ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    .Idea Cage.

    ลำดับตอนที่ #20 : Wall

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 63






    Great and heavily researched article on the Wolfsbane Potion and possible ingredients. USE IN CONJUNCTION WITH THE LUPIN FOUNDATION AND THE MOONY INSTITUTE FOR LYCANTHROPIC STUDIES.










    ( ภาพสำรองเล็กน้อย : 7 )

    “หุบปากซะ มันน่ารำคาญ”
    “ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาขวางทาง มันเกะกะลูกตาแล้วก็ทำให้ฉันเสียเวลาด้วย”
    “เห่าจบรึยัง? อยากลองดีก็เข้ามา”

    บท:: {7.} Hood

    ชื่อ:: ลูเซียส โอเลเซีย │ Lucius Olesia

    ความหมายชื่อ:: 
              ➭ ลูเซียส แปลว่า แสงสว่าง
              ➭ โอเลเซีย แปลว่า ความบริสุทธิ์
              ➭ ลูเซียส โอเลเซีย แปลว่า แสงสว่างอันบริสุทธิ์

    ชื่อเล่น:: 
              ➭ ลูเซียส │ Lucius : ปกติแล้วทุกคนจะเรียกเขาแบบนี้ แล้วเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่ออื่นที่ดูสนิทสนมมากเกินไปด้วย
              ➭ ลูซ │ Luce : เป็นชื่อที่เขายินยอมให้แม่กับยายเรียกเท่านั้น สำหรับคนอื่นๆคงยากหน่อยล่ะกว่าจะเรียกเขาด้วยชื่อนี้ได้โดยไม่มีการโกรธเคืองอะไร

