ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 19 : ดาวเต้น “ลีฮยอกแจ”

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.ย. 53



    Chapter 19 : ดาวเต้น “ลีฮยอกแจ”  
     
     
     
     
     
     
     
                   
                    เมื่อวิ่งกลับเข้ามาในห้องได้เยซองก็กระโดดขึ้นเตียงเอาผ้าคลุมโปงทันที ส่วนเรียวอุกนั้นยืนหอบพิงอยู่ตรงประตู ความกลัวที่มีเมื่อกี้นี้มันเริ่มหายไปทีละนิด หลังจากยืนพักจนพอหายเหนื่อยเรียวอุกจึงเดินไปหาเยซองที่เตียงก่อนจะดึงผ้าห่มที่คลุมโปงไว้นั่นออก
     
                    “อ๊ากกกก!!”
     
                    “อ๊ากกกก!!” เพราะเยซองร้องเรียวอุกจึงร้องตามก่อนจะรีบปล่อยผ้าห่มของเยซองออกแล้วกระโดดขึ้นเตียงตัวเองไปทันที
     
                    “ฉันกลัวแล้วอย่ามาหลอกหลอนกันอีกเลย” เยซองคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงไว้เหมือนเดิม เสียงดังออกมาเป็นระยะ บ้างก็ฟังออกบ้างก็จับใจความไม่ได้แม้แต่คำเดียว
     
                    “เยซอง เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เรียวอุกตะโดนถามเยซองอยู่บนเตียงของตัวเองเพราะไม่กล้าเข้าไปแบบถึงตัวเหมือนเมื่อกี้อีก
     
                    ผ้าห่มที่ถูกคลุมโปงอยู่ค่อยเปิดออกช้าๆ เยซองโผล่หน้าออกมาพลางหันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องนี้นอกกับเขาจากเรียวอุก ความหลอนที่เพิ่งได้รับรู้ว่าที่ผ่านมาเขาคุยกับผีมาตลอดทำให้เขาประสาทแทบกิน ไม่อยากจะเชื่อเลย
     
                    เรียวอุกเดินลงจากเตียงเข้าไปดูเยซองอีกครั้งเพราะดูแล้วอาการน่าจะหนักเข้าขั้น พ่อรูมเมทที่หลงคุยกับผีอยู่ได้ตั้งนานสองนานนอนขดตัวสั่นอยู่บนเตียงจนดูน่าสงสาร แต่เรียวอุกเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง
     
                    “เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนนะเยซอง” บอกกับคนที่นอนตัวสั่นอยู่ แต่ยังไม่ทันได้เดินไปเยซองกลับเด้งตัวขึ้นมาคว้าเอาแขนของเรียวอุกไว้
     
                    “อย่าไปเลยนะ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
     
                    “แปบเดียวเองน่า จะมากลัวอะไรตอนนี้ล่ะ ทีคุยด้วยกันตั้งนานยังไม่เห็นกลัว” แล้วเรียวอุกก็ทำการตอกย้ำให้เยซองกลัวฟังจิตเข้าไปอีก แต่คนพูดก็ใช่ว่าจะไม่กลัว พูดเองขนยังลุกเอง ถ้าเกิดเป็นเขาที่โดนแบบนี้คงจับไข้ไปแล้วแน่ๆ
     
                    เยซองเงียบไปทันทีเมื่อเรียวอุกพูดออกมาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าโกรธแต่กลับไปนึกถึงมันอยากจะร้องไห้ออกมา ทั้งคำพูดและสีหน้าที่ดูระรื่นของรุ่นพี่ผีทั้งสองคนมันฝังลงไปในหัวสมองของเขาโดยที่จะไม่มีวันลืมอีกต่อไปแล้ว ไหนจะวิธีที่มาบอกเขาให้แก้ปัญหาหัวใจอีก มันน่าเจ็บใจชะมัด
     
                    “เดี๋ยวออกมานะ ขออาบน้ำก่อนแปบเดียวจริงๆ” พูดจบเรียวอุกก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันทีเพื่อไม่ใช่เยซองสามารถรั้งเขาไว้ได้อีก ขัดห้องน้ำที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาตั้งหลายปีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก็ติดตัวมาเพียบแล้ว ไหนจะกลิ่นเหงื่อจากที่วิ่งหนีมาอีก เขาคงนอนไม่ได้แน่หากไม่ได้อาบน้ำคืนนี้
     
