ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #24 : TOM (or) BOY - 22

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 55


      TOM (or) BOY  

    22

     

     

     

     

     

    เพราะเป็นช่วงสอบกลางภาค หอสมุดกลางแห่งนี้จึงเปิดให้บริการจนถึงเวลาเที่ยงคืน แต่ไม่ต้องรอให้ดึกขนาดนั้น เหล่านักศึกษาก็เริ่มทยอยกลับไปกันจนผู้คนบางตา

    คชาเก็บชีทเรียนทั้งหมดใส่กระเป๋าตอนเวลาสี่ทุ่มครึ่ง  หลังจากที่เพื่อนๆ ช่วยกันติวให้จนเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด  ที่เหลือคือเรื่องของตัวเขาเองล้วนๆ แล้วว่าจะจำทั้งหมดนั่นลงไปได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันพรุ่งนี้คือวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันว่างวันสุดท้ายก่อนสอบ ยิ่งต้องใช้เวลาให้คุ้ม

    “พรุ่งนี้ไม่มาแล้วใช่ไหม?”  คชาถามเพื่อนๆ อีกครั้ง ในกลุ่มของเขาตอนนี้ ทุกคนดูเก่งกันหมดเว้นก็แต่เขาเอง  ทั้งแอ้น โปเต้ และแพรวา ต่างอ่านจบกันมาแล้วคนละรอบสองรอบ ส่วนเฟรมถึงจะอ่านมาน้อยแต่สมองไวจำแม่นสุดๆ

    “คงไม่มาแล้วล่ะ  สู้ๆ นะคชา ลองอ่านทวนหลายๆ รอบ”  แอ้นเอ่ยยิ้มๆ  แววตาส่งกำลังใจมาให้

    “อืม”  คชายิ้มกลับไป แม้คำว่า อ่านทวนหลายๆ รอบจะฟังดูเป็นอุดมคติสิ้นดี  ก่อนมานี่ยังอ่านไม่ถึงครึ่งรอบเลย แล้วไอ้หลายๆ รอบที่ว่ามันต้องใช้เวลาและความพยายามเท่าไหร่กัน?

    ทั้งหมดแยกย้ายกันกลับถิ่นฐานของตัวเองที่ถนนใหญ่หน้าป้ายรถเมล์ แอ้นโบกแท็กซี่ขึ้นไปกับโปเต้ ส่วนคชากับเฟรมเดินมาส่งแพรวาที่หอพักเพียงพอก่อน

    “บ๊ายบาย...” เสียงแพรวาเอ่ยกับเพื่อนชายทั้งสอง หากแต่แววตาดูจะเหล่มองไปที่เฟรมมากเป็นพิเศษ คชาลอบมองคนทั้งคู่ก็แอบตั้งคำถามในใจ... เขารู้ดีว่าแพรวามีใจให้กับเฟรม แต่เฟรมล่ะ รู้สึกยังไง?

    มันเป็นปริศนาที่ไม่ได้รับการคลี่คลาย หากแต่เขาไม่คิดจะกวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมา ยังไงนี่ก็เป็นเรื่องของแพรวาที่เขาแค่บังเอิญไปรู้เข้า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็นคงจะดีกว่า  ตอนนี้แค่เรื่องตัวเอง...คชายังแทบเอาไม่รอดเลย

    ตาคู่เรียวเหม่อมองไปที่อาคารฝั่งตรงข้าม  บ้านอันอบอุ่นหลังนั้นยังมีไฟลอดออกมาจากห้องบนชั้นสี่  ประตูระเบียงสีขาวในความมืดนั้นยังปิดสนิท คชาแอบหวังเพียงน้อยนิดว่าคนในนั้นจะเปิดออกมาให้เห็นหน้าเพียงเสี้ยวนึง

    “แหม่ๆๆๆ คิดถึงก็ไปหาเขาสิ”  เฟรมที่คุยกับแพรวาเสร็จเอ่ยขึ้นทันที คนตัวเล็กสะดุ้ง เขินเล็กๆ ที่ถูกแซวแบบนี้ แต่ก็บอกปัดไปตามเรื่อง

