“หุบปากซะ มันน่ารำคาญ”
“ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาขวางทาง มันเกะกะลูกตาแล้วก็ทำให้ฉันเสียเวลาด้วย”
“เห่าจบรึยัง? อยากลองดีก็เข้ามา”
บท:: {7.} Hood
ชื่อ:: ลูเซียส โอเลเซีย │ Lucius Olesia
ความหมายชื่อ::
➭ ลูเซียส แปลว่า แสงสว่าง
➭ โอเลเซีย แปลว่า ความบริสุทธิ์
➭ ลูเซียส โอเลเซีย แปลว่า แสงสว่างอันบริสุทธิ์
ชื่อเล่น::
➭ ลูเซียส │ Lucius : ปกติแล้วทุกคนจะเรียกเขาแบบนี้ แล้วเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่ออื่นที่ดูสนิทสนมมากเกินไปด้วย
➭ ลูซ │ Luce : เป็นชื่อที่เขายินยอมให้แม่กับยายเรียกเท่านั้น สำหรับคนอื่นๆคงยากหน่อยล่ะกว่าจะเรียกเขาด้วยชื่อนี้ได้โดยไม่มีการโกรธเคืองอะไร
ชั้นปี:: ปีที่5
อายุ:: 19ปี
ฝั่ง:: ครีเอ {ผู้สร้าง}
ระดับพลังเวทย์:: ปานกลาง
ส่วนสูง/น้ำหนัก:: 187เซนติเมตร / 75กิโลกรัม
รูปร่างลักษณะ::
➠ แม้ว่าลูเซียสจะเป็นชายหนุ่มที่ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่นและทำตัวไม่น่ารักสักเท่าไหร่แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่จัดได้ว่าดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและค่อนข้างจะติดกำยำเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มากเกินจนน่ากลัว ร่างกายที่ประดับประดาไปด้วยกล้ามเนื้อ ลาดไหล่กว้างหนาน่าพึ่งพิง แผ่นหลังยืดสง่า สรีระบ่ากว้างแต่เอวคอดเป็นรูปพีระมิดหัวกลับเสมือนนายแบบผสมกับนักกีฬา รูปร่างที่สูงใหญ่แต่ไม่ได้ดูเทอะทะมากจนเกินไปตรงกันข้าม—เขากลับดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมงรวดเร็วเสียด้วยซ้ำไป
ลูเซียสใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ทว่ากลับไม่ค่อยระบายยิ้มนักทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการที่เขามีบรรยากาศรอบๆตัวไม่น่าเข้าใกล้ กรอบหน้าของชายหนุ่มเรียกได้ว่าคมคายได้รูป และอีกมุมหนึ่งก็เรียกได้ว่าหวานหยดแม้ไม่ถึงขั้นสตรีเพศแต่ก็จัดว่าดูดีแทบทุกองศา เขามีเรือนผมสีเงินเป็นประกายอย่างน่าประหลาดใจ ทรงผมถูกซอยสั้นตัดระต้นคออย่างพอเหมาะผมหน้าปล่อยสบายลงมาปรกหน้าผากมนสวย เรียวคิ้วหนาที่งอนงามดังพระจันทร์ครึ่งซีกในวันข้างแรมรับกับดวงตาคมคายล้อมกรอบด้วยแพขนตาเป็นเส้นระเบียบงดงาม นัยน์ตาสีเขียวมิ้นท์ (Mint green) ดูลึกลับน่าค้นหาและเป็นกายราวกับอัญมณี (แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ได้ฉายแววเป็นมิตรสักเท่าไหร่...) สันจมูกโด่งจรดลงมาถึงริมฝีปากหยักเรียวสีแดงคล้ำๆเล็กน้อยทว่าก็ไร้ร่องรอยแห้งแตก
เขาเป็นคนผิวขาวสะอาดแต่กลับมีบางจุดที่ไม่ได้เรียบเนียนนักอย่างมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากไฟไหม้เป็นร่องรอยแผลเป็นใหญ่ๆที่ถึงแม้จะหายดีแล้วแต่ก็ทิ้งรอยแผลน่าเกลียดๆเอาไว้ทำให้เขาต้องใส่ถุงมือปิดไว้ตลอด อีกอย่างก็คือบริเวณแขนกับเท้าที่มีรอยแผลจากไฟไหม้เต็มไปหมด มันไม่ใช่ของที่น่าโชว์อะไรนี่นะ ใส่เสื้อปิดไว้ก็ดีเหมือนกัน...
➠ ในเรื่องของการแต่งกาย ลูเซียสมักจะสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวเสมอ ส่วนหนึ่งก็เพื่อปกปิดรอยแผลและส่วนหนึ่งก็เพราะคิดว่ามันกันแดดกันลมกันสายตาคนกันหมาถามแผล(?)หรือกันนั่นกันนี่ได้ดีเหมือนกัน เรื่องโทนสีส่วนมากเขาจะหันเหความสนใจให้กับโทนสีเข้มๆมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดโทนสีอ่อนๆขอแค่มันไม่ได้โดดเด่นเกินไปเป็นพอ (อย่างสีเขียวมะนาวจี๊ดจ๊าดสะท้อนแสงนั่นก็ไม่เอา...อย่าน่า...)
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือถุงมือหนังสีดำและเสื้อฮู้ดสีเข้มสักตัวในการคลุมศีรษะ ต่อให้ใส่เสื้อแขนยาวอยู่แล้วแต่ถ้าเสื้อตัวนั้นไม่มีฮู้ดเขาก็จะสวมทับเข้าไปอีกทีอย่างไม่กลัวว่าจะร้อนเลยล่ะ รองเท้าที่ใส่ส่วนมากก็จะเป็นรองเท้าผ้าใบที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหวเท่านั้น เขาไม่ชอบอะไรจุกจิกจึงไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไรให้รกเลอะรุ่งริ่งนอกซะจากนาฬิกาข้อมือหนึ่งเรือนแค่นั้น...
อุปนิสัย::
► Detached
เพราะลูเซียนมักจะชอบอยู่คนเดียวบ่อยๆหรืออาจจะเรียกได้ว่าแทบจะตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ หากว่าไม่มีเหตุจำเป็นอะไรตัวเขาก็จะไม่เดินเข้าหาใครก่อนอย่างแน่นอน ตัวเขาไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่านหรือแออัดนักและเพราะเขารักความเงียบสงบจึงไม่แลปกหากว่าเขาจะเกลียดการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากที่น่ารำคาญพวกนั้น เขาไม่ชอบสุงสิงกับใครเสียเท่าไหร่และแน่นอนว่าไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครด้วยเหมือนกัน จนดูราวกับเขากำลังทำตัวสันโดษกับทุกคนบนโลก หมางเมินต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัวทำทีเหมือนกับว่าโลกนี้มันก็มีแค่เขา ไม่เห็นจำเป็นจะต้องพึ่งใคร ไม่เห็นจะต้องผูกไมตรีกับใคร ราวกับว่าโลกนี้มีแค่เขาก็พอแล้ว—ผู้คนมองว่าเขาเป็นแบบนั้นเพราะจากเท่าที่มอง...เขามันพวกไม่สนใจใครเลย ปิดกั้นทุกสิ่งอย่าง ก่อตั้งกำแพงซะสูงลิบ ขีดเส้นตายเส้นใหญ่ๆว่าอย่าเข้ามาใกล้จนไม่มีใครอยากจะคบหาด้วย
ลูเซียสชอบที่จะสวมฮู้ดคลุมศีรษะและเสียบหูฟังตลอดเวลา นั่นเป็นอีกสิ่งที่เป็นกำแพงกั้นการเข้าหาหรือพูดคุยกับเขา เขาไม่ได้ชอบฟังเพลงขนาดนั้นแต่บางครั้งก็เปิดฟังมันไปงั้นๆ เสียบหูฟังเปิดเพลงอัดเข้ากระบอกหูกลบทับเสียงอื่นๆแล้วหาหามุมนั่งง่อยๆสักทียังดีกว่าเข้าไปหมกมุ่นกับคนอื่นๆให้ยุ่งยากวุ่นวาย ด้วยความที่เขาไม่ชอบเข้าหาใครก่อนและน้อยคนนักที่จะกล้าหน้าด้านเข้ามาหาเขา เขาเลยไม่มีคนสนิทเลยสักคน...ใช่ ไม่มีเลย เพื่อนสนิทในปัจจุบันก็ไม่มีด้วย แต่ถ้าถามว่าเขาอยากจะวิ่งเต้นหามั้ย? ..บอกเลยว่า “ไม่”
► Bad
