คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ 20
บทที่ 20
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าอาคารสูงหลังหนึ่ง
เป็นอาคารสีเงินที่ดูก้าวล้ำเกินกว่าที่วิทยาการในตอนนี้ของพวกมนุษย์จะทำได้
ตึกสูงตระหง่านกว่าสิบชั้นตรงหน้าไม่ควรที่จะมาปรากฏในโลกมนุษย์ได้เลย...
...นอกจากว่ามันจะเป็นผลงานของปีศาจน่ะนะ...
“ที่นี่มัน...”
“คาร์ลเคยพาข้ามาก่อนหน้านี้ตอนที่ลองเวทเคลื่อนย้ายน่ะ
เขาบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะมาที่นี่”
“นี่พวกเจ้านัดแนะกันเสร็จสรรพเลยสินะ...”
อาร์โรห์มองสำรวจอาคารหลังนั้นอีกครู่หนึ่ง
แต่ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเขาเสียก่อน
“ยินดีต้อนรับ ผู้มีพลังพิเศษและปีศาจ...อินคิวบัส...?”
อีกฝ่ายดูมีท่าทีไม่แน่ใจเมื่อเอ่ยถึงเผ่าพันธุ์
เขามองสำรวจอาร์โรห์เหมือนต้องการให้ตนเองแน่ใจว่าถูกต้อง แต่เหมือนเขาจะล้มเลิกมันกลางคันแล้วก้าวลงมาตามบันได
“เจ้าคือ เดล รีการ์ดใช่หรือเปล่า?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม
ส่งให้เดลพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับ อีกฝ่ายจึงหันไปทางอาร์โรห์
“เช่นนั้นเจ้าก็คงจะเป็นอาร์โรห์
เลอร์จิล”
อาร์โรห์มองอีกฝ่ายครู่หนึ่งจึงได้พยักหน้าเบาๆ และเป็นตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายก้าวลงมาถึงพื้นละหยุดฝีเท้าลง
เขาโค้งตัวลงเก้าสิบองศาด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ข้าคือผู้รับผิดชอบตรวจสอบปีศาจและผู้มีพลังพิเศษในโลกนี้ชั่วคราว วาลีด
ยินดีที่ได้รู้จัก” เอ่ยจบอีกฝ่ายก็ยืดตัวขึ้น
เส้นผมสีน้ำเงินเข้มของอีกฝ่ายเมื่อเงยขึ้นมาแทบจะมองไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ว่ามันถูกจัดทรงมาอย่างดีจนแม้ว่าเส้นผมของอีกฝ่ายจะยาวจนแทบจะถึงเอวและถูกรวบเอาไว้ที่ท้ายทอยก็ยังไม่มีสายลมสักวูบที่จะทำให้มันยุ่งได้
มีก็แต่เพียงทำให้มันปลิวเบาๆไปตามแรงลมเท่านั้น หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเรียบกริบ
ไม่มีรอยยับให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ซ้ำร้ายกลับช่วยเสริมบุคลิกของอีกฝ่ายให้ดูราวกับชนชั้นสูง
แม้จะมีเส้นผมที่ปิดใบหน้าไปครึ่งซีกก็ยังไม่อาจลดทอนมันลง
กลับยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายนั้นดูลึกลับน่าค้นหาเข้าไปอีก
“แม้จะเป็นการเสียมารยาท แต่เพื่อความรวดเร็วในการลงทะเบียนและตรวจสอบความสามารถ
ข้าคงต้องขอพาพวกเจ้าเข้าไปที่ลานใหญ่เลยก็แล้วกัน”
น้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้แฝงอำนาจเวทมาเล็กน้อยคล้ายเป็นการกดดันพวกเขากลายๆ
แน่นอนว่าพลังเวทน้อยนิดที่แฝงมานั้นไม่ได้กดดันทั้งสองคนได้
แต่พวกเขาก็ยินดีเดินตามเข้าไปเพื่อเลี่ยงปัญหาและเลี่ยงการสร้างศัตรูเพิ่มขึ้น
วาลีดพาทั้งสองคนเดินเข้ามาในตัวอาคาร ผ่านตัวตึกหนึ่งสู่อีกตึกหนึ่ง
จนสุดท้ายพวกเขาก็มาหยุดลงที่ลานกว้าง
ที่นั่นมีปีศาจหลายตนกำลังสู้กันบ้าง นั่งคุยกันบ้างราวกับว่างเสียไม่มี
ทว่าเพียงแค่พวกเขาก้าวเข้าไป ทุกอย่างก็ราวหยุดชะงัก
ทุกร่างที่อยู่ในลานหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวจนแม้แต่เดลยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่ค่อยน่าพิศมัยสักเท่าไดนัก