    “เปล่า”  คชาหันไปตอบเพื่อนซี้ ทว่าเมื่อชะเง้อมองขึ้นไปอีกที ไฟในห้องก็มืดสนิทแล้ว  “เฟรม... กลับหอกันเหอะ”

    “เฮ้ย ไม่ต้องรีบ หอเปิดตลอด อยากไปหาก็ไปดิ้”

    “มันดึกแล้ว”  เขานอนกันหมดแล้ว... คชาตอบเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง  “รีบกลับไปอ่านหนังสือกัน”  ไม่ต้องรอคำตอบจากอีกคน เจ้าตัวก็รีบเดินนำทันที

    เพราะเขาไม่อยากจะรบกวนในยามวิกาล แต่ถึงเต๋าจะยังไม่นอน คชาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าถ้าเจอหน้าแล้วจะพูดอะไร  อาจะเป็นเพราะบางที...ลึกๆ ในใจยังหวังว่าเต๋าจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดอะไรสักอย่างก่อนเหมือนที่เคยเป็น

    เท้าเดินเตาะแตะไปในตรอก มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู... วันนี้มันช่างเงียบสงบ ไม่มีแม้สักสายที่ไม่ได้รับหรือข้อความใหม่จากใครคนเดิม  แอทเลิฟคนนั้นยังไม่ติดต่ออะไรมาเลยตั้งแต่ตอนเที่ยงวันนี้  ข้อความสั้นๆ บอกฝันดีที่เคยได้รับเกือบทุกวัน คชาเพิ่งจะรู้ว่ามีค่ามากแค่ไหน

    แล้วคืนนี้ล่ะ เต๋าจะปล่อยให้เขาฝันร้ายรึเปล่า?

     

     

    ไม่หรอก... คืนนั้นคชาไม่ได้ฝันร้าย

    เพราะถ้าจะให้พูด ต้องบอกว่าไม่ได้นอนเลยจะดีกว่า... แสงสว่างลางๆ ที่เริ่มลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลารุ่งสาง เมื่อคืนหลังจากอาบน้ำ คชาก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนนอนไม่หลับเลยฮึดอ่านหนังสือต่อ อ่านไปกินขนมไป แอบงีบไปสองชั่วโมงก็ตื่นมาอ่านอีกทีจนเช้า

    โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกหยิบขึ้นมาดูเวลา อีกสิบห้านาทีจะหกโมงตรง... แต่มันไม่สำคัญเท่าจำนวนสายที่ไม่ได้รับและข้อความขาเข้าที่ยังเป็นศูนย์  คนตัวเล็กปรือตามองมัน สมองเหนื่อยล้าจนเกินกว่าจะคิดหรือทำอะไร เขาค่อยๆ เอนกายลงบนที่นอนนุ่มตามด้วยผ้าห่มที่คลุมตัว

    ตื่นมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที


     

    - - -


     

                ถึงแม้หมอน เตียงนอน และผ้าห่มนุ่มๆ จะเป็นมูลเหตุในการไม่อยากลุกออกจากที่นอน แต่ด้วยเพราะเพิ่งมานอนจริงๆ จังๆ ในตอนเช้าทำเอาหลับไม่ลึกเท่าที่ควร  คชาตื่นมาด้วยความรู้สึกมึนๆ หัวตอนเกือบบ่ายโมง  ในใจยังคั่งค้างเรื่องที่นึกก่อนนอนอยู่

                มีเพียงคำเดียวในห้วงความคิด... เต๋า

               

                คชาล้างหน้าแปรงฟันพอลวกๆ เขายังไม่ได้อาบน้ำเพราะมีเรื่องอื่นที่ดูสำคัญกว่า คชาลุกเดินออกจากหอพักมายังตรอกเดิมที่เมื่อวานได้เข้ามาแวะเวียน

                ครบ 24 ชั่วโมงแล้วที่ไม่ได้คุยกัน  และเขาก็ยอมแพ้ราบคาบแต่โดยดี

                คชายืนอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ สั่งใส่เครื่อง 3 ถุงกับปาท่องโก๋ยี่สิบบาท  ทว่านัยน์ตายังชะเง้อมายังหลังคาบ้านของใครบางคน

