คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : [21] crush my bone - Cesseo Norberto
[ crush my bone ]
มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้สิบสองปี
ร่างเล็กจ้อยของเด็กชายวัยสิบสองเจ้าของดวงตาสีฟ้ากระจ่างกวาดสายตามองไปรอบตัว เห็นสภาพเละเทะของทั้งตัวเขาและสถานที่ รวมถึงตัวเพื่อน ๆ และสุนัขตัวหนึ่งที่วิ่งหนีร้องตะเกียตะกายออกไปทั้งเลือดที่ไหลอาบหยดเป็นทาง เขากะพริบตาคล้ายไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ แต่เหมือนว่าเมื่อสักครู่ ตอนที่เขาเหวี่ยงมีดในมือออกไป คมมีดคงไปตัดเข้าที่เนื้อของมันเข้า
"สุดยอดเลยแคส!" เพื่อนชายที่เกือบโดนสุนัขตัวโตงับจนจมเขี้ยวกระโดดดึ๋งขึ้นมา ซี้ดปากเล็กน้อยกับแผลเข่าถลอก แต่ก็ยังมีดวงตาเป็นประกายระยับตอนที่มองมายังเขา "หมานั่นตัวใหญ่เกือบเท่าพวกเราเลยนะ นายไล่มันไปได้ไงน่ะ โคตรเจ๋งเลย!"
จากนั้น เพื่อน ๆ คนอื่นก็เริ่มออกปากชมบ้าง พูดกันเสียงเดียวว่า 'สุดยอดชะมัด'
ตอนนั้นแคสซิโอยังเด็ก แต่เขาก็พอรู้ว่าเสียงร้องโหยหวนของสุนัขตัวนั้นกำลังบ่งบอกว่า 'มันเจ็บ' แต่ทว่าถึงอย่างนั้นเเล้ว ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะเขาเองก็เจ็บเหมือนกันตอนที่ตัวเองหกล้ม เพื่อน ๆ ก็ยังพูดออกมาว่าการกระทำของเขาเมื่อสักครู่มันเยี่ยม
"ก็ดีนี่ ถือว่าป้องกันตัวได้ไง"
หรือแม้แต่พ่อแท้ ๆ ของเขาก็ยังมีสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว กล่าวทั้งหน้าตาเฉยเมยอย่างถึงที่สุด
"แต่ว่ามันทำให้หมาตัวนั้นเจ็บนะพ่อ" เขาพูดกับไป ยังมีสายตาที่ดูสับสนไม่เข้าใจนิดหน่อย และตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากแม่ เธอยกจานมื้อเย็นมาวางบนโต๊ะ เรียกให้เขามานั่งบนเก้าอี้แล้วตักอาหารโปรดให้กับแคสซิโอ
"ถ้ามีการสู้กัน คนที่อ่อนแอกว่าก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา..มันคือการยอมรับผลที่ตามมา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรหรอกจ้ะ"
แคสซิโอรับฟังคำสอนนั้นเงียบ ๆ พลางพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ดูเข้าใจขึ้นมาหน่อย โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า สิ่งที่พ่อแม่กำลังปลูกฝังให้เขานั้น..ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแบบที่เด็กทั่วไปควรจะได้เรียนรู้เลยด้วยซ้ำ
แคสซิโอเกิดและเติบโตขึ้นมาในครอบครัวมาเฟีย
แถมยังเป็นมาเฟียที่ทำเรื่องผิดกฎหมายแบบเต็มรูปแบบเลยด้วยล่ะ
ตั้งแต่เด็ก ๆ ภาพที่เห็นจนชินตานั้นมีอยู่ไม่มาก หนึ่งคือภาพของคุณพ่อและพวกลูกน้องที่ให้ความเคารพพ่ออยู่เสมอ สองคือภาพของอาวุธมากมายที่คนในแคน (Clan) พกเดินไปมาอย่างกับเป็นเรื่องปกติ บางวันในขณะที่กำลังนั่งกินขนมอยู่ในห้องนั่งเล่น ก็เห็นคุณพ่อคุยเรื่องธุรกิจกับใครไม่รู้ พวกเขาเเลกเงินกับอาวุธอันตรายหลาย ๆ อย่างและกลับไป แต่บางครั้ง..เขาก็เห็นว่าลูกค้าที่ไม่น่ารักของคุณพ่อบางคนก็ไม่ได้กลับไปเช่นกัน
แคสซิโอนั้นไม่ได้สนิทกับพ่อสักเท่าไหร่ หรืออย่างน้อยก็ในตอนเด็ก ๆ พ่อเป็นพวกติดงาม ก็เลยชอบทำงานมากกว่าเล่นลูกชาย นั่นทำให้เขามักไปตัวติดอยู่กับแม่ซะมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดว่าเป็นเด็กติดแม่หรอก เขาก็มีเพื่อนคนอื่นเหมือนกัน แค่นับถือและชอบเเม่มาก ๆ ก็แค่นั้นเอง