นัยน์ตาสีอ่อนกลอกมองไปรอบๆคราหนึ่ง
ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะไม่มีใครที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเลยแม้แต่คนเดียว
ถ้าไม่ใช่ปีศาจก็ต้องเป็นมนุษย์ที่มีพลังเวทอยู่ในตัว
บางคนยังเป็นคนที่มีนัยน์ตาต้องสาปเหมือนกับเดลด้วย
แต่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งอาร์โรห์ก็ไม่พบคนที่พวกเขาคุ้นหน้าคุ้นตาเลยแม้แต่น้อย
วาลีดเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง
อีกฝ่ายมีร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเป็นมัดๆ แถมยังตัวสูงกว่าเดลอีกหนึ่งช่วงหัว
สำหรับอาร์โรห์แล้วคงต้อวเงยหน้ามองแทบคอตั้งบ่าหากอีกฝ่ายเดินเข้ามายืนในระยะประชิด
และที่สำคัญกว่านั้นเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเก่งไม่ใช่น้อยด้วย
แข็งแกร่งจนแม้จะเป็นอาร์โรห์ที่มีพลังเวทก็ยังประมาทไม่ได้
“พวกเขาเพิ่งมาใหม่ ฝากท่านตรวจสอบได้ไหมครับ?”
คำพูดจากปากวาลีดทำให้นัยน์ตาที่อยู่บนใบหน้าคมดุดันกลอกมามองทางพวกเขา
จากนั้นร่างนั้นจึงได้เคลื่อนเข้ามาหาพวกเขาจนอาร์โรห์ต้องดันร่างของเดลให้หลบไปด้านหลังเขาเล็กน้อย
อาร์โรห์เห็นริมฝีปากหนาของคนตรงหน้ากระตุกยิ้ม
“เอาสิ” เสียงทุ้มใหญ่สมร่างกายถูกเปล่งออกมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มขยับร่างกายราวกับคันไม้คันมือเต็มที
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าอินคิวบัสกับผู้มีดวงตาต้องสาปจะชนะข้าได้หรือเปล่า”
“อย่าเอาจนถึขึ้นบาดเจ็บหนักก็แล้วกันครับ”
คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มจากเจ้าของร่างใหญ่ยักษ์ตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง
“ข้าไม่รับประกันหรอกนะ” สิ้นคำ
ร่างใหญ่ยักษ์นั้นก็เริ่มปรากฏเส้นขนสีเทาดำปกคลุมทั่วร่างพร้อมเสียงคำราม
ใบหน้าที่เมื่อครู่เหมือนมนุษย์เริ่มงอกยาวออกมาจนมีรูปหน้าเป็นสุนัขป่าตัวมหึมา
จนหากมองผ่านๆอาจเข้าใจว่าเป็นมนุษย์หมาป่า ทว่าเมื่อลองนึกถึงความเป็นไปได้แล้ว
การที่อีกฝ่ายยังสามารถเปลี่ยนร่างได้ตั้งแต่ช่วงกลางวันเช่นนี้
ไลแคนกลับมีแนวโน้มที่มากกว่า
แต่ถึงจะเป็นไลแคนก็ยังเรียกได้ว่าเป็นไลแคนยักษ์อยู่ดี
ตัวใหญ่ขนาดที่ยังใหญ่กว่ามนุษย์หมาป่าทั่วไป
คาดว่าคงเพราะร่างปกติของอีกฝ่ายใหญ่เป็นทุนเดิม
เมื่อเปลี่ยนร่างแล้วโดยส่วนมากปีศาจจำพวกไลแคนหรือมนุษย์หมาป่าจะตัวใหญ่ขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
ดังนั้นร่างของอีกฝ่ายจึงได้มหึมาขนาดนี้
คราวนี้อาร์โรห์แหงนหน้าคอตั้งบ้างจริงๆ
นัยน์ตาสีขาวสะท้อนภาพร่างของหมาป่าขนาดมหึมาที่บืนสองขาตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น
“เดล เจ้าถอยไปก่อน” อาร์โรห์เอ่ยพลางดันร่างของเดลเบาๆเป็นเชิงให้ถอยไปตามคำบอก
เดลเองเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายแล้วก็พอจะประเมิณสภาพตนเองได้ว่าไม่อาจจะสู้ได้
แต่เมื่อเห็นว่าอาร์โรห์ทำท่าจะสู้เองคนเดียวทั้งสภาพที่ยังไม่หายดี
ซ้ำร้ายยังเพิ่งจะใช้ทั้งพลังกายและพลังเวทที่เขาไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนจนแทบเกลี้ยง
แล้วแบบนี้เขาจะวางใจได้อย่างไรกัน...