                “ไอ้หนู ได้แล้ว”

                “ครับลุง”  คชาหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ให้คุณลุงเสร็จก็ค่อยๆ เดินไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้แต่แรก หากแต่เมื่อรถครอบครัวคันใหญ่สีกรมท่าแล่นมาจอดตรงหน้าตึกแถวหลังนั้น คชาจึงหยุดมองโดยอัตโนมัติ

                และอีกไม่กี่วินาที เต๋าในชุดเสื้อยืดกางเกงสามส่วนสบายๆ ก็เดินสะพายเป้ใบใหญ่ออกมา ที่เสื้อเหน็บแว่นตาดำ ซ้ำยังสวมหมวกแก๊ปสีน้ำตาล  ประจวบกับที่ประตูรถแวนคันนั้นถูกเปิดออกด้วยหญิงสาวหนึ่งในเพื่อนของเต๋า ผมตัดสั้นย้อมสีแดงเปรี้ยวจี๊ดทำเอาจำได้แม่นว่าเธอชื่อ เดียร์  ส่วนอีกคนที่ตามลงมาจากฝั่งคนขับ คือ น้ำแข็ง

                ทั้งสามคนยืนคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ก็เป็นฝ่ายนั้นที่สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา  ตาคู่คมเพ่งตรงมาที่คชา วูบหนึ่ง เขารู้สึกถึงความอ่อนไหวในดวงตาคู่นั้น

                “จะไปไหนกันหรอ?”  คชาเดินเข้าไปทักด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ... รู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางไปเสียหมด

                “อ้าว คชา”  น้ำแข็งหันมาทักทาย คชาส่งรอยยิ้มแห้งๆ กลับไป  “ไปเสม็ดน่ะ คชาไปด้วยกันเปล่า เต๋ามันมาชวนรึยัง?”

                “ไม่ได้หรอก เราติดสอบน่ะ”  คชาส่ายหน้าให้หนุ่มผมฟูที่แต่งตัวตามสบายแต่ก็ยังดูดี หรืออย่างเดียร์ที่ใส่เสื้อแขนกุดกับยีนส์ก็ดูสวยเฉี่ยวเหมาะกับใบหน้า  แต่พอหันมาดูสภาพตัวเองตอนนี้ที่แม้แต่น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบแล้วช่างไม่เข้ากันซะเลย

    “ยังไงก็เที่ยวกันให้สนุกนะ” เหมือนคชาจะพูดรวมๆ หากแต่สายตาอดจะเหล่กลับมาหาหนุ่มผิวขาวเสียไม่ได้  ตาสองคู่ประสานกัน รู้สึกอึดอัดขึ้นมาแปลกๆ

                “ตั้งใจอ่านล่ะ”  แล้วเต๋าก็เอ่ยปากพูดกับเขาเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งยากจะคาดเดา  คชาได้แต่ยืนมองตัวแข็ง  ต่อหน้าเพื่อนเต๋าเขาไม่รู้จะพูดถึงเรื่องเมื่อวานยังไง... มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องสักเท่าไหร่ ใครได้ฟังก็คงหัวเราะแน่ ทั้งๆ ที่มันไม่ตลกเลย

                ทะเลาะกันเพราะแค่หนังสือการ์ตูน!


                แม้ดวงตาจะเป็นหน้าต่างของดวงใจแต่สุดท้ายก็ยากจะหยั่งรู้เมื่อไม่มีใครปริปาก  เกมจ้องตาของคนทั้งคู่เป็นอันต้องจบลงเมื่อน้ำแข็งเปิดประตูเข้าไปสตาร์ทรถ

                “ไปก่อนนะคชา”  ไม่ใช่เต๋าหรอกที่พูดคำนี้ แต่เป็นเดียร์ต่างหาก เธอส่งยิ้มหวานโบกมือมาให้ก่อนจะหันไปหาเต๋า  “นี่กินอะไรมารึยัง? ซื้อชานมมาฝากอยู่ในรถน่ะ”