แม่ของแคสซิโอเป็นสาวต่างชาติ เหมือนว่าจะเป็นชาวเอเชีย..แน่นอนว่าไม่ใช่อิตาลี มีดวงตาสีดำขลับกับเส้นผมสีดำเงางาม แม่ยิ้มอยู่บ่อย ๆ อ่อนโยนและใจดีกับเขา เป็นผู้หญิงที่ลุคภายนอกดูอ่อนหวาน แต่ก็น่าแปลกดีที่ทุกคนก็ก้มหัวให้แม่ด้วยความเคารพและความกลัว ไม่ใช่แค่เพราะว่าเธอเป็นเพียงภรรยาของบอสมาเฟียแต่อย่างใด
"นั่นเพราะพวกเขารู้ว่าใครที่ควรเคารพ" วันหนึ่งหญิงสาวตอบสายตาที่ดูสงสัยของเขา เธอรู้เสมอนั่นแหละว่าเขาคิดอะไรอยู่ "และถ้าเขาไม่เคารพคนที่เก่งกว่า พวกเขาก็อาจจะตายได้ง่าย ๆ"
เด็กชายวัยสิบสองเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกสงสัยมากกว่าเดิม "แม่เก่งกว่าเหรอ" ถามคำถามโง่ ๆ ออกไป
หญิงสาวอมยิ้มไม่รับรู้ บอกกับเขาแค่ว่า "ถ้าโตขึ้นเดี๋ยวก็รู้เอง" และกลับไปเพลิดเพลินกับชาร้อนของเธอต่อ
แคสซิโอไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ และก็เหมือนว่าแม่จะมีความสุขกับการจิบชามาก เขาขอตัว วันนี้ไม่ได้ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เพราะทุกคนยังมีแผลจากตอนที่ถูกสุนัขตัวโตนั่นวิ่งเข้าใส่ไม่หาย ดังนั้นวันนี้เป้าหมายของแคสซิโอจึงเปลี่ยนไป เขาวิ่งไปสวนหลังบ้าน เดินไปตามที่คุ้นเคย ก่อนจะโผล่หน้าเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ มากมาย และด้านในนั้น ก็มีลูกน้องของพ่อนั่งอยู่
"อ้าว นายน้อย วันนี้ก็มาอีกแล้วเหรอครับ?" ชายร่างโตเอ่ยด้วยยิ้มกว้างที่ดูน่าขนหัวลุกเล็กน้อย แต่เหมือนว่าเขากำลังทะเลาะกับเพื่อนตัวเองอยู่นะ? "เอ๊ะไอ้เวรนี่ ก็บอกว่าให้หุบปากได้เเล้วไงวะ"
"นี่ ๆ" มือเล็กรั้งชายกางเกงของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องหันกลับมาสบกับดวงตาสีฟ้าใส "ไอ้เวรแปลว่าอะไร? ทำไมทุกคนพูดคำนี้กันบ่อยจังเลยอะ"
"เอ่อ ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ไว้เรียกคนอื่นเฉย ๆ น่ะครับ"
เมื่อได้รับคำตอบมา เด็กชายก็ถึงกับร้อง "อ้อ" พลางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ จดจำมันเข้าไปในสมอง และเพราะเขาเห็นพวกลูกน้องพ่อก็ชอบเรียกกันแบบนี้บ่อย ๆ เขาถึงได้ไม่แปลกใจนัก "แล้วไอ้ห่าล่ะ" แต่เหมือนจะมีเรื่องให้สงสัยเพิ่ม ชายคนเดิมเริ่มจะแสดงสีหน้าเลิกลั่ก เพราะเขาก็ไม่ใช่ว่าจะอธิบายเก่งขนาดนั้น เขารีบตัดบทว่ามันก็เหมือน ๆ กันหมด เเล้วรีบพาเด็กชายไปหาเรื่องน่าสนใจอื่น ๆ ทันที
"มาครับมา ผมสอนนายน้อยใช้มีดดีกว่าเนอะ"
พอได้ยินชื่อของที่ชอบ ดวงตากลมก็เป็นประกายระยับทันที แคสซิโอเมินเฉยเรื่องก่อนหน้าไปอย่างว่าง่าย เขาเดินตามอีกฝ่ายไปเพื่อที่จะไปดูมีดและดาบจากต่างประเทศที่ถูกเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ เลือกหยิบมาสักอัน แล้วก็ให้ชายตัวโตช่วยสอนให้เหมือนกับวันอื่น ๆ ด้วยสีหน้าที่สนุกสนานและตื่นเต้น หรือแม้แต่ตอนที่เขาเผลอทำมีดบาดมือตัวเอง เขาก็ยังหัวเราะเเล้วบอกว่า "พลาดซะเเล้วสิ" แค่นั้นเอง
แคสซิโอได้รับการสั่งสอนหลายอย่าง แต่เขาไม่เคยถูกสอนว่าให้ร้องไห้ตอนที่รู้สึกเจ็บ
