ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ 20

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 59


    บทที่ 20

     

    พวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าอาคารสูงหลังหนึ่ง เป็นอาคารสีเงินที่ดูก้าวล้ำเกินกว่าที่วิทยาการในตอนนี้ของพวกมนุษย์จะทำได้ ตึกสูงตระหง่านกว่าสิบชั้นตรงหน้าไม่ควรที่จะมาปรากฏในโลกมนุษย์ได้เลย...

    ...นอกจากว่ามันจะเป็นผลงานของปีศาจน่ะนะ...

    “ที่นี่มัน...”

    “คาร์ลเคยพาข้ามาก่อนหน้านี้ตอนที่ลองเวทเคลื่อนย้ายน่ะ เขาบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะมาที่นี่”

    “นี่พวกเจ้านัดแนะกันเสร็จสรรพเลยสินะ...”

    อาร์โรห์มองสำรวจอาคารหลังนั้นอีกครู่หนึ่ง แต่ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเขาเสียก่อน

    “ยินดีต้อนรับ ผู้มีพลังพิเศษและปีศาจ...อินคิวบัส...?”

    อีกฝ่ายดูมีท่าทีไม่แน่ใจเมื่อเอ่ยถึงเผ่าพันธุ์ เขามองสำรวจอาร์โรห์เหมือนต้องการให้ตนเองแน่ใจว่าถูกต้อง แต่เหมือนเขาจะล้มเลิกมันกลางคันแล้วก้าวลงมาตามบันได

    “เจ้าคือ เดล รีการ์ดใช่หรือเปล่า?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม ส่งให้เดลพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับ อีกฝ่ายจึงหันไปทางอาร์โรห์ “เช่นนั้นเจ้าก็คงจะเป็นอาร์โรห์  เลอร์จิล”

    อาร์โรห์มองอีกฝ่ายครู่หนึ่งจึงได้พยักหน้าเบาๆ และเป็นตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายก้าวลงมาถึงพื้นละหยุดฝีเท้าลง เขาโค้งตัวลงเก้าสิบองศาด้วยท่วงท่าสง่างาม

    “ข้าคือผู้รับผิดชอบตรวจสอบปีศาจและผู้มีพลังพิเศษในโลกนี้ชั่วคราว วาลีด ยินดีที่ได้รู้จัก” เอ่ยจบอีกฝ่ายก็ยืดตัวขึ้น เส้นผมสีน้ำเงินเข้มของอีกฝ่ายเมื่อเงยขึ้นมาแทบจะมองไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ว่ามันถูกจัดทรงมาอย่างดีจนแม้ว่าเส้นผมของอีกฝ่ายจะยาวจนแทบจะถึงเอวและถูกรวบเอาไว้ที่ท้ายทอยก็ยังไม่มีสายลมสักวูบที่จะทำให้มันยุ่งได้ มีก็แต่เพียงทำให้มันปลิวเบาๆไปตามแรงลมเท่านั้น หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเรียบกริบ ไม่มีรอยยับให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายกลับช่วยเสริมบุคลิกของอีกฝ่ายให้ดูราวกับชนชั้นสูง แม้จะมีเส้นผมที่ปิดใบหน้าไปครึ่งซีกก็ยังไม่อาจลดทอนมันลง กลับยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายนั้นดูลึกลับน่าค้นหาเข้าไปอีก

    “แม้จะเป็นการเสียมารยาท แต่เพื่อความรวดเร็วในการลงทะเบียนและตรวจสอบความสามารถ ข้าคงต้องขอพาพวกเจ้าเข้าไปที่ลานใหญ่เลยก็แล้วกัน” น้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้แฝงอำนาจเวทมาเล็กน้อยคล้ายเป็นการกดดันพวกเขากลายๆ แน่นอนว่าพลังเวทน้อยนิดที่แฝงมานั้นไม่ได้กดดันทั้งสองคนได้ แต่พวกเขาก็ยินดีเดินตามเข้าไปเพื่อเลี่ยงปัญหาและเลี่ยงการสร้างศัตรูเพิ่มขึ้น