                “ก็ดี... ขอบใจ”  เต๋าพูดตอบเพื่อนสาวในกลุ่ม ปลดเป้บนหลังลงมาถือหิ้วไว้แทน

                คชามองตามอีกคนที่กำลังจะขึ้นรถตามเพื่อนไปตาปริบๆ  รองเท้าแตะสีดำคู่นั้นกำลังจะก้าวเข้าไปในรถ  เหมือนระเบิดเวลากำลังนับถอยหลัง แต่ก่อนที่ระเบิดลูกนั้นมันจะตู้มแล้วทุกอย่างหายวับไป  คชาก็ชิงคว้ามือเต๋าเอาไว้ก่อน เขามองสบตาคู่นั้นแน่นิ่ง

                “คือเรา...”  คชาอ้ำอึ้ง ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร เต๋ายืนนิ่งฟังรอเขาพูดต่อ

    “คือ.. เต๋าจะกลับมาวันไหน?”

    “คงวันศุกร์นี้แหละ”

    “เหรอ...ไปตั้งหลายวัน”  ริมฝีปากบางยิ้มกว้างออกมา แต่นัยน์ตาไม่มีวี่แววของความสุขใดๆ  “ดีจัง...ไปเที่ยวตั้งหลายวัน คงสนุกน่าดู”  เสียงเดิมเอ่ยต่อพลางค่อยๆ ผละออกจากข้อมือหนา  “เดินทางดีๆ นะ แล้วเจอกัน”

    “อืม”  เต๋าตอบแค่นั้น เว้นวรรคสักพักเหมือนรออะไรบางอย่าง หากแต่เมื่อปราศจากสิ่งใด  การสนทนาก็จบลงเท่านั้น  เต๋าจากไปพร้อมกับรถแวนคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวไปจากตรอกเล็กๆ ตรงนั้น  ทิ้งคนด้านหลังที่ยืนกำถุงน้ำเต้าหู้ไว้แน่น

    ปกติคชากินแค่ถุงเดียวก็อิ่มแล้ว ส่วนปาท่องโก๋นี่ก็ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น... คงไม่ต้องถาม ว่าซื้อมามากมายเพราะใคร

    สุดท้าย คงต้องโทษความขี้ขลาดของเขาเอง

               

     



                ไม่เคยคิดว่าหอพักตัวเองกับบ้านเต๋าจะอยู่ไกลกันขนาดนี้มาก่อน  เวลาเดินช้าเสมอเมื่อเรารู้สึกไม่สบายใจและคชาก็กำลังรู้สึกเช่นนั้น  ไม่ใช่เพราะพรุ่งนี้สอบ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่  เพราะใครบางคนที่วันนี้ไม่อยู่ให้เขาดื้อใส่... ไม่อยู่เอาใจ ไม่อยู่เคี่ยวเข็ญ ไม่อยู่เป็นเพื่อนเหมือนเคย

                ห้าวันที่จะไม่เจอกัน... จะว่าไป ตั้งแต่ได้รู้จักยังไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้มาก่อนเลย

                มือบางยังกำหูหิ้วถุงน้ำเต้าหู้แน่นจนกระทั่งมาถึงหน้าหอพัก ตอนแรกว่าจะซื้อไปฝากเต๋ากับพ่อแม่เขา แต่พอลูกชายคนโตไม่อยู่ใจก็นึกไม่กล้าเท่าไหร่  คชาเดินใจลอยเข้ามาในหอพักจนถึงหน้าประตูลิฟท์โดยสารที่กำลังจะปิดลง

                อารมณ์ตอนนี้เขาไม่คิดที่จะรีบวิ่งเข้าไป หากแต่คนในนั้นที่กดปุ่มเปิดลิฟท์เอาไว้ช่วยให้เขาเข้าไปได้อีกคน  บรรยากาศในตู้สี่เหลี่ยมแคบๆ เงียบสงัด จนกระทั่งมีคนออกไปในชั้นสี่ เสียงหนึ่งก็เปล่งขึ้น

                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พักอยู่หอนี้หรอ?”  หนุ่มผิวสองสีเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง  คชาฉงนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าในลิฟท์มีคนแค่สองคนจึงหันไปมอง เขาเพิ่งสังเกตว่าคนคนนั้นช่างดูคุ้นตา เหมือนว่าเคยเจอกัน แต่จำไม่ได้

                “เราปอไง... จำได้ไหม ที่เคยเตะบอลด้วยกัน”

                “ปอ? เตะบอล?”  คชาทวนคำ เหล่มองกองหนังสือที่อยู่ข้างกายอีกคน เคมีเอย ชีววิทยาเอย “ปอ... ที่เป็นหมอใช่ไหม?”

