคัญอยู่แล้ว กูจะแต่งทรงละครไทยที่พระเอกมีบอสัดแต่วันๆ มันทำงานอะไรวะ เป็นต้น เพราะหลักใหญ่ใจความคืออยู่ที่บาร์ โรงแรม และเพลงแจ๊ซแอนด์โซลเท่านั้นจ้าา / ขอบคุณเพลงยูสเต็ปป์เอาท์ฯที่ได้ฟังจากโมนาร์คตอนที่ 6 ฉากงาน military ball ยุคห้าสูนที่มาถูกที่ถูกเวลามั่กๆ นามสกุลลีของนักลงทุนก็เอามาจากชื่อลี ชอว์ในเรื่องเพื่อเป็นการทริบิวต์จ้าา (ถุย) / บอกกันตรงนี้แหละว่าที่จริงตอนแรกมันจะมีฉากไปต่อที่ห้องด้วยนะ ไม่ก็ฉากจูบสักกะติ๊ด แต่พอข่าวไทเซย์มากูก็หมดแรงแม้แต่จะก้าวเดิน แค่อยากมีฟิคลงวันปีใหม่กับวงเมนที่แท้ทรูสักเรื่อง ก็เอาเป็นว่ามันจะมีต่อหรือไม่มี หรือว่าจะตัดเข้าโคมไปตอนที่หนึ่งแทนก็รอกูตัดสินใจอีกทีละกัน เห้ออออ ไทโชมีแต่อุกิไม่มันคืออะไรวะ นี่กูผิดผีป่าววะ T_T
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×