แม้ว่าลูเซียสจะเป็นคนมีความสามารถหลายด้าน เก่งกาจและฉลาดจนไม่ต่างอะไรจากพวกพรสวรรค์น่าอิจฉา แต่ลูเซียสก็เป็นเหมือนกับเด็กมีปัญหาที่ไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์หรืออยู่ในกรอบตามที่ใครต้องการนัก หลายครั้งที่เขามักจะแหกกฎหรือทำตามใจตัวเองไปบ้างแต่มันก็ไม่ใช่ทุกครั้งหรอก แค่เพราะถ้าเขารู้สึกว่มันไม่ถูกต้องหรือไม่ควรเขาก็พร้อมจะพังทลายกฎไปเลยนั่นแหละ และคนอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจใครเสียเท่าไหร่ด้วย จะบอกว่าเขามันหน้าด้านไม่อายใครก็แล้วแต่จะมาพูดต่อว่าต่อหน้าเลยก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือนนัก เขาก็แค่เงียบแล้วฟัง ไม่เถียงให้เปลืองน้ำลาย ทำทีราวกับฟังเสียงคนด่าเป็นเสียงหมาเห่าหมาหอนที่น่ารำคาญที่หากทนไม่ไหวก็แค่เดินออกมาไม่ก็หาหูฟังมายัดเข้าหูไปทั้งๆอย่างนั้น ลูเซียสเป็นพวกพูดยาก ฟังยาก ดื้อรั้นจนยากจะคุมตัวอยู่กับคนภายนอก ผู้คนล้วนเอือมระอากับเขา บ้างก็ครันคร้าม หลายคนก็ล้วนคร้านจะมาสนใจฉุดยื้อผู้ชายคนนี้ไปแล้ว
เขาน่ะทำตัวกร้านโลกแบบสุดๆก็ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น แต่กับครอบครัวหรือตอนที่อยู่ในบ้านเขาก็จะเป็นเด็กที่น่ารักอยู่หรอก หากแต่ก็มีบ่อยครั้งที่ชอบถกเถียงดื้อรั้นไม่ฟังกันบ้างทว่าหากเทียบกันดีๆ...คำพูดที่เขาใช้กับคนในครอบครัวจะนุ่มนวลอ่อนโยนมากกว่าคนภายนอกเยอะ อย่างน้อยๆก็รุนแรงน้อยกว่า...แล้วเขาก็จะขอโทษทันทีถ้ารู้ตัวว่าพูดอะไรแรงไปแต่แน่ล่ะว่าจะเป็นแค่กับครอบครัวเท่านั้น สำหรับคนอื่นเขาคงไม่ทำแบบนี้ซึ่งๆหน้าหรอก อย่างมากก็แค่หาของมาให้เป็นการขอโทษแบบลับหลัง
► Fierce
จะบอกว่าลูเซียสเป็นพวกหลบมุมซะจนคนไม่สนใจก็คงจะไม่ถูกทั้งหมดเพราะอย่างน้อยๆลูเซียสเองก็มีเอกลักษณ์ในตัวบ้างนิดหน่อย นอกจากการสวมฮู้ดบังหน้าจนดูประหลาดก็คงจะเป็นสายตา ท่าทางและคำพูดที่ไม่เป็นมิตรนัก ถึงแม้เขาจะรักสงบแต่ก็ใช่ว่าจะยอมใครง่ายๆ แค่ปริปากยียวนหรือเรียกร้องกวนเบื้องล่างมากๆนักก็ไม่รอดพ้นจากหมัดของเขาหรอก แต่ก็ยังดีที่เขามักไม่ใช่ฝ่ายที่รังแกคนอ่อนแอก่อนแต่ถ้าไอ้คนอ่อนแอนั่นเข้ามากวนตีนนั่นก็คงอีกประเด็น—หากเขาซัดใครก็แปลว่าโมโหหรือรำคาญความกวนตีนของไอ้คนคนนั้นนั่นแหละอย่าได้หาว่าเขารังแกคนอื่นไปทั่วเชียว แต่ผู้คนภายนอกกลับไม่ได้คิดแบบนั้นสักเท่าไหร่... ลูเซียสถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหาเข้าขั้นถูกมองว่าเป็นไซโคพาธไปแล้ว นั่นแหละจุดเด่นที่ผู้คนมักจะนึกออกเมื่อได้ยินชื่อหรือเห็นตัวเขาเดินผ่านหน้า
จะบอกว่าเขามันขี้รำคาญขี้หงุดหงิดก็คงไม่ผิดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ขี้โมโหถึงขั้นโวยวายซัดใครมั่วๆหรอกอย่างน้อยๆก็ต้องมีเหตุผลรองรับซะบ้างแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ใช่ผู้ชายใจเย็นอะไรนักแต่ก็เก็บอาการทางสีหน้าและท่าทางได้ดี...หมายถึงดีในระดับหนึ่งน่ะ เพราะสีหน้าปกติของเขาคือเรียบเฉย บ้างก็ขมวดคิ้วอยู่แล้ว ที่ไม่เคยแสดงออกมาเลยคืออาการหน้าซีดหรือแสดงความตกใจความกลัว เสียใจ ดีใจที่แสดงออกมาส่วนใหญ่มันก็มีแต่ด้านที่น่ากลัวนิดหน่อยนั่นแหละ สำหรับเขาการกลั้นน้ำตามันง่ายกว่าการกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล
เพราะแบบนี้เขาถึงได้ไม่มีเพื่อนไงล่ะ... ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คนที่มีภาพลักษณ์ดุร้ายเป็นหมาบ้าแบบนี้หรอก ถ้าไม่หน้าด้านเป็นหน่วยกล้าตายซะอย่างก็ไม่มีใครอยากเข้ามาตีสนิทเขาด้วยซ้ำ
► Socializing
การเข้าสังคมของลูเซียสจัดได้ว่าติดลบแบบสุดๆ อย่างแรกสุดเพราะการหลบหลีกการพบประผู้คนทุกครั้งที่มีโอกาสของเขาและถ้าไม่มีโอกาสให้แวบหลบหรือมีคนเข้ามาจู้จี้ตอแยจริงๆท่าทางที่เขาแสดงใส่ฝ่ายตรงข้ามก็คือความแข็งกร้าว แข็งกระด้าง ไม่น่ารักและดูน่ากลัวเสียจนบรรยากาศรอบๆกดดันไปด้วย ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆเขาก็จะสัมผัสได้ถึงความเงียบ...ที่เงียบแบบสุดๆ เงียบในแบบที่ค่อนข้างจะอึดอัดจนอยากจะเดินหนีออกไปไกลๆเพื่อหาที่ที่ดีกว่านี้ ลูเซียสเป็นคนพูดน้อย และน้อยมากจนเรียกได้ว่าหากไม่มีความจำเป็นจริงๆเสียงของเขาก็จะไม่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากเป็นแน่
ดังนั้นการใช้ชีวิตของลูเซียสส่วนใหญ่จึงมักจะหลบอยู่ในเงามืดหรือที่ที่ไม่มีใครสนใจเสียมากกว่า ไม่ใช่ว่าการถูกจ้องมองเป็นจุดสนใจมากๆจะเป็นฝันร้ายของเขาเพราะความขี้อายหรือหวาดกลัวสายตาพวกนั้น ตรงกันข้ามเลย เขาเพียงแค่รำคาญทั้งสายตา เสียงพูดคุยที่แม้จะเป็นการกระซิบ ตะโกนหรืออะไรก็ตามที่มันพันกันวุ่นไปหมดเมื่อออกมาสู่โลกภายนอก สุรเสียงของผู้คน สายตาของผู้คนย่อมมากกว่าในบ้านหลังเล็กๆที่เขาอยู่มากโข ดังนั้นแล้วทางเลือกที่เขาทำคือการสวมฮู้ดและเสียบหูฟังอันเป็นราวกับการสร้างกำแพงเล็กๆให้ตัวเอง ทำเหมือนกับเป็นป้อมปราการดันสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้ออกไป ทว่าลูเซียสก็เหมือนจะไม่ได้สนใจเสียเท่าไหร่ว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูไม่ดีนัก ดูเหมือนกับพวกหยิ่งยโสโอหังทระนงตัว
แต่แน่ล่ะว่าลูเซียสไม่ได้เก็บมาคิดให้หนักสมอง การที่เขาเข้ากับสังคมไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะตายสักหน่อย เขาไม่มีเพื่อนสนิทก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตนี้จะหายใจไม่ได้แล้วเหมือนกัน เขาไม่ได้ต้องการอะไรหวือหวา ไม่ชอบอะไรที่ฮือฮา ไม่ชอบอะไรที่มันมากเกินไปอย่างการมีผู้คนนับสิบนับร้อยรายล้อม ขอแค่มีคนกลุ่มเล็กๆจะคนเดียว สองคนหรือสามคนมาคอยอยู่ข้างๆเขาก็พอ แค่อยู่ด้วยกันยามทุกข์ ยามสุข ยามที่เหนื่อยล้า หรือยามที่ดีใจ แบบนั้นถึงจะมีแค่คนเดียวเขาก็ดีใจเหลือคณาแล้ว นั่นแหละสังคมที่เขาต้องการ—กล่าวให้ถูก...นั่นแหละสังคมเล็กๆในฝันเขาเลยล่ะ