“อาร์โรห์ แต่...!!”
“ยิ่งเจ้าอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งเป็นภาระให้ข้า เข้าใจมั้ยเล่า!?” ปลายเสียงของอาร์โรห์กระชากเล็กน้อยพาให้เดลถึงกับสะอึก
แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นอาร์โรห์เป็นแบบนี้ แต่มันก็ยังตีความหมายของคำพูดนั้นได้อีกหลายอย่าง
หนึ่งคือเขาไม่แข็งแกร่งพอจะสู้กับปีศาจตนนี้
สองคืออาร์โรห์กำลังคิดจะเอาจริงกับอีกฝ่าย
และสามคืออาร์โรห์คิดจะเอาตนเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อจะได้ไม่ต้องให้เขาสู้อีกครั้ง...
ระหว่างที่เดลยังคงนิ่งเงียบอาร์โรห์ก็ทำได้เพียงภาวนาให้อีกฝ่ายรีบๆหลบไป
แต่เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะรอกับเขาไม่ไหวอีกฝ่ายจึงได้พุ่งเข้ามาจนอาร์โรห์จำต้องยกขาถีบร่างของเดลจนถอยกรูดไปอยู่นอกสนาม
ส่วนตัวอาร์โรห์รีบดึงดาบที่เหมือนจะหนักขึ้นนิดหน่อยสำหรับตัวเขาในเวลานี้ที่ยังไม่แข็งแรงดี
กรงเล็บหนาหนักถูกวาดเข้าใส่อาร์โรห์ตรงๆจนเขาต้องรีบยกดาบขึ้นรับ
แรงมหาศาลนั้นสะเทือนจนอาร์โรห์รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาล
ซ้ำยังทำให้มือของเขาชาไปวูบหนึ่งด้วย
อาร์โรห์กัดฟันกรอด ก่อนจะรวบรวมพลังเท่าที่มีดันกรงเล็บของอีกฝ่ายออก
แต่มันก็ราวกับเพียงเด้งออกชั่วคราวเท่านั้น
เพียงเสี้ยววินาทีกรงเล็บข้างเดิมก็วกกลับมาอีก
แต่นั่นก็มากพอที่จะให้อาร์โรห์ดึงคันศรออกมาประทับลูกธนูและปล่อยออกไป
ลูกธนูที่เหมือนจะเปราะบางและหักง่ายแทงทะลุเข้าไปในกรงเล็บข้างนั้นจนทะลุออกไปอีกข้าง
ทว่าอาร์โรห์กลับไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างที่คิด
กลับกันนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นกลับยิ่งส่องประกายกร้าวขึ้นจนเขาเสียวสันหลังวาบ
อาร์โรห์กระโดดห่างออกจากจุดเดิมไปด้านข้างเพื่อจะเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้น
ลูกธนูถูกหยิบขึ้นมาเตรียมพร้อมในมืออีกครั้ง
ไม่ต้องให้อาร์โรห์รอนาน กรงเล็บอีกข้างก็ถูกหวดเข้าใส่อาร์โรห์ราวกับพายุลูกยักษ์ ทว่าอาร์โรห์กลับไม่หลบ
ซ้ำยังคว้าเข้าที่ลำแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวคนหวดแขนออกมาก็ยังตกใจที่อีกฝ่ายคว้ามันไว้และปล่อยให้ตัวเองปลิวไปตามวงการเหวี่ยงนั้น
อาร์โรห์ไม่ได้หวังเพียงจะจับเพื่อสร้างความแปลกใจ แน่นอนว่าเขามีสิ่งที่คิดเอาไว้แล้ว
เมื่อถึงในจุดที่ขาแข็งแรงทั้งสองข้างไม่อาจทรงตัวไว้ได้และจำเป็นที่จะต้องก้าวขาขึ้นมาข้างหน้าเพื่อทรงตัว
นั่นล่ะคือโอกาสของเขา
นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองลำขาแข็งแรงทั้งสองข้างตลอดเวลา
จนเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะก้าวขาเพื่อทรงตัวให้ยังยืนอยู่นั่นเอง อาร์โรห์ก็ออกแรงเหวี่ยงร่างของตนเองให้สวนทางกับวงการเหวี่ยงของสิ่งที่เขายึดไว้
และกลับเป็นฝ่ายทุ่มร่างใหญ่ยักษ์นั้นลงกับพื้นอย่างง่ายดายและไม่น่าเชื่อ!!?