                    “เรียวอุก” เพียงแค่ประตูห้องน้ำปิดลงเท่านั้นเยซองก็ส่งเสียงร้องหารูมเมทตัวเล็กของเขาทันที อยู่คนเดียวแล้วมันเปล่าเปลี่ยวหัวใจ
     
                    ตลอดเวลาห้านาทีที่เรียวอุกอยู่ในห้องน้ำเยซองหาเรื่องมาคุยด้วยตลอดเพราะไม่อยากให้ห้องตกอยู่ในความเงียบ แถมยังมีเสียงน้ำจากห้องน้ำเพิ่มความหลอนให้กับเขาอีก
     
                    ไม่นานนักเรียวอุกก็ออกมาจากห้องน้ำเดินกลับไปที่เตียงของตัวเอง เยซองเริ่มสบายใจได้ เอนตัวลงนอนบนเตียงอย่างไม่หวาดระแวงใดๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียว
     
                    “ไปอาบน้ำสิ” เรียวอุกหันมาบอกคนที่เอาแต่นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่ม
     
                    “กลัว” สั้นๆง่ายๆและได้ใจความ เรียวอุกถอนหายใจออกมายาวพรืด ท่าทางเยซองจะอาการหนักมากจริงๆ
     
                    “จะนอนทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ” เดินเข้าไปหาคนจิตตกที่เตียงอีกครั้ง ยืนท้าวเอวถามเหมือนแม่ที่กำลังดุลูกชายไม่มีผิด
     
                    แต่พูดได้ไม่ทันขาดคำเยซองก็ดึงเรียวอุกจนล้มลงมานอนบนเตียงด้วยกัน รูมเมทตัวเล็กออกแรงดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนที่พันธนาการเขาไว้ แต่ยิ่งดิ้นเยซองกลับยิ่งกอดแน่น ปากก็พึมพำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่รู้เรื่องไปด้วย ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรขนาดนี้
     
                    “ปล่อยก่อนสิเยซอง อย่ากลัวจนโอเวอร์ไปหน่อยเลยน่า” สุดท้ายแล้วเรียวอุกจำต้องหยุดดิ้นไปเมื่อยังไงเยซองก็ไม่ยอมปล่อย สงสัยคืนนี้เขาคงต้องนอนเป็นหมอนข้างให้เยซองแน่ๆ
     
                    “กอดนายไว้แบบนี้แล้วสบายใจขึ้นเยอะเลย” พูดแล้วยิ้มกรุ่มกริ่มกระชับอ้อมกอดที่กอดเรียวอุกไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น ไม่รู้จริงๆว่าที่กอดเพราะกลัวหรือเพราะอยากจะแต๊ะอั๋งรูมเมทตัวเล็กของตนกันแน่
     
                    เพราะเหตุนี้เรียวอุกจึงต้องยอมนอนนิ่งเพื่อให้เยซองกอด โดยที่ไฟในห้องยังคงถูกเปิดไว้อยู่อย่างนั้น คงต้องรอให้เยซองตื่นก่อนเขาถึงจะผละออกมาได้ เวลาตอนนี้เพิ่งจะทุ่มกว่าๆเท่านั้น เขาคงนอนหลับไม่ลง  เพราะวันนี้ก็นอนมาทั้งวันแล้ว เพิ่งจะได้มาออกแรงก็ตอนวิ่งหนีผีนี่เอง
     
     
     
     
     
                   
                    เพราะความกลัวหรืออย่างไรไม่ทราบที่ทำให้คนที่กำลังทะเลาะกันอยู่กระโดดขึ้นมาอยู่บนเตียงเดียวกันได้ ผ้าห่มถูกดึงแย่งกันไปมาจนแทบจะขาดออกจากกันเมื่อต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะได้มันมาครอบครอง
     
                    “เอาผ้าห่มฉันมา” ฮีชอลกระชากผ้าห่มมาจากซีวอนอย่างแรง แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอม กระชากกลับจนตัวเขาแทบจะปลิวตามไปเช่นกัน
     
                    “แต่นี่มันเตียงของฉันจะเป็นผ้าห่มของนายได้ไง” กระชากสุดแรงจนลากเอาตัวของฮีชอลติดมากับผ้าด้วย
     