    ชั้นปี::  ปีที่5

    อายุ:: 19ปี

    ฝั่ง:: ครีเอ {ผู้สร้าง}

    ระดับพลังเวทย์:: ปานกลาง

    ส่วนสูง/น้ำหนัก:: 187เซนติเมตร / 75กิโลกรัม

    รูปร่างลักษณะ::
    ➠ แม้ว่าลูเซียสจะเป็นชายหนุ่มที่ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่นและทำตัวไม่น่ารักสักเท่าไหร่แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่จัดได้ว่าดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งและค่อนข้างจะติดกำยำเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มากเกินจนน่ากลัว ร่างกายที่ประดับประดาไปด้วยกล้ามเนื้อ ลาดไหล่กว้างหนาน่าพึ่งพิง แผ่นหลังยืดสง่า สรีระบ่ากว้างแต่เอวคอดเป็นรูปพีระมิดหัวกลับเสมือนนายแบบผสมกับนักกีฬา รูปร่างที่สูงใหญ่แต่ไม่ได้ดูเทอะทะมากจนเกินไปตรงกันข้าม—เขากลับดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมงรวดเร็วเสียด้วยซ้ำไป
    ลูเซียสใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ทว่ากลับไม่ค่อยระบายยิ้มนักทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการที่เขามีบรรยากาศรอบๆตัวไม่น่าเข้าใกล้ กรอบหน้าของชายหนุ่มเรียกได้ว่าคมคายได้รูป และอีกมุมหนึ่งก็เรียกได้ว่าหวานหยดแม้ไม่ถึงขั้นสตรีเพศแต่ก็จัดว่าดูดีแทบทุกองศา เขามีเรือนผมสีเงินเป็นประกายอย่างน่าประหลาดใจ ทรงผมถูกซอยสั้นตัดระต้นคออย่างพอเหมาะผมหน้าปล่อยสบายลงมาปรกหน้าผากมนสวย เรียวคิ้วหนาที่งอนงามดังพระจันทร์ครึ่งซีกในวันข้างแรมรับกับดวงตาคมคายล้อมกรอบด้วยแพขนตาเป็นเส้นระเบียบงดงาม นัยน์ตาสีเขียวมิ้นท์ (Mint green) ดูลึกลับน่าค้นหาและเป็นกายราวกับอัญมณี (แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ได้ฉายแววเป็นมิตรสักเท่าไหร่...) สันจมูกโด่งจรดลงมาถึงริมฝีปากหยักเรียวสีแดงคล้ำๆเล็กน้อยทว่าก็ไร้ร่องรอยแห้งแตก 
    เขาเป็นคนผิวขาวสะอาดแต่กลับมีบางจุดที่ไม่ได้เรียบเนียนนักอย่างมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากไฟไหม้เป็นร่องรอยแผลเป็นใหญ่ๆที่ถึงแม้จะหายดีแล้วแต่ก็ทิ้งรอยแผลน่าเกลียดๆเอาไว้ทำให้เขาต้องใส่ถุงมือปิดไว้ตลอด อีกอย่างก็คือบริเวณแขนกับเท้าที่มีรอยแผลจากไฟไหม้เต็มไปหมด มันไม่ใช่ของที่น่าโชว์อะไรนี่นะ ใส่เสื้อปิดไว้ก็ดีเหมือนกัน...
    ➠ ในเรื่องของการแต่งกาย ลูเซียสมักจะสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวเสมอ ส่วนหนึ่งก็เพื่อปกปิดรอยแผลและส่วนหนึ่งก็เพราะคิดว่ามันกันแดดกันลมกันสายตาคนกันหมาถามแผล(?)หรือกันนั่นกันนี่ได้ดีเหมือนกัน เรื่องโทนสีส่วนมากเขาจะหันเหความสนใจให้กับโทนสีเข้มๆมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดโทนสีอ่อนๆขอแค่มันไม่ได้โดดเด่นเกินไปเป็นพอ (อย่างสีเขียวมะนาวจี๊ดจ๊าดสะท้อนแสงนั่นก็ไม่เอา...อย่าน่า...) 
    สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือถุงมือหนังสีดำและเสื้อฮู้ดสีเข้มสักตัวในการคลุมศีรษะ ต่อให้ใส่เสื้อแขนยาวอยู่แล้วแต่ถ้าเสื้อตัวนั้นไม่มีฮู้ดเขาก็จะสวมทับเข้าไปอีกทีอย่างไม่กลัวว่าจะร้อนเลยล่ะ รองเท้าที่ใส่ส่วนมากก็จะเป็นรองเท้าผ้าใบที่สะดวกต่อการเคลื่อนไหวเท่านั้น เขาไม่ชอบอะไรจุกจิกจึงไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไรให้รกเลอะรุ่งริ่งนอกซะจากนาฬิกาข้อมือหนึ่งเรือนแค่นั้น...

    อุปนิสัย:: 
    ► Detached
    เพราะลูเซียนมักจะชอบอยู่คนเดียวบ่อยๆหรืออาจจะเรียกได้ว่าแทบจะตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ หากว่าไม่มีเหตุจำเป็นอะไรตัวเขาก็จะไม่เดินเข้าหาใครก่อนอย่างแน่นอน ตัวเขาไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่านหรือแออัดนักและเพราะเขารักความเงียบสงบจึงไม่แลปกหากว่าเขาจะเกลียดการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากที่น่ารำคาญพวกนั้น เขาไม่ชอบสุงสิงกับใครเสียเท่าไหร่และแน่นอนว่าไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครด้วยเหมือนกัน จนดูราวกับเขากำลังทำตัวสันโดษกับทุกคนบนโลก หมางเมินต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัวทำทีเหมือนกับว่าโลกนี้มันก็มีแค่เขา ไม่เห็นจำเป็นจะต้องพึ่งใคร ไม่เห็นจะต้องผูกไมตรีกับใคร ราวกับว่าโลกนี้มีแค่เขาก็พอแล้ว—ผู้คนมองว่าเขาเป็นแบบนั้นเพราะจากเท่าที่มอง...เขามันพวกไม่สนใจใครเลย ปิดกั้นทุกสิ่งอย่าง ก่อตั้งกำแพงซะสูงลิบ ขีดเส้นตายเส้นใหญ่ๆว่าอย่าเข้ามาใกล้จนไม่มีใครอยากจะคบหาด้วย
    ลูเซียสชอบที่จะสวมฮู้ดคลุมศีรษะและเสียบหูฟังตลอดเวลา นั่นเป็นอีกสิ่งที่เป็นกำแพงกั้นการเข้าหาหรือพูดคุยกับเขา เขาไม่ได้ชอบฟังเพลงขนาดนั้นแต่บางครั้งก็เปิดฟังมันไปงั้นๆ เสียบหูฟังเปิดเพลงอัดเข้ากระบอกหูกลบทับเสียงอื่นๆแล้วหาหามุมนั่งง่อยๆสักทียังดีกว่าเข้าไปหมกมุ่นกับคนอื่นๆให้ยุ่งยากวุ่นวาย ด้วยความที่เขาไม่ชอบเข้าหาใครก่อนและน้อยคนนักที่จะกล้าหน้าด้านเข้ามาหาเขา เขาเลยไม่มีคนสนิทเลยสักคน...ใช่ ไม่มีเลย เพื่อนสนิทในปัจจุบันก็ไม่มีด้วย แต่ถ้าถามว่าเขาอยากจะวิ่งเต้นหามั้ย? ..บอกเลยว่า “ไม่”