    วาลีดพาทั้งสองคนเดินเข้ามาในตัวอาคาร ผ่านตัวตึกหนึ่งสู่อีกตึกหนึ่ง จนสุดท้ายพวกเขาก็มาหยุดลงที่ลานกว้าง  ที่นั่นมีปีศาจหลายตนกำลังสู้กันบ้าง นั่งคุยกันบ้างราวกับว่างเสียไม่มี ทว่าเพียงแค่พวกเขาก้าวเข้าไป ทุกอย่างก็ราวหยุดชะงัก ทุกร่างที่อยู่ในลานหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวจนแม้แต่เดลยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่ค่อยน่าพิศมัยสักเท่าไดนัก

    นัยน์ตาสีอ่อนกลอกมองไปรอบๆคราหนึ่ง ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะไม่มีใครที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าไม่ใช่ปีศาจก็ต้องเป็นมนุษย์ที่มีพลังเวทอยู่ในตัว บางคนยังเป็นคนที่มีนัยน์ตาต้องสาปเหมือนกับเดลด้วย แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งอาร์โรห์ก็ไม่พบคนที่พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตาเลยแม้แต่น้อย

    วาลีดเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง อีกฝ่ายมีร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเป็นมัดๆ แถมยังตัวสูงกว่าเดลอีกหนึ่งช่วงหัว สำหรับอาร์โรห์แล้วคงต้อวเงยหน้ามองแทบคอตั้งบ่าหากอีกฝ่ายเดินเข้ามายืนในระยะประชิด

    และที่สำคัญกว่านั้นเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเก่งไม่ใช่น้อยด้วย แข็งแกร่งจนแม้จะเป็นอาร์โรห์ที่มีพลังเวทก็ยังประมาทไม่ได้

    “พวกเขาเพิ่งมาใหม่ ฝากท่านตรวจสอบได้ไหมครับ?”

    คำพูดจากปากวาลีดทำให้นัยน์ตาที่อยู่บนใบหน้าคมดุดันกลอกมามองทางพวกเขา จากนั้นร่างนั้นจึงได้เคลื่อนเข้ามาหาพวกเขาจนอาร์โรห์ต้องดันร่างของเดลให้หลบไปด้านหลังเขาเล็กน้อย

    อาร์โรห์เห็นริมฝีปากหนาของคนตรงหน้ากระตุกยิ้ม

    “เอาสิ” เสียงทุ้มใหญ่สมร่างกายถูกเปล่งออกมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มขยับร่างกายราวกับคันไม้คันมือเต็มที “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าอินคิวบัสกับผู้มีดวงตาต้องสาปจะชนะข้าได้หรือเปล่า”

    “อย่าเอาจนถึขึ้นบาดเจ็บหนักก็แล้วกันครับ” คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากเจ้าของร่างใหญ่ยักษ์ตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง

    “ข้าไม่รับประกันหรอกนะ” สิ้นคำ ร่างใหญ่ยักษ์นั้นก็เริ่มปรากฏเส้นขนสีเทาดำปกคลุมทั่วร่างพร้อมเสียงคำราม ใบหน้าที่เมื่อครู่เหมือนมนุษย์เริ่มงอกยาวออกมาจนมีรูปหน้าเป็นสุนัขป่าตัวมหึมา จนหากมองผ่านๆอาจเข้าใจว่าเป็นมนุษย์หมาป่า ทว่าเมื่อลองนึกถึงความเป็นไปได้แล้ว การที่อีกฝ่ายยังสามารถเปลี่ยนร่างได้ตั้งแต่ช่วงกลางวันเช่นนี้ ไลแคนกลับมีแนวโน้มที่มากกว่า

    แต่ถึงจะเป็นไลแคนก็ยังเรียกได้ว่าเป็นไลแคนยักษ์อยู่ดี ตัวใหญ่ขนาดที่ยังใหญ่กว่ามนุษย์หมาป่าทั่วไป คาดว่าคงเพราะร่างปกติของอีกฝ่ายใหญ่เป็นทุนเดิม เมื่อเปลี่ยนร่างแล้วโดยส่วนมากปีศาจจำพวกไลแคนหรือมนุษย์หมาป่าจะตัวใหญ่ขึ้นอีกเกือบเท่าตัว ดังนั้นร่างของอีกฝ่ายจึงได้มหึมาขนาดนี้

    คราวนี้อาร์โรห์แหงนหน้าคอตั้งบ้างจริงๆ นัยน์ตาสีขาวสะท้อนภาพร่างของหมาป่าขนาดมหึมาที่บืนสองขาตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

    “เดล เจ้าถอยไปก่อน” อาร์โรห์เอ่ยพลางดันร่างของเดลเบาๆเป็นเชิงให้ถอยไปตามคำบอก เดลเองเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายแล้วก็พอจะประเมิณสภาพตนเองได้ว่าไม่อาจจะสู้ได้ แต่เมื่อเห็นว่าอาร์โรห์ทำท่าจะสู้เองคนเดียวทั้งสภาพที่ยังไม่หายดี ซ้ำร้ายยังเพิ่งจะใช้ทั้งพลังกายและพลังเวทที่เขาไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนจนแทบเกลี้ยง แล้วแบบนี้เขาจะวางใจได้อย่างไรกัน...