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดภายในเสี้ยววินาทีถึงกับตกตะลึงไปตามๆกัน เมื่อครู่ช่างเป็นวินาทีพลิกผันที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าไม่คิดว่าจะมีความเป็นไปได้ด้วยซ้ำที่ร่างเล็กๆนั่นจะสามารถเหวี่ยงร่างใหญ่ยักษ์ขนาดที่เกินขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์ไปขนาดนั้นลงกับพื้นได้
ที่พื้นถึงกับเกิดหลุมตื้นๆขึ้นมาหนึ่งหลุม ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้อาร์โรห์วางใจลงได้
เขาจำต้องกระโดดถอยห่างออกมาจากหลุมนั้น...หรืออันที่จริงควรจะบอกว่าร่างที่อยู่กลางหลุมนั่นต่างหาก
เมื่อกี้เขาอาศัยแรงเหวี่ยงของอีกฝ่ายแล้วประกอบด้วยแรงเหวี่ยงจากร่างของตนเองมาเสริมกันจึงได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
แต่อาร์โรห์เชื่อว่ามันคงจะไม่มีรอบสองให้เขาได้เล่นมุขเด็กๆแบบนั้นอีก
อาร์โรห์รีบประทับคันศรเตรียมรับมือกับร่างที่กำลังลุกขึ้นยืน
หากว่าอีกฝ่ายขยับออกมาจากจุดเดิมแม้แต่ก้าวเดียว อาร์โรห์จะยิงทันที
ทว่าเหมือนว่าลูกธนูที่อาร์โรห์เตรียมไว้จะเป็นหมันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายกลับทำเพียงยืนนิ่งๆ กลับเป็นวาลีดที่เดินเข้ามาแทรกระหว่างอาร์โรห์และร่างของไลแคนที่เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง
“เอาล่ะ เท่านี้ก็พอแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ห้องพักก็แล้วกัน”
สถานการณ์ที่พลิกกะทันหันทำให้อาร์โรห์ถึงกับตามไม่ทันไปครู่หนึ่ง
ไลแคนที่ยืนอยู่ด้านหลังวาลีดยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนเองอย่างหน่ายใจ
แถมอาร์โรห์ยังได้ยินอีกฝ่ายพึมพำประมาณเอาอีกแล้วอีกด้วย!!!
แล้วไอ้ที่เมื่อกี้เขาต้องมานั่งเสียแรงสู้นี่แค่เปล่าๆปลี้ๆแบบนี้อ่ะนะ!?
สุดท้ายแล้วอาร์โรห์และเดลก็ถูกพามาที่ห้องพักอย่างที่วาลีดบอก
แถมพอเข้าไปถึงแล้วยังเจอคาร์ลกับลูน่ากำลังนั่งคุยกันสบายใจเฉิบอีกด้วย
“อ้าว อาร์โรห์ เจ้ามาช้านะ”
อาร์โรห์ถึงกับต้องขมวดคิ้ว
ไอ้ท่าทีสบายใจที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ก่อนที่พวกเขาจะแยกกันก่อนหน้านี้มันคืออะไร??
ไม่มีแม้กระทั่งอาการเป็นห่วงด้วย ท่าทางดูมั่นใจมากว่าพวกเขาจะปลอดภัยกลับมา แปลก
แปลกเกินไปแล้ว...