แรก ๆ มันเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันนิดหน่อย เพราะรู้สึกเจ็บใจจะขาด แต่พอจะร้องไห้ก็ไม่รู้จะร้องทำไม เพราะพ่อที่เห็นเขาหกล้มก็แค่หัวเราะเเล้วบอกว่า "ซุ่มซ่ามจริงไอ้ลูกคนนี้" แม่ก็ด้วย..ทุกคนที่นี่ ทำเหมือนกับว่าความเจ็บเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปหมด ขนาดบางวันเขาเห็นลูกน้องของพ่อที่สนิทกับเขาดีบาดเจ็บกลับมา พวกนั้นยังยิ้มแหย ๆ แล้วบอกเขาว่า "เผลอโชว์ออฟเยอะไปหน่อย เลยโดนกระสุนปักไหล" ไม่มีท่าทีจริงจังอะไรกันสักนิด
ทุกคนมีความคิดว่าถ้าเจ็บก็แค่รักษา ถ้าพลาดก็แค่ฝึก แล้วจากนั้นเมื่อเก่งยิ่งกว่าเดิม คนที่เจ็บก็จะไม่ใช่เราอีก
เป็นสังคมของความรุนแรง ป่าเถื่อน และบิดเบี้ยวโดยสมบูรณ์ — นั่นแหละคือโลกในแบบที่แคสซิโอเติบโตมา
หนึ่งปี สองปี สามปี ผ่านไปเรื่อย ๆ จากเด็กชายวัยสิบสองก็เริ่มโตขึ้น พร้อมกับความคิดแบบผิด ๆ ที่ปลูกฝังลงมาในหัว ค่านิยม ทัศนคติ การแสดงออก ทั้งหมดนั่นล้วนแตกต่างไปจากพวกคนธรรมดา ๆ มันมีความผิดเพี้ยนอยู่ในนั้น แต่แคสซิโอก็ยังเติบโตมาเป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริงและอารมณ์ดี ออกจะติดตลกเสียด้วยซ้ำ แค่ว่ามีความป่าเถื่อนอยู่ร่วมในตัวมากไปหน่อยแค่นั้นเอง..
รึเปล่านะ..?
ตึง!!
ร่างสูงใหญ่โตของชายคนหนึ่งถูกทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนเขาจะถูกแขนและขาของอีกฝ่ายเข้าล็อคกดตามจุดเฉพาะอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงของคนที่น้อยกว่าเขาเกือบครึ่ง ตอนนี้กำลังบีบรัดอยู่บนลำคอของเขา ชายหนุ่มอ้าปากเผยอ พยายามจะกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอด แต่ก็ทำไม่ได้ — สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องฟาดมือลงบนพื้นรัว ๆ เพื่อบอกให้คนที่ล็อกลำคอเขาอยู่ปล่อยมือในที่สุด
และในเวลาต่อมา ร่างของชายร่างใหญ่ก็ได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระในที่สุด เขาสำลักน้ำลายออกมา ในขณะที่ผู้กระทำขยับตัวลุกขึ้นยืนสบาย ๆ กอดอกมองด้วยสีหน้าเศร้าใจไม่น้อยกับระยะเวลาแสนสั้นของการต่อสู้ในคราวนี้
"ไหนบอกว่าเก่งที่สุดไง โกหกแบบนี้มันน่าจับตัดลิ้นนะนายน่ะ"
"โธ่ นายน้อยครับ — ผมน่ะเก่งสุดเเล้วจริง ๆ นะ คุณต่างหากล่ะที่เก่งไปน่ะ" ชายหนุ่มร้องโอดครวญไปก็นวดลำคอของตนไป เขาเเสดงสีหน้าที่บ่งบอกชัดเจนว่าเจ็บสุด ๆ
"คราวหลังทนให้มันนานกว่านี้หน่อยสิ ไม่ทันจะได้ลองท่าใหม่เลยนะ"
"ขืนทนผมก็ตายก่อนดินายน้อย"
แคสซิโอเบ้ปากด้วยคำหมั่นไส้กับการอวดครวญที่ดูเกินพอดีนั่น แต่สุดท้ายเขาก็หยักไหล่เบา ๆ คล้ายกับว่าไม่สนใจนัก และยื่นมือไปช่วยให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน เป็นจังหวะเดียวกับตอนที่หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องฝึกซ้อม และทันทีที่เขาเห็นว่าเธอคือใคร รอยยิ้มของเขาก็แย้มกว้างทันที
"แม่" แคสซิโอเอ่ยเรียกเธอ รีบวิ่งเข้าไปหาทันที "จะมาช่วยผมซ้อมเหรอวันนี้?"
หญิงสาวหัวเราะให้กับท่าทีที่กระตือรือร้นและดวงตาเป็นประกายของเจ้าลูกชายตัวแสบ แต่เธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ นั่นทำให้เขาร้องโหยออกมาด้วยความเสียดาย ทำสีหน้าบึ้งตึงทันที
"แค่จะมาบอกว่าคุณพ่อเขาอนุญาตให้เราทำงานจริง ๆ ได้แล้วนะ"
"จริงเหรอ!?"
ดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจทันที เขายิ้มกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อได้เห็นคุณแม่ผงกศีรษะรับเพื่อยืนยัน แคสซิโออาศัยอยู่ในครอบครัวมาเฟีย แต่เขาก็ไม่เคยได้ลองทำงานมาเฟียแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง เพราะพ่อมักพูดว่าเขายังไม่พร้อม นั่นทำให้แคสซิโอได้แต่ศึกษาดูงานห่าง ๆ รวมถึงเรียนเรื่องที่ควรรู้อย่างการยิงปืน การใช้อาวุธ การต่อสู้ การเจรจาต่อรองกับคนอื่นและการพูดที่ใช้ได้ผลจากผู้เป็นแม่และพวกลูกน้องในแคนไปเรื่อย ๆ
แต่เหมือนว่าคราวนี้เขาจะได้ทำมากกว่านั้นแล้ว แคสซิโอดีใจจนเเทบเต้น เขาศึกษางานของพ่ออยู่ในกรอบที่พ่อกำหนดไว้ให้มาโดยตลอด พอจะได้รับการอนุญาตให้ทำตามใจยากได้สักที มันก็ทำเอาเขาแทบรอไม่ไหวเลยเชียว
"แคส" แต่ก่อนหน้านั้น แม่ก็เรียกเขาเอาไว้ก่อน ทำให้เขาต้องหันกลับไปหาเธอก่อนอย่างช่วยไม่ได้ "แม่มีคำถามจะถาม"
แคสซิโอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขายืนนิ่งเพื่อรอฟังคำถามจากผู้เป็นแม่ แอบคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่รึเปล่านะ..?
"ลูก..พร้อมที่จะฆ่าคนรึเปล่า?"
แต่ตอนที่เธอถามออกมาจริง ๆ เขาก็อดไม่ได้เลยที่จะเผลอหลุดยิ้มขบขันออกไปทั้งแบบนั้น
"โธ่ ผมก็นึกว่าเรื่องอะไรซีเรียสสักอีก" แคสหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ เขายิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม เขาตอบคำถามของมารดาบังเกิดเกล้า ที่มันทำให้ยิ้มขึ้นมาเช่นเดียวกับเขาและคนอื่น ๆ ภายในห้องนั้น
"นั่นมันก็ปกติสำหรับเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?"
ความคิดบิดเบี้ยว ทัศนคติที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไป
แคสซิโอ นอร์เบอร์โต้ เติบมาเป็นคนแบบนั้น, เขาอาศัยอยู่ในสังคมของสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน
ยิ่งเมื่อได้เข้าไปทำงานกับแคนอย่างเต็มตัว เขาก็ยิ่งสัมผัสถึงสิ่งที่เขาเคยได้เห็นแต่ห่าง ๆ มากขึ้น การต่อสู้ที่รุนแรงถึงขั้นการเอาชีวิต เลือด กลิ่นสนิม กระสุนตะกั่ว หรือกระทั่งความรู้สึกในตอนที่มีดกรีดตัดผ่านเนื้อ เขารับรู้และซึมซับมันเข้าไปในร่างด้วยมือของตัวเองเป็นครั้งแรกในตอนที่อายุได้สิบหก
"แกมันโรคจิต! ครอบครัวของแกมันสารเลว!! พระผู้เป็นเจ้าจะไม่มีวันยกโทษให้คนบาปแบบพวกแกแน่ พวกแกทั้งหมดจะต้องถูกสาป!!"
จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยด่าทอเขาแบบนั้น แต่หลังจากนั้น หล่อนได้พูดอะไรรึเปล่า? ไม่รู้สิ เขาจำไม่ได้ เพราะทันทีที่เขากระชากผมของหล่อนขึ้นมาแล้วใช้มีดในมือปาดคอขาว ๆ นั่นจนเนื้อเปิด เลือดก็อาบท่วมและในที่สุดหล่อนก็หุบปากสนิทไปตลอดกาล ไม่สามารถลุกขึ้นมาเดินพล่ามแหกปากด่าสาปแช่งอะไรได้อีก และสำหรับแคสซิโอ..มันน่าเบื่อสิ้นดี
"ถ้ามีคนที่สู้ด้วยสนุกกว่านี้ก็ดี" วันหนึ่งเขาบอกกับแม่ ทำสีหน้าเศร้าใจ เล่าถึงเหยื่อที่จำไม่ได้ว่าสีตาเป็นสีฟ้าหรือเขียวกันแน่คนนั้น
"เดี๋ยวลูกก็จะเจอเอง สักวันหนึ่งนั่นแหละ" แม่ของเขาพูดปลอบพลางลูบหัวเด็กหนุ่มไปมา "เหมือนที่แม่เจอพ่อของลูกไง"
แคสซิโอผงกศีรษะรับอย่างเข้าใจ และรับรู้ได้ในความหมายนั้นทันที แม่มาจากญี่ปุ่น เป็นทายาทคนโตของตระกูลยากูซ่าเลื่องชื่อ แต่เธอก็ยอมจากบ้านเมืองมาไกลจนถึงอิตาลีด้วยเหตุผลเดียวนั่นคือพ่อ
รักเหรอ? ก็คงใช่..แต่ไม่ทั้งหมดหรอก
มันเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นเป็นคนเดียวที่ไม่ตายหลังจากถูกเธอทุ่มลงพื้นต่างหาก
สองแม่ลูกนอร์เบอร์โต้มีส่วนที่เหมือนกันเต็มไปหมด เหมือนกันซะยิ่งกว่าแกะ หน้าตา นิสัย ท่าทาง เรียกได้ว่าโขลกออกมาจากเบ้าเดียวกันถึงขนาดที่นายท่านแห่งนอร์เบอร์โต้ได้แต่ถอนหายใจ บ่นอุบอิบไปว่าไอ้ลูกชายมันจะไม่ได้เลือดเขาไปบ้างหน่อยเลยรึไงนะ แต่เมื่อเห็นแคสซิโอจัดการกับงานในแคนได้ดี ไม่ใช่แค่เฉพาะงานที่เขาสามารถเล่นสนุกได้ แต่ยังเป็นถึงการรับหน้าและการต่อรองอื่น ๆ มันก็เริ่มทำให้รู้สึกว่านี่สิ ลูกชายของนอร์เบอร์โต้
ทุกอย่างในชีวิต ถึงมันจะผิดแผกและไม่ปกติ แคสซิโอก็อดคิดไม่ได้เลย ว่าพระเจ้าได้วางเส้นทางเอาไว้ให้เขาหมดเเล้ว
ใช่..วางเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบเลยด้วยล่ะ
ปัง ๆๆ!!!