    ร่างของฮีชอลนั้นล้มทับอยู่บนตัวของซีวอน แต่ดูเหมือนทั้งสองจะไม่สนใจเลยซักนิดกับท่าทางที่ล่อแหลมแบบนี้ ต่างคนต่างส่งสายตาอาฆาตแค้นให้แก่กัน ต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่โกรธยังไม่รู้แน่ชัดเลยด้วยว่ามันมาจากไหน เพียงแต่ ณ ตอนนั้นหงุดหงิดก็สามารถพาลไปได้ทุกเรื่องแล้ว
     
                    ความกลัวจากเรื่องที่เจอเมื่อซักครู่ก่อนหน้านี้หายไปจากความรู้สึกเรียบร้อยแล้ว ฮีชอลกวาดสายตามองรอบๆเตียง ทั้งผ้าห่มและหมอนมันไม่เหมือนกับของที่เขาใช้นอนทุกคืน ร่างบอบบางก็รีบทำการเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที
     
                    “ลงไปจากเตียงฉันเลย ขี้โวยวายยังไม่พอแถมยังขี้ตู่อีก” แล้วซีวอนก็เริ่มทำการเปิดศึกทันที บอกแล้วว่าคราวนี้เขาไม่ยอมแน่ๆ
     
                    “นายว่าใครห๊ะ!” เดินกลับไปนั่งที่เตียงของตัวเองก่อนจะตะคอกกลับมาอย่างไม่ยอม ใครจะยอมโดนว่าอยู่ฝ่ายเดียวกัน
     
                    “มีกันอยู่สองคนคิดว่าฉันจะว่าใครล่ะ” จบประโยคของซีวอนหมอนจากเตียงของฮีชอลก็ลอยละลิ่วฟาดเข้าเต็มๆใบหน้า ความโกรธที่ถูกระงับไว้พุ่งจนปรอทแทบแตกเมื่อฮีชอลเริ่มลงไม้ลงมือ คนถูกลอบทำร้ายลุกขึ้นจากเตียงของตัวเองเดินตรงมาที่เตียงของรูมเมทสุดแสบที่ช่วงนี้แผลงฤทธิ์มากเสียเหลือเกิน
     
                    ซีวอนปาหมอนที่ฮีชอลขวางมาใส่เจ้าของๆมัน ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเตียง ในเมื่อเล่นแรงมาเขาก็จะเล่นแรงกลับเหมือนกัน
     
                    “จะทำอะไรน่ะ!” ฮีชอลร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อซีวอนพลักตัวเขาให้ลงไปนอนราบกับที่นอนก่อนจะล็อกข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้
     
                    “เอาความบ้าของนายออกไปจากตัวบ้างไง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลานั้น ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ซีวอนแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมาต่อหน้าฮีชอล ใบหน้าของผู้ที่เหนือกว่า เหมือนสิงโตที่กำลังจะจัดการกับเหยื่อของมัน
     
                    ฮีชอลออกแรงดิ้นอย่างแรงเมื่อใบหน้าของซีวอนโน้มลงมาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะเบี่ยงหน้าหนีพลางหลับตาปี๋เมื่ออีกเพียงไม่กี่เซนเท่านั้นริมฝีปากของเขาทั้งสองคนก็คงสัมผัสกัน
     
                    “อย่างนายน่ะฉันทำอะไรไม่ลงหรอก” กระซิบหยามกันที่ข้างหูก่อนที่ซีวอนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป ไม่อยากจะอยู่ทนเห็นหน้าฮีชอลให้อารมณ์มันเสียไปมากกว่านี้
     
                    “ทำไม่ลงงั้นเหรอ ไอ้บ้าเอ๊ย! แล้วใครเค้าจะเอาแก!” โวยวายอย่างคนอารมณ์ไม่ดี หมอนใบที่เพิ่งใช้ลอบทำร้ายซีวอนถูกขว้างลงบนพื้นห้องอย่างไม่ใยดี ซีวอนพูดอย่างกับว่าเขาจะยอมให้ทำอะไรง่ายๆ บอกได้เลยว่าไม่มีทาง
     
     
     
     
     
     
     
    เหมือนจะเป็นที่ถูกใจของเหล่ารุ่นพี่ที่เป็นคณะกรรมการนักศึกษาคุมหอพักไม่น้อย เมื่อมีสายข่าวแจ้งมาว่านักศึกษาหอสิบสามที่โดนลงโทษไปเมื่อวานนี้โดนผีรุ่นพี่ที่เลืองลือกันหลอกจนวิ่งหนีกลับหอกันแทบไม่ทัน
     
