คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : (Never)Ending Story
โดโลเรสแทบจะไม่พูดอะไรอีกเลยนับตั้งแต่ที่ฝันร้ายคราวนั้น
เธอมักจะนั่งจับเจ่าอยู่เป็นชั่วโมง จ้องมองพื้นพรมในบ้านอย่างหมองหม่น
คิ้วขมวดมุ่นเหมือนคนที่ครุ่นคิดและหงุดหงิดตลอดเวลา
เมื่อเธออารมณ์ไม่ดีทุกสิ่งในบ้านก็ดูอับเฉาไปเสียหมด
และนั่นก็ทำให้บิลรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้ความฝันบ้า ๆ นั่นแน่ ๆ
บิลอยากให้เธอลืมความฝันงี่เง่าไร้สาระนั่นแล้วกลับมาเป็นโดโลเรสผู้สดใสคนเดิมเสียที
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการดึงความสนใจของใครสักคน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากเอาอกเอาใจเธอมากเป็นพิเศษ
หวังเพียงแค่ว่าความเอาใจใส่ของเขาจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย
“มีอะไรที่เธออยากได้เป็นพิเศษไหม”
เมื่อบิลเอ่ยปากออกไปในเช้าวันหนึ่งหลังจากรับประทานมื้อเช้าไปแล้ว
คำพูดของเขาก็สามารถดึงดูดให้อีกฝ่ายหันมาให้ความสนใจแก่เขาด้วยสีหน้าประหลาดใจอยู่เล็ก
ๆ
“คุณจะให้ฉันเหรอถ้าฉันขอ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มรีบพยักหน้ายืนยันโดยทันที “วันนี้ฉันจะตามใจเธอหนึ่งวันนะ”
โดโลเรสจึงขมวดคิ้วอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ด้วยความหงุดหงิดเช่นแต่ก่อน มันเป็นไปด้วยความครุ่นคิดเสียมากกว่า
ใช้เวลาอยู่เป็นนาทีก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบ
“ฉันอยากไปร้านขายขนม อยากจะกินแพนเค้ก
แล้วก็ขนมกับนมช็อกโกแลตเยอะ ๆ "
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วสดใสดั่งแสงอรุณกลับมาแล้ว ท่าทางกระตือรือร้นแบบเด็ก
ๆ และแววตาที่มีความดีใจอยู่ข้างในของเธอทำให้บิลโล่งใจได้สักทีหลังจากที่ต้องเห็นอารมณ์อันหดหู่อย่างประหลาดจากเธอมาได้สักพัก
แต่ตอนนี้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว กลับมาเป็นเจ้าลูกนกตัวน้อย ๆ
และฝันหวานในฤดูร้อนของเขาอีกครั้ง
เขาย่อมยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาแสงสว่างนี้ไว้
โดโลเรสดูไม่ค่อยคุ้นเคยกับการออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะกับที่ไดเนอร์[1]
ตั้งแต่มาถึงที่นี่เธอก็เดินไปเสียทั่วร้าน(แม้กระทั่งในห้องน้ำ)ยังกับว่าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต
เธอตื่นเต้นกับทุกอย่างที่นี่แม้กระทั่งการได้เห็นคนเยอะ ๆ ในร้านอาหาร แล้วยังไม่รู้วิธีการสั่งอาหารเลยจนพนักงานต้องเอาเมนูมาให้แล้วคอยให้คำแนะนำในการสั่งอาหารอีกที
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนซึ่งสูญเสียความทรงจำไปจะทำตัวแปลก ๆ ไปบ้างยามออกมานอกบ้าน
อย่างไรก็ตามบิลรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ได้เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้
อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนที่เอาแต่นั่งจ้องพรมด้วยหน้าเครียด ๆ แบบนั้นตั้งเยอะ
เธอพูดไม่ผิดที่บอกว่าอยากกินขนมกับนมช็อกโกแลตเยอะ
ๆ เพราะบนโต๊ะตอนนี้มีทั้งแพนเค้กราดไซรับชิ้นหนาหมดไปเกือบครึ่ง ขนมปังวานิลาที่ไม่มีแม้แต่ซาก
นมช็อกโกแลตแก้วโตก็เหลือเพียงแก้วเปล่าเช่นเดียวกับไอศกรีมซันเดย์ ไม่นับพายแอปเปิลและวาฟเฟิลที่สั่งไปแล้วยังมาไม่ถึงอีก
บิลเหล่มองนาฬิกาอันโตที่แขวนอยู่ในร้าน เกือบสองชั่วโมงแล้วที่เขานั่งอยู่ที่นี่และโดโลเรสก็ยังกินไม่เสร็จสักที
ยิ่งนานเท่าไรเด็กหนุ่มก็ยิ่งไม่สบายใจขึ้นทุกที
เพราะเขาไม่เคยใช้เวลาอยู่ข้างนอกนานเท่านี้มาก่อน
ตามจริงแล้วทำเลที่มีคนพลุกพล่านเฉกเช่นร้านแนวไดเนอร์ไม่ใช่สถานที่ที่บิลชื่นชอบเลยสักนิด
ไหนจะความอึดอัด ไหนจะเสียงพูดคุยที่ตีกันวุ่นวายในอากาศ เป็นเสียงหึ่ง ๆ
ฟังไม่ได้ศัพท์ราวกับเสียงของแมลงวัน ช่างเป็นอะไรที่น่ารำคาญสิ้นดี
นอกเหนือจากนั้นการถูกรายล้อมด้วยผู้คนยังเพิ่มความเสี่ยงที่เขาและเธออาจจะโดนคนพวกนั้นสังเกตหรือจับผิดเอาได้
การอยู่ท่ามกลางคนเยอะ ๆ เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าสบายใจเท่าไรนัก
และบิลก็คงไม่คิดจะเหยียบย่างมาที่นี่แน่ ๆ ถ้านั่นไม่ใช่คำร้องขอของโดโลเรสเอง
ความไม่สบายใจแต่แรกทำให้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างได้ง่ายดาย
เขาสังเกตได้ว่าพนักงานเสิร์ฟในร้านกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่ แล้วเมื่อบิลหันกลับไปมอง
คนพวกนั้นก็พากันหลบลี้ไปอย่างรวดเร็ว เสียงพูดคุยรอบตัวดูจะดังขึ้นและดังขึ้นไปอีก
และบิลก็อดคิดไม่ได้ว่าคนพวกนั้นอาจกำลังพูดถึงเขาอยู่ ความกดดันก่อตัวเพิ่มขึ้นทุกขณะยามที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนไหวไปเรื่อย
ๆ ไม่หยุดหย่อน
สำหรับคนที่มีคดีติดตัวอยู่เช่นเขา
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ระแวงเวลาอยู่ในที่แจ้งแบบนี้
“เราควรจะกลับกันได้แล้วนะ”
บิลรู้ว่าโดโลเรสจะต้องไม่พอใจแน่
จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาดนักเมื่อเห็นใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปโดยทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“ไม่เห็นต้องรีบเลยนี่ ของยังมาไม่ถึงเลยนะ” เธอแย้งทันควัน
“ช่างมันเถอะ” บิลพูดอย่างรีบร้อนเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานเสิร์ฟพวกนั้นอีกครั้ง เขาอยากออกจากตรงนี้ไปเต็มแก่แล้ว “ถ้าเธออยากกินต่อ เดี๋ยวค่อยสั่งไปกินที่บ้าน”
เขาโยนเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นทันทีและไม่ลืมที่จะดึงข้อมือคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นด้วย
ความรีบร้อนลนลานทำให้บิลไม่ทันได้สังเกตสิ่งรอบข้างให้ชัดเจน
จนกระทั่งเมื่อเดินออกมานอกร้านแล้ว เด็กหนุ่มจึงได้มองเห็นแสงไซเรนวิบวับสีแดงสลับน้ำเงินจากรถตำรวจสองสามคันที่พึ่งขับรถเข้ามาอย่างพอดิบพอดี
ฉิบหาย!