    “อาร์โรห์ แต่...!!

    “ยิ่งเจ้าอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งเป็นภาระให้ข้า เข้าใจมั้ยเล่า!?” ปลายเสียงของอาร์โรห์กระชากเล็กน้อยพาให้เดลถึงกับสะอึก แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นอาร์โรห์เป็นแบบนี้ แต่มันก็ยังตีความหมายของคำพูดนั้นได้อีกหลายอย่าง

    หนึ่งคือเขาไม่แข็งแกร่งพอจะสู้กับปีศาจตนนี้  สองคืออาร์โรห์กำลังคิดจะเอาจริงกับอีกฝ่าย  และสามคืออาร์โรห์คิดจะเอาตนเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อจะได้ไม่ต้องให้เขาสู้อีกครั้ง...

    ระหว่างที่เดลยังคงนิ่งเงียบอาร์โรห์ก็ทำได้เพียงภาวนาให้อีกฝ่ายรีบๆหลบไป  แต่เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะรอกับเขาไม่ไหวอีกฝ่ายจึงได้พุ่งเข้ามาจนอาร์โรห์จำต้องยกขาถีบร่างของเดลจนถอยกรูดไปอยู่นอกสนาม ส่วนตัวอาร์โรห์รีบดึงดาบที่เหมือนจะหนักขึ้นนิดหน่อยสำหรับตัวเขาในเวลานี้ที่ยังไม่แข็งแรงดี

    กรงเล็บหนาหนักถูกวาดเข้าใส่อาร์โรห์ตรงๆจนเขาต้องรีบยกดาบขึ้นรับ  แรงมหาศาลนั้นสะเทือนจนอาร์โรห์รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาล ซ้ำยังทำให้มือของเขาชาไปวูบหนึ่งด้วย

    อาร์โรห์กัดฟันกรอด ก่อนจะรวบรวมพลังเท่าที่มีดันกรงเล็บของอีกฝ่ายออก แต่มันก็ราวกับเพียงเด้งออกชั่วคราวเท่านั้น เพียงเสี้ยววินาทีกรงเล็บข้างเดิมก็วกกลับมาอีก แต่นั่นก็มากพอที่จะให้อาร์โรห์ดึงคันศรออกมาประทับลูกธนูและปล่อยออกไป

    ลูกธนูที่เหมือนจะเปราะบางและหักง่ายแทงทะลุเข้าไปในกรงเล็บข้างนั้นจนทะลุออกไปอีกข้าง ทว่าอาร์โรห์กลับไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างที่คิด กลับกันนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นกลับยิ่งส่องประกายกร้าวขึ้นจนเขาเสียวสันหลังวาบ

    อาร์โรห์กระโดดห่างออกจากจุดเดิมไปด้านข้างเพื่อจะเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้น ลูกธนูถูกหยิบขึ้นมาเตรียมพร้อมในมืออีกครั้ง

    ไม่ต้องให้อาร์โรห์รอนาน กรงเล็บอีกข้างก็ถูกหวดเข้าใส่อาร์โรห์ราวกับพายุลูกยักษ์  ทว่าอาร์โรห์กลับไม่หลบ ซ้ำยังคว้าเข้าที่ลำแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวคนหวดแขนออกมาก็ยังตกใจที่อีกฝ่ายคว้ามันไว้และปล่อยให้ตัวเองปลิวไปตามวงการเหวี่ยงนั้น

    อาร์โรห์ไม่ได้หวังเพียงจะจับเพื่อสร้างความแปลกใจ แน่นอนว่าเขามีสิ่งที่คิดเอาไว้แล้ว เมื่อถึงในจุดที่ขาแข็งแรงทั้งสองข้างไม่อาจทรงตัวไว้ได้และจำเป็นที่จะต้องก้าวขาขึ้นมาข้างหน้าเพื่อทรงตัว นั่นล่ะคือโอกาสของเขา

    นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองลำขาแข็งแรงทั้งสองข้างตลอดเวลา  จนเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะก้าวขาเพื่อทรงตัวให้ยังยืนอยู่นั่นเอง อาร์โรห์ก็ออกแรงเหวี่ยงร่างของตนเองให้สวนทางกับวงการเหวี่ยงของสิ่งที่เขายึดไว้ และกลับเป็นฝ่ายทุ่มร่างใหญ่ยักษ์นั้นลงกับพื้นอย่างง่ายดายและไม่น่าเชื่อ!!?

    ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดภายในเสี้ยววินาทีถึงกับตกตะลึงไปตามๆกัน  เมื่อครู่ช่างเป็นวินาทีพลิกผันที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าไม่คิดว่าจะมีความเป็นไปได้ด้วยซ้ำที่ร่างเล็กๆนั่นจะสามารถเหวี่ยงร่างใหญ่ยักษ์ขนาดที่เกินขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์ไปขนาดนั้นลงกับพื้นได้

    ที่พื้นถึงกับเกิดหลุมตื้นๆขึ้นมาหนึ่งหลุม  ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้อาร์โรห์วางใจลงได้  เขาจำต้องกระโดดถอยห่างออกมาจากหลุมนั้น...หรืออันที่จริงควรจะบอกว่าร่างที่อยู่กลางหลุมนั่นต่างหาก

    เมื่อกี้เขาอาศัยแรงเหวี่ยงของอีกฝ่ายแล้วประกอบด้วยแรงเหวี่ยงจากร่างของตนเองมาเสริมกันจึงได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่อาร์โรห์เชื่อว่ามันคงจะไม่มีรอบสองให้เขาได้เล่นมุขเด็กๆแบบนั้นอีก

    อาร์โรห์รีบประทับคันศรเตรียมรับมือกับร่างที่กำลังลุกขึ้นยืน หากว่าอีกฝ่ายขยับออกมาจากจุดเดิมแม้แต่ก้าวเดียว อาร์โรห์จะยิงทันที

    ทว่าเหมือนว่าลูกธนูที่อาร์โรห์เตรียมไว้จะเป็นหมันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายกลับทำเพียงยืนนิ่งๆ  กลับเป็นวาลีดที่เดินเข้ามาแทรกระหว่างอาร์โรห์และร่างของไลแคนที่เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง

    “เอาล่ะ เท่านี้ก็พอแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ห้องพักก็แล้วกัน”

    สถานการณ์ที่พลิกกะทันหันทำให้อาร์โรห์ถึงกับตามไม่ทันไปครู่หนึ่ง

    ไลแคนที่ยืนอยู่ด้านหลังวาลีดยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนเองอย่างหน่ายใจ แถมอาร์โรห์ยังได้ยินอีกฝ่ายพึมพำประมาณเอาอีกแล้วอีกด้วย!!!

    แล้วไอ้ที่เมื่อกี้เขาต้องมานั่งเสียแรงสู้นี่แค่เปล่าๆปลี้ๆแบบนี้อ่ะนะ!?

     

    สุดท้ายแล้วอาร์โรห์และเดลก็ถูกพามาที่ห้องพักอย่างที่วาลีดบอก แถมพอเข้าไปถึงแล้วยังเจอคาร์ลกับลูน่ากำลังนั่งคุยกันสบายใจเฉิบอีกด้วย

    “อ้าว อาร์โรห์ เจ้ามาช้านะ”

    อาร์โรห์ถึงกับต้องขมวดคิ้ว

    ไอ้ท่าทีสบายใจที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ก่อนที่พวกเขาจะแยกกันก่อนหน้านี้มันคืออะไร?? ไม่มีแม้กระทั่งอาการเป็นห่วงด้วย ท่าทางดูมั่นใจมากว่าพวกเขาจะปลอดภัยกลับมา แปลก แปลกเกินไปแล้ว...