    ► Bad
    แม้ว่าลูเซียสจะเป็นคนมีความสามารถหลายด้าน เก่งกาจและฉลาดจนไม่ต่างอะไรจากพวกพรสวรรค์น่าอิจฉา แต่ลูเซียสก็เป็นเหมือนกับเด็กมีปัญหาที่ไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์หรืออยู่ในกรอบตามที่ใครต้องการนัก หลายครั้งที่เขามักจะแหกกฎหรือทำตามใจตัวเองไปบ้างแต่มันก็ไม่ใช่ทุกครั้งหรอก แค่เพราะถ้าเขารู้สึกว่มันไม่ถูกต้องหรือไม่ควรเขาก็พร้อมจะพังทลายกฎไปเลยนั่นแหละ และคนอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจใครเสียเท่าไหร่ด้วย จะบอกว่าเขามันหน้าด้านไม่อายใครก็แล้วแต่จะมาพูดต่อว่าต่อหน้าเลยก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือนนัก เขาก็แค่เงียบแล้วฟัง ไม่เถียงให้เปลืองน้ำลาย ทำทีราวกับฟังเสียงคนด่าเป็นเสียงหมาเห่าหมาหอนที่น่ารำคาญที่หากทนไม่ไหวก็แค่เดินออกมาไม่ก็หาหูฟังมายัดเข้าหูไปทั้งๆอย่างนั้น ลูเซียสเป็นพวกพูดยาก ฟังยาก ดื้อรั้นจนยากจะคุมตัวอยู่กับคนภายนอก ผู้คนล้วนเอือมระอากับเขา บ้างก็ครันคร้าม หลายคนก็ล้วนคร้านจะมาสนใจฉุดยื้อผู้ชายคนนี้ไปแล้ว
    เขาน่ะทำตัวกร้านโลกแบบสุดๆก็ตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น แต่กับครอบครัวหรือตอนที่อยู่ในบ้านเขาก็จะเป็นเด็กที่น่ารักอยู่หรอก หากแต่ก็มีบ่อยครั้งที่ชอบถกเถียงดื้อรั้นไม่ฟังกันบ้างทว่าหากเทียบกันดีๆ...คำพูดที่เขาใช้กับคนในครอบครัวจะนุ่มนวลอ่อนโยนมากกว่าคนภายนอกเยอะ อย่างน้อยๆก็รุนแรงน้อยกว่า...แล้วเขาก็จะขอโทษทันทีถ้ารู้ตัวว่าพูดอะไรแรงไปแต่แน่ล่ะว่าจะเป็นแค่กับครอบครัวเท่านั้น สำหรับคนอื่นเขาคงไม่ทำแบบนี้ซึ่งๆหน้าหรอก อย่างมากก็แค่หาของมาให้เป็นการขอโทษแบบลับหลัง

