คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : ANEMOIA CHAPTER 2: The Waltz Of Utopia (IV)
เพราะมีแต่เที่ยวบินรอบเช้าไปยังเทลลูไรด์ รินิจึงถือโอกาสที่ต้องถูกปลุกมาทั้งที่เพิ่งจะได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงงีบหลับอยู่บนเครื่องข้างกับริกิและโชริ พร้อมด้วยหูฟังที่เธอจับยัดแล้วเปิดเพลย์ลิสต์เพลงคลาสสิกบาดหูทั้งที่ไม่ได้พิสมัย เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงน่ารำคาญอะไรก็ตามที่จะผ่านเข้าหู และรินิก็หมายถึงเสียงพูดคุยกันแม้อาจแค่ดังแว่วแผ่วมาจากคู่รักที่นั่งเป็นภาพบาดตาอยู่ด้านหลังต่างหาก
เมื่อการต้องทนเห็นพวกเขาที่สนามบินให้รินิต้องฝืนปั้นหน้าก็แทบจะเต็มกลืนอยู่แล้ว กระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังจดจำสีหน้าเย้ยหยันของเมอริน่าในความฝันได้ขึ้นใจ หรือแม้แต่ไทโชคนที่ไม่ได้ดูโง่เง่าอย่างในความเป็นจริงนี้ โชคดีที่มีริกิคอยช่วยแก้ต่างให้ว่าเป็นเพราะเธอง่วงมากเลยอาจเงียบขรึมลงไปบ้าง แต่เหตุผลนั้นไม่ใช่กับโชริ เขาไม่ได้มาจู้จี้จุกจิกหรือพูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะเหมือนอย่างที่ชอบทำ รินิไม่รู้หรอกว่าเหตุผลนั้นเป็นเพราะอะไรและเธอก็ยังไม่มีอารมณ์อยากเสวนากับใคร กระนั้นรินิก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอนว่าสายตายามมองดูเมอริน่าของโชริแฝงเร้นร่องรอยบางอย่าง — โกรธแค้น ชิงชัง หากก็เจือไปด้วย...ความรัก? — อาจใกล้เคียงกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งรินิเคยรู้สึกต่อไทโชคนนี้ในวันที่เขาพาผู้หญิงคนเดียวกันนี้เข้ามาในชีวิต
แต่ในเมื่อพวกเขาเพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรกจากที่ริกิเป็นฝ่ายแนะนำ แล้วทำไมโชริถึงได้แสดงออกแบบนั้น? เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจเจออะไรในความฝันของเธออย่างที่ริกิว่า ตัดข้อสงสัยที่ว่าเขาอาจเกิดตกหลุมรักเมอริน่าที่เห็นในฝันของเธอขึ้นมาไปได้เลย เมื่อท่าทีของโชริไม่ได้บ่งบอกถึงเรื่องราวของรักแรกพบเลยสักนิด
รินิได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัวเอง คิดว่าถ้าได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังกับเขาที่โรงแรมเมื่อไหร่ เธอจะลองถามเรื่องในความฝันดู
หากเมื่อลงจากเครื่องมา รินิก็ไม่อาจหลีกหนี ‘เสียงน่ารำคาญ’ ของคู่รักที่ทุกคนต้องนั่งรถเช่าคันเดียวกันไปยังโรงแรมในเทือกเขาซานฮวนตลอดสิบห้านาทีได้ โชคดีที่มีริกินั่งคั่นกลุ่มสาวๆ ที่เบาะหลังซึ่งอ่านสถานการณ์ออกเป็นอย่างดี แถมยังเข้าข้างเพื่อนร่วมบ้านสองปีมากกว่าผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกันเป็นอย่างดี หล่อนเลยยื่นหน้าไประหว่างคอนโซลกลางแล้วชี้ชวนให้ทุกคนสนใจกับทิวทัศน์น่าตื่นตารอบตัวพลาง เป็นฝ่ายถือครองบทสนทนาโต้ตอบกับเมอริน่าไม่ก็แฟนของหล่อนที่ก็พูดเรื่อยเจื้อยได้ไม่แพ้กันแทนพลาง ขณะที่รินิซึ่งจำยอมต้องเปิดปากบ้างนานๆ ทีแม้ว่าจะรำคาญชะมัดยาดเพราะเมอริน่ามักดึงเธอเข้าไปมีส่วนร่วมกับบทสนทนาด้วย โชริที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยก็แทบจะไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลยสักคำ
กระทั่งในตอนที่เริ่มมองเห็นโรงแรมอิฐตระการตาอยู่เบื้องหน้า มีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงตระหง่านแม้ว่าจะไม่ได้ปกคลุมด้วยหิมะเมื่อยังไม่ถึงฤดูของมันก็ยังดูน่าตื่นตาและสร้างความตื่นใจให้แก่เหล่าหนุ่มสาวจากเมืองหลวงได้มากอยู่ดี ขนาดที่รินิเองก็ยังทำตาลุกวาว เป็นตอนนั้นเองที่โชริจะโพล่งขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
“เราจะได้สนุกกันที่นี่”
หากรอยยิ้มมุมปากของเขาที่รินิได้มองเห็นผ่านกระจกมองหลังก็จะทำให้ญาติผู้น้องรู้สึกหนาวเยือก ไม่อาจหัวเราะรวนร่าไปกับเมอริน่าและไทโชที่ดูจะไม่เอะใจอะไรเลยได้ นอกจากหันไปจ้องสบตากับริกิที่หันมองมาด้วยนัยเดียวกันเท่านั้น
ทั้งที่สองสาวเพื่อนร่วมบ้านเป็นตัวตั้งตัวตีในการมาพักที่โรงแรมซิลเวอร์มูนแห่งนี้ แต่คนที่จัดการเป็นธุระโทร.มาจองห้อง จองรถ หรือแม้แต่จองเที่ยวบินทุกอย่างให้เองเสร็จสรรพก็คือชายหนุ่มที่อายุมากที่สุดในที่นี้ กับเรื่องที่โชริทำให้รินิต้องประหลาดใจได้อีกครั้งเมื่อเขาบอกว่าจองห้องพักไว้แค่สองห้อง ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าเพราะห้องเต็มหมดแล้วเมื่อยังไม่ถึงฤดูหนาวที่โรงแรมจะแน่นขนัดไปด้วยแขกจากทุกสารทิศเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าเหตุผลของเขาจะฟังดูน่าตงิดอย่างเช่นว่าเหลือห้องใหญ่ที่วิวดีที่สุดอยู่แค่ห้องเดียวและเสนอให้กลุ่มสาวๆ พักด้วยกันในห้องที่มองเห็นวิวภูเขา ขณะที่เขากับไทโชจะพักห้องเล็กที่อยู่ชั้นล่างคนละปีกตึกแทน...ถ้าพวกเขาตกลง
แน่นอนว่าพวกเขาที่โชริหมายถึงก็คือคู่รักที่อาจจะอยากมาพลอดรักหรือทำอะไรก็ช่างซึ่งรินิคร้านจะใส่ใจให้รกทั้งสายตาและสมอง หากเมอริน่าก็จะตอบรับข้อเสนอโดยไม่ลังเลด้วยความกระตือรือร้น ให้ไทโชที่ย่อมโอนอ่อนตามคนรักเสมอยิ้มออกมายามทอดมองดูทีท่าของหล่อนด้วยสายตาอบอุ่นเหมือนกับในไดเนอร์วันนั้นที่เคยทำให้รินิแทบจะอดรนทนไม่ไหว ทว่าในวันนี้มันกลับไม่ได้ทำให้รินิรู้สึกริษยาหรือว่าแค้นเคืองอะไรอีกแล้ว นอกจากขัดหูขัดตาเอามากเสียจนต้องเบือนหลบไปทางอื่น พร้อมกับความพยายามกดกลั้นสีหน้าบิดเบี้ยวเอาไว้อย่างเต็มที่
อาจเป็นเพราะเธอได้มั่นใจแล้วว่าไทโชคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับที่อยู่ในความฝันของเธอ เขาไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้นถึงต่อให้จะมีใบหน้าเดียวกันไม่มีเพี้ยนผิด ถ้าสิ่งที่จิตใต้สำนึกพยายามเตือนเธอเป็นความจริงแล้วไซร้ เช่นนั้นรินิก็จะยอมแลกหนึ่งในสองของชีวิตนับอนันต์อย่างของชายหญิงคู่นี้ แล้วได้อยู่กับไทโชตัวจริงที่มีค่ากับเธอเท่านั้นก็มากพอ