คาร์ลและลูน่าเดินเข้ามาหาพวกเขา
ขณะที่วาลีดเพียงเดินขยับห่างออกไปเล็กน้อย
“พวกเจ้าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?” เดลเอ่ยถามพลางมองสำรวจลูน่า
ส่วนลูน่าทำเพียงยิ้มรับ กลับเป็นคาร์ลที่เดินเข้ามาตบไหล่เดล
“พวกข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย แค่นกปีศาจตัวเดียวเท่านั้น”
อาร์โรห์มองอีกฝ่ายนิ่งๆ ยิ่งเขามองก็ยิ่งรู้สึกประหลาด
นิสัยของคาร์ลและลูน่าแปลกไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญ สำหรับลูน่า
เดลคือครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี
และเขาก็ไม่เคยเห็นลูน่ามีท่าทีไม่สนใจหรือเป็นห่วงเดลมาก่อน กลับกันแล้วกลับเป็นห่วงและมักจะออกตัวปกป้องขณะที่พี่ชายตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ
เขาเองก็เคยเห็นมันมากับตาแล้ว
อาร์โรห์กำลังจะอ้าปากเตือนเดล
แต่เขากลับทำไม่ได้แม้กระทั่งจะขยับมือตนเองด้วยซ้ำ
เกิดอะไรขึ้น!!!?
ดวงตาของอาร์โรห์ตะหวัดไปมองทาวาลีดที่ทำเพียงเผยยิ้มบางๆ พลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปาก
พวกเขากำลังถูกหลอก เดลรู้สึกตัวเสียที!!!
เดลเหลือบมองมือที่วางอยู่บนไหล่ตัวเองแล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองคาร์ลพลางเผยยิ้ม
“นั่นสินะ แค่นกปีศาจตัวเดียวคงไม่ครนามือเจ้าหรอก แต่ว่านะ...” นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นราวกับส่องประกายวาวโรจน์ “ถ้าเจ้าเป็นคาร์ลตัวจริงไม่มีทางที่จะเข้ามาหาข้าก่อนหรอกจริงไหม?”
เมื่อคำพูดนั้นจบลง เดลก็ซัดเวทใส่ร่างตรงหน้าตนเองจนปลิวไปอีกทางทันที
“ว้า...แสดงได้ไม่เนียนจริงๆด้วย” เสียงนั้นดังออกมาจากร่างของลูน่า
แต่ที่พาให้พวกเขากลัวจริงๆสงสัยจะเป็นเสียงนี่แหละ
อย่าใช้หน้าลูน่าตอนพูดด้วยเสียงผู้ชายได้ไหม!!!?
แสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้าพวกเขาทีหนึ่ง
ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มสองคนจะปรากฏขึ้นมาแทนที่คาร์ลและลูน่า
เดลรีบขยับถอยไปก้าวหนึ่ง พร้อมตั้งท่าเตรียมชักดาบที่ข้างเอวออกมา
หากอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาเมื่อไหร่เขาก็พร้อมที่จะชักดาบออกมาสู้ทันที
และก็เป็นอีกครั้งที่สิ่งที่เขาเตรียมไว้สูญเปล่า
สองคนนั้นไม่ได้ขยับเข้ามาหาเขา
ทั้งยังขยับถอยห่างเขาไปก้าวหนึ่งพลางยกมือทำท่ายอมแพ้
“พวกข้าไม่ถนัดสู้หรอก ไม่ต้องเตรียมพร้อมขนาดนั้นก็ได้...”
ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเอ่ย ขณะที่ชายหนุ่มตัวสูงที่เมื่อครู่ปลอมเป็นลูน่าพยักหน้าเบาๆ
เดลจ้องมองเพื่อคอยดูท่าทีครู่หนึ่ง
เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีคิดจะต่อสู้จริงๆจึงได้คลายท่าทีลง
แต่มือก็ยังคงจับอยู่ที่ด้ามดาบพร้อมชักมันออกมาพิสูจน์ความคมตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน ในที่สุดวาลีดก็คลายเวทที่ใช้กับอาร์โรห์ออก ทำให้อาร์โรห์สามารถกลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง
ทว่ามันก็ทำให้อาร์โรห์รู้สึกไม่ไว้ใจอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก เขารีบเดินเข้าไปหาเดล
ขณะที่สายตายังคงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขากำลังคอยระวังหลังให้เดลที่ดูจะใช้สมาธิส่วนใหญ่ไปกับสองคนตรงหน้ามากกว่า
เหมือนว่าตอนที่วาลีดใช้เวทกับเขา เดลจะไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
เรื่องนี้เขาเข้าใจดี เดลเพิ่งจะใช้เวทได้คล่องจริงๆยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ
หากจะให้นับ
ที่สามรถใช้พลังเวทได้ขนาดนี้ก็เพราะใช้นัยน์ตาต้องสาปในการวิเคาระห์และคัดลอกเวทของคาร์ล
และจดจำเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
เดลก็คงจะยังไม่สามารถเทียบชั้นกับปีศาจที่ใช้เวทมาตั้งแต่เกิดได้
พลังของวาลีดสูงกว่าเดลขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
ต้องเป็นผู้ใช้เวทที่มีทั้งความสามารถและประสบการณ์มากพอถึงจะสัมผัสถึงพลังเวทของอีกฝ่ายที่จงใจกลบเกลื่อนเสียแนบเนียนได้
มุมปากของวาลีดกดลึกลงเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ...
อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
ทำเพียงคอยสังเกตท่าทีของคนที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจอย่างวาลีด ส่วนอีกสองคน
เขาเชื่อว่าหากเดลยังคงจ้องอยู่แบบนั้น
ต่อให้ใช้เวทแบบไหนมาเดลก็จะสามารถรู้ตัวทันที หรือถ้าพุ่งเข้ามาเดลก็ยังมีทักษะทางกายที่ดีพอสมควร
และเท่าที่ดูสองคนนั้นก็คงจะไม่ค่อยถนัดต่อสู้อย่างที่ปากว่าจริงๆ
กลับกันแล้ววาลีดกลับดูน่ากลัวกว่าหลายเท่า
หลังจากคุมเชิงกันอยู่สักพัก ในที่สุดวาลีดก็เอ่ยขึ้น
“การทดสอบจบลงเท่านี้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปพบกับเพื่อนๆของเจ้าเอง ตามมาสิ”
ว่าจบวาลีดก็ผายมือไปทางประตู ทว่าทั้งอาร์โรห์และเดลก็ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเสียแล้ว
หรือหากพูดให้ถูกคืออาร์โรห์ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายและเป็นคนดึงรั้งชายเสื้อของเดลเอาไว้ไม่ให้รีบตามอีกฝ่ายไปน่าจะถูกกว่า
“ข้าจะไว้ใจเจ้าได้ยังไง ในเมือ่เจ้าเพิ่งจะหลอกพวกข้าไป”
“ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นการทดสอบ
และพวกเจ้าก็มีความสามรถมากพอที่จะขึ้นมาเป็นแนวหน้าในการปกป้องปีศาจและสิ่งเหนือธรรมชาติที่อยู่ที่นี่
สิ่งที่ข้าทำก็เพื่อทดสอบพวกเจ้าว่าข้าจะจัดสรรพวกเจ้าไปอยู่ไหน มีหน้าที่อะไร
และพวกเจ้าก็ผ่านมันไปอย่างง่ายดาย”
“ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าที่นี่จำเป็นต้องมีใครมาปกป้อง
ปีศาจที่มนุษย์หวาดกลัว แทนที่จะเป็นทางเรา
ทางมนุษย์ต่างหากที่ต้องมีความรู้สึกแบบนั้น” เดลเอ่ย
ทว่าวาลีดกลับส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่อาร์โรห์เองก็นิ่งเงียบ
พาให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“เจ้าคิดว่าพวกเราทุกตนมีความสามารถขนาดนั้นเชียวหรือ?”
สิ้นคำถามจากวาลีด เดลก็เงียบไป เขาไม่อาจที่จะตอบคำถามนั้นได้
แม้จะเคยเรียนรู้ตำนานมาบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักปีศาจทุกตน
เมื่อวาลีดเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงได้เอ่ยต่อ
“พวกเราเองก็เหมือนมนุษย์ มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ
มีทั้งพวกที่ทะเยอทะยานและรักความสงบ...” วาลีดเว้นระยะไปช่วงหนึ่ง
“ปีศาจส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้
ไม่อ่อนแอเกินกว่าจะมีชีวิตรอดได้เองก็เป็นพวกที่ไม่ต้องการต่อสู้
พวกเขาแค่ถูกดึงเข้ามาที่นี่อย่างไม่เต็มใจ
ที่พวกข้าตั้งที่นี่ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องพวกเขาและรอเวลาที่จะได้กลับไปยังที่ที่ตนเองควรจะอยู่ก็เท่านั้น”
จบคำอธิบายนั้น เดลก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ในสมองประมวลผลเพียงว่าปีศาจเองก็เหมือนกับมนุษย์
เพียงแต่มีลักษณะเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่เด่นชัด และมีนูปร่างต่างจากมนุษย์ก็เท่านั้น
โดยไม่มีใครรู้ตัว คำพูดของวาลีดกลับไปสะกิดใจของอาร์โรห์โดยไม่รู้ตัว
คำพูดที่ราวกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนทำให้เหล่าปีศาจหลุดเข้ามาที่นี่มากมาย
เหตุใดช่องว่างระหว่างมิติถึงได้เปิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย...