    คาร์ลและลูน่าเดินเข้ามาหาพวกเขา ขณะที่วาลีดเพียงเดินขยับห่างออกไปเล็กน้อย

    “พวกเจ้าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?” เดลเอ่ยถามพลางมองสำรวจลูน่า ส่วนลูน่าทำเพียงยิ้มรับ กลับเป็นคาร์ลที่เดินเข้ามาตบไหล่เดล

    “พวกข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย แค่นกปีศาจตัวเดียวเท่านั้น”

    อาร์โรห์มองอีกฝ่ายนิ่งๆ ยิ่งเขามองก็ยิ่งรู้สึกประหลาด นิสัยของคาร์ลและลูน่าแปลกไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญ สำหรับลูน่า เดลคือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี และเขาก็ไม่เคยเห็นลูน่ามีท่าทีไม่สนใจหรือเป็นห่วงเดลมาก่อน กลับกันแล้วกลับเป็นห่วงและมักจะออกตัวปกป้องขณะที่พี่ชายตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ

    เขาเองก็เคยเห็นมันมากับตาแล้ว

    อาร์โรห์กำลังจะอ้าปากเตือนเดล แต่เขากลับทำไม่ได้แม้กระทั่งจะขยับมือตนเองด้วยซ้ำ

    เกิดอะไรขึ้น!!!?

    ดวงตาของอาร์โรห์ตะหวัดไปมองทาวาลีดที่ทำเพียงเผยยิ้มบางๆ พลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปาก

    พวกเขากำลังถูกหลอก เดลรู้สึกตัวเสียที!!!

    เดลเหลือบมองมือที่วางอยู่บนไหล่ตัวเองแล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองคาร์ลพลางเผยยิ้ม

    “นั่นสินะ แค่นกปีศาจตัวเดียวคงไม่ครนามือเจ้าหรอก แต่ว่านะ...”  นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นราวกับส่องประกายวาวโรจน์ “ถ้าเจ้าเป็นคาร์ลตัวจริงไม่มีทางที่จะเข้ามาหาข้าก่อนหรอกจริงไหม?”

    เมื่อคำพูดนั้นจบลง เดลก็ซัดเวทใส่ร่างตรงหน้าตนเองจนปลิวไปอีกทางทันที

    “ว้า...แสดงได้ไม่เนียนจริงๆด้วย” เสียงนั้นดังออกมาจากร่างของลูน่า แต่ที่พาให้พวกเขากลัวจริงๆสงสัยจะเป็นเสียงนี่แหละ

    อย่าใช้หน้าลูน่าตอนพูดด้วยเสียงผู้ชายได้ไหม!!!?

    แสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้าพวกเขาทีหนึ่ง ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มสองคนจะปรากฏขึ้นมาแทนที่คาร์ลและลูน่า

    เดลรีบขยับถอยไปก้าวหนึ่ง พร้อมตั้งท่าเตรียมชักดาบที่ข้างเอวออกมา หากอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเมื่อไหร่เขาก็พร้อมที่จะชักดาบออกมาสู้ทันที

    และก็เป็นอีกครั้งที่สิ่งที่เขาเตรียมไว้สูญเปล่า สองคนนั้นไม่ได้ขยับเข้ามาหาเขา ทั้งยังขยับถอยห่างเขาไปก้าวหนึ่งพลางยกมือทำท่ายอมแพ้

    “พวกข้าไม่ถนัดสู้หรอก ไม่ต้องเตรียมพร้อมขนาดนั้นก็ได้...” ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเอ่ย ขณะที่ชายหนุ่มตัวสูงที่เมื่อครู่ปลอมเป็นลูน่าพยักหน้าเบาๆ

    เดลจ้องมองเพื่อคอยดูท่าทีครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีคิดจะต่อสู้จริงๆจึงได้คลายท่าทีลง แต่มือก็ยังคงจับอยู่ที่ด้ามดาบพร้อมชักมันออกมาพิสูจน์ความคมตลอดเวลา

    ขณะเดียวกัน ในที่สุดวาลีดก็คลายเวทที่ใช้กับอาร์โรห์ออก ทำให้อาร์โรห์สามารถกลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง ทว่ามันก็ทำให้อาร์โรห์รู้สึกไม่ไว้ใจอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก เขารีบเดินเข้าไปหาเดล ขณะที่สายตายังคงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขากำลังคอยระวังหลังให้เดลที่ดูจะใช้สมาธิส่วนใหญ่ไปกับสองคนตรงหน้ามากกว่า