                “ไม่ใช่หมอ เราเป็นนักศึกษาแพทย์” 

                ประตูลิฟท์เปิดออกพร้อมด้วยปอที่ยกหนังสือตั้งใหญ่  คชาเดินตามหลังออกมาด้วยเป็นชั้นที่เขาอาศัยอยู่พอดี

                “ตกลงนายอยู่หอนี้หรอ บังเอิญจัง”  น้ำเสียงนั้นยังดูมีชีวิตชีวาเช่นเคย  “เราเพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้เอง อยู่ห้องนี้”  มือที่วางกองหนังสือลงชี้ไปที่บานประตู  ด้านบนติดเลขห้อง 602 เอาไว้ชัดเจน

                “ติดกันเลย เราอยู่ห้องนี้”  คชาชี้ไปที่ประตูห้องตัวเอง... 603

                “จริงหรอ ดีเลย งั้นคงต้องรบกวนคชาบ่อยๆ แล้ว”  ปอยังคงส่งยิ้มหวานให้เขาเช่นเคย  จนคชาเริ่มจะสงสัย ไอ้หมอนี่มันอารมณ์ดีเกินเหตุหรือเพี้ยนกันแน่

    “รบกวนอะไร ใครอนุญาต”  คนตัวเล็กเอ่ยทีเล่นทีจริงแต่หลุดยิ้มออกมาที่มุมปาก... ถึงปอจะยิ้มตลอดเวลา แต่คชาก็คิดว่าดูเป็นคนอัธยาศัยดี ทั้งรอยยิ้มบานแฉ่งที่คลี่ออกจนเห็นฟันซี่เล็ก และดวงตาที่เผยชัดเจนถึงความจริงใจ

    “ต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่ เอานี่ไปก่อนละกัน”  คชาหยิบน้ำเต้าหู้ส่งให้หนึ่งถุง ที่เหลือเก็บไว้เป็นอาหารมื้อเที่ยงของตัวเอง

    “โห...ขอบคุณนะคชา”  ปอส่งยิ้มกว้างกว่าเดิม  “ได้กินแล้วต้องมีแรงแน่ๆ”

    “ก็เว่อร์ไป ไปละนะ”  คชาตอบกลับประโยคสุดท้าย แล้วจึงก้าวเข้าห้อง 603 ของตนเอง

    ประตูห้อง 603 ถูกปิดลงพร้อมด้วยเสียงหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เมื่อคิดถึงเพื่อนข้างห้องคนนั้น... ปอเป็นคนตลกดี และเขาก็รู้สึกถูกชะตา

    เอาน่ะ... อย่างน้อย ก็มีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ อีกคน


     

    - - -


     

                หลังจากที่ตรากตรำอ่านหนังสือ ในที่สุดการสอบวิชาแรกที่ดูหนักที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้แบบพอถูๆ ไถๆ  ส่วนวิชาที่สองที่ตามมาในวันถัดไป  คชาคิดว่าค่อนข้างเป็นไปด้วยดี

                ร่างเล็กในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะเดินก้าวสบายๆ ออกมาจากห้องสอบ  รู้สึกโล่งไปได้อีกหน่อยเมื่อผ่านไปแล้วสองวิชา มือเล็กกดปุ่มเปิดเครื่องโทรศัพท์ที่ถูกบังคับให้ปิดตอนสอบ  ตาเรียวมองมันด้วยความหวังหากแต่คำตอบก็ยังไม่ต่างจากเดิม

                เต๋าไม่ติดต่อมาสองวันแล้ว

                พอคิดตามสีหน้าก็พลอยหดหู่  มือบางยังคงถือเครื่องมือสื่อสารเอาไว้จนมาถึงร้านอาหารมื้อเที่ยงใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยกับเพื่อนซี้อีกสองคน... แก๊งค์สามหนุ่มเนื้อทองกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

                “เป็นอะไรวะชา?”  โปเต้ถามขึ้นขณะรออาหารที่สั่ง

                “หือ...เปล่า”  ตอบปฏิเสธโดยแทบไม่คิด  “ทำไมหรอ?”