“เจ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
เขาอดไม่อยู่ เขาอยากรู้ว่าสาเหตุทั้งหมดนี้มันเกิดจากอะไร...
วาลีดหันมาหาคนถาม ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้า
“แน่นอนว่าข้ารู้” วาลีเอ่ยพลางมองสบเข้าไปในดวงตาของอาร์โรห์
“ในวันนั้นอยู่ๆมิติก็บิดเบี้ยว และจุดเริ่มต้นของประตูมิติก็ปรากฏขึ้นเหนือเผ่าปีศาจแฝงฝัน
แล้วขยายใหญ่ขึ้นมาถึงเผ่าข้างเคียง...”
อาร์โรห์ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เขารู้ดีว่าหากเป็นประตูมิติที่ใหญ่ถึงขาดนั้น แรงดูดจะมากมายขนาดไหน
เขาเคยสงสัยว่าคงมีประตูมิติเปิดอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ทำให้ปีศาจหลุดเข้ามาที่นี่มากมายขนาดนี้
ทว่าก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะใหญ่ขนาดนั้น...
และเขาก็ไม่อยากจะคิดเลยถึงสาเหตุที่ชนเผ่าของเขาเปิดประตูมิติใหญ่ขนาดนั้น...
สำหรับชนเผ่าของเขา...การสูญเสียชีวิตหนึ่งไปถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก...ใหญ่จนไม่อาจคาดคะเน...
“หลังจากนั้น...เกิดอะไรขึ้น...”
วาลีดมองคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแห้งผากราวกับพยายามอ่านเขาให้ออก
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นความกังวลที่ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้น แม้เขาจะไม่เข้าใจ
และไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังคงอ้าปากเล่าต่อ
“หลังจากประตูมิติขนาดใหญ่นั่นเปิดขึ้นเกือบหนึ่งนาที
ปีศาจหลายตนถูกดูดเข้าไปในนั้น บางส่วนสามารถหาที่หลบได้ทัน ประตูมิติก็ระเบิด”
วาลีดหลับตาลง เขาจดจำได้ดี ในตอนนั้นเขาอยู่ห่างจากที่นั่นมากพอที่จะไม่ถูกลูกหลง
ทว่าหลังจากที่ประตูมิตินั้นระเบิดออก สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็เกิดตามมา...
ประตูมิติที่เปิดจนใหญ่ยักษ์หดตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะระเบิดออก
แรงกดอากาศมหาศาลระเบิดออกไปเป็นวงกว้าง ทุกคนที่ปะทะกับแรงระเบิดนั้นร่างปลิวไปตามๆกัน
ทว่ามันยังไม่สิ้นสุด เมื่อปรากฏประตูมิติขึ้นทั่วโลกปีศาจ
ปีศาจที่อยู่ใกล้มันหลายตนถูกดูดเข้าไป บ้างหนีได้ทัน
ส่วนตัวเขานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ถูกดูดเข้ามาโดยไม่รู้ตัวและมาปรากฏตัวที่นี่...
อาร์โรห์รู้ดีว่าหากเกิดการระเบิดของประตูมิติจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
เขาคาดว่าบางทีหลายๆคนคงกำลังพยายามที่จะปิดประตูมิติจากโลกปีศาจอยู่
ส่วนตัวเขา...
“พวกท่านจะทำอะไรบ้าง?”
คำถามของอาร์โรห์ทำให้ทั้งวาลีดและปีศาจอีกสองตนที่อยู่ในห้องมีสีหน้างงงวยคล้ายตามไม่ทัน
อาร์โรห์ที่เห็นดังนั้นจึงต้องพูดขยายความขึ้นอีก
“ข้าหมายถึง...พวกท่านจะทำอะไรกับประตูมิติจากทางนี้หรือไม่?”