► Cumbersome
อย่างที่บอกว่าลูเซียสนั้นรักสงบและเกลียดปัญหาความวุ่นวายน่ารำคาญทั้งหลายพ่วงมาด้วยนิสัยขี้รำคาญขี้หงุดเงิดเล็กๆรวมทั้งไม่ชอบอะไรที่มันจู้จี้จุกจิกเกินไป ไม่ใช่ว่าเขามันพวกบุ่มบ่ามทำอะไรไม่คิดเขาเป็นคนที่มีสติ ละเอียดอ่อนและมีกระบวนการคิดที่ดีจนน่าทึ่งทีเดียวหากแต่กับเรื่องที่เขามองว่ามันไร้สาระเขาก็จะไม่ค่อยใส่ใจนักอย่างเช่นการพูดการจาที่ตรงไปตรงมาจนขวานผ่าซากตรงซะจนแทงใจอีกฝ่ายดังฉึก ถามว่าเขาสนใจไหม...? คงตอบได้เลยว่าไม่ เขาไม่ใส่ใจกับการพูดของตัวเองสักเท่าไหร่ ความที่เป็นพวกฟังมากกว่าพูด น้ำนิ่งไหลลึกแต่ก็พูดตรงซะจนปากหมาไปบ้างแต่ข้อสรุปของเขามันก็มีแค่ว่าในเมื่อเขาไม่ชอบพูดเยอะ งั้นก็พูดตรงๆสั้นๆให้เข้าใจง่ายไปเลยสิ จะไปยากอะไรล่ะ? จะต้องพูดจาอ้อมโลกเพื่อรักษาน้ำใจกันไปเพื่ออะไร?
หรือในบางครั้งเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของเขาหากมีคนเข้ามาขอให้ช่วยเขาก็จะพูดปัดๆหรือหาทางหลีกเลี่ยงไปเอง เขาจะนั่งอยู่เฉยๆแบบนั้นไม่กระดิกตัวให้ยุ่งยากถ้าไม่จำเป็น เหตุก็สั้นๆง่ายๆอย่างเขาไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยากวุ่นวาย ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร ไม่อยากกระโดดเข้าใส่ปัญหา ไม่อยากจะทำอะไรเลยถ้ามันไม่ใช่ปัญหาของตัวเอง ..แบบนี้จะบอกว่าเขามันค่อนข้างเห็นแก่ตัวก็คงไม่ผิดหรอก แต่เชื่อเถอะว่าถ้ามีเหตุผลดลใจมากพอเขาก็จะยอมให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน ทว่าน่าเศร้านักที่คนส่วนมากมักไม่มองว่าลูเซียสเป็นตัวช่วยเหลือตัวเลือกเเรกๆ เขามักเป็นคนท้ายๆเพราะความที่มีออร่าไม่น่าเข้าใกล้แผ่ออกมาตลอดเวลานั้นแหละ
► Heartless...?
ลูเซียสไม่รังแกคนอ่อนแอแต่ก็ไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาวที่จะกระโจนเข้าหาผู้ที่ต้องการคความช่วยเหลือโดยไม่คิดอะไรเลย สิ่งที่เขาทำส่วนมากก็จะมองดูเฉยๆไม่ยุ่งวุ่นวายหรือไม่ก็เดินหนีออกไปเลย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้คนเขามองกัน มองว่าเขามันใจร้ายที่ทำแบบนั้นได้ลงคอหรืออาจจะมองว่าเป็นพวกสันดานเสียไร้จิตสำนึก ไร้ซึ่งน้ำจิตน้ำใจในการเมตตาเอื้ออาทรแก่ผู้อื่น ทว่าอันที่จริงแล้วลูเซียสก็ไม่เลวขนาดนั้นบางครั้งเขาก็แค่หลบออกมาห่างๆหนีออกมาจากเสียงดังๆที่น่ารำคาญนั่น มันไม่ได้แปลว่าเขาไม่เห็นใจเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นเลยสักหน่อย แต่มันแปลว่าเขาอยากจะจับตาเฝ้ามองห่างๆมากกว่า อยากให้ฝ่ายนั้นได้ลองสู้ด้วยตัวเองก่อน ดิ้นรนเท่าที่ทำได้ และสุดท้ายถ้าทำไม่ได้จริงๆตัวเขาที่มองอยู่ห่างๆก็จะเข้าไปช่วยเอง อืม...แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีช่วยเวลาที่เขาได้ทำตัวเป็นฮีโร่เท่าไหร่ ส่วนมากเวลาที่เขาได้ลงมือก็เป็นเวลาที่มีคนเข้ามากวนบาทาร้องขอส้นตี*จากเขาเท่านั้นแหละ
คนเราถึงจะร้ายกาจยังไงว่ากันว่าก็ต้องมีข้อดีอยู่ในตัว...แน่ล่ะว่าคนอย่างลูเซียสเองก็มีข้อดีเช่นกัน แต่มันก็น้อยนิดเสียจนคนมองไม่ออกกันเลยว่าเขาเองก็มีข้อดีในตัวเหมือนกันนะ ไม่ใช่แค่ความเก็บอาการทางสหน้าได้ดีหรอก(หมายถึงเก็บได้ทุกอารมณ์ยกเว้นหงุดหงิดกับเรียบเฉยน่ะ...) อย่างน้อยๆเขาก็รักครอบครัวมากและมีมุมใจดีอยู่เล็กๆ ด้วยความที่เคยมีน้องสาวมากก่อนแล้วเขาก็ดูเเลเธอบ่อยๆจึงติดนิสัยชอบดูแลคนอื่นมา ติดที่ว่าไม่มีใครให้ดูแล...อืมนั่นแหละ นอกจากแม่กับยายที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอีกแล้ว แถมเขาเป็นพวกปิดกั้นคนอื่นอย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้ยิ่งไม่มีไปกันใหญ่ ทว่าสำหรับคนที่ดีกับเขา เขาก็จะหาทางตอบแทนอยู่บ้างถ้ามีโอกาส แต่แน่ล่ะว่ามันจะไม่หวือหวา ไม่ได้เป็นต่อหน้าสายตาคนอื่น มันจะเป็นการกระทำลับหลังอย่างการเขียนจดหมาย(ที่ยุคนี้ใครๆก็ไม่สนใจแล้ว...)และเอาของขวัญไปมห้ เขาไม่แม้แต่จะลงชื่อด้วยซ้ำจึงไม่แปลกหรอกหากว่าใครจะมองว่าเขามันสันดานเสียแทบทุกคนน่ะ
คนอย่างเขาถ้าได้ไว้ใจหรือรักใครเข้าแล้วจะสถานะแบบไหนเขาก็จะดูแลอย่างดีเลยล่ะ จะรักและซื่อสัตย์ยิ่งกว่าอะไร น้อมรับความสุข ทุกข์และจะอยู่ข้างๆราวกับหมาเลี้ยง และถ้าไม่ปวดหัวไปกับสีหน้าท่าทาง การวางตัวของเขา คนคนนั้นก็คงจะมีความสุขไปตลอดชีวิตเลย... ทว่าก็เป็นที่แน่นอนอีกนั่นแหละว่าหากหักหลังเขาก็ต้องรับกรรมเช่นกัน เพราะถึงแม้เขาเป็นแบบนั้นแต่ถ้าหักหลังสักทีก็จำฝังใจใช่เล่น แม้จะไม่ได้แค้นฝุงหุ่นถึงขั้นจะฆ่าให้ตายแต่ก็จะไม่ได้รับความรักความสนใจจากเขาอีกเลยเสมือนแก้วที่แตกละเอียดแล้วมันจะไม่สามารถประกอบกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นั่นแหละ
► Child
อ่า... เห็นว่าลูเซียสดูเป็นคนเลวทรามชั่วช้าแบบสุดหัวใจ(?)แบบนี้ใครจะรู้เล่าว่าเขาก็มีมุมขี้อ้อนงอแงเป็นเด็กๆเหมือนกันนะ แต่ไม่ถึงกับล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้นหรือสะบัดตัวสะดีดสะดิ้งหรอก...อย่าน่า อย่าแม้แต่จะคิดเชียว... ลูเซียสไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาชัดเจนขนาดนั้น ส่วนมากมักออกมาผ่านแววตาและการกระทำเสียส่วนใหญ่ การจะเห็นสีหน้าอื่นๆของเขานอกจากความเรียบเฉยกับความหงุดหงิดนับว่ายากยิ่งกว่าอะไรเพราะงั้นต่อให้อ้อนอยู่เขาก็ยังหน้านิ่งได้ อย่างเช่น..ยื้อแขนแม่ที่กำลังออกไปซื้อของเอาไว้ ยื้อและขอให้หล่อนมาร้องเพลงให้เขาฟังก่อนนอน แล้วพรุ่งนี้เช้าเขาจะรับผิดชอบด้วยการออกไปซื้อมาให้ทุกอย่างหรือการที่เขาไม่ยอมนอนในห้องของตัวเองแล้วมานอนในห้องของยาย ให้ท่านร้องเพลงขับกล่อมอะไรแบบนี้นั่นแหละ มันเป็นการกระทำที่เหมือนกับเป็นเด็กๆแต่ก็ทำให้เขาสบายใจที่มีผู้หญิงสองคนนี้อยู่ในบ้าน รู้สึกอบอุ่นในใจที่พวกเธอยังอยู่กับเขา—ยังมีชีวิตอยู่...