                    ถึงจะสั่งให้ไปทำความสะอาดแต่ห้องน้ำที่เคยสกปรกยังไงก็ยังคงสกปรกอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่หัวหน้าหอใหญ่ที่ใครๆต่างเกรงกลัวก็ไม่ได้คิดติดใจจะลงโทษอะไรต่อ เพราะโดนมาแค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว
     
                    เป็นอีกครั้งที่วงสนทนาถูกตั้งขึ้นเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญนี้โดยเฉพาะ เรื่องราวความสยดสยองที่ได้ไปพบเจอมาเมื่อวานสดๆร้อนๆถูกถ่ายทอดให้เพื่อนๆผู้รอดพ้นทั้งสี่ได้ฟังอย่างละเอียด ถึงแม้ว่าช่วงเวลานั้นมันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม
     
                    “ฉันล่ะจะบ้าตาย นี่นายไม่รู้ตัวเลยเหรอเยซองว่านายคุยอยู่กับพี่” ฮีชอลแทบจะเอาหัวโขกกับโต๊ะตายเมื่อได้ฟังเรื่องที่เยซองเล่าให้ฟัง ตั้งแต่ที่ได้คุยกับยุนโฮครั้งที่งอนกับเรียวอุกจนมาถึงการพบเจออีกครั้งเมื่อวานนี้
     
                    “อย่ามาตอกย้ำได้มั้ย” ท่าทางของเยซองเหมือนกับคนที่กำลังกลัวบางอย่างอยู่ นั่งตัวหดเบียดกับเรียวอุกจนเรียกได้ว่าแทบจะนั่งตักอยู่แล้ว เพราะเมื่อรู้ว่าตนเองคุยกับคนที่ไม่ใช่คนมาหลายต่อหลายครั้งก็ทำเอาเยซองขวัญผวาจนไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกเลย ถ้าให้เขาเลือกขอไม่รู้ความจริงว่ายุนโฮเป็นใครจะดีกว่า แต่ก็คงโทษใครไม่ได้ในเมื่อเขาจำยุนโฮกับแจจุงไม่ได้เอง ทั้งที่มันควรจะฝังอยู่ในสมองไม่มีวันลืมแท้ๆ
     
                    “แต่ก็โชคดีนะที่หัวหน้าหอเขาไม่ลงโทษอะไรเราอีก” อีทึกพูดขึ้น มังคงเป็นโชคดีในความโชคร้าย ไม่ต้องเหนื่อยกับการขัดห้องน้ำที่สุดแสนจะสกปรกนั้นให้สะอาด แต่ต้องมาเหนื่อยกับการวิ่งหนีผีแทน
     
                    “อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย” แล้วเยซองก็คร่ำครวญออกมาอีกรอบ พลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขาไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีกแล้ว
     
                    เมื่อเห็นอาการของเยซองทุกคนก็พากันหัวเราะออกมา ไม่เว้นแม้กระทั่งเรียวอุกที่อดจะขำกับรูมเมทตัวเองไม่ได้ คุยกับผียังไม่พอแถมยังเอาวิธีบ้าๆนั่นมาขโมยเต่าจนโกรธกันไปหลายวัน
     
                    “อีกแค่อาทิตย์เดียวพวกเราก็จะสอบกันแล้วนี่นา” แล้วหัวข้อสนทนาก็ถูกเปลี่ยนโดยซองมิน การสอบกลางภาคเริ่มใกล้เข้ามาทุกที แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้สนใจกับมันเลยซักนิด คงเพราะที่ผ่านมาเอาแต่เที่ยวเล่น รวมไปถึงกิจกรรมของทางหอและมหาวิทยาลัยจนทำให้ลืมเรื่องการสอบไปเสียสนิท
     
                    “จริงสิ แบบนี้คงต้องติวหนักแล้วล่ะมั้ง” อึนฮยอกเสริมต่อ ในกลุ่มของพวกเขามีคนเรียนอยู่คณะเดียวกันไม่กี่คน จะมีก็แค่อีทึกกับชินดงและซองมินกับเรียวอุก เท่านั้นที่เหลือก็เรียนกันคนละคณะหมด
     