ทันทีที่เข้าไปนั่งทิ้งตัวแหมะลงบนเตียงเดี่ยวริมหน้าต่างที่พุ่งตัวเข้าไปจับจองก่อนใครเพื่อนแล้วนั้น คนที่นอนหลับไม่เต็มอิ่มทั้งจากเมื่อคืนหรือบนเครื่องบินก็รู้สึกราวกับว่าความนุ่มสบายกำลังเชื้อเชิญเธอ และรินิก็ไม่คิดจะฝืนทนเอาไว้อีกต่อไปในตอนที่บอกกับเพื่อนร่วมห้องว่าอยากนอนพักไปจนกว่าจะถึงมื้อค่ำ แล้วปล่อยให้พวกหล่อนออกไปตะลอนเที่ยวกับพวกหนุ่มๆ กันเองได้เลยตามสบาย ครั้นสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนาและปิดเปลือกตาลงภายใต้เครื่องปรับอากาศที่ฉ่ำเย็นแล้ว รินิก็ผล็อยหลับไปในทันทีอย่างที่ไม่ใคร่จะเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับคนนอนหลับยากแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนที่สั่งสม หรือไม่ก็เพราะพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นซึ่งอบอวลอยู่ในที่แห่งนี้
รินินอนหลับเต็มตื่นโดยไม่ฝันถึงอะไรเลยแม้แต่ฉากในโรงแรมที่ได้มาเหยียบย่าง และทำให้เธอกับริกิต้องกลั้นหายใจกับโถงทางเดินที่เหมือนกับในความฝันนั้นทุกกระเบียดไม่มีเพี้ยนผิด บัดนี้ภายในห้องมืดสนิทและมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ลอดผ่านบานหน้าต่างที่บ่งบอกว่าเป็นเวลาล่วงดึก นั่นทำให้รินิอดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ว่าทำไมเพื่อนร่วมห้องของเธอถึงไม่ขึ้นมาปลุก
เวลาบนหน้าจอมือถือที่เธอคว้าหยิบจากโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดูคือตีสองยี่สิบสาม — ตัวเลขเดียวกับที่เธอได้เห็นแทบทุกครั้งยามสะดุ้งตื่นจากความฝันถึงไทโชคนนั้น
แต่หนนี้รินิรู้ว่าเธอไม่ได้กำลังตื่นจากความฝัน แต่เป็นการตื่นขึ้นมาในความฝันต่างหาก
ความคิดที่ว่าเธอเข้าใกล้ไทโชตัวจริงเข้าไปทุกทีแล้วจะทำให้รอยยิ้มกว้างอาบอยู่เต็มใบหน้า รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วหมุนลูกบิดออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เหมือนกับแรงดึงดูดที่ไม่มีเหตุผลแน่ชัดมาอธิบาย แต่รินิก็ค่อยๆ ก้าวย่างไปตามโถงทางเดินที่ร้างไร้ผู้คน กระนั้นก็เป็นความเชียบงันที่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสะพรึงกลัวขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยตลอดเส้นทางที่ทอดยาวเหล่านั้น
สายลมเย็นที่ตีกระทบใบหน้าคือสิ่งแรกที่รินิได้สัมผัสเมื่อออกมาด้านนอก ตามมาด้วยสิ่งมีชีวิตแรกที่เธอได้มองเห็นแค่เพียงเส้นผมสีน้ำตาลเข้มกับแผ่นหลังในชุดสูทสีดำซึ่งกำลังแหงนเงยมองขึ้นไปบนฟ้า ไม่มีทีท่าว่าสนใจต่อการมาถึงของใครอีกคนถึงเสียงส้นสูงตอกลงบนพื้นจะดังก้อง จนรินิต้องเป็นฝ่ายจ้ำฝีเท้าไปหาเสียเอง
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากทักทาย เขาก็จะเป็นฝ่ายหันมาเปิดยิ้มให้เธอที่หยุดยืนอยู่ข้างๆ
“เราต่างก็เป็นเชลยของความรัก” เขาเริ่มต้นว่าอย่างนั้น “หนทางเดียวที่จะเป็นอิสระคือไม่ต้องรักอะไรเลย ถ้าเป็นคุณจะเลือกอะไร?”