แต่อย่าหวังว่าเขาจะไปออดอ้อนกระพริบตาปริบๆใส่คนอื่นนอกจากครอบครัวเชียวล่ะ... ถ้าไม่ใช่คนสนิทชิดเชื้อจริงๆ(ซึ่งปัจจุบันนั้นไม่มี...)เขาก็จะไม่ทำด้วยหรอก หรือถ้าทำวันนั้นโลกอาจจะแตกก็ได้นะ...
► Strong
เพราะความที่โลกใบนี้คนใจดีมีน้อย ดาวเคราะห์ดวงนี้น่ะกว้างเท่าเดิมแต่มันน่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆเนื่องจากผู้คนในสังคมที่กดขี่กันเอง ครอบครัวของลูเซียสพบเจอปัญหาและการสูญเสียมามาก ความเศร้าโศก เสียใจและความโกรธแค้นที่ย่างเดินผ่านมาแล้วก็มีมากเช่นกัน เขารู้ดีว่าตัวเองกลายเป็นเหมือนความหวังเดียวของบ้าน เป็นชายหนุ่มที่กำลังเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ สักวันเขาจะเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ยังเหลืออยู่นี้ นั่นจึงแปลว่าเขาจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด จะถูกรังแกไม่ได้ จะล้มลงไปไม่ได้เพราะถ้าล้ม...แล้วคนที่บ้านเขาล่ะ? ครอบครัวเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่นั่นล่ะ?
เพราะคิดแบบนั้น เพราะเขาเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ชายหนุ่มจึงตระหนักไว้เสมอว่าตัวเองจะต้องแข็งแกร่ง ไม่ยอมแพ้ ไม่อ่อนแอให้ใครเห็น ไม่จำเป็นจะต้องได้รับชัยชนะเสมอไปแค่อย่าตายจากไปไหนทั้งๆที่ยังไม่ได้ตอบแทนแม่และยายดีพอ ให้มีชีวิตต่อไปจะแบบเรียบง่าย ดำมืดก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องหวือหวาจนมีแต่คนชื่นชมให้น่ารำคาญก็ได้ เพราะสิ่งอื่นใดมันก็ไม่มีค่ามากเท่ากับครอบครัวที่เขามีอยู่หรอก...
► Tired
ถึงจะแข็งแกร่งมั่นคงเพียงใดแต่ทุกคนก็ย่อมมีลิมิตเป็นของตัวเองเสมอ กับลูเซียสเองก็เช่นกัน เห็นเขาแข็งแกร่งแบบนั้น เห็นกำแพงเขาแน่นหนาแบบนั้น เห็นเขากล้าหาญแบบนั้น ยังไงเขาก็มีวันเหนื่อย มีวันที่รู้สึกอ่อนแอแต่กลับรู้สึกว่าปล่อยวางไม่ได้ ภาระหลายๆอย่างที่บากบั่นอยู่มันถ่วงไหล่กดดันเขาเงียบๆทำเอาเขาแทบทรุดลงไปอยู่รอมร่อ—ทว่าลูเซียสกลับคิดว่าคงจะปล่อยวางมันไปไม่ได้ แค่ต้องทันและเดินต่อไปอยู่เรื่อยๆ ตัวเขาไม่มีใคร และไม่อยากจะมีให้มาถ่วงอีก หากทว่าความจริงแล้วเขาก็แค่ต้องการใครสักคนที่จะนั่งอยู่กับเขาเงียบๆยามที่ทุกข์ ไม่ต้องพูดพล่ามปลอบใจอะไรก็ได้แค่อยุ่ด้วยกัน แค่คนเดียวก็ยังดี
..แค่อยู่กับเขายามที่เขาพักและปล่อยวาง อยู่กับเขายามที่เขาต้องการอ้อมกอดคลายความเหนื่อยล้า จากนั้นเขาก็จะลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งน่าเศร้าที่ปัจจุบันนี้ก็มีแค่แม่กับยายที่เขาไม่ได้ปิดกั้นอะไรด้วย หรืออาจจะ..รวมเพื่อนสมัยเด็กอีกคน(บทที่11น่ะค่ะ อยากให้อิหนูแอบชอบ แต่ถ้าไม่ได้ก็เบลอๆวงเล็บนี้ไปนะคะ---) แต่เขากลับไม่อยากให้ใครมาเหนื่อยไปกับตัวเองด้วย นั่นเป็นข้อเสียในตัวเขาเลยก็ว่าได้ น้อยครั้งมากที่เขาจะดึงคนเหล่านั้นเข้ามากอดแล้วเอนกายพักพิงคลายความเหนื่อยล้า น้อยมากซะจนแทบไม่มี กลายเป็นว่าเขามักเก็ยมันไว้ในใจแล้วนั่งเศร้าอยู่คนเดียวมากกว่า...
คนอย่างเขาถึงจะไม่ชอบมีตัวถ่วงทั้งในใจและทางความรู้สึกอื่นๆเยอะแต่ก็ไม่อยากไปถ่วงใครเช่นกัน
ลักษณะการพูด::
ลูเซียสมักพูดจาแบบห้วนๆดูเหมือนคนชอบพูดแบบส่งๆหรือขอไปทีมาก บางครั้งก็ดูไร้น้ำใจ ไม่น่ารักแข็งกระด้างอีกทั้งน้ำเสียงยังราบเรียบเป็นโทนเดียวอีก จะมีบางครั้งที่กระแทกกระทั้นก็ตอนที่เริ่มมีน้ำโหนั่นแหละ ทางด้านน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้นุ่มทุ้มชวนฟังเสียเท่าไหร่ มันกลับติดแหบๆและทุ้มต่ำมากกว่า ถึงแม้จะดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีก็เถอะแต่เขาก็ไม่ชอบแบบนี้นี่หว่า...