กระสุนปืนนับไม่ถ้วนสาดไปทั่วบริเวณ กลิ่นเขม่าปืนผสมกับกลิ่นควันและกลิ่นเลือด คลุ้งไปทั่วจนชวนให้สำลัก ร่างของเขายืนอยู่กองไฟ แคสซิโอรู้สึกแสบตาไปหมด แต่เขาก็ยังมีสติมากพอจะก้มต่ำและพยายามหาทางออกไปจากกองเพลิงนรกที่เคยเป็นคฤหาสน์นี่
"นายน้อย ทางนี้ครับ"
เสียงเรียกที่ไม่ได้ดังมากนักดังขึ้นจากทางซ้ายมือ แคสซิโอขมวดคิ้วมองแผ่นไม้ที่ถมทับกันอยู่และกำลังลุกไฟ แต่เขาก็ไม่มีเวลาให้ใจมันมากนัก ชายหนุ่มวัยยี่สิบเหวี่ยงเสาตั้งของตกแต่งใส่กองไม้จนมันล้มลงกระจัดกระจาย แล้ววิ่งพรวดฝ่าเข้าไปในกองเพลิงทันที โดยไม่สนเลยว่าอาจมีส่วนหนึ่งของชายเสื้อที่เกิดจุดไฟติดขึ้นมา ลูกน้องคนสนิทของเขาช่วยคว้ามือเขาเเละดึงออกมาจากกองเพลิงอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้เขาไม่ถูกย่างเกรียมอยู่ตรงนี้
"นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรกันแน่" แคสซิโอกัดฟันพูดเสียงต่ำ รีบวิ่งไปตามทางที่อีกฝ่ายกำลังนำไปทันที
วันนี้วันเสาร์ วันธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยด้วยซ้ำ พ่อของเขาไม่อยู่ที่นี่เพราะต้องไปดีลเรื่องกับมาเฟียอีกแคนพร้อมกับคนกว่าครึ่ง คฤหาสน์ทั้งหลังมีการป้องกันหละหลวมกว่าเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้น้อยถึงขนาดไม่มีเลย แล้วทำไมพวกเวรนี่ถึงโผล่มากันเต็มไปหมด?
"เราโดนหักหลังครับ" เสียงตอบรับนั้นทำให้เขาตัวเย็นเฉียบไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ "คุณผู้หญิงฝากมาบอกว่าให้นายน้อยหนีไปจากอิตาลีก่อน ยังไงซะตอนนี้เราก็สู้ไม่ได้เเน่ ๆ แล้วนายท่านเองก็เสียชีวิตแล้วด้วยครับ"
ข่าวทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาในครั้งเดียว และแคสซิโอไม่รู้เลยว่าเขาควรจะตกใจกับอะไรก่อนกันแน่
เขาก็แค่เข้านอนไปเหมือนกับทุก ๆ วัน แต่กลับต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงปืนที่กระหน่ำไปทั่ว ควันไฟนั่นทำให้เขาสำลักจนต้องรีบปืนลงมาจากหน้าต่างชั้นสาม แล้วก็ต้องมาเจอกองเพลิงสูงท่วมหัว วิ่งหนีห่ากระสุน หลบซุกซ่อนไปตามทางแล้วมาจบด้วยการฟังข่าวว่าพ่อตัวเองตายแล้วเนี่ยนะ?
'พวกแกทั้งหมดจะต้องถูกสาป!!'
อยู่ ๆ เขาก็เกิดจำเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาได้..คนที่เขาฆ่าไป แต่ถึงอย่างนั้น..ก็นึกหน้าของไม่ออกอยู่ดี..