    เหมือนว่าตอนที่วาลีดใช้เวทกับเขา เดลจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้เขาเข้าใจดี เดลเพิ่งจะใช้เวทได้คล่องจริงๆยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ หากจะให้นับ ที่สามรถใช้พลังเวทได้ขนาดนี้ก็เพราะใช้นัยน์ตาต้องสาปในการวิเคาระห์และคัดลอกเวทของคาร์ล และจดจำเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เดลก็คงจะยังไม่สามารถเทียบชั้นกับปีศาจที่ใช้เวทมาตั้งแต่เกิดได้ พลังของวาลีดสูงกว่าเดลขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ต้องเป็นผู้ใช้เวทที่มีทั้งความสามารถและประสบการณ์มากพอถึงจะสัมผัสถึงพลังเวทของอีกฝ่ายที่จงใจกลบเกลื่อนเสียแนบเนียนได้

    มุมปากของวาลีดกดลึกลงเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ...

    อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ทำเพียงคอยสังเกตท่าทีของคนที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจอย่างวาลีด ส่วนอีกสองคน เขาเชื่อว่าหากเดลยังคงจ้องอยู่แบบนั้น ต่อให้ใช้เวทแบบไหนมาเดลก็จะสามารถรู้ตัวทันที หรือถ้าพุ่งเข้ามาเดลก็ยังมีทักษะทางกายที่ดีพอสมควร และเท่าที่ดูสองคนนั้นก็คงจะไม่ค่อยถนัดต่อสู้อย่างที่ปากว่าจริงๆ กลับกันแล้ววาลีดกลับดูน่ากลัวกว่าหลายเท่า

    หลังจากคุมเชิงกันอยู่สักพัก ในที่สุดวาลีดก็เอ่ยขึ้น

    “การทดสอบจบลงเท่านี้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปพบกับเพื่อนๆของเจ้าเอง ตามมาสิ” ว่าจบวาลีดก็ผายมือไปทางประตู ทว่าทั้งอาร์โรห์และเดลก็ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเสียแล้ว หรือหากพูดให้ถูกคืออาร์โรห์ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายและเป็นคนดึงรั้งชายเสื้อของเดลเอาไว้ไม่ให้รีบตามอีกฝ่ายไปน่าจะถูกกว่า

    “ข้าจะไว้ใจเจ้าได้ยังไง ในเมือ่เจ้าเพิ่งจะหลอกพวกข้าไป”

    “ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นการทดสอบ และพวกเจ้าก็มีความสามรถมากพอที่จะขึ้นมาเป็นแนวหน้าในการปกป้องปีศาจและสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยู่ที่นี่ สิ่งที่ข้าทำก็เพื่อทดสอบพวกเจ้าว่าข้าจะจัดสรรพวกเจ้าไปอยู่ไหน มีหน้าที่อะไร และพวกเจ้าก็ผ่านมันไปอย่างง่ายดาย”

    ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าที่นี่จำเป็นต้องมีใครมาปกป้อง ปีศาจที่มนุษย์หวาดกลัว แทนที่จะเป็นทางเรา ทางมนุษย์ต่างหากที่ต้องมีความรู้สึกแบบนั้นเดลเอ่ย ทว่าวาลีดกลับส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่อาร์โรห์เองก็นิ่งเงียบ พาให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ

    เจ้าคิดว่าพวกเราทุกตนมีความสามารถขนาดนั้นเชียวหรือ?” สิ้นคำถามจากวาลีด เดลก็เงียบไป เขาไม่อาจที่จะตอบคำถามนั้นได้ แม้จะเคยเรียนรู้ตำนานมาบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักปีศาจทุกตน

    เมื่อวาลีดเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงได้เอ่ยต่อ

    พวกเราเองก็เหมือนมนุษย์ มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ มีทั้งพวกที่ทะเยอทะยานและรักความสงบ...วาลีดเว้นระยะไปช่วงหนึ่ง ปีศาจส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้ ไม่อ่อนแอเกินกว่าจะมีชีวิตรอดได้เองก็เป็นพวกที่ไม่ต้องการต่อสู้ พวกเขาแค่ถูกดึงเข้ามาที่นี่อย่างไม่เต็มใจ ที่พวกข้าตั้งที่นี่ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องพวกเขาและรอเวลาที่จะได้กลับไปยังที่ที่ตนเองควรจะอยู่ก็เท่านั้น

    จบคำอธิบายนั้น เดลก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ในสมองประมวลผลเพียงว่าปีศาจเองก็เหมือนกับมนุษย์ เพียงแต่มีลักษณะเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่เด่นชัด และมีนูปร่างต่างจากมนุษย์ก็เท่านั้น

    โดยไม่มีใครรู้ตัว คำพูดของวาลีดกลับไปสะกิดใจของอาร์โรห์โดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ราวกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนทำให้เหล่าปีศาจหลุดเข้ามาที่นี่มากมาย เหตุใดช่องว่างระหว่างมิติถึงได้เปิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...