โดยปกติแล้วเขาใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ฉัน” และแทนคนอื่นๆว่า “นาย/เธอ” ถ้าเป็นคนที่อายุมากกว่าหรือน่าเคารพหน่อยก็จะ “คุณ” และจะมีหางเสียงตามมาบ้างบางครั้งเพื่อความเหมาะสม แต่ถามว่ามันฟังดูสุภาพอ่อนหวานขึ้นบ้างไหม? บอกได้เลยว่าไม่ หรืออาจจะเเค่เล็กน้อย เพราะเขายังติดความห้วนๆและการพูดแบบหกร้านโลกระคนขอไปทีอยู่ดี แต่ถ้าอารมณ์เสียเมื่อไหร่ก็จะเปลี่ยนเป็น “แก” ได้กับทุกเพศทุกวัยเลยทีเดียว
กับครอบครัวเขาจะใช้คำแทนตัวว่า “ผม” อันเป็นคำที่สุภาพและนุ่มนวลกว่าการพูดกับคนอื่นๆ อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังแตกต่างกันพอสมควรอีกด้วย
► Example 1 ; น้องสาว
“ลีน่า” น้ำเสียงแหบทุ้มอันทรงเสน่ห์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเท้าที่ย่างเข้ามาภายในห้องพักผู้ป่วยโทนสีอ่อนช้าๆ เสียงนั่นร่ำเรียกความสนใจจากเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงให้หันมาหาเขา รอยยิ้มบนดวงหน้าจิ้มลิ้มระบายออกมาทันเมื่อเขาและเธอสบตากัน
“มาแล้วเหรอคะ พี่!” เด็กสาวเอ่ยพร้อมกับกระเด้งตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องร้องโอ้ยพร้อมกับเบ้หน้าเพราะดันทำกระดูกตัวเองลั่นดังกร๊อบ
“พี่บอกเรากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าบุ่มบามแบบนั้น” ลูเซียสทำเสียงดุขึ้นขณะที่นิ้วหน้าแล้วจ้องมองไปที่น้องสาวที่กำลังตัวหดจ้อยลงเรื่อยๆ
“ก็หนูดีใจนี่นา” เด็กสาวก้มหน้า น้ำตาเริ่มรื้อขึ้นเมื่อรู้ว่าทำให้พี่ชายทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้น “หนูขอโทษนะคะ”
“...ช่างเถอะ” ลูเซียสสั่นหน้าแล้วเอาหนังสือนิทานที่เพิ่งซื้อมาเคาะลงบนหัวคนตัวเล็ก ใบหน้าที่ปกติแล้วไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลยกลับค่อยๆคลี่ยิ้มช้าๆ “แต่เราอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้มั้ย เราทำให้พี่เป็นห่วงนะ”
Example 1.1 ; น้องสาว
“และแล้ว...เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป...” ฝ่ามือหนาปิดหนังสือลงแล้วเงยหน้ามองผู้ฟังซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆที่นั่งอยู่บนเตียง “นิทานจบแล้ว ชอบรึเปล่า?”
“ชอบที่สุดเลยค่ะ!” ลีน่าเอ่ยแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะคะ พี่!”
“พี่ดีใจที่เราชอบนะ” ลูเซียสเอ่ย แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิทานที่อ่านอยู่มันซ้ำกับเรื่องที่เคยอ่านไปแล้วรึเปล่า แต่ทุกๆครั้ง...ลีน่าก็มักจะบอกว่าชอบเสมอ “แล้วเราอยากฟังเรื่องไหนอีกรึเปล่า? เดี๋ยวพี่อ่านให้ฟังเองนะ”
“เจ้าชายกบค่ะ” เด็กสาวเอ่ยตอบ
“งั้นเหรอ? แต่พี่ไม่อยากอ่านน่ะ งั้น...”
“พี่ลูซ! ห้ามแกล้งลีน่านะ!”
ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายพองแก้มราวกับกำลังไม่พอใจอยู่ เขายอมแพ้แล้วหยิบหนังสือนิทานตามที่เธอต้องการมาอ่าน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
► Example 2 ; แม่
“ไม่เอาน่าลูซ ลูกโตแล้วนะ แม่แค่จะออกไปซื้อของเท่านั้นเอง” เสียงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากถูกเจ้าลูกชายตัวดียื้อตัวเอาไว้ไม่ยอมให้ไปซื้อของเสียที กอดเเขนกอดเอวรั้งไว้ราวกับเป็นเด็กๆอย่างนั้นแหละ
“ไม่เอา... มันมืดแล้ว” ลูเซียสเอ่ยสั้นๆแล้วกอดเอวผู้เป็นมารดาแน่นขึ้น “เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะออกไปแทนก็ได้..”
“โธ่ ลูซ...”
สุดท้ายสงครามครั้งนี้ลูเซีสก็เป็นฝ่ายชนะ... แม่ของเขายอมแต่โดยดี ผู้เป็นมารดาโดนเจ้าลูชายตัวดีคนนี้พากลับเข้ามาในบ้านแล้วลงเอยด้วยการให้เขานอนหนุนตักส่วนเธอก็นั่งเย็บถักผ้าพันคอไปพลางๆ บทสนทนาจิปาถะดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงจุดจุดหนึ่ง
“วันนี้ตอนที่แม่ไม่อยู่บ้าน มีคนนอกเข้ามา” เมื่อลูซเอ่ยจบ เขาก็สัมผัสได้ถึงมือสองมือที่กำลังถักผ้าพันคอหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะดำเนินการต่อพร้อมด้วยเสียงของผู้เป็นแม่ที่เอ่ยถามเขา
“ใครล่ะ หืม?”
“ผมไม่รู้” ลูเซียสตอบแล้วพลิกตัวนอนหงาย มองดูใบหน้าของมารดาแล้วเอ่ยอีกครั้ง “แต่พวกนั้นเข้ามาเชิญผมเข้าโรงเรียน... แต่จะยังไงก็ช่าง ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ลูซ อย่าดื้อแบบนี้นะ บอกแม่มาให้หมดว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
“ไม่เอาครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเท้าคาง ไม่ยอมหันไปมองผู้เป็นแม่ที่กำลังทำสีหน้าหนักใจอยู่ “ยังไงผมก็จะอยู่ที่นี่”
Example 2.1 ; ยาย
“ตัวใหญ่ขึ้นรึเปล่า เราน่ะ” เสียงของหญิงวัยชราเอ่ยขึ้นหลังจากการเต้นรำยามค่ำคืนท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังคลอเบาๆภายในบ้าน แม้หญิงชราจะตาบอดแต่หล่อนก็สัมผัสได้ถึงร่างกายที่เติบใหญ่ต่างจากเดิมเยอะ
“ผมสิบเก้าแล้วนะ” ลูเซียสเอ่ยตอบแล้วขยับตัวไปตามท่วงทำนองบทเพลง และเมื่อบทเพลงจบลงเขาก็ช่วยพยุงร่างของหญิงชรากลับมานั่งที่โซฟาตัวยาว เอนหลังพิงพนักแล้วเอ่ยอีกครั้งขณะทำเสียงอ่อนลง “ร้องเพลงให้ผมฟังที...”
“เอ.. แต่เราก็โตแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงชราแกล้งเย้าหยอก
“นะครับ นะ...”
“โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กคนนี้” หล่อนหลุดหัวเราะ และสุดท้ายก็ยินยอมร้องเพลงให้เจ้าเด็กโข่งตัวเบ้อเร่อคนนี้ฟังอยู่ดี
► Example 3 ; ความหงุดหงิด
“โห่! อะไรเนี่ย นั่นยายแกเหรอ ยายแก่ตาบอดคนนั้นที่เก็บผักขายน่ะนะ ฮ่าๆๆ”
ผลั้วะ!!
ลูเซียสมัวอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ แต่แค่เสี้ยววินาทีจู่ๆหมัดของเขาก็เสยเข้าที่ปลายคางอีกฝ่ายซะจนหงายไปซะแล้ว และร่างกายของเขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาพุ่งเข้าไปกระชากตัวอีกฝ่ายขึ้น ถลึงตาใส่แล้วขู่ร้องคำราม
“มีปัญหาอะไรกับยายฉันวะ!”
ผลั้วะ!! ผลั้วะ!!
และอีกสองหมัดก็ถูกปล่อยออกไป โดยที่คนถูกกระทำไม่อาจจะตอบโต้ได้ ผู้คนรอบๆที่ได้แค่รุมล้อมไม่มีใครเลยที่กล้าเขามาห้าม...
“ไอ้สวะเอ๊ย!”