"แคส"
กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอเหม่อลอยไปมาก ก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น ร่างกายของเขาสะดุ้งเบา ๆ แคสซิโอหันมองรอบตัว พบว่าตอนนี้ลูกน้องของพ่อพาเขาหนีมาไกลจนถึงท่าเรือแล้ว และคนที่อยู่ตรงหน้าเขา— ก็คือแม่
ชายหนุ่มโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ในทันที เช่นเดียวเธอเองก็ด้วย สองแม่ลูกกอดกันอยู่แค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว หญิงวัยกลางปล่อยตัวลูกให้เป็นอิสระ เธอหยิบหมวกขึ้นมาสวมให้กับเขา ยื่นกระเป๋าให้ใบหนึ่งพร้อมกับตั๋วเครื่องบิน และทุกอย่างนั่นก็ไวมากเสียจนแคสซิโอแทบจะประติประต่อเรื่องราวไม่ทันด้วยซ้ำ
"เรือนี่จะไปจอดที่ชายฝั่งข้างสนามบิน แม่ซื้อตั๋วไว้ให้ลูกแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรลูกก็จะไปถึงที่นั่นได้อย่างปลอดภัย"
"ที่นั่นอะไร? แม่จะให้ผมไปไหน?"
"เมืองไร้นาม" หญิงสาวตอบ ท่าทีของเธอดูเร่งรีบมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอถูกเร่งว่าเรือกำลังจะออกแล้ว "ที่นั่นลูกจะใช้ความสามารถของลูกได้ดีกว่า อาจจะต้องเริ่มจากศูนย์ แต่แม่รู้ว่าลูกจะเอาตัวรอดได้แน่ ๆ..ออกัสจะไปกับลูกด้วย ระวังตัวด้วยล่ะ เข้าใจไหม?"
แคสซิโอ้พยักหน้ารับแม้จะยังงุนงง มันเป็นแบบนี้ตลอด เขาเชื่อฟังแม่ของเขา แต่ในตอนนี้ สัญชาตญาณกลับกำลังบอกให้เขาปฏิเสธเธอ..ปลายนิ้วบีบรั้งข้อมือของผู้เป็นแม่เอาไว้ เขาอ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะถามคำถามนั้นออกไปในที่สุด
"แม่จะตามมาทีหลังใช่ไหม?"
บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร หากแต่เมื่อมารดาดึงมือของเธอกลับไป แคสซิโอก็ต้องข่มฟันแน่นเพื่อกลั้นอารมณ์ของเขาเอาไว้ให้ดีที่สุด
"นอร์เบอร์โต้คือที่ของแม่..พวกมันที่คิดเหยียบเข้ามา แม่จะไม่มีวันยอมให้มันอยู่กันอย่างสุขสบายหรอก"
หญิงวัยกลางพูดไว้เเค่นั้น เธอจูบแก้มอำลาลูกชาย และเพราะรู้ว่านี่เป็นครั้งสุด เธอจึงถอดสร้อยเส้นหนึ่งออกมาคล้องให้กับแคสซิโอ เขาจำได้ในทันทีว่าแหวนที่คล้องอยู่กับสร้อยนั้นคือแหวนแต่งงานของแม่ แคสซิโอกอดแม่แน่น จนกระทั่งได้ยินเสียงย้ำเตือน เขาก็ต้องปล่อยมือออกจากเธอและก้าวเท้าขึ้นไปบนเรือนั่น เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ใหม่นั้น..โดยทิ้งครอบครัวของเขาเอาไว้ข้างหลัง เป็นการแลกกับโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตต่อไปแทนที่พ่อและเเม่ของเขาเอง..
'แกมันโรคจิต!'
'ครอบครัวของแกมันสารเลว!'
'พระผู้เป็นเจ้าจะไม่มีวันยกโทษให้กับพวกแก!!'
'พวกแกจะต้องถูกสาป!!!'
พรึ่บ!!?
ร่างที่นอนพิงกล่องไม้อยู่นั้นขยับลุกพรวดขึ้นมาในทันที เขาหอบหายใจหนักกับภาพความฝันที่ปรากฏในตัว แคสซิโอยกมือขึ้นกุมขมับที่ปวดร้าวจนแทบแยกออกเป็นเสี่ยง ก่อนที่เขาจะต้องชะงักไปเล็กน้อย ในตอนที่สัมผัสได้ถึงความเหนียวข้นบางอย่าง ชายหนุ่มละฝ่ามือออกดู เห็นหยดเลือดที่แห้งกรังไปบางส่วนแล้วและอีกส่วนที่เปื้อนติดปลายนิ้วของเขาออกมา ดวงตาสีฟ้ากวาดมองพื้นที่โดยรอบในทันที
ที่นี่เป็นตรอก ๆ หนึ่งในเมืองไร้นาม..ใช่ เขาคิดว่าแบบนั้นนะ
หลังจากหนีออกมาจากเมือง เขากับลูกน้องของแม่ก็ขึ้นเครื่องมาที่เมืองนี้ เรามาถึงเมื่อประมาณตอนทุ่มกว่าวันอาทิตย์..แล้วหลังจากนั้น..
'บางครั้งผมก็คิดว่าแม่ของคุณโง่ซะอย่างกับอะไรดี'
เขาจำได้ว่าได้ยินใครสักคนพูดเเบบนั้น..
จำได้ถึงความเจ็บบริเวณหลังศีรษะที่ถูกฟาดอย่างเเรง..
ใช่..ไอ้สารเลวนั่น —
"บัดซบเอ๊ย!!"