    ► Fierce
    จะบอกว่าลูเซียสเป็นพวกหลบมุมซะจนคนไม่สนใจก็คงจะไม่ถูกทั้งหมดเพราะอย่างน้อยๆลูเซียสเองก็มีเอกลักษณ์ในตัวบ้างนิดหน่อย นอกจากการสวมฮู้ดบังหน้าจนดูประหลาดก็คงจะเป็นสายตา ท่าทางและคำพูดที่ไม่เป็นมิตรนัก ถึงแม้เขาจะรักสงบแต่ก็ใช่ว่าจะยอมใครง่ายๆ แค่ปริปากยียวนหรือเรียกร้องกวนเบื้องล่างมากๆนักก็ไม่รอดพ้นจากหมัดของเขาหรอก แต่ก็ยังดีที่เขามักไม่ใช่ฝ่ายที่รังแกคนอ่อนแอก่อนแต่ถ้าไอ้คนอ่อนแอนั่นเข้ามากวนตีนนั่นก็คงอีกประเด็น—หากเขาซัดใครก็แปลว่าโมโหหรือรำคาญความกวนตีนของไอ้คนคนนั้นนั่นแหละอย่าได้หาว่าเขารังแกคนอื่นไปทั่วเชียว แต่ผู้คนภายนอกกลับไม่ได้คิดแบบนั้นสักเท่าไหร่... ลูเซียสถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหาเข้าขั้นถูกมองว่าเป็นไซโคพาธไปแล้ว นั่นแหละจุดเด่นที่ผู้คนมักจะนึกออกเมื่อได้ยินชื่อหรือเห็นตัวเขาเดินผ่านหน้า
    จะบอกว่าเขามันขี้รำคาญขี้หงุดหงิดก็คงไม่ผิดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ขี้โมโหถึงขั้นโวยวายซัดใครมั่วๆหรอกอย่างน้อยๆก็ต้องมีเหตุผลรองรับซะบ้างแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ใช่ผู้ชายใจเย็นอะไรนักแต่ก็เก็บอาการทางสีหน้าและท่าทางได้ดี...หมายถึงดีในระดับหนึ่งน่ะ เพราะสีหน้าปกติของเขาคือเรียบเฉย บ้างก็ขมวดคิ้วอยู่แล้ว ที่ไม่เคยแสดงออกมาเลยคืออาการหน้าซีดหรือแสดงความตกใจความกลัว เสียใจ ดีใจที่แสดงออกมาส่วนใหญ่มันก็มีแต่ด้านที่น่ากลัวนิดหน่อยนั่นแหละ สำหรับเขาการกลั้นน้ำตามันง่ายกว่าการกลั้นอารมณ์โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล
    เพราะแบบนี้เขาถึงได้ไม่มีเพื่อนไงล่ะ... ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คนที่มีภาพลักษณ์ดุร้ายเป็นหมาบ้าแบบนี้หรอก ถ้าไม่หน้าด้านเป็นหน่วยกล้าตายซะอย่างก็ไม่มีใครอยากเข้ามาตีสนิทเขาด้วยซ้ำ