► Example 4 ; ความปกติ
พอถึงคิวการแนะนำตัวลูเซียสก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปด้านหน้าแบบเงียบๆ สีหน้าฉาบไปด้วยความเรียบเฉย ก่อนจะหยุดลงแล้วหันไปหาเพื่อนร่วมห้องทุกคน ดวงตาสีเขียวมิ้นท์กวาดมองทุกคนแบบลวกๆก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ลูเซียส โอเลเซีย” พอเอ่ยจบเขาก็โค้งตัวเล็กน้อยให้พอเป็นพิธี “ชื่อก็มีแค่นั้นแหละ”
ไม่มีการพูดฝากเนื้อฝากตัวหรือเล่าเรื่องคร่าวๆเกี่ยวกับตัวเองอีกเลย... ไม่มีเลยสักนิดเดียว
แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ... ทว่ากระนั้นแล้วลูเซียสก็ไม่คิดจะใส่ใจอะไรนัก ร่างสูงเดินเข้าไปนั่งยังที่ที่ว่าอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนทันทีโดยไม่สนใจจะพูดอะไรต่ออีกเลย เจ้าตัวหยิบเอาหูฟังออกมาแล้วเปิดเพลงฟังพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างอันเป็นการขีดเส้นตายอย่างสมบูรณ์ว่าเขาไม่อยากจะเสวนากับใครอีก
ทุกอย่างรอบๆตัวเขากลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดทันใด
► Example 5 ; เศร้าโศก
“ถ้าเรายังอยู่ก็คงดี...” เสียงอันเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อยถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างสูงร่างหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าหลุมศพของของเด็กสาวคนที่เขาเคยเล่นกับเธอบ่อยๆ...เด็กสาวคนที่เป็นน้องสาวแท้ๆของเขานั่นแหละ
แต่เขาก็เอ่ยได้แค่นั้น ไม่มีการพูดการจาอะไรอีก ไม่มีน้ำตาหรือเสียงสะอื้น
มีแต่เพียงความเงียบที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันว่าเปล่าเคว้งคว้างและโหวงเหวงของเขาเท่านั้น...
ประวัติความเป็นมา::
ลูเซียสถือกำเนิดในครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายแต่ก็นับว่าอบอุ่นเพียบพร้อมไม่แพ้ใครเป็นแน่ พ่อของเขาเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีความสามารถและเป็นคนตลกแม้ว่ามุกแต่ละมุกจะมีฝืดบ้างอะไรบ้างแต่เจ้าตัวก็เป็นสีสันให้กับครอบครัวได้เสมอ เป็นเสาหลักที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมและเป็นสามีที่มีคุณธรรม เป็นผู้ชายที่หน้าตาไม่ได้หล่อเลิศกว่าใครในโลกแต่ก็เป็นผู้ชายที่ดีไม่แพ้ใครในโลกเช่นกัน...เป็นชายที่ลูเซียสรักมากถึงมากที่สุด
ในบ้านของเขามีกันถึงห้าคนพ่อ แม่ ลูเซียส น้องสาว และยาย พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุข มีความสุข มีรอยยิ้มให้กันในทุกๆวัน ในบ้านเดี่ยวที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก พื้นที่โดยรอบก็มีเพื่อนบ้านที่น่ารัก ลูเซียสมีเพื่อนมากมายในตอนนั้น เขายิ้มง่ายและเป็นเด็กร่าเริงเสมอ ชอบเล่นมุกตามแบบฉบับของพ่อ—ที่บางครั้งก็ไม่ได้ทำให้ขำแต่กลับทำให้เครียดหนักกว่าเดิมนั่นแหละ
น้องสาวของลูเซียสเป็นเด็กสาวที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอเลยจะต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่เขากับเพื่อนๆก็มักจะเข้าไปเยี่ยมและหาอะไรไปเล่นด้วยเสมอๆ บางครั้งก็เอาเรื่องจากที่โรงเรียนไปเล่า บางครั้งก็ช่วยสอนหนังสือยามที่เธอต้องพักในโรงพยาบาล บางครั้งก็ไปเล่นด้วยกันจนต้องนอนค้าง
แต่ช่วงชีวิตที่แสนสดใสของลูเซียสก็อยู่ถึงแค่ตอนเขาอายุสิบขวบเท่านั้น...
มันเป็นวันที่เขาเพิ่งกลับมาจากบ้านของเพื่อน แล้วน้องสาวก็อยู่ในโรงพยาบาล แม่กับยายก็ออกไปธุระ เป็นค่ำคืนที่เขากลับมาบ้านช้า ท้องฟ้าที่มืดมัว บนถนนที่ควรจะเต็มไปด้วยสีดำกลับถูกสาดกระทบด้วยแสงสว่างจากเปลวไฟ—เปลวไฟที่ลุกลามบ้านของเขาไปทั่วทั้งหลัง
ผู้คนและเจ้าหน้าที่ต่างๆรายล้อมอยู่รอบๆ เมื่อเห็นดังนั้น ความหวาดกลัวก็เข้ากัดกินหัวใจของเด็กหนุ่ม จากที่ได้ยิน—มีพวกคนชั่วบุกเข้ามาขโมยทรัพย์สิน ทว่าพอเห็นว่ามีคนอยู่ในบ้านและเกิดการต่อต้านก็เลยมีการวางเพลิงก่อนจะหลบหนีไป
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!” เสียงหวีดร้องอย่างทรมานทุกข์ทมดังขึ้นทำให้ลูเซียสต้องมองหาต้นเสียง...เสียงที่เป็นเสียงพ่อของเขาเอง ร่างที่กำลังถูกไฟครอกตายอยู่ในนั้น ในบ้านหลังนั้น
“พ่อ!!!”
“เฮ้ ไอ้หนู อย่าเข้าไปใกล้เชียวนะ ไฟลุกลามขนาดนี้เข้าไปช่วยไม่ได้แล้ว!”
ทันทีที่ลูเซียสจะออกวิ่งเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ยื้อตัวเอาไว้ ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่ยอม เขาดิ้น ดิ้นและดิ้น... แต่มีหรือที่เรี่ยวแรงของเด็กจะสู้แรงของผู้ใหญ่ได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้แค่แหกปากร้องเรียกพ่อ ยื่นมือออกไปด้านหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจนนองแก้ม
เพราะมือที่ยื่นออกไปมันไม่อาจจะสัมผัสถึงกายผู้เป็นพ่อได้อีกแล้ว ...ไม่มีทางอีกแล้ว
__ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายบ้าๆคนหนึ่งชอบเล่นมุกฝืดๆ หน้าตาไม่ได้หล่อเลิศแต่ก็เป็นชายที่เล่นบอลกับเขา เป็นชายที่เคยปั่นจกรยานสี่ล้อแข่งกับเขา เคยนั่งดูบอลกับ—น่าเศร้าที่บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีใครเล่นมุกฝืดๆให้เขาฟังอีก เขาไม่มีใครให้เล่นบอลด้วย ไม่รู้จะปั่นจักรยานแข่งกับใคร ไม่รู้จะนั่งดูบอลคนเดียวไปทำไม
การสูญเสียครั้งนั้นทำให้ลูเซียสซึมไปพักใหญ่ๆ แม้จะได้เงินประกันจากพ่อแต่เขาก็ไม่ได้ร่าเริงแบบเดิมอีก เขา แม่ น้องสาวและยายย้ายที่อยู่ออกไปในเวลาต่อมา ก่อสร้างที่อยู่ในป่าแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่าที่จะทำได้ อยู่กับธรรมชาติที่งดงามเพื่อที่จะได้ลืมเรื่องของพ่อที่ตายไปเร็วๆ เพื่อเยียวยาจิตใจและฟื้นฟูเสียใหม่
เวลานั้นลีน่า น้องสาวของลูเซียสกลับต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งห่างไกลจากป่าที่เขาเข้ามาอาศัยพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรที่จะต้องเดินไปๆมาๆเพื่อไปเยี่ยมน้องสาวบ่อยๆ เขายอมเหนื่อยเสียยังจะดีกว่าปล่อยให้ลีน่าเหงาอยู่คนเดียว เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกหลายปี ทุกๆอย่างดีขึ้น แม่และยายของเขาปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และหารายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ การใช้ชีวิตแบบพอเพียงทำให้เขาไม่อดอยากปากแห้งอะไรนัก
ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเปลวไฟกำลังลุกลามไปทั่วทั้งโรงพยาบาล มันเกิดมาจากอุบัติเหตุหม้อไฟระเบิด
ลูเซียสในวัยสิบหกปีที่กำลังจะเข้าไปเยี่ยมน้องสาวพลันหยุดชะงัก ภาพเหตุการณ์วันที่เขาช่วยพ่อไม่ได้วกกลับมาอีกครั้ง ขาของเขาเเข็งทื่อแต่ไม่นานนักเขาก็เริ่มออกวิ่ง วิ่งเข้าไปในตึกโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของใครอีก ไม่สนใจเจ้าหน้าที่หลายสิบคนที่เข้ามายื้อเขา
น่าแปลกที่เขาสลัดเจ้าหน้าที่หลุดออกได้อย่างง่ายดายด้วยตัวคนเดียว...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!”