ฝ่ามือทุบลงไปบนกล่องไม้ข้างตัวเต็มแรง เขาขยับยืนลุกขึ้นด้วยท่าทีโซเซ ลมหายใจหอบออกมาเป็นควัน ตอนนี้คงดึกมากแล้ว..อากาศถึงได้หนาวแบบนี้ และป่านนี้ไอ้สารเลวนั่นก็คงเอาเงินทั้งหมดที่แม่เขาเตรียมไว้ให้ชิ่งหนีหายไป แต่ว่ามันก็ต้องอยู่ในเมืองนี้นี่แหละ..ใช่ มันหนีไปไหนได้ไม่ไกลหรอก เขาต้องหามันให้เจอ ไม่ว่ายังไงก็จะต้องหาให้เจอ..
"โอ๊ะโอ ดูสิว่าวันนี้เราเจออะไร"
ทว่าในตอนที่แคสซิโอกำลังปวดหัวจนแทบระเบิด เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าผสานขึ้นกับเสียงหัวเราะและคำพูดเชิงขบขัน เมื่อเงยหน้าขึ้นนั้น ใบหน้าของชายแปลกหน้าสองคนคือสิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรก ท่าทางการแต่งตัวที่เห็นแล้วก็พูดได้เลยว่าพวกเดียวกันนั่นทำให้แคสซิโอมุ่นคิ้วทันที มือข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านหลัง เขานึกถอนหายใจโล่งอกที่มีดทหารเล่มโปรดไม่ได้ถูกไอ้สารเลวนั่นขโมยไปด้วย
"นี่ไอ้หนู แหวนที่แกแขวนไว้กับคอนั่นดูราคาเเพงดีนะ ไปขโมยของใครมาล่ะ?" ใครสักคนพูดขึ้นมาพลางหัวเราะ ฝ่าเท้าสาวเข้ามาใกล้ก่อนจะหยิบแหวนที่คล้องไว้สร้อยคอบนคอของเขาขึ้นมาดูแล้วผิวปากหวิว "ทองคำขาวของแท้แน่นอน แถมฝังเพรชด้วยว่ะ"
"ใครให้แกเเตะ"
"ห๊ะ"
ฉับ!
วินาทีที่อีกฝ่ายเผลอหลุดช่องว่าง เขาก็คว้ามีดทหารออกมาแล้วเหวี่ยงตัดเข้าที่มือที่จับอยู่แหวนของแม่เขาทันที และตัดซ้ำเข้าไปที่ลำคอจนตัดผ่านเส้นเลือดใหญ่ไป ร่างนั้นถดถอยเเละล้มหงายไปพร้อมเลือดสาดกระเซ็นมาเปื้อนหน้าเขา สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็วท่ามกลางความแตกตื่นนั่น ใครคนหนึ่งเหมือนกับจะหยิบปืนขึ้นมา แต่มีดที่อยู่ในมือของแคสซิโอก็พุ่งเข้าไปปักเข้าที่มือข้างนั้นเสียก่อน แคสซิโอพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย เหวี่ยงร่างนั่นทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนจะเข้าท่าล็อคลำคอหนาไว้ด้วยเเรงทั้งหมดของเขาทันที
"ไปตายซะไอ้กร๊วกเอ๊ย"
กร็อบ!!
จะด้วยอารมณ์โกรธหรืออะไรก็ช่าง เขาตัดสินใจใช้จูจุสึที่รุนแรงยิ่งกว่าบราซิลเลี่ยนยิวยิตสู เข่าข้างหนึ่งของอีกฝ่ายที่ถูกรัดเอาไว้หักผิดทิศ และใช้เวลาไม่นานเลยในการรัดคอให้ออกซิเจนไหลออกไปจนหมดปอด แคสซิโอเหวี่ยงร่างที่แน่นิ่งไปในภายหลังทิ้งลงข้างตัว เขาเดินเข้าไปค้นตัวเเละคว้าเอาของทั้งหมดในตัวชายสองคนมา คิดว่าคงอยู่ไปได้อีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์จากเงินในกระเป๋านี่
"นายฆ่าเขาไปแล้วเหรอ?"
กึก!
ร่างทั้งร่างหยุดชะงัก รู้สึกขนกายลุกชันทั่วตัวตอนที่ได้ยินน้ำเสียงไร้อารมณ์อย่างสิ้นดีนั่น แคสซิโอเอื้อมมือไปหยิบมีดทหารที่นอนเสียบปักอยู่บนมือศพ แล้วตั้งท่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาอาจจะพุ่งเข้าไปปาดคอเจ้าของเสียงนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้สบกับดวงตาสีเขียวหยกนั่นเข้าก่อนล่ะก็
ชายหนุ่มที่ดูเเล้วรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ใช้ดวงตาที่ไร้อารมณ์นั่นเหลือบไปมองที่ศพสองศพบนพื้น "ผมถามว่านี่ใช่ฝีมือนายรึเปล่า" และถามย้ำ
แคสซิโอเม้มปากเเน่น เขาไม่อยากตอบ สัญชาตญาณในตัวนั้นเตือนอย่างชัดเจนว่าไม่ควรจะยุ่งกับคน ๆ นี้เลย
"ถ้าใช่เเล้วจะทำไม"
"..เขาเป็นคนของผม"
แล้วยังไงล่ะ?