                “แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ ไหนบอกทำข้อสอบได้ไง”  โปเต้ถามกลับ

                “ทะเลาะกะแฟนอะดิ”  เฟรมเดาคำตอบให้ หากแต่คชารีบสวนกลับทันควัน

                “เปล่า ไม่ใช่แฟน”  ใบหน้าหวานยับย่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ  “กูยังไม่มีแฟนสักหน่อย”

                “หรออออออออออออออ”  เฟรมลากเสียงยาวใส่กวนๆ แต่ท่าทีคนถูกกวนดูจะไม่สบอารมณ์เล่นด้วยสักเท่าไหร่นัก

    “ว่าแต่ช่วงนี้ทำไมไม่เจอเต๋าวะ?”  โปเต้ตั้งข้อสังเกต เพราะปกติน่ะ เรียกว่าแทบเป็นเงาตามตัว

                “เขาก็มีเพื่อนของเขาสิ ก็ต้องไปเที่ยวกันบ้าง”  คชาตอบออกมาเหมือนไม่คิดอะไรหากแต่ในใจมันจุกเล็กๆ... มันเป็นเหตุผลปลอบใจตัวเองที่คชาใช้มาตลอดสองวันที่เต๋าไม่ได้โทรหาเลยสักครั้งเดียว

    “ไปเที่ยวไหนกันวะช่วงสอบ... เออ ลืมไป พวกเด็กอินเตอร์ยังไม่เปิดเทอมนี่หว่า”  เฟรมถามเองตอบเองเสร็จสรรพ

    “เขาไปทะเลกับเพื่อนน่ะ กลับมาวันศุกร์”  คชาเลี่ยงการเอ่ยชื่ออีกคน...ไม่ถึงกับต้องแทนว่าคนที่คุณก็รู้ว่าใคร’… คชาก็แค่เลี่ยงการคิดถึงที่มากเกินความจำเป็น

                “คิดถึงอะดิ?”  หนุ่มแว่นยิ้มล้อๆ คชาไม่ตอบหากแต่ในใจเห็นด้วยเสียเต็มประดา

                ใช่... คิดถึง คิดถึงมาก

                “คิดถึงก็โทรไปหาดิ”  เฟรมแนะต่อ  “ความคิดถึงมันห้ามไม่ได้เว่ย เพราะงั้นคิดถึงก็โทรเลย อย่าไปคิดอะไรมาก”

                คนตัวเล็กอดถอนหายใจออกมายาวๆ เสียไม่ได้... มันเป็นความรู้สึกของคนที่ถูกเทคแคร์มาตลอดแต่วันนึงต้องกลับกัน

                “เออ เรื่องแค่นี้จะเครียดทำไม”  โปเต้เอ่ยต่อ  “ไม่เคยฟังเพลงของนิวจิ๋วหรอวะ...รอแล้วได้อะไร... ถ้าไม่กล้าก็ส่งข้อความก็ได้ แต่พิมพ์หาแค่นี้เอง

    “เออ จริง ไม่เห็นมีอะไรต้องอาย หน้าก็ไม่เห็น เสียงก็ไม่ได้ยิน”

    คนตัวเล็กนิ่งทบทวนคำพูดของเพื่อนซี้ทั้งสอง ทว่าอาหารที่มาเสิร์ฟก็คั่นจังหวะความคิดลงเพียงเท่านั้น  เฟรมกับโปเต้ไม่ได้พูดกับเขาเรื่องนี้อีก ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นต้องพลอยเป็นห่วงหรือคิดมากตาม

     

     