                    แล้วหัวข้อการพูดคุยก็เปลี่ยนเป็นเรื่องเรียนในทันใด ต่างคนก็ต่างนัดกันไปติวหนังสือวันนั้นวันนี้ หรือให้รุ่นพี่ช่วยติวให้ เพื่อหวังให้คะแนนออกมาดีที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากได้เกรดต่ำๆแล้วต้องโดนเชิญออกก่อนจะถึงเวลาอันควร
     
     
     
     
     
     
     
                    วันเวลาผ่านไปอย่างเร็วรวดจนในที่สุดก็มาถึงวันสอบกลางภาคของนักศึกษาคยองฮี หลายคนแบกหนังสือเล่มโตมานั่งอ่านตอนเช้าก่อนจะเข้าห้องสอบ หรือนั่งจับกลุ่มช่วยกันติว หาหัวข้อที่คิดว่าอาจารย์จะนำมาออกข้อสอบมากที่สุด
     
                    การสอบในวันแรกเป็นไปอย่างเคร่งเครียด แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีสำหรับคนที่เตรียมตัวอ่านหนังสือกันมาอย่างเต็มที่ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมานั้นก็คงเดินหน้ายุ่งออกออกมาจากห้องสอบเพราะทำไม่ได้ ข้อสอบที่ให้เขียนบรรยายออกมาเป็นหน้าๆ หากไม่อ่านมาก็คงไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
     
     
     
                    การดำชีวิตของเด็กหอไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการสอบก็ยังคงอยู่ในกรอบเดิมๆ ออกจากมหาวิทยาลัยไม่กลับหอก็ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกและกลับมาให้ทันเวลาหอปิด
     
                    หลังจากสอบเสร็จอีทึกก็ชวนชินดงไปหารุ่นพี่ที่จะนัดติววิชาของวันรุ่งขึ้นทันที คลาดกับคังอินที่หวังจะมารับอีทึกและกลับหอพร้อมกัน และต้องผิดหวังกลับไปเมื่อเพื่อนในคณะบอกว่าอีทึกออกไปกับชินดงแล้ว รู้สึกว่าตั้งแต่เขาขอคบอีทึกออกไป คนๆนี้ก็พยายามเปลี่ยนเรื่องตลอดเวลาที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ หนทางที่อีทึกจะยอมตอบตกลงยอมคบกับเขามันคงจะริบหรี่แล้วล่ะมั้ง
     
     
                    สถานการณ์ความไม่สงบเริ่มกลับสู่ความปกติอีกครั้ง เมื่อดงแฮเดินลงมาจากตึกคณะและเห็นคิบอมยืนรออยู่ เด็กบ๊องขี้อ้อนจึงรีบวิ่งเข้าไปหารูมเมทของตนเองในทันที เพราะวันนี้คิบอมจะติววิชาภาษาอังกฤษที่จะสอบในวันพรุ่งนี้ให้กับเขา
     
                    “ไปที่ร้านเค้กหน้ามหาลัยกันนะ” ออกปากชวนอย่างร่าเริงและไม่ต้องรอให้คิบอมตอบตกลงดงแฮก็ทำการลากรุมเมทของตัวเองไปทันที ซึ่งคิบอมเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรปล่อยดงแฮทำตามใจชอบ
     
                    เมื่อมาถึงร้านเค้กดงแฮก็สั่งเค้กมาสองชิ้นส่วนคิบอมนั้นสั่งกาแฟหนึ่งแก้ว เมื่อของทุกอย่างมาเสิร์ฟการติวก็ได้เริ่มขึ้น แต่ดูเหมือนว่าดงแฮจะสนใจของกินเสียมากกว่า เขาเองไม่ค่อยชอบวิชาภาษาอังกฤษนี่เท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าโชคดีที่มีรูมเมทเรียนเอกอังกฤษอย่างคิบอม เพราะถึงจะไม่ได้ติวกันที่นี่ก็สามารถกลับไปติวกันที่หอพักต่อได้ ตอนนี้ทงแฮเลยขอเพลิดเพลินกับการกินก่อน สิ่งที่คิบอมพูดออกมาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง วิชานี้เขาขอแค่ไม่ตกก็พอแล้ว ไม่ได้หวังคะแนนเยอะมากมายอะไร
     