หากรินิก็ไม่ได้ชะงักงันขณะสวนย้อนกลับไปด้วยคำพูดและแววตาที่แน่วแน่ว่า
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอยอมถูกจองจำไปตลอดกาลค่ะ”
“เหมือนกับที่ตอนนี้มันกำลังจองจำคุณอยู่ด้วยความไม่รู้”
“ฉันถึงต้องการเป็นอิสระด้วยการรับรู้ไงคะ!”
เขามองหน้าเธอด้วยรอยยิ้มที่รินิอ่านความนัยไม่ออก ถ้าไม่ใช่ด้วยความขบขันก็อาจด้วยความสมเพชเวทนา
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าสิ่งที่รู้สึกนั้นคือความรัก?”
“ฉันรู้ค่ะว่าความรู้สึกชอบ รัก ผูกพัน กับคนที่เคยเจอแค่ในฝันอาจฟังดูเหลวไหลเพ้อเจ้อ มันอาจเป็นแค่ความหลงใหล หรือไม่แน่ว่าฉันอาจกำลังถูกล่อหลอก แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากพบกับเขาให้ได้ค่ะ”
“งั้นคุณก็คงหมายถึงรูปลักษณ์”
“ใช่ค่ะ” รินิพยักหน้ารับโดยไม่มีความลังเล “และเนื้อในของเขาที่อยู่ในรูปลักษณ์นั้น”
“ถ้าเกิดว่าเขาเป็นคนอื่น...อย่างอื่น”
“ต้องเป็นเขาคนนั้นเท่านั้นค่ะ”
“ถ้าเกิดว่าเขาเคยเป็นคนอื่น...อย่างอื่น”
“ตราบที่ปัจจุบันเขาเป็นคนนี้ค่ะ”
“ทั้งที่คุณได้รับคำเตือนแล้ว แต่คุณก็ยังยอมที่จะแลกทุกอย่างเพื่อสิ่งที่คุณแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอ?”
“งั้นก็ช่วยทำให้ฉันรู้สิคะ” ราวกับแรงดึงดูดที่ไม่มีเหตุผลอีกครั้งที่ทำให้รินิยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า “คุณต้องทำได้อยู่แล้ว เพราะคุณเป็นพระเจ้า ใช่ไหมล่ะคะ? ในเมื่อคุณมาอยู่ในความฝันของฉัน รู้เรื่องของฉัน และดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องของไทโชคนนั้นดีมากซะด้วย”
“ผมเป็นแค่เจ้าของโรงแรมนี้เท่านั้นครับ” รอยยิ้มกว้างกลับคืนมาประดับบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น ก่อนที่เขาจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมากระชับจับกับเธอไว้ ส่วนอีกข้างก็วางทาบลงไปด้านบน ประหนึ่งการย้ำชัดถึงความหนักแน่นต่อเจตนานับจากนี้ “คุณจะได้รับรู้ถึงคำตอบของทุกอย่างที่เฝ้าตามหา และไม่ว่าหลังจากนี้คุณจะตัดสินใจยังไง ทางเลือกทั้งหมดก็เป็นของคุณ...แค่คุณคนเดียว รินิ เลอวิตต์”
แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่หน้าหนาวในเทลลูไรด์ให้แขกจากต่างเมืองได้ไถสกีเล่นกันอย่างสนุกสนาน หรือมองดูความสวยงามตระการตาของเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ชวนให้อ้าปากค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ ถึงอย่างนั้นเมอริน่าที่มีความสุขกับสิ่งรอบตัวอยู่เสมอก็ยังคงพบกับความเพลิดเพลินได้ ในตอนที่เข้าเมืองไปเดินดูร้านรวงต่างๆ ก่อนแวะรับประทานอาหารท้องถิ่นร่วมกับไทโช ริกิ และโชริ...