บิลสบถคำหยาบคายออกมาหลายคำก่อนจะกระชากโดโลเรสให้ไปอีกทางโดยไม่สนใจว่าเธอจะเจ็บหรือเปล่า
เขาสนเพียงแค่ว่าต้องหนีให้พ้นจากรถตำรวจพวกนั้นให้ได้ แต่มันก็เป็นเพียงแต่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนตายของสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเหล่านักล่าในชุดเครื่องแบบตำรวจต่างเข้ามาดักหน้าเขาอย่างว่องไวพร้อมกับปืนในมือ
พวกนักล่ามองเห็นเขาแล้ว
และพวกมันก็จะไม่มีวันปล่อยเขาอย่างแน่นอน
“หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ
ชูมือขึ้นซะ”
มือของบิลยังคงกุมมือของโดโลเรสเอาไว้แน่น เขาอยากจะอยู่กับเธอให้นานที่สุดก่อนที่นักล่าพวกนั้นจะพาตัวเขาออกไปจากเธอ
นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ และแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่จนมุมอย่างที่สุดเขาก็ยังไม่คิดจะปล่อยมือจากเธอ
หากแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดอย่างจริงแท้ไม่ใช่การถูกจับเข้าคุก
แต่คือการที่เธอเป็นฝ่ายปล่อยมือจากเขาก่อนต่างหาก
โดโลเรสสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่มอย่างฉับพลัน
ก่อนที่ร่างบอบบางจะรีบกระโจนไปหาหนึ่งในตำรวจพวกนั้นทันที เธอสวมกอดพวกเขาแล้วร้องไห้โฮอย่างน่าสงสาร
เอาแต่พร่ำพูดใส่คนพวกนั้นว่าขอบคุณที่มาช่วยเธอได้ทันเวลา
ขอบคุณที่มาช่วยเธอได้ทันเวลา?...
นี่มันหมายความว่ายังไงกันวะ!
บิลมองไปที่เธอ เช่นเดียวกับเธอที่กำลังมองกลับมาที่เขายามที่ตำรวจพวกนั้นใส่กุญแจมือเขาแล้วพาเขาไปที่รถตำรวจ
ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเธอเมื่อครู่ได้จางหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความเยียบเย็นของโลหะบนข้อมือที่จะจองจำเขาไปตลอดชีวิตนับจากนี้
และมันทำให้เขาตระหนักรู้ได้สักทีว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องจริงเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริงสักอย่างเดียว
โดโลเรสไม่เคยความจำเสื่อม แต่เธอแสร้งทำว่าตัวเองความจำเสื่อม
ทำตัวเป็นเด็กดีใสซื่อเพื่อหลอกลวงให้เขาไว้วางใจ ทำให้เขารักเธอ
เพื่อที่ที่วันหนึ่งเธอจะใช้โอกาสนี้ออกสู่โลกภายนอกและหลบหนีออกจากเขาได้ดั่งที่หวัง
แล้วเธอก็ทำได้เสียด้วย
มันเป็นแผนการของเธอมาตลอด เธอขอร้องให้เขาพามาที่นี่
เพื่อที่จะได้แอบขอความช่วยเหลือจากคนนอกเช่นพวกพนักงานเสิร์ฟ
อาจจะเป็นตอนที่เธอแสร้งสำรวจร้านอาหาร
หรืออาจจะเป็นตอนที่เธอยื่นเมนูคืนให้พนักงานเสิร์ฟพร้อมกับข้อความขอความช่วยเหลือที่คงซุกซ่อนอยู่ในนั้น
เรื่องนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากความโง่เง่าของเขาเอง
เพราะโดโลเรสคือจุดอ่อนของเขาเสมอ