    “เจ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

    เขาอดไม่อยู่ เขาอยากรู้ว่าสาเหตุทั้งหมดนี้มันเกิดจากอะไร...

    วาลีดหันมาหาคนถาม ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้า

    “แน่นอนว่าข้ารู้” วาลีเอ่ยพลางมองสบเข้าไปในดวงตาของอาร์โรห์ “ในวันนั้นอยู่ๆมิติก็บิดเบี้ยว และจุดเริ่มต้นของประตูมิติก็ปรากฏขึ้นเหนือเผ่าปีศาจแฝงฝัน แล้วขยายใหญ่ขึ้นมาถึงเผ่าข้างเคียง...”

    อาร์โรห์ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่

    เขารู้ดีว่าหากเป็นประตูมิติที่ใหญ่ถึงขาดนั้น แรงดูดจะมากมายขนาดไหน เขาเคยสงสัยว่าคงมีประตูมิติเปิดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทำให้ปีศาจหลุดเข้ามาที่นี่มากมายขนาดนี้ ทว่าก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะใหญ่ขนาดนั้น...

    และเขาก็ไม่อยากจะคิดเลยถึงสาเหตุที่ชนเผ่าของเขาเปิดประตูมิติใหญ่ขนาดนั้น...

    สำหรับชนเผ่าของเขา...การสูญเสียชีวิตหนึ่งไปถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก...ใหญ่จนไม่อาจคาดคะเน...

    “หลังจากนั้น...เกิดอะไรขึ้น...”

    วาลีดมองคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแห้งผากราวกับพยายามอ่านเขาให้ออก ทว่าสิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นความกังวลที่ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้น แม้เขาจะไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังคงอ้าปากเล่าต่อ

    “หลังจากประตูมิติขนาดใหญ่นั่นเปิดขึ้นเกือบหนึ่งนาที ปีศาจหลายตนถูกดูดเข้าไปในนั้น บางส่วนสามารถหาที่หลบได้ทัน ประตูมิติก็ระเบิด” วาลีดหลับตาลง เขาจดจำได้ดี ในตอนนั้นเขาอยู่ห่างจากที่นั่นมากพอที่จะไม่ถูกลูกหลง ทว่าหลังจากที่ประตูมิตินั้นระเบิดออก สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็เกิดตามมา...

    ประตูมิติที่เปิดจนใหญ่ยักษ์หดตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะระเบิดออก แรงกดอากาศมหาศาลระเบิดออกไปเป็นวงกว้าง ทุกคนที่ปะทะกับแรงระเบิดนั้นร่างปลิวไปตามๆกัน ทว่ามันยังไม่สิ้นสุด เมื่อปรากฏประตูมิติขึ้นทั่วโลกปีศาจ ปีศาจที่อยู่ใกล้มันหลายตนถูกดูดเข้าไป บ้างหนีได้ทัน ส่วนตัวเขานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ถูกดูดเข้ามาโดยไม่รู้ตัวและมาปรากฏตัวที่นี่...

    อาร์โรห์รู้ดีว่าหากเกิดการระเบิดของประตูมิติจะเกิดอะไรขึ้นตามมา เขาคาดว่าบางทีหลายๆคนคงกำลังพยายามที่จะปิดประตูมิติจากโลกปีศาจอยู่ ส่วนตัวเขา...

    “พวกท่านจะทำอะไรบ้าง?”

    คำถามของอาร์โรห์ทำให้ทั้งวาลีดและปีศาจอีกสองตนที่อยู่ในห้องมีสีหน้างงงวยคล้ายตามไม่ทัน อาร์โรห์ที่เห็นดังนั้นจึงต้องพูดขยายความขึ้นอีก

    “ข้าหมายถึง...พวกท่านจะทำอะไรกับประตูมิติจากทางนี้หรือไม่?”