“ลีน่า!!!”
ชายหนุ่มส่องเสียงร้องเมื่อได้ยินเสียงของบุคคลที่ตามหาแล้ว เขาพุ่งตรงเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งก่อนจะหัวใจสั่นสะท้านเมื่อเห็นร่างเล็กๆนอนแดดิ้นอยู่บนเตียง เขาฝ่ากองเพลิงเดินเหยียบย่ำเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต สองมือโอบกอดร่างเล็กๆไว้ พยามจะอุ้มเธอทั้งๆที่ไฟกำลังลวกแขนและมือของเขา กลิ่นเนื้อไหม้ลอยขึ้นมาพร้อมๆกับกลิ่นควันไฟที่ขมุกขมัวเต็มไปหมด
ลูเซียสร่ำร้อง เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้... ร้องไห้อย่างหนัก กรีดร้องจนเหมือนคนบ้า อุ้มร่างที่กำลังแดดิ้นเพราะถูกไฟไหม้อย่างทรมานไปยังห้องน้ำราวกับคนเสียสติ ในใจเขาหวังว่ามันจะทัน..
แต่แล้วก็ไม่ ถึงลูเซียสจะสามารถวิ่งเข้ามาในห้องน้ำแล้วเอาน้ำชะโลมได้สำเร็จแต่สิ่งที่พบได้หลังจากนั้นก็คือร่างเล็กๆในอ้อมแขนนอนแน่นิ่ง เนื้อตัวไหม้เกียม ผิวหนังถูกแผดเผาจนเห็นเนื้อใน กลิ่นเนื้อไหม้ลอยผลสมกับกลิ่นเลือด
ลีน่าตายแล้ว เธอตายไปอีกคนแล้ว
แม้ว่าจะได้รับแผลพุพองมาเหมือนกัน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางกองไฟ แม้ว่าเขาอาจจะตายได้ในอีกไม่กี่วินาทีแต่ลูเซียสก็กอดร่างเล็กเอาไว้แบบนั้น ร่ำไห้ราวกับผู้ชายเสียสติ ราวกับคนหมดสภาพที่ไม่มีทางไปอีกแล้ว...
__ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กสาวคนหนึ่งชอบโทรหาเขาบ่อยๆ ชอบขอให้เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชอบขอให้เขาซื้อนิทานมาฝากแล้วอ่านให้เธอฟัง ชอบขอให้เขาร้องเพลงให้ แม้เธอจะงอแงไปบ้างแต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กสาวที่น่ารักเสมอ—น่าเศร้าที่บัดนี้ไม่มีเธออีกแล้ว ไม่มีใครโทรหาเขา โทรศัพท์เงียบฉี่ เขาไม่รู้จะซื้อนิทานให้ใครอีก ไม่รู้ว่าจะอ่านนิทานคนเดียวได้รึเปล่า ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงให้ใครฟัง ไม่ได้เห็นรอยยิ้มกับใบหน้าที่สดใสนั้นอีกต่อไปแล้ว...
ลูเซียสทำเรื่องน่าทึ่งด้วยการเดินกลับออกมาโดยที่ตัวเขานั้นยังไม่ตาย แต่ก็ได้รับบาดเจ็บอยู่เหมือนกัน เขาอุ้มลีน่าออกมาด้วย—นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาสร้างความตกตะลึงให้แก่ใครหลายๆคน สำหรับการมีชีวิตรอดในกองเพลิงได้ตั้งนาน ทว่าพอเข้าไปถามเจ้าตัวกลับตอบอะไรไม่ได้เลย เขาเหม่อลอยและค่อนข้างสิ้นสติในเวลานั้น คำตอบของคำถามนี้จึงเป็นปริศนาอันลึกลับต่อไป...โดยที่เขาไม่รู้ตัว เรื่องแบบนี้มันก็ไปเตะตาใครสักคนเข้าแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวหรอก มันมีครั้งที่สอง
ซึ่งก็คือตอนที่ยายของเขาถูกคู่อริของเขาเองกำลังรุมทำร้าย พวกเด็กเกเรรุมทุบตีหญิงชราอย่างไร้จิตสำนึก แน่ล่ะว่าลูเซียสจะต้องโกรธมาก....มากถึงขั้นซัดคนสิบคนที่อายุเท่ากันอาการโคม่าหมดทุกคนได้เลย แต่ความโกรธของเขาก็ยังไม่สิ้นเมื่อส่งตัวยายเข้าโรงพยาบาลแล้วพบว่าเธอตาบอก ทีแรกเขาตั้งใจจะกลับไปเอาให้ถึงตายแต่ก็ถูกแม่และยายห้ามเอาไว้
แม่และยายของเขาพล่ามสอนแต่สิ่งที่ดีงามเสมอ พวกเธอเป็นคนดี และดีมากด้วย ดีเกินกว่าที่ใครอื่นจะเข้ามาทำลายชีวิตได้อีก
ฉะนั้นเขาจึงปฏิญาณตนว่าจะปกป้องครอบครัวที่เหลืออยู่ของตนให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครจากไปอีก...
__อย่างน้อยเขาก็ยังเหลือหญิงชราที่ร้องเพลงเพราะคอยขับกล่อมให้เขาฟัง อย่างน้อยๆหญิงชราตาบอดคนนี้ก็เต้นรำเก่งเสมอ อย่างน้อยก็ยังมเธออยู่...
__และอย่างน้อยๆเขาก็ยังเหลือหญิงวัยกลางคนที่ทำอาหารเก่งสุดยอด ถักเย็บผ้าได้สวยเลิศกว่าใคร และคอยใช้หน้าตักเป็นหมอนให้เขาเสมอเมื่อเขาต้องการ คอยลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยให้เสมอเมื่อเขาร้องขอ
___อย่างน้อยๆลูเซียสก็ยังเหลือพวกเขา ยังมีพวกเขาอยู่ และจะไม่ยอมเสียไปอีกเด็ดขาด
เขาอาจเป็นเด็กสันดานเสียคนหนึ่ง... ใช่ มันเป็นแบบนั้นแหละ เด็กนิสัยไม่ดี พูดไม่เพราะ ทำตัวไม่น่ารัก ไม่มีเพื่อนแล้วก็ชอบมีแต่เรื่องนั่นแหละ แม้เขาจะเป็นแบบนั้นเเต่เขาก็รักและซื่อสัตย์ต่อผู้หญิงสองคนนี้เสมอ และตลอดไป
วันนี้พวกเธอยังอยู่กับเขา และวันข้างหน้าก็ต้องเป็นแบบนี้เช่นกัน
ชอบ::
- เพลงที่ยายร้อง ; เพลงเก่าๆโบราณๆที่เขาชอบฟังแล้วก็เคลิ้มหลับไปซะทุกรอบนั่นแหละคือสิ่งที่เขามักจะอ้อนขอให้ยายทำเมื่อมีเวลาว่าง ทำตัวเป็นเด็กๆอย่างการไปเกาะแกะยายน่ะนะ...
- งานถักเย็บของแม่ ; มันสวยสำหรับเขาทุกชิ้น เธอมักจะทำส่งออกขายแต่ก็มีบางส่วนที่เขาจิ๊กมา(?) แน่นอนว่าต้องโดนดุ ถามว่าเขาถึงกับกลัวจนคอหดเลยไหม...? อืม...ตอยเลยว่าใช่ แต่แค่กับแม่เท่านั้นแหละ...
- อาหารที่ยายกับแม่ทำ ; กินเยอะยิ่งกว่าใครทั้งยังจะขอเติมไม่เลิกไม่ราอีก สีหน้าที่กินก็ไม่ได้ถึงกับยิ้มแป้นแค่ยิ้มจางๆด้วยความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอยู่ในใจเท่านั้นแหละ...
- อากาศเย็นๆ ; เขาแค่ไม่ชอบอากาศร้อนเพราะมันทำให้หงุดหงิดมากกว่า เขานอนขดตัวทุกทีล่ะที่ได้เจออากาศเย็นๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขาไม่ได้หนาวถึงขั้นนั้นแต่ก็ชอบนอนขดตัวในอากาศเย็นอยู่ดี มองดูจากภายนอกแล้วอย่างกับก้อนกลมๆก้อนใหญ่สักก้อนแหน่ะ---
- ธรรมชาติ ; ให้ความรู้สึกร่มรื่นร่มเย็นดี ส่วนมากเขาก็แค่ยืนรับลมชมวิวเงียบๆเท่านั้น ไม่ได้อ้าปากพูดกับต้นไม้หรอก...