ราวกับว่าได้ยินความคิดภายในหัวเขา ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีบลอนด์และดวงสีเขียวหยก เขายกยิ้มออกมาจาง ๆ เป็นยิ้มที่ขัดกับดวงตาของเขาโดยสิ้นเชิง เขาเดินผ่านร่างไร้ลมหายใจนั่นเข้ามาใกล้กับแคสซิโอ สีหน้าเรียบสนิทแม้กระทั่งตอนที่ก้าวข้ามศพของลูกน้องก็ตามที
"พวกเขาเป็นคนเก่งนะ" นิ้วเรียวหยิบเอาบุหรี่ออกมากระเป๋า เขาใช้ไฟแช็คสีดำนั่นจุดไฟลงบนปลายมวน และเเคสซิโอก็ได้กลิ่นหอมของวานิลลาจาง ๆ จากบุหรี่ที่ถูกจุดขึ้นมา "แต่เหมือนนายจะเก่งกว่าที่ฆ่าพวกเขาได้"
"พวกมันก็แค่โง่"
เขาพูดออกไปตามตรง แต่ถึงเเม้คนตรงหน้าจะยืนอยู่ในระยะประชิดแค่ไหน เขาก็ไม่คิดขยับเท้าหลบ ใจหนึ่งเขานึกกลัวบรรยากาศรอบตัวคน ๆ นี้ แต่อีกใจก็นึกสนุก..มันอาจเป็นสันดานที่เสียเกินแก้ เเต่เขาไม่เคยเจอคนที่แปลกเท่ากับผู้ชายคนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ คิดดูสิ ใครล่ะจะมายืนสูบบุหรี่สบายอารมณ์ท่ามกลางศพกับฆาตกรแบบเขา?
หรือว่าไอ้เมืองไร้นามนี่มันจะน่าเหลือเชื่อกว่าที่คิดกันนะ..
"ผมมีข้อเสนอ"
ดวงตาสีฟ้ายกขึ้นสบกับอีกฝ่าย หลุดออกจากภวังค์ แคสซิโอถามกลับไปว่า "อะไร..?"
"มาทำงานให้ผม" เขาได้รับคำตอบกลับมาอย่างเรียบง่าย "อยากให้นายมาเป็นมือขวา ทำทุกอย่างที่ผมสั่ง ฟังทุกคำที่ผมพูด และห้ามทรยศหักหลังกันอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม"
เขานึกอยากจะหัวเราะกับคำพูดพวกนั้น อยากจะถามว่านั่นล้อเล่นอยู่รึยังไง แต่ดวงตาคู่นั้นก็ตอบชัดเจนดีอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
"เอาจริงดิ?"
"..ถ้าให้ดีก็อยากให้นายปรับคำพูดคำจาหน่อย ท่าทางอย่างกับนักเลงเกรดต่ำพวกนั้นมันไม่น่าสบอารมณ์เท่าไหร่"
คราวนี้แคสซิโอถึงกับกลั้นขำไม่อยู่จริง ๆ เขาหลุดหัวเราะพรืด รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน แค่ไม่มีใครเคยกล้าพูดกับเขาตรง ๆ ขนาดนี้และไม่เคยให้เหตุผลในการแนะนำการปรับปรุงบุคลิกว่ามัน ไม่น่าสบอารมณ์ เลยสักนิด คนตรงหน้าเขานี่มันประหลาดเป็นบ้า
"แล้ว..ผมจะได้อะไรตอบแทนล่ะ?" เมื่อกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองได้เสร็จ เขาก็เอ่ยถามถึงส่วนที่สำคัญที่สุดในทันที
คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ดวงตายังคงไร้อารมณ์ตัดกับรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของอีกฝ่าย
"อยากได้อะไรล่ะ"
เป็นคำถามที่น่าหมั่นไส้ดี
แคสซิโอสรุปในใจ เขาค้นพบว่าคนตรงหน้าน่าสนใจและน่าประหลาดอย่างหาที่ใดเปรียบไม่ได้ บางทีการที่มีคนแบบนี้อยู่ในเมืองนี้คงเป็นเหตุผลที่ทำให้แม่เขาเลือกที่นี่ก็ได้? แต่ใครจะสนล่ะ เขาสนแค่ว่าตัวเองอยากทำอะไรมันก็แค่นั้น และการที่เอื้อมมือไปคว้าเอาบุหรี่ที่ริมฝีปากหยักหนานั้นคาบไว้มาคีบไว้เอง มันก็ทำให้คนตรงหน้าขมวดคิ้วขึ้นมา
ควันนิโคตินถูกสูบเข้าไปในปอด กลิ่นวานิลลาหอมฟุ้ง ก่อนที่เขาจะเป่าควันกลับออกมาให้มันลอยฟุ้งไปทั่ว เอ่ยรับข้อเสนอด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับบนใบหน้าของอีกฝ่าย ที่เหมือนจะกระตุกยิ้มมุมปากสูงกว่าเดิมอย่างน่าประหลาดนั้นว่า
"พอดีว่าผมกำลังตามหาคน ๆ หนึ่งอยู่..พอจะช่วยได้รึเปล่าครับ? คุณผู้ชาย"
__TBC?__
ความคิดเห็น