     
     
                    ชีวิตของนักศึกษาส่วนใหญ่ที่อยู่ในช่วงสอบคงจะมีแค่หนังสือที่เป็นเพื่อนคู่ใจ แต่คงจะไม่ใช่กับคนอย่างลีฮยอกแจที่ยังคงนั่งขลุกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์  ข้างตัวมีหนังสือเรียนวางตั้งอยู่ แต่ดูเหมือนฮยอกแจจะไม่สนใจอ่านมันเลยซักนิด
     
                    “เก่งแล้วหรือไงทำไมไม่อ่านหนังสือ” ฮันคยองที่เพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยก้าวเข้าห้องมาก็เริ่มบ่นทันที เมื่อเห็นฮยอกแจเอาแต่นั่งเล่นเกมไม่ยอมอ่านหนังสือ
     
                    “ไม่ต้องอ่านก็สอบได้น่า ฉันมีของดี” หันกลับมายักคิ้วให้ก่อนจะกลับไปสนใจเกมอย่างเดิม ฮันคยองขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเดินเข้าไปหาฮยอกแจ อยากจะรู้จริงๆมีของดีอะไร
     
                    “ของดีอะไร”
     
                    “นี่ไง ปากกาคาถาชินบัญชร เพื่อนที่เป็นคนไทยให้ฉันมา” เมื่อถูกถามฮยอกแจก็รีบหันไปนำเสนอทันที เพื่อนของเขารับรองมาแล้วใช้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็น เด็กที่ประเทศไทยใช้กันเพียบ
     
                    “มันคืออะไร” ฮันคยองถามพลางทำหน้าสงสัย ก็รู้อยู่หรอกว่ามันคือปากกาแต่คำที่ฮยอกแจพูดต่อหลังมานั้นเขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
     
                    “ก็ถ้าใช้ปากกานี่เราจะทำข้อสอบได้ไง เพราะข้างในมีคาถาชินบัญชร บทสวดของศาสนาพุทธสอดอยู่ข้างใน เพื่อนคนไทยที่คณะฉันแนะนำมา” แล้วฮยอกแจก็ทำการดึงเอากระดาษที่มีคาถาชินบัญชรออกมาให้ฮันคยองดู พร้อมกับอวดสรรพคุณไปในตัวด้วย
     
                    “จะใช้ได้ผลจริงเหรอ” เลิกคิ้วถามอย่างไม่เชื่อ ขนาดเขาอ่านหนังสือแทบตายยังทำไม่ค่อยจะได้ แต่นี่เล่นไม่อ่านหนังสือใช้แต่ปากกานี่อย่างเดียวมันจะไปช่วยอะไรได้
     
                    “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ นี่ฉันอุตส่าห์เอามาฝากเพื่อนๆด้วย” พูดจบฮยอกแจก็ยกเอากล่องที่ด้านในบรรจุปากกาคาถาชินบัญชรออกมา
     
                    “นี่นายคิดว่ามันจะใช้ได้ผลขนาดนั้นเลย ฉันว่าอ่านหนังสือดีกว่ามั้ง” ฮันคยองไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฮยอกแจนำเสนอเท่าไหร่นัก ก่อนเดินกลับไปนอนอ่านหนังสือที่เตียงของตัวเอง
     
                    “ไม่เอาก็ตามใจ” บอกอย่างไม่ง้อ เมื่อให้แล้วไม่เอาฮยอกแจเลยกลับมานั่งเล่นเกมต่อ คอยดูแล้วกันถ้าเขาใช้ปากแท่งนี้แล้วได้คะแนนดีอย่ามาอิจฉาทีหลัง
     
     
     
     
     
                   
                    วันนี้เป็นสอบวันที่สองของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งในหอสิบสามชั้นสี่มีเยซองที่เรียนอยู่คณะนี้ วันแรกของการสอบเยซองดูไม่ค่อยมั่นใจกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปนัก แถมวิชาที่สอบวันนี้เขาก็อ่านมาไม่มากซะด้วย แย่แน่งานนี้
     
                    ข้อสอบหน้าแรกถูกเปิดขึ้นมา แต่เพียงแค่เห็นข้อสอบข้อแรกก็ทำเอาเยซองกุมขมับ มันคุ้นมากจริงๆ แต่เขากลับไม่แน่ใจว่าคำตอบมันควรจะเป็นอะไร
     