ชายแปลกหน้าที่เธอพยายามสานสัมพันธ์เพื่อที่จะได้ขยับฐานะขึ้นมาเป็นคนรู้จัก กระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นเอาการ จริงอยู่ที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาทั้งที่โตกว่ามากแลดูเป็นมิตร ถึงจะไม่ได้แต้มแต่งไปด้วยรอยยิ้มก็ไม่ได้ห้วนกระด้างให้เธอนึกคร้ามครั่น แต่การที่เขาแทบไม่เปิดปากพูดอะไรกับใคร พอถามคำเขาก็ตอบคำ ก็จะทำให้ความพยายามของเมอริน่าคลาคล้ายว่าจะสูญเปล่า
“โชริก็เป็นแบบนี้แหละเวลาอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ลูกค้าหรือยัยลูกพี่ลูกน้องที่ชอบต่อปากต่อคำน่ะ” ริกิยักไหล่ให้ความเห็นกับเธอว่าอย่างนั้น
โชคดีที่มีไทโชซึ่งคอยดูแลเอาใจใส่เธอในฐานะคนรัก และริกิที่เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาไม่ก็ชี้ชวนให้เธอดูโน่นนี่ด้วยความกระตือรือร้น เมอริน่าจึงพยายามไม่คิดมากกับเรื่องของเพื่อนร่วมทริปอีกคนสักเท่าไหร่ พวกเขายังมีเวลาอีกเหลือเฟือให้ใช้ร่วมกันที่นี่ และเมอริน่าที่ไม่ชอบการถูกเกลียดก็คิดว่าเธอจะต้องผูกมิตรกับเขาให้ได้
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ดูไม่ออกว่าตัวเองถูกใครบางคนชังน้ำหน้าจนเต็มกลืน ขณะที่ริกิอาจไม่ได้มีความรู้สึกเข้มข้นขนาดนั้นเหมือนอย่างรินิ หากความสนิทสนมที่มีต่อเพื่อนร่วมบ้านมากกว่าก็จะทำให้หล่อนพยายามขัดขวางช่วงเวลาสองต่อสองของคู่รัก ด้วยการแทรกกลางพาเมอริน่าควงแขนร่อนไปในทุกโอกาส จับจองทุกพื้นที่ข้างตัวเธอในทุกเวลา ไม่เปิดช่องว่างอะไรให้ไทโชมากไปกว่าแค่การพูดคุย กว่าจะหมดหน้าที่ก็เมื่อพวกเขากลับมาถึงโรงแรมในช่วงเย็นย่ำ และเป็นหล่อนริกิเองที่เสนอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน แล้วค่อยไปเจอกันที่ห้องอาหารในอีกสองชั่วโมงหลังจากนี้
ถึงริกิที่เป็นเพื่อนร่วมบ้านกันมานานจะรู้ดีว่ารินิไม่มีทางตื่นนอนง่ายๆ ต่อให้ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย แต่เพราะไม่อยากรบกวนคนนอนหลับ ริกิเลยตัดสินใจชวนเมอริน่าออกไปนั่งดูรายการเกมโชว์ด้วยกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อฆ่าเวลา
ทั้งที่พยายามข่มใจไม่ให้เข้าไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านมากไปกว่านี้ แต่สุดท้ายหล่อนก็อดคันปากไม่ได้
“เล่าเรื่องเธอกับไทโชให้ฟังหน่อยสิ เมอริน่า อย่างเช่นว่า...ใครชอบใครก่อน?”