    ► Socializing
    การเข้าสังคมของลูเซียสจัดได้ว่าติดลบแบบสุดๆ อย่างแรกสุดเพราะการหลบหลีกการพบประผู้คนทุกครั้งที่มีโอกาสของเขาและถ้าไม่มีโอกาสให้แวบหลบหรือมีคนเข้ามาจู้จี้ตอแยจริงๆท่าทางที่เขาแสดงใส่ฝ่ายตรงข้ามก็คือความแข็งกร้าว แข็งกระด้าง ไม่น่ารักและดูน่ากลัวเสียจนบรรยากาศรอบๆกดดันไปด้วย ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ๆเขาก็จะสัมผัสได้ถึงความเงียบ...ที่เงียบแบบสุดๆ เงียบในแบบที่ค่อนข้างจะอึดอัดจนอยากจะเดินหนีออกไปไกลๆเพื่อหาที่ที่ดีกว่านี้ ลูเซียสเป็นคนพูดน้อย และน้อยมากจนเรียกได้ว่าหากไม่มีความจำเป็นจริงๆเสียงของเขาก็จะไม่เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากเป็นแน่
    ดังนั้นการใช้ชีวิตของลูเซียสส่วนใหญ่จึงมักจะหลบอยู่ในเงามืดหรือที่ที่ไม่มีใครสนใจเสียมากกว่า ไม่ใช่ว่าการถูกจ้องมองเป็นจุดสนใจมากๆจะเป็นฝันร้ายของเขาเพราะความขี้อายหรือหวาดกลัวสายตาพวกนั้น ตรงกันข้ามเลย เขาเพียงแค่รำคาญทั้งสายตา เสียงพูดคุยที่แม้จะเป็นการกระซิบ ตะโกนหรืออะไรก็ตามที่มันพันกันวุ่นไปหมดเมื่อออกมาสู่โลกภายนอก สุรเสียงของผู้คน สายตาของผู้คนย่อมมากกว่าในบ้านหลังเล็กๆที่เขาอยู่มากโข ดังนั้นแล้วทางเลือกที่เขาทำคือการสวมฮู้ดและเสียบหูฟังอันเป็นราวกับการสร้างกำแพงเล็กๆให้ตัวเอง ทำเหมือนกับเป็นป้อมปราการดันสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้ออกไป ทว่าลูเซียสก็เหมือนจะไม่ได้สนใจเสียเท่าไหร่ว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูไม่ดีนัก ดูเหมือนกับพวกหยิ่งยโสโอหังทระนงตัว
    แต่แน่ล่ะว่าลูเซียสไม่ได้เก็บมาคิดให้หนักสมอง การที่เขาเข้ากับสังคมไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะตายสักหน่อย เขาไม่มีเพื่อนสนิทก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตนี้จะหายใจไม่ได้แล้วเหมือนกัน เขาไม่ได้ต้องการอะไรหวือหวา ไม่ชอบอะไรที่ฮือฮา ไม่ชอบอะไรที่มันมากเกินไปอย่างการมีผู้คนนับสิบนับร้อยรายล้อม ขอแค่มีคนกลุ่มเล็กๆจะคนเดียว สองคนหรือสามคนมาคอยอยู่ข้างๆเขาก็พอ แค่อยู่ด้วยกันยามทุกข์ ยามสุข ยามที่เหนื่อยล้า หรือยามที่ดีใจ แบบนั้นถึงจะมีแค่คนเดียวเขาก็ดีใจเหลือคณาแล้ว นั่นแหละสังคมที่เขาต้องการ—กล่าวให้ถูก...นั่นแหละสังคมเล็กๆในฝันเขาเลยล่ะ

    ► Cumbersome
    อย่างที่บอกว่าลูเซียสนั้นรักสงบและเกลียดปัญหาความวุ่นวายน่ารำคาญทั้งหลายพ่วงมาด้วยนิสัยขี้รำคาญขี้หงุดเงิดเล็กๆรวมทั้งไม่ชอบอะไรที่มันจู้จี้จุกจิกเกินไป ไม่ใช่ว่าเขามันพวกบุ่มบ่ามทำอะไรไม่คิดเขาเป็นคนที่มีสติ ละเอียดอ่อนและมีกระบวนการคิดที่ดีจนน่าทึ่งทีเดียวหากแต่กับเรื่องที่เขามองว่ามันไร้สาระเขาก็จะไม่ค่อยใส่ใจนักอย่างเช่นการพูดการจาที่ตรงไปตรงมาจนขวานผ่าซากตรงซะจนแทงใจอีกฝ่ายดังฉึก ถามว่าเขาสนใจไหม...? คงตอบได้เลยว่าไม่ เขาไม่ใส่ใจกับการพูดของตัวเองสักเท่าไหร่ ความที่เป็นพวกฟังมากกว่าพูด น้ำนิ่งไหลลึกแต่ก็พูดตรงซะจนปากหมาไปบ้างแต่ข้อสรุปของเขามันก็มีแค่ว่าในเมื่อเขาไม่ชอบพูดเยอะ งั้นก็พูดตรงๆสั้นๆให้เข้าใจง่ายไปเลยสิ จะไปยากอะไรล่ะ? จะต้องพูดจาอ้อมโลกเพื่อรักษาน้ำใจกันไปเพื่ออะไร?
    หรือในบางครั้งเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของเขาหากมีคนเข้ามาขอให้ช่วยเขาก็จะพูดปัดๆหรือหาทางหลีกเลี่ยงไปเอง เขาจะนั่งอยู่เฉยๆแบบนั้นไม่กระดิกตัวให้ยุ่งยากถ้าไม่จำเป็น เหตุก็สั้นๆง่ายๆอย่างเขาไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยากวุ่นวาย ไม่ชอบวุ่นวายกับใคร ไม่อยากกระโดดเข้าใส่ปัญหา ไม่อยากจะทำอะไรเลยถ้ามันไม่ใช่ปัญหาของตัวเอง ..แบบนี้จะบอกว่าเขามันค่อนข้างเห็นแก่ตัวก็คงไม่ผิดหรอก แต่เชื่อเถอะว่าถ้ามีเหตุผลดลใจมากพอเขาก็จะยอมให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน ทว่าน่าเศร้านักที่คนส่วนมากมักไม่มองว่าลูเซียสเป็นตัวช่วยเหลือตัวเลือกเเรกๆ เขามักเป็นคนท้ายๆเพราะความที่มีออร่าไม่น่าเข้าใกล้แผ่ออกมาตลอดเวลานั้นแหละ