                    เวลาในการทำข้อสอบลดลงไปเรื่อยๆ คำตอบของเยซองมีทั้งมั่นใจและไม่มั่นใจ แต่พอมาถึงข้อนี้กลับทำเอาเขานิ่งสนิท ไม่คุ้นเลยซักนิด นึกยังไงก็นึกไม่ออก
     
                    เยซองนั่งหลับตานิ่งพยายามนึกสิ่งที่เขาทบทวนทั้งหมดก่อนมาสอบ แต่ทำไมนึกไปนึกมาหน้าของยุนโฮมันกลับลอยขึ้นมาซะอย่างนั้น เยซองสะบัดหัวเบาๆเพื่อไล่ความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอบออกไป แต่ยิ่งหลับตานึกกลับมีแต่หน้าของยุนโฮ ไม่รู้ว่าจะตามหลอกหลอนเขาไปถึงไหน
     
                    “กำลังคิดถึงฉันอยู่เหรอ” เสียงของยุนโฮดังเข้ามาในโสตประสาทการได้ยินทำให้เยซองลืมตาขึ้นมาทันทีพลางกวาดมองไปทั่วห้อง แต่กลับไม่พบคนที่ลอยเข้ามาในหัวเขาเมื่อกี้นี้ หรือเขาจะกลัวยุนโฮจนประสาทหลอนไปซะแล้ว
     
                    “ทำข้อสอบไม่ได้ล่ะสิ” เสียงของยุนโฮดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เยซองเลือกที่จะหลับตาอยู่เหมือนเดิม แล้วร่างของยุนโฮก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าเขาอย่างชัดเจน
     
                    เยซองสะดุ้งแทบจะตกเก้าอี้ ไม่รู้ทำไมยิ่งไม่อยากเจอกลับยิ่งได้เจอ เขากลัวจนประสาทหลอนแต่กลับนึกถึง นี่เขาคงบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เรียกมาแล้วก็คงต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าเขาสอบวิชานี้ผ่านจะยอมเป็นเพื่อนกับผีเลยเอา
     
                    “ฉันไม่ได้เรียนคณะนี้คงช่วยนายไม่ได้ แต่แจจ๋าของฉันเรียน จะเรียกมาช่วยก็แล้วกันนะ” ยุนโฮชะโงกหน้ามาดูข้อสอบของเยซองแล้วก็มึนตึบ เขาเรียนนิเทศจะมาทำข้อสอบของวิศวะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
     
                    เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่ยุนโฮพูดจบแจจุงก็ปรากฏตัวออกมาก่อนจะยิ้มหวานให้เยซอง รุ่นน้องในคณะของตนเอง
     
                    “ข้อนี้ง่ายมาก” แจจุงก้มลงมามองข้อสอบของเยซองแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเยซองทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งลืมตาโผลงขึ้นมาทันที แต่เขากลับไม่เห็นยุนโฮกับแจจุงเหมือนตอนที่กำลังหลับตาอยู่
     
                    เสียงของแจจุงที่บอกคำตอบออกมาดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู เยซองจึงรีบหยิบปากกาขึ้นมาเขียนทันที แถมแจจุงยังใจดีช่วยบอกข้อที่เขาตอบผิดไปแล้วอีก ช่างเป็นรุ่นพี่ที่ใจดีจริงๆ
     
                    ออดหมดเวลาสอบดังขึ้นพร้อมกับยุนโฮกับแจจุงที่หายตัวไปอย่างรวดเร็ว เยซองมองกระดาษคำตอบที่อยู่แล้วก็ยิ้มอย่างมั่นใจ ที่ผ่านมาถึงจะโดนหลอกทำให้จนวิ่งหนีกันจนเหนื่อยแต่วันนี้เขาซึ้งน้ำใจแล้วจริงๆ ใครว่าผียุนโฮกับผีแจจุงดุ เขาจะขอค้านก็ตอนนี้แหละ
     
     
     
     
     
     
                    กว่าสองสัปดาห์ที่การสอบกลางภาคเสร็จสิ้น นักศึกษาส่วนใหญ่จะนัดกันไปฉลองหลังสอบเสร็จไม่ว่าตัวเองจะทำได้มากหรือได้น้อยแค่ไหน  แต่ขอไปผ่อนคลายไว้ก่อน เช่นเดียวกับเหล่าเด็กหอสิบสามชั้นสี่ที่นัดกันออกไปร้องคาราโอเกะ
     