และเธอก็ฉลาดมากพอที่จะใช้ตัวเองเพื่อมาตลบหลังเล่นงานเขาทีหลัง ต้องยอมรับว่าไม่เคยมีใครทำให้คนอย่างเขาจนมุมได้เช่นนี้มาก่อนเลย
ช่างสมกับเป็นนังตอแหลจอมโกหกตัวแม่จริง ๆ
เด็กหนุ่มหัวเราะแผ่วเบาอยู่ในรถตำรวจ สายตามองผ่านกระจกรถไปที่โดโลเรสซึ่งยังคงร้องไห้อยู่ข้างนอกโดยมีตำรวจคอยปลอบ
บิลจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเธอ ใบหน้าที่เขาทั้งรักและชัง
ใบหน้าที่เขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อย ๆ ปรากฏออกมา
เขารู้ว่าเธอจะไม่มีทางลืมเขาเฉกเช่นตัวเขาที่จะไม่มีทางลืมเธอแน่
และบิลมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนเธอก็จะต้องนึกถึงเขาเสมอ ทุกครั้งที่ลืมตาและทุกครั้งที่หลับตา
แฝงร่างอยู่ในความทรงจำและคอยเป็นฝันร้ายที่จะหลอกหลอนเธอไปชั่วชีวิตหลังจากนี้
วันนี้เธออาจจะคิดว่าเธอสามารถกำจัดเขาออกไปได้แล้ว
แต่มันไม่จริงเลย ไม่มีทางเสียหรอกที่โดโลเรสจะสามารถกำจัดเขาออกไปจากชีวิตเธอได้
เพราะเขาจะคงอยู่กับเธอเสมอ และตลอดไป
..............................
พวกเขาเรียกเธอว่า ‘ผู้รอดชีวิต’
โดโลเรส วินสตัน บุคคลเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุสังหารหมู่สะเทือนขวัญใน
Likon High school แล้วยังเป็นเหยื่อที่ถูกกักขังและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฆาตกรโรคจิตนานเกือบปี
เรื่องราวเหล่านี้มากเพียงพอที่จะทำให้คนทั้งประเทศให้ความสนใจแก่เธอจนกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ถูกพูดถึงกันทั่ว
ใคร ๆ ก็ล้วนบอกว่าเธอโชคดีมากแค่ไหนที่สามารถรอดจากเงื้อมมือของเขามาได้โดยที่ยังคงมีชีวิตอยู่เช่นนี้
โดโลเรสเคยคิดแบบนั้นเช่นกันในช่วงแรก ๆ ต้องขอบคุณทักษะการแสดงอันเชี่ยวชาญของตนที่เป็นตัวช่วยสำคัญทำให้เธอได้หลุดพ้นเป็นอิสระดั่งใจหวัง
การแสร้งเป็นสาวความจำเสื่อมเป็นเดือน ๆ เพื่อหลอกล่อให้ฆาตกรเชื่อใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะ
แต่อย่างน้อยเธอก็ทำมันได้ดีเชียวแหละ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ทำให้บิลหลงกลเข้าเต็มเป้าจนเอาตัวรอดมาได้อย่างสวยงามเช่นนี้หรอก
เด็กสาวโล่งใจอย่างเหลือล้นที่ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลเสียที
ได้อยู่อย่างปลอดภัยภายในโรงพยาบาล
รวมถึงได้รับการดูแลคุ้มครองเป็นอย่างดีในฐานะเหยื่อและพยานปากเอกหนึ่งเดียว เรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไปแล้ว
เหมือนกับฤดูหนาวที่ได้ถูกทดแทนด้วยฤดูร้อนอันสดใส
ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เด็กสาวก็ได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
แท้จริงแล้วฤดูร้อนนั้นไม่เคยมีจริง ไม่มีเลย...