    ► Heartless...?
    ลูเซียสไม่รังแกคนอ่อนแอแต่ก็ไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาวที่จะกระโจนเข้าหาผู้ที่ต้องการคความช่วยเหลือโดยไม่คิดอะไรเลย สิ่งที่เขาทำส่วนมากก็จะมองดูเฉยๆไม่ยุ่งวุ่นวายหรือไม่ก็เดินหนีออกไปเลย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้คนเขามองกัน มองว่าเขามันใจร้ายที่ทำแบบนั้นได้ลงคอหรืออาจจะมองว่าเป็นพวกสันดานเสียไร้จิตสำนึก ไร้ซึ่งน้ำจิตน้ำใจในการเมตตาเอื้ออาทรแก่ผู้อื่น ทว่าอันที่จริงแล้วลูเซียสก็ไม่เลวขนาดนั้นบางครั้งเขาก็แค่หลบออกมาห่างๆหนีออกมาจากเสียงดังๆที่น่ารำคาญนั่น มันไม่ได้แปลว่าเขาไม่เห็นใจเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นเลยสักหน่อย แต่มันแปลว่าเขาอยากจะจับตาเฝ้ามองห่างๆมากกว่า อยากให้ฝ่ายนั้นได้ลองสู้ด้วยตัวเองก่อน ดิ้นรนเท่าที่ทำได้ และสุดท้ายถ้าทำไม่ได้จริงๆตัวเขาที่มองอยู่ห่างๆก็จะเข้าไปช่วยเอง อืม...แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีช่วยเวลาที่เขาได้ทำตัวเป็นฮีโร่เท่าไหร่ ส่วนมากเวลาที่เขาได้ลงมือก็เป็นเวลาที่มีคนเข้ามากวนบาทาร้องขอส้นตี*จากเขาเท่านั้นแหละ
    คนเราถึงจะร้ายกาจยังไงว่ากันว่าก็ต้องมีข้อดีอยู่ในตัว...แน่ล่ะว่าคนอย่างลูเซียสเองก็มีข้อดีเช่นกัน แต่มันก็น้อยนิดเสียจนคนมองไม่ออกกันเลยว่าเขาเองก็มีข้อดีในตัวเหมือนกันนะ ไม่ใช่แค่ความเก็บอาการทางสหน้าได้ดีหรอก(หมายถึงเก็บได้ทุกอารมณ์ยกเว้นหงุดหงิดกับเรียบเฉยน่ะ...) อย่างน้อยๆเขาก็รักครอบครัวมากและมีมุมใจดีอยู่เล็กๆ ด้วยความที่เคยมีน้องสาวมากก่อนแล้วเขาก็ดูเเลเธอบ่อยๆจึงติดนิสัยชอบดูแลคนอื่นมา ติดที่ว่าไม่มีใครให้ดูแล...อืมนั่นแหละ นอกจากแม่กับยายที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอีกแล้ว แถมเขาเป็นพวกปิดกั้นคนอื่นอย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้ยิ่งไม่มีไปกันใหญ่ ทว่าสำหรับคนที่ดีกับเขา เขาก็จะหาทางตอบแทนอยู่บ้างถ้ามีโอกาส แต่แน่ล่ะว่ามันจะไม่หวือหวา ไม่ได้เป็นต่อหน้าสายตาคนอื่น มันจะเป็นการกระทำลับหลังอย่างการเขียนจดหมาย(ที่ยุคนี้ใครๆก็ไม่สนใจแล้ว...)และเอาของขวัญไปมห้ เขาไม่แม้แต่จะลงชื่อด้วยซ้ำจึงไม่แปลกหรอกหากว่าใครจะมองว่าเขามันสันดานเสียแทบทุกคนน่ะ
    คนอย่างเขาถ้าได้ไว้ใจหรือรักใครเข้าแล้วจะสถานะแบบไหนเขาก็จะดูแลอย่างดีเลยล่ะ จะรักและซื่อสัตย์ยิ่งกว่าอะไร น้อมรับความสุข ทุกข์และจะอยู่ข้างๆราวกับหมาเลี้ยง และถ้าไม่ปวดหัวไปกับสีหน้าท่าทาง การวางตัวของเขา คนคนนั้นก็คงจะมีความสุขไปตลอดชีวิตเลย... ทว่าก็เป็นที่แน่นอนอีกนั่นแหละว่าหากหักหลังเขาก็ต้องรับกรรมเช่นกัน เพราะถึงแม้เขาเป็นแบบนั้นแต่ถ้าหักหลังสักทีก็จำฝังใจใช่เล่น แม้จะไม่ได้แค้นฝุงหุ่นถึงขั้นจะฆ่าให้ตายแต่ก็จะไม่ได้รับความรักความสนใจจากเขาอีกเลยเสมือนแก้วที่แตกละเอียดแล้วมันจะไม่สามารถประกอบกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นั่นแหละ