เป็นเสียงหัวเราะรวนร่าที่ดังมาก่อนคำตอบ
“อ๋อ ไทโชเป็นคนมาสารภาพรักกับฉันก่อน”
“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกเนอะ ในเมื่อเมอริน่าสวยน่ารักตั้งขนาดนี้” ริกิพูดด้วยรอยยิ้มกว้างหากไม่เลยไปถึงดวงตา “ฉันรู้จักไทโชมาตั้งนาน ถึงจะเห็นแบบนั้นแต่ความจริงแล้วเขาขี้อายเรื่องผู้หญิงมากเลยนะ แปลว่าเขาคงต้องรักเมอริน่ามากแน่เลย”
“จริงเหรอ?”
ริกิพยักหน้าหงึก
“ขอโทษด้วยนะ พวกเธอคงผิดหวังน่าดูเลยตอนที่รู้ว่าต้องแยกห้องกันนอน ทั้งที่ทริปนี้ควรได้เป็นทริปโรแมนติกประสาคนรักกันแท้ๆ”
และก็เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวซึ่งมองโลกในแง่ดีจะมองไม่เห็นเจตนาแท้จริงของอีกฝ่ายผ่านคำพูดที่ดูอย่างไรก็เป็นการประชดประชัน เมอริน่าถึงได้รีบยกมือขึ้นโบกปัด เอ่ยว่า “ฉันกับไทโชเพิ่งคบกันได้ไม่เท่าไหร่ เรายังมีเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันอีกตั้งเหลือเฟือ ไม่ต้องคิดมากไปหรอกจ้ะ” กลั้วไปกับเสียงหัวเราะเริงร่า “แต่อันที่จริงแบบนี้แหละดีแล้ว ได้ปาร์ตี้ชุดนอนกับสาวๆ กันเองน่าสนุกดีออก ฉันจะได้สนิทกับพวกเธอมากขึ้น ไทโชเองก็จะได้สนิทกับคุณโชริเหมือนกัน เขาเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นจะตายไป ป่านนี้คงซักไซ้ถามเรื่องโน่นนี่จากจิตแพทย์ผู้รอบรู้อย่างคุณโชริไม่รู้จบอยู่แน่ๆ”
“ถ้างั้นฉันของีบเอาแรงหน่อยนะ จะได้ไปแข่งพูดไม่รู้จบกับไทโชตอนมื้อค่ำหน่อย” ว่าแล้วก็หาวออกมาเสริมรับคำพูดของตัวเอง
“ถ้างั้นฉันขอตัวออกไปเดินสำรวจรอบๆ โรงแรมหน่อยนะ นอนหลับให้เต็มที่ได้เลย แล้วพอใกล้ถึงเวลา ฉันจะขี้นมาปลุกริกิกับรินิให้เอง”
ฝีก้าวในรองเท้าส้นสูงสามนิ้วเพิ่งจะย่ำไปตามโถงทางเดินได้ไม่ทัน หลอดไฟที่ส่องสว่างอยู่ตรงโถงทางเดินก็จะดับลงทั้งหมด ให้เมอริน่าหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะความมืดที่ทำให้มองอะไรไม่เห็นอีก เธอชั่งใจระหว่างการเดินกลับห้องที่พ้นออกมาได้ไม่เท่าไหร่ หรือรอให้นัยน์ตาปรับความมืดได้แล้วออกไปสำรวจโรงแรมอย่างที่ตั้งใจไว้ ไม่ใช่ว่าเมอริน่าเป็นพวกงี่เง่าที่คิดจะทำเรื่องโง่เง่าแบบนั้น แต่ถ้ากลับเข้าห้องไปตอนนี้ก็มีแต่ต้องนั่งแกร่วอยู่คนเดียวเพราะเพื่อนร่วมห้องนอนหลับหมดแล้ว พอคิดอย่างนั้น เมอริน่าเลยตัดสินใจยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ช้าสายตาของเธอก็เริ่มมองเห็นภาพเบื้องหน้าผ่านแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างตรงสุดทางเดินเข้ามา กระนั้นเธอก็ระแวดระวังตัวเองด้วยการขยับเข้าไปใกล้ผนังแล้วค่อยๆ คลำทางไป
ครั้นแล้วมือที่แตะไปยังบานประตูห้องหนึ่งกลับกลายเป็นการผลักมันให้เปิดอ้าออกโดยไม่ตั้งใจ คำขอโทษไม่ทันได้หลุดรอดออกมาจากลำคอ เมื่อสายตาของเมอริน่าจะได้มองเห็นอะไรบางอย่าง — บางคน — ที่เมอริน่าสามารถมองเห็นว่ายืนอยู่ตรงกลางห้องได้อย่างชัดเจน เพราะแสงสว่างที่เปล่งประกายเรืองรองออกมาจากร่างของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมยาวแตะเอวสีทองกระจ่างผู้นั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนในตัวของเมอริน่าแข็งค้างมาจากดวงตาสีแดงก่ำที่ถูกทับถมด้วยเส้นเลือดสีดำราวกับเถาวัลย์
บนใบหน้าที่เหมือนกับเธอไม่มีเพี้ยนผิด!