- การวาดภาพ ; แค่ชอบทำมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ทำมาจนชินมือไปแล้ว เขาวาดรูปได้สวยมากแต่ก็วาดธรรมชาติไปเรื่อยๆมากกว่าจะวาดคน ในเวลาที่วาดเขาก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละนะ
ไม่ชอบ::
- เรื่องยุ่งยาก ; มันน่ารำคาญนี่นะ ถ้าหนีได้ก็หนีล่ะ แต่ถ้าจำเป็นต้องช่วยก็แค่กลอกตานิดหน่อยเท่านั้น
- สังคมแออัดและเสียงดัง ; เขาค่อนข้างรำคาญอะไรที่มันแออัดเกินไป มากเกินไป เสียงดังเกินไป สิ่งเหล่านี้มันรบกวนโสตประสาทเขาจนทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าแลดูหงุดหงิดขึ้นมา ถ้าหนีได้เขาก็จะหนีทันทีนั่นแหละ
- พวกตามตื้อ ; น่ารำคาญ เดี๋ยวพ่อซัดร่วง---
- ต้นหอมกับผักชี ; ไม่อร่อย... /ทำหน้านิ่งแล้วเขี่ยออก(?)
เกลียด::
- สังคมแออัดและเสียงดัง ; เหตุผลก็ไม่ต่างจากเดิม... น่ารำคาญ น่าหงุดหงิดไปหมด ถ้าหนีได้เขาก็ย่อมต้องเดินหนีออกมาอยู่แล้ว
- พวกอวดดี พวกชอบหาเรื่อง ; ก็น่าหงุดหงิด... แต่ถึงอย่างนั้นถ้าขอมาเขาก็จัดให้ กวนตีนนักก็รอรับกรรมไปเถอะ
- การถูกจี้ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ ; เขาไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่... มันทำให้หงุดหงิดเอาได้ง่ายๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายถามด้วยหน้าซื่อๆเจตนาดีก็แค่ขมวดคิ้วแล้วกลอกตานิดหน่อย สุดจะทนก็แค่ลุกเดินหนี แต่ถ้าพวกกวนประสาท---ชะตากรรมก็อยู่กับหมัดของเขาแล้วแหละ
- ต้นหอมกับผักชี ; คงไม่ต้องบอกเหตุผลซ้ำหรอกนะ...
กลัว::
- ไฟ ; แต่จะเป็นกองไฟที่ลุกลามเป็นกองใหญ่ๆ ถ้าแค่กองเล็กๆ หรือแค่เตาแก๊สเขาก็ไม่ได้ถึงกับกลัวแค่มีอาการเหงื่อตกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
หากทว่าถ้าเป็นถึงขั้นกองไฟกองใหญ่ๆอย่างที่ไฟเผาป่าหรือไฟที่เผาตึกอาคาร เหมือนกับเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลถูกวางเพลิง ตอนที่เขาช่วยดึงน้องสาวออกมาไม่ได้ วันที่เขาเกือบจะโดนไฟครอกตายไปด้วย พอพบเจอสถานการณ์แบบนี้ทีไรเหงื่อก็จะตกมากกว่าตอนที่เห็นกองไฟเล็กๆอีก อีกทั้งตัวก็แข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนทั้งนั้น เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเจอแล้วได้แต่ส่ายหน้าพึมพำว่ามันไม่จริงๆ มือไม้สั่น ดวงตาสั่นแล้วค่อยๆยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองราวกับคนเสียสติ...
- การที่ไม่สามารถปกป้องคนที่ตัวเองรักได้ ; เรียกได้ว่ากลัวการสูญเสีย... ครอบครัวของเขาเหลือน้อยเต็มทนแล้ว และเขาก็ไม่อยากจะเสียใครไปอีก ไม่อยากให้ใครไปไหนไกลเกินไปทั้งนั้น ไม่อยากให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายว่าร้ายด้วย และอีกอย่าง..เขาก็กลัวตัวเองจะไม่ดีพอจะปกป้องคนพวกนี้ด้วยเหมือนกัน ความกลัวเหล่านี้ทำให้เขาไม่คิดจะสานสัมพันธไมตรีเท่าไหร่ มีน้อยได้ยิ่งดีเลยล่ะ
แพ้:: -
หมายเหตุ ; จริงๆไม่มีอะไรที่แพ้เลย กินอาหารทุกอย่างได้ตามปกติ แต่พอต้องกรอกข้อมูลแบบนี้ทีไรเจ้าตัวก็จะใส่ไปว่าแพ้ต้นหอมกับผักชี...ด้วยความที่ไม่ชอบกินมันน่ะนะ อาการที่กรอกใส่ลงไปก็คือคลื่นไส้ อาเจียน ไข้ขึ้นสูงเกือบตายแต่ไม่ถึงตายแค่อีกไม่นานก็จะสู่ขิต(?)
งานอดิเรก::
- อ่านหนังสือ ; เพื่อเพิ่มความฉลาดสักหน่อยน่ะนะ
- เดินเล่น ; ชมวิวกับธรรมชาติ สงบจิตสงบใจดีออก...
- วาดรูป ; เหตุผลก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สงบจิตสงบใจดี...
- ออกกำลังกาย ; อย่างน้อยก็ไม่อยากอ้วนพุงพลุ้ย
ชมรมที่สังกัด:: ไม่มีสังกัด (หรืออาจจะไม่มีใครอยากรับ...)
ความสามารถพิเศษ::
- การเรียนรู้สิ่งต่างได้เร็ว แต่ไม่ถึงขั้นมองปราดเดียวแล้วทำได้ แค่เรียนรู้ไว ฝึกฝนและชำนาญได้เร็วเท่านั้นอย่างเช่นเรื่องการเรียนหรือกีฬาที่ดีเลิศนั่นก็มาจากการฝึกฝนเรียนรู้นั่นแหละ
- วาดภาพ ; ได้ทั้งภาพสีและขาวดำ
- ความสามารถพ่อบ้านพ่อเรือนทุกชนิด ; เห็นหนังหน้ากับนิสัยเป็นแบบนี้เขากลับมีความประณีประนอมด้านนี้อย่างน่าเหลือชื่อเลยล่ะ งานเย็บปักถักร้อยยังทำได้เลย...
- มีสัญชาตญาณและไหวพริบในการเอาตัวรอดเข้าขั้นดี ; แน่ล่ะว่าคนนิสัยแบบเขาจะต้องมีดีด้านนี้บ้างไม่งั้นคงเอาตัวรอดไม่ได้หรอก คบได้โดนรุมกระทืบตายก่อนน่ะสิ
- มีทักษะการต่อสู้ระยะชิดดีเยี่ยม ; หมัดหนักมือหนักและไม่ออกมมือง่ายๆ... หากจะวัดกันด้วยการสู้ระยะประชิดลูเซียสก็มักจะชนะขาดเสมอ แต่สำหรับระยะไกลก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ถนัดสักเท่าไหร่
อาวุธ:: มีดกับปืนพก (ถนัดมีดมากกว่า)
เพิ่มเติม::
- อีกเหตุผลที่สวมฮู้ดเพราะมีสีผมที่ค่อนข้างจะเด่นแล้วก็แปลกกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา อันเป็นสีที่ได้มาจากพ่อ
- ถนัดมือซ้าย และเกิดวันที่1มกราคม
- ที่แรกตอนที่ถูกเชิญก็ว่าจะไม่ไป แต่เพราะถูกยายกับแม่เกลี้ยกล่อมมากๆเข้าสุดท้ายก็ยอม...
- เพราะนิสัยและสันดา--เป็นแบบนี้ พอเจอเข้ากับเพื่อนสมัยเด็ก(น้องเบอร์11) ลูเซียสจึงไม่อยากเข้าใกล้เธอนัก จะเรียกว่าไม่อยากสนิทสนมกับเธอออีกก็ว่าได้เพราะถ้าสนิทเขาก็จะมองว่าเธอสำคัญ แล้วถ้าสำคัญ เวลาที่ต้องเสียเธอไปล่ะ? ...อีกอย่างก็เพราะนิสัยเขามันกร้านโลกด้วยล่ะนะ
ความคิดเห็น