    ► Child
    อ่า... เห็นว่าลูเซียสดูเป็นคนเลวทรามชั่วช้าแบบสุดหัวใจ(?)แบบนี้ใครจะรู้เล่าว่าเขาก็มีมุมขี้อ้อนงอแงเป็นเด็กๆเหมือนกันนะ แต่ไม่ถึงกับล้มลงไปนอนดิ้นกับพื้นหรือสะบัดตัวสะดีดสะดิ้งหรอก...อย่าน่า อย่าแม้แต่จะคิดเชียว... ลูเซียสไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาชัดเจนขนาดนั้น ส่วนมากมักออกมาผ่านแววตาและการกระทำเสียส่วนใหญ่ การจะเห็นสีหน้าอื่นๆของเขานอกจากความเรียบเฉยกับความหงุดหงิดนับว่ายากยิ่งกว่าอะไรเพราะงั้นต่อให้อ้อนอยู่เขาก็ยังหน้านิ่งได้ อย่างเช่น..ยื้อแขนแม่ที่กำลังออกไปซื้อของเอาไว้ ยื้อและขอให้หล่อนมาร้องเพลงให้เขาฟังก่อนนอน แล้วพรุ่งนี้เช้าเขาจะรับผิดชอบด้วยการออกไปซื้อมาให้ทุกอย่างหรือการที่เขาไม่ยอมนอนในห้องของตัวเองแล้วมานอนในห้องของยาย ให้ท่านร้องเพลงขับกล่อมอะไรแบบนี้นั่นแหละ มันเป็นการกระทำที่เหมือนกับเป็นเด็กๆแต่ก็ทำให้เขาสบายใจที่มีผู้หญิงสองคนนี้อยู่ในบ้าน รู้สึกอบอุ่นในใจที่พวกเธอยังอยู่กับเขา—ยังมีชีวิตอยู่...
    แต่อย่าหวังว่าเขาจะไปออดอ้อนกระพริบตาปริบๆใส่คนอื่นนอกจากครอบครัวเชียวล่ะ... ถ้าไม่ใช่คนสนิทชิดเชื้อจริงๆ(ซึ่งปัจจุบันนั้นไม่มี...)เขาก็จะไม่ทำด้วยหรอก หรือถ้าทำวันนั้นโลกอาจจะแตกก็ได้นะ...