เมอริน่าเรียกสติให้กลับคืนมาจากภาพที่ชวนหวั่นพรั่นนั้นได้แล้วรีบวิ่งหนีออกไปจนถึงบันไดที่สุดทางเดิน แต่เพราะรีบร้อนเกินไปถึงได้ก้าวพลาดสะดุดขั้นบันไดสามชั้นแล้วร่วงกระแทกลงบนพื้นเข้าเต็มแรง เมอริน่ารู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่ข้อมือและข้อเท้าที่พลิกบิด หากเธอก็ฝืนกลั้นความเจ็บไว้แล้วค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น พยายามลากขากะเผลกๆ ลงไปที่บันไดอีกแห่ง แต่ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาก็ทำท่าว่าจะร่วงหล่นลงไปอีกหน
เพียงแต่หนนี้จะมีมือใหญ่ของใครคนหนึ่งเอื้อมมาคว้าท่อนแขนของเธอไว้แล้วเหวี่ยงร่างแบบบางเข้าหาตัว เพราะพละกำลังที่มากจนถึงกับกระชาก หน้าอกของเธอเลยไปกระแทกเข้ากับแผ่นอกของเขาที่จะทำให้เมอริน่าลนลาน ละล่ำละลักเอ่ยทั้งคำขอบคุณและขอโทษ พยายามรีบร้อนถอยห่างจากผู้ช่วยชีวิตที่เมอริน่ามองเห็นใบหน้าของเขาได้แค่เสี้ยวหนึ่งเพราะเงามืดที่พาดผ่าน กระนั้นก็มากพอให้เธอรู้ว่าเป็น...
“คุณโชริ?”
แต่โชริกลับไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระจากการเกาะกุม มืออีกข้างรั้งเอวของเธอให้กลับเข้ามาหาตัว ริมฝีปากสีอ่อนได้เพียงเผยอขึ้น หากไม่มีคำพูดใดทันได้เอ่ยออกเมื่อมันจะถูกประกบปิดด้วยริมฝีปากของเขา มากกว่านั้นคือเรียวลิ้นที่สอดเข้ามา ด้วยความปรารถนาอย่างมากมายที่ถ่ายทอดผ่านความรุนแรงประหนึ่งว่าจะกลืนกิน เขาขบฟันลงบนริมฝีปากล่างของเธอจนรสสนิมละเลงอยู่ในโพรงปาก ทั้งอย่างนั้นความเจ็บปวดกลับยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้พรึงเพริด เนื้อตัวของเธอสั่นสะท้าน ความรู้สึกเสียววาบแล่นปราดเข้ามาในช่องท้องจนต้องกดท่อนแขนของเขาเพื่อเป็นหลักยึดก่อนที่จะทรงตัวเอาไว้ไม่ไหว เมอริน่าไม่คิดว่าเธอควรรู้สึกอะไรแบบนี้กับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนรักของตัวเอง แต่เธอก็ไม่อาจต้านทานความปรารถนาอันลึกล้ำที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ในตัว
“เธอไม่มีวันหนีฉันพ้นอีกแล้ว เมอริน่า”
“ค...คุณโชริ?”
“ไทกะต่างหาก”
มุมริมฝีปากที่เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในตอนที่ผลักร่างของเธอตกลงไป
_______________
_______________
ความคิดเห็น