    คืนวันเดียวกัน หลังจากอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาที่สามเสร็จแบบลวกๆ  ร่างเล็กในชุดนอนสีฟ้าก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่นานสองนาน  สายตายังคงเพ่งมองไปที่ตัวหนังสือเล็กๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของตน

     

    คชากำลังอ่านข้อความเก่าๆ ที่เต๋าเคยส่งมาให้... ถึงฝ่ายนั้นจะไม่ได้ส่งอะไรมายาวนักแต่ทุกคำมันกลับกระทบมาถึงจิตใจให้เต้นรัว

    ทั้งๆ ที่ตอนได้รับแทบจะอ้วกออกมาตรงนั้น แต่พอตอนนี้เขากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

    อยากนอนกอดหมอนข้างดิ้นได้

    คิดถึงนะแอทเลิฟ

    ฝันดีนะคะชา

    ลอบยิ้มกับข้อความเหล่านั้นเบาๆ พลันก็นึกถึงสิ่งที่เพื่อนทั้งสองบอกตอนเที่ยงวันนี้  คชานั่งคิดนิ่งๆ อยู่สักพัก  นิ้วเล็กก็กดเข้าเมนูพิมพ์ข้อความ  คำพูดมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้นิ้วกดพิมพ์กดลบไปๆ มาๆ 

    จนสุดท้ายเหลือเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

                อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ

                หัวใจเต้นรัวอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อตัดสินใจได้ว่าจะส่งคำนี้หลังจากคิดมาหลายต่อหลายตลบ  คชากลั้นใจกดปุ่มส่งออกไปยังปลายทาง  ตาเบิ่งมองดูรูปจดหมายสีครีมที่กำลังแสดงเครื่องหมายอยู่ในระหว่างการส่ง

                หากแต่เครื่องหมายตกใจที่ปรากฏ ก็ทำเอาเจ้าของโทรศัพท์ขมวดคิ้วเบาๆ

                ไม่มีจำนวนวันเพียงพอสำหรับการใช้บริการ  เติมวัน กด @$^&)!#’

    ข้อความจากระบบเครือข่ายเป็นตัวชี้แจงได้เป็นอย่างดี ส่วนท้ายบอกถึงระยะเวลาของโปรโมชั่นเดิมที่ใช้อยู่ว่ากำลังจะหมดในอีกไม่กี่วัน  ดูนาฬิกาตอนนี้ก็ดึกแล้ว และคชาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะเดินไปมินิมาร์ทที่ถัดไปอีกสองซอยเพื่อซื้อบัตรเติมเงิน

                คชาถอนหายใจหน่วงๆ ออกมาเมื่อสุดท้ายทุกอย่างก็ยังไม่ต่างจากเดิม  ขาลุกเดินไปปิดสวิตช์ไฟเตรียมเข้านอน

                ในห้องสี่เหลี่ยมมืดๆ  คนตัวเล็กฝังตัวเองลงบนที่นอนนุ่มอีกครั้ง  ตาคู่เรียวมองดูแสงวาบจากโทรศัพท์ที่หัวเตียง

    มือถือย่อมมีวันหมดโปรโมชั่น...

    แล้วคนล่ะ หมดไปรึยัง หรือเพราะอะไร?

               

     

               

               

     


    TBC



    ยังจำนศพ.คนนั้นได้หรือไม่ เคยถูกพูดถึงเพียงหนึ่งบรรทัด แต่วันนี้โผล่มาแล้ว (จริงๆตอนแรกไม่ได้จะให้มีบท แต่ก็มีจนได้ 555) ช่วงนี้คนแต่งกำลังเซ็งเรื่องบัตรคอน แล้วไหนจะสอบอีก แวะมาลงฟิค เห็นคนเครียดกันเยอะ หวังว่าจะหายเครียดกันบ้างนะ
    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า

    ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะ คาดว่าจะมาต่อหลังเรื่องนี้จบ ซึ่งคงอีกสักพักเพราะเพิ่งวางพลอตต่อ (โธ่)

    "Like the Sunshine"  http://writer.dek-d.com/bozang/writer/view.php?id=839681
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×