สิ่งเลวร้ายที่ได้เผชิญแบกรับเป็นระยะเวลานานทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
โดโลเรสไม่สามารถปรับตัวกับอะไรได้ในโลกภายนอกได้เลย ทุกสิ่งล้วนแปลกประหลาดเหลือเกินในสายตาเธอ
ไหนจะความหวาดกลัวยังคงแฝงล้ำลึกในห้วงคำนึง ความทรงจำที่ยังคงตามรังควานเสมอทั้งในยามหลับและยามตื่นชักจูงให้จิตใจหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่เพียงแค่เสียงปากกาตกจากนางพยาบาลจอมซุ่มซ่ามก็ทำให้เธอแทบจะเป็นบ้าได้ง่าย
ๆ
แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดหรอก
จนเมื่อเด็กสาวได้รับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายยิ่งกว่าจากปากคำของหมอ สิ่งที่ทำลายจิตใจเธออย่างไม่มีชิ้นดีแล้วฉุดกระชากเธอจากความเป็นจริงดิ่งลงสู่เหวนรกอันมืดมิดอีกครั้ง
และคงไม่มีทางจะกลับขึ้นมาได้อย่างเหมือนเดิมอีกต่อไป
มันคือปีศาจ
มันแฝงอยู่ข้างในตัวเธอมาตลอดอย่างไม่รู้ตัว
อยู่ในเซลล์ อยู่ในเลือดเนื้อ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและสูบกินเธอจากข้างในอย่างตะกละตะกลาม
เจ้าปีศาจตัวนั้น ปีศาจที่เธอไม่ได้ต้องการ ปีศาจที่มาจากบิล
โดโลเรสได้รู้แล้วว่าแม้เธอจะหลุดพ้นจากบิลแล้ว
แต่ตามจริงบิลนั้นไม่เคยหายไปไหนเลย เพราะส่วนหนึ่งของเขาอยู่กับเธอเสมอ มันกำลังเติบโตอยู่ในร่างกายเธอนี่เอง
โดโลเรสรังเกียจมันอย่างเหลือล้น
ขยะแขยงและชิงชังอย่างถึงที่สุด ยิ่งมันเติบโตขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งอ่อนแอย่ำแย่ลงทั้งร่างกายและจิตใจ
เด็กสาวร่ำร้องไห้อย่างสิ้นหวังทุกคืนวัน เจ็บปวดแหลกสลายลึกลงถึงจิตวิญญาณจนไม่อาจเยียวยารักษาได้อีก
ได้แต่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นเธอ? เหตุใดกันพระเจ้าถึงได้ทำกับเธอเช่นนี้ ฉุดเธอขึ้นมาจากปีศาจในนรกเพื่อที่จะได้รู้ว่ามีปีศาจอีกตัวกำลังเวียนว่ายและเติบโตอยู่ในร่างของเธอเอง
เด็กสาวได้รับรู้แล้วว่าการรอดชีวิตไม่ใช่ความโชคดีอย่างที่ใครเขาพูดกัน
คนที่ตายไปแล้วต่างหากที่เรียกได้ว่าโชคดีอย่างจริงแท้
ร่างบอบบางนอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด
นัยน์ตากวาดมองไปทั่วห้องพักผู้ป่วยที่ปราศจากผู้คนแล้วจึงหยุดอยู่ตรงนาฬิกาติดผนังสีน้ำตาลอ่อนอันใหญ่
ยังมีเวลาอีกเกือบชั่วโมงก่อนที่หมอจะเข้ามาตรวจเช็กอาการเธออีกครั้ง
คิดได้เช่นนั้นโดโลเรสก็ดันตัวเองขึ้นจากเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปยังโต๊ะวางอาหารอย่างระมัดระวังแล้วคว้าเอาช้อนส้อมที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวกำโลหะในมือเอาไว้แน่นจนนิ้วมือขึ้นข้อขาว
เธอสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หัวใจเต้นแรงด้วยความหวั่นวิตกที่ก่อตัวขึ้น โดโลเรสรู้ว่ามันคงเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาล
แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็จำเป็นต้องทำ
เธอไม่อาจปล่อยให้ปีศาจอย่างมันอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้
เลือดเนื้ออันชั่วร้ายจักต้องถูกทำลายลงเท่านั้น และมีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด
เธอถกชุดกระโปรงคนไข้ขึ้น เผยเรียวขาอันเปลือยเปล่าไร้การปกปิดสัมผัสกับอากาศ
โดโลเรสอ้าขาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอกระชับช้อนส้อมในมือให้แน่นยิ่งขึ้น
แล้วนับถอยหลังในใจไปเรื่อย ๆ ในตอนที่ค่อย ๆ ยกมือของตนชูขึ้นจนสุดแขน
เมื่อถึงเลขสิบ เธอก็แทงปลายด้ามของช้อนเข้าไปข้างในช่องคลอด
ทะลวงดันผ่านส่วนอันอ่อนไหวเอย่างรุนแรงและลึกที่สุด
ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก
เลือดไหลอาบง่ามขาก่อนจะซึมไปบนเตียงสีขาวบริสุทธิ์
ย้อมทุกสิ่งให้กลายเป็นสีแดงชาด กระจายออกเป็นดวงกว้างในผืนผ้า เบ่งบานเหมือนกับดอกไม้ไฟในงานปีใหม่
เจ็บ เจ็บฉิบหาย
โดโลเรสกรีดร้องโหยหวน เจ็บปวดทรมานเหนือคณานับ
แต่เธอก็ยังคงไม่หยุดการกระทำของตัวเอง นัยน์ตาเบิกโพลงจ้องมองดูอวัยวะเพศที่มีแต่เลือดอยู่ทุกซอกมุมราวกับว่ามันกำลังจมจ่อมในบ่อเลือดบ่อใหญ่
นี่คือเลือดแห่งความชั่วร้าย เลือดแห่งความโสมมอันน่าขยะแขยง ต้องเอาออกมา ออกมาให้หมดอย่าให้เหลือ
ประตูห้องทุกเปิดขึ้นเพียงไม่นานหลังจากเสียงร้องดังขึ้น
โดโลเรสเงยหน้าขึ้น มองเห็นพยาบาลยืนอยู่ตรงนั้น
กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด เธอส่งยิ้มให้หล่อนอย่างเบาบาง
พึมพำขอโทษที่ทำให้ผ้าปูเตียงเลอะเทอะ ช้อนในมือร่วงหล่นเมื่อความเจ็บปวดกลืนกินเอาเรี่ยวแรงที่มีไปหมดแล้ว
แล้วก็กำลังกลืนกินสติของเธอตามไปด้วยเช่นกัน
เอามันออกไป เอามันออกไป
เศษเสี้ยวในความคิดยังคงกรีดร้องคำเดิมซ้ำ ๆ
เธอล้มลงไปบนเตียงแล้วหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก นี่คือการชำระบาป และเธอไม่เคยรู้สึกสะอาดและบริสุทธิ์มากเท่านี้มาก่อน
____________________
[1]
ไดเนอร์(Diner)
คือร้านอาหารแบบคลาสสิกอเมริกัน
มักเป็นร้านอาหารข้างทางที่หาได้ทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่จะเปิด24ชม. ลักษณะเป็นร้านเล็ก
ๆ ที่มีเบาะแดงยาวสีแดงติดหน้าต่างเป็นแบ่งบล็อกๆ และมีโต๊ะบาร์ให้นั่งแยก
รวมถึงโซนเอนเตอร์เทนอื่น ๆ เช่นตู้เพลง อาหารในร้านนี้มักเป็นอาหารคาวและหวานอเมริกันยอดฮิตเช่นเบอร์เกอร์
สเต๊ก เบคอนไข่ดาว พายแอปเปิล วาฟเฟิลแบบราคาถูก
แล้วยังสามารถเติมกาแฟและน้ำอัดลมได้ไม่อั้นด้วย
เป็นร้านที่นักเดินทางและคนขับรถบรรทุกชอบมากินกันเป็นพิเศษ
ความคิดเห็น