    “ถ้าพวกข้าเคยพบมันมาก่อนก็คงจะไม่มาติดอยู่ที่นี่หรอก” ปีศาจตนหนึ่งเอ่ยขึ้น อาร์โรห์ที่ได้ยินดังนั้นหันไปมองวาลีดที่พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงยืนยัน

    นั่นเท่ากับว่าพวกเขาไม่เคยพบประตูมิติที่โลกมนุษย์นี้มาก่อนสินะ...

    “พวกข้าเคยไปหาประตูมิติจากที่ที่พวกเราแต่ละตนปรากฏตัว แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่เคยเจอประตูมิติเลย พวกข้าเลยคิดว่าบางที ประตูมิติมันคงกำลังเคลื่อนที่...”

    อาร์โรห์ลองคิดตาม ก็จริงอยู่ที่มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้น แต่จะเป็นไปได้หรือที่มีปีศาจปรากฏขึ้นมาจากหลายที่ขนาดนั้นแต่กลับไม่พบประตูมิติเลยสักบาน? เป็นไปได้หรือที่ประตูมิติมากมายขนาดนั้นจะไม่สามารถหาเจอได้เลยจริงๆ?

    เท่าที่ฟังมา อาร์โรห์คิดว่าวาลีดต้องไปมาหลายที่พอสมควรแล้ว แต่อีกฝ่ายก็กลับยังไม่เคยพบ...

    แปลก...มีบางอย่างที่ผิดปกติ...

    “เจ้าพอจะมีข้อมูลหรือรู้อะไรบ้างไหม?” วาลีดดูจะตั้งความหวังกับท่าทีของเขาไว้สูง ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้มากมายขนาดนั้น และเขาก็เชื่อว่าคาร์ลต้องเคยถูกถามแบบเดียวกันแน่ แต่เมื่ออีกฝ่ายยังคงคลำทางไปอย่างไร้จุดหมายแบบนี้เขาก็พอจะคิได้ว่าคาร์ลเองก็คงจะรู้อะไรไม่มากเช่นกัน...

    “ข้าขอพบพวกคาร์ลก่อน ไว้หากรู้อะไรแล้วข้าจะบอกก็แล้วกัน”

    “ขอบคุณมาก”


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ในที่สุดก็แต่งจบไปอีกตอนหลังจากที่รู้สึกว่าเว้นระยะไปยาวมาก ฟฟฟ

    ตอนนี้เวลาอ่านจะรู้สึกเหมือนสั้นสุดๆ แต่อันที่จริงความยาวแปดถึงเก้าหน้าเวิร์ดเลยนะคะ

    คงเพราะว่ามันมีอยู่แค่ไม่กี่ฉากด้วย

    สำหรับตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันยังเหมือนจะดูชิวๆอยู่ (มั้ง(?)) เริ่มให้เห็นปมได้ชัดๆบ้างแล้ว แต่เนื้อเรื่องก็ยังคงเรื่อยๆ(?)

    เดือนหน้าไรท์ก็ต้องไป ม. แล้ว สงสัยเวลาแต่งจะน้อยลงอีก...//ปกติก็น้อยอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ

    แต่ไรท์สัญญาว่าจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องไหนทั้งนั้น ถึงจะไม่มีคนอ่านไรท์ก็จะยังคงแต่งต่อไป (...)

    วันนี้รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้เวิ่น ฟฟฟฟ

    งั้นข้อสุดท้าย ขอพูดถึงวาลีดเลยแล้วกันค่ะ(?)

    อยากบอกว่าอย่าเพิ่งลืมหมอนี่ไปไหน เพราะเดี๋ยวหมอนี่จะมีบทบาทอีกในภาคอื่นๆ(?) ถึงจะยังเป็นแค่ ตปก. ก็เถอะ(...)

    อันที่จริงวาลีดเป็นตัวประกอบเฉพาะหน้ามากในตอนแรกที่ไรท์คิด ไปๆมาๆกลับมีบททั้งตอน

    ขนาดเผ่าพันธุ์ของหมอนี่ไรท์ยังไม่คิดเลย และคิดไม่ออกด้วยว่าเอาอะไรดี คิดออกแต่ลักษณะภายนอก และรู้แค่ว่ามันหล่อ(...)

    โนไอเดียรุนแรงมากค่ะช่วงนี้ ถ้าหากรีดอ่านแล้วรู้สึกว่าพอจะเข้าเค้าเผ่าพันธุ์ไหนช่วยไรท์หน่อยน้า~ T^T

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×