                    เพลงนั้นเพลงนี้ถูกขอต่อกันจนแทบจะร้องกันไม่หวาดไม่ไหว เรียวอุกพอได้จับไมค์ก็ไม่ยอมวางเลยทีเดียว ส่วนคนขอก็ขยันสรรหาเพลงมาให้ร้อง และคนที่ดูเหมือนจะเป็นม้ามืดของคืนนี้คงจะเป็นคยูฮยอนที่โดนยัดเยียดให้ร้องเพลงจนทุกคนได้รู้ว่าเสียงของเขามันเพราะขนาดไหน
     
                    แต่คนที่ดูจะไม่ร่าเริงเลยคงจะเป็นฮยอกแจที่นั่งซังกะตายอยู่ตรงมุม โดยมีฮันคยองกับซีวอนคอยเหลือบมามองเป็นระยะ ก็เพราะเขามัวแต่ไปเชื่อว่าปากกาคาถาชินบัญชรที่เพื่อนให้มาจะทำให้ทำข้อสอบได้เลยไม่ยอมอ่านหนังสือ พอเจอข้อสอบจริงๆเลยไปไม่เป็นซักนิด งานนี้ถ้าตกคงไม่ต้องสงสัยเลย หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธล่ะมั้งถึงทำให้เขามองไม่เห็นคำตอบ
     
                    “ฮยอกแจมาร้องเพลงกัน” เพราะเห็นฮยอกแจนั่งซึมอยู่คนเดียวซองมินจึงเดินเข้ามาลากเพื่อนให้ไปสนุกด้วยกัน
     
                    ไมค์ถูกยัดใส่มือฮยอกแจโดยที่เพื่อนๆตั้งความหวังไว้ว่าพวกเขาอาจจะได้เห็นดาวดวงใหม่ต่อจาก
    คยูฮยอนก็เป็นได้ พอเห็นว่าฮยอกแจถือไมค์ฮันคยองจึงขอเป็นคนเลือกเพลงเอง
     
                    อินโทรเพลง Bo Peep Bo Peep ของหกสาว T-ara ทำเอาทุกคนฮือฮา ฮยอกแจหันกลับไปมองฮันคยองที่ยักคิ้วอย่างกวนๆมาให้เขา เอาว่ะ กล้าเลือกให้เขาก็กล้าร้อง จะเต้นโชว์ด้วยเลยก็ได้ ตอนนี้ขอปลดปล่อยเต็มที่เลยแล้วกัน
     
                    พอถึงท่อนร้องฮยอกแจก็ออกท่าทางเต็มที่แต่ดูเหมือนจะเต้นซะมากกว่าร้อง ไมค์ที่ถืออยู่นั้นไม่เข้าใกล้ปากเลยซักนิด ท่าเต้นของฮยอกแจดูจะสร้างความฮือฮาให้เพื่อนๆไม่น้อย ทั้งลีลา สีหน้าและอารมณ์มันชวนมันส์กว่าจังหวะเพลงเสียอีกจนเยซองทนยืนมองอยู่เฉยๆไม่ไหวต้องออกมาแจมด้วย บัดนี้หอสิบสามชั้นสี่ได้ค้นพบดาวเต้นคนแรกแล้ว
     

    -----------------------------------------

    kr...Talk

    สวัสดีจ้าทุกคน กระโดดหลบร้องเท้า
    ต้องกระโดดหลบก่อน เพราะไม่ได้อัพให้ตั้งนาน

    ก่อนอื่นขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะ ที่ไปอุดหนุนฟิคของเราที่งานไก่
    และก็ดีใจมากที่ได้รับคำชม และได้พบหน้าแฟนฟิค
    แล้วอย่าลืมอุดหนุนเล่มต่อไปด้วยนะ
    สำหรับเล่ม2 ยังบอกไม่ได้นะค่ะว่าเสร็จเมื่อไหร่ แต่จะรีบให้เร็วที่สุด

    ตอนนี้อีฮยอกแจของเรา ออกลายแล้วค่ะ ยั่วกันซะ
    น่ารักซะจนไรเตอร์หลงแล้วนะเนี่ย

    ไปก่อนนะ ไม่มีอะไรจะเวิ้นแล้ว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×