“ถ้าพวกข้าเคยพบมันมาก่อนก็คงจะไม่มาติดอยู่ที่นี่หรอก”
ปีศาจตนหนึ่งเอ่ยขึ้น
อาร์โรห์ที่ได้ยินดังนั้นหันไปมองวาลีดที่พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงยืนยัน
นั่นเท่ากับว่าพวกเขาไม่เคยพบประตูมิติที่โลกมนุษย์นี้มาก่อนสินะ...
“พวกข้าเคยไปหาประตูมิติจากที่ที่พวกเราแต่ละตนปรากฏตัว
แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่เคยเจอประตูมิติเลย พวกข้าเลยคิดว่าบางที
ประตูมิติมันคงกำลังเคลื่อนที่...”
อาร์โรห์ลองคิดตาม ก็จริงอยู่ที่มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้น
แต่จะเป็นไปได้หรือที่มีปีศาจปรากฏขึ้นมาจากหลายที่ขนาดนั้นแต่กลับไม่พบประตูมิติเลยสักบาน?
เป็นไปได้หรือที่ประตูมิติมากมายขนาดนั้นจะไม่สามารถหาเจอได้เลยจริงๆ?
เท่าที่ฟังมา อาร์โรห์คิดว่าวาลีดต้องไปมาหลายที่พอสมควรแล้ว
แต่อีกฝ่ายก็กลับยังไม่เคยพบ...
แปลก...มีบางอย่างที่ผิดปกติ...
“เจ้าพอจะมีข้อมูลหรือรู้อะไรบ้างไหม?”
วาลีดดูจะตั้งความหวังกับท่าทีของเขาไว้สูง
ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้มากมายขนาดนั้น
และเขาก็เชื่อว่าคาร์ลต้องเคยถูกถามแบบเดียวกันแน่ แต่เมื่ออีกฝ่ายยังคงคลำทางไปอย่างไร้จุดหมายแบบนี้เขาก็พอจะคิได้ว่าคาร์ลเองก็คงจะรู้อะไรไม่มากเช่นกัน...
“ข้าขอพบพวกคาร์ลก่อน ไว้หากรู้อะไรแล้วข้าจะบอกก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมาก”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในที่สุดก็แต่งจบไปอีกตอนหลังจากที่รู้สึกว่าเว้นระยะไปยาวมาก ฟฟฟ
ตอนนี้เวลาอ่านจะรู้สึกเหมือนสั้นสุดๆ แต่อันที่จริงความยาวแปดถึงเก้าหน้าเวิร์ดเลยนะคะ
คงเพราะว่ามันมีอยู่แค่ไม่กี่ฉากด้วย
สำหรับตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันยังเหมือนจะดูชิวๆอยู่ (มั้ง(?)) เริ่มให้เห็นปมได้ชัดๆบ้างแล้ว แต่เนื้อเรื่องก็ยังคงเรื่อยๆ(?)
เดือนหน้าไรท์ก็ต้องไป ม. แล้ว สงสัยเวลาแต่งจะน้อยลงอีก...//ปกติก็น้อยอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ
แต่ไรท์สัญญาว่าจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องไหนทั้งนั้น ถึงจะไม่มีคนอ่านไรท์ก็จะยังคงแต่งต่อไป (...)
วันนี้รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้เวิ่น ฟฟฟฟ
งั้นข้อสุดท้าย ขอพูดถึงวาลีดเลยแล้วกันค่ะ(?)
อยากบอกว่าอย่าเพิ่งลืมหมอนี่ไปไหน เพราะเดี๋ยวหมอนี่จะมีบทบาทอีกในภาคอื่นๆ(?) ถึงจะยังเป็นแค่ ตปก. ก็เถอะ(...)
อันที่จริงวาลีดเป็นตัวประกอบเฉพาะหน้ามากในตอนแรกที่ไรท์คิด ไปๆมาๆกลับมีบททั้งตอน
ขนาดเผ่าพันธุ์ของหมอนี่ไรท์ยังไม่คิดเลย และคิดไม่ออกด้วยว่าเอาอะไรดี คิดออกแต่ลักษณะภายนอก และรู้แค่ว่ามันหล่อ(...)
โนไอเดียรุนแรงมากค่ะช่วงนี้ ถ้าหากรีดอ่านแล้วรู้สึกว่าพอจะเข้าเค้าเผ่าพันธุ์ไหนช่วยไรท์หน่อยน้า~ T^T
ความคิดเห็น