    ► Strong
    เพราะความที่โลกใบนี้คนใจดีมีน้อย ดาวเคราะห์ดวงนี้น่ะกว้างเท่าเดิมแต่มันน่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆเนื่องจากผู้คนในสังคมที่กดขี่กันเอง ครอบครัวของลูเซียสพบเจอปัญหาและการสูญเสียมามาก ความเศร้าโศก เสียใจและความโกรธแค้นที่ย่างเดินผ่านมาแล้วก็มีมากเช่นกัน เขารู้ดีว่าตัวเองกลายเป็นเหมือนความหวังเดียวของบ้าน เป็นชายหนุ่มที่กำลังเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ สักวันเขาจะเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ยังเหลืออยู่นี้ นั่นจึงแปลว่าเขาจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด จะถูกรังแกไม่ได้ จะล้มลงไปไม่ได้เพราะถ้าล้ม...แล้วคนที่บ้านเขาล่ะ? ครอบครัวเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่นั่นล่ะ?
    เพราะคิดแบบนั้น เพราะเขาเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ชายหนุ่มจึงตระหนักไว้เสมอว่าตัวเองจะต้องแข็งแกร่ง ไม่ยอมแพ้ ไม่อ่อนแอให้ใครเห็น ไม่จำเป็นจะต้องได้รับชัยชนะเสมอไปแค่อย่าตายจากไปไหนทั้งๆที่ยังไม่ได้ตอบแทนแม่และยายดีพอ ให้มีชีวิตต่อไปจะแบบเรียบง่าย ดำมืดก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องหวือหวาจนมีแต่คนชื่นชมให้น่ารำคาญก็ได้ เพราะสิ่งอื่นใดมันก็ไม่มีค่ามากเท่ากับครอบครัวที่เขามีอยู่หรอก...

    ► Tired
    ถึงจะแข็งแกร่งมั่นคงเพียงใดแต่ทุกคนก็ย่อมมีลิมิตเป็นของตัวเองเสมอ กับลูเซียสเองก็เช่นกัน เห็นเขาแข็งแกร่งแบบนั้น เห็นกำแพงเขาแน่นหนาแบบนั้น เห็นเขากล้าหาญแบบนั้น ยังไงเขาก็มีวันเหนื่อย มีวันที่รู้สึกอ่อนแอแต่กลับรู้สึกว่าปล่อยวางไม่ได้ ภาระหลายๆอย่างที่บากบั่นอยู่มันถ่วงไหล่กดดันเขาเงียบๆทำเอาเขาแทบทรุดลงไปอยู่รอมร่อ—ทว่าลูเซียสกลับคิดว่าคงจะปล่อยวางมันไปไม่ได้ แค่ต้องทันและเดินต่อไปอยู่เรื่อยๆ ตัวเขาไม่มีใคร และไม่อยากจะมีให้มาถ่วงอีก หากทว่าความจริงแล้วเขาก็แค่ต้องการใครสักคนที่จะนั่งอยู่กับเขาเงียบๆยามที่ทุกข์ ไม่ต้องพูดพล่ามปลอบใจอะไรก็ได้แค่อยุ่ด้วยกัน แค่คนเดียวก็ยังดี
    ..แค่อยู่กับเขายามที่เขาพักและปล่อยวาง อยู่กับเขายามที่เขาต้องการอ้อมกอดคลายความเหนื่อยล้า จากนั้นเขาก็จะลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งน่าเศร้าที่ปัจจุบันนี้ก็มีแค่แม่กับยายที่เขาไม่ได้ปิดกั้นอะไรด้วย หรืออาจจะ..รวมเพื่อนสมัยเด็กอีกคน(บทที่11น่ะค่ะ อยากให้อิหนูแอบชอบ แต่ถ้าไม่ได้ก็เบลอๆวงเล็บนี้ไปนะคะ---) แต่เขากลับไม่อยากให้ใครมาเหนื่อยไปกับตัวเองด้วย นั่นเป็นข้อเสียในตัวเขาเลยก็ว่าได้ น้อยครั้งมากที่เขาจะดึงคนเหล่านั้นเข้ามากอดแล้วเอนกายพักพิงคลายความเหนื่อยล้า น้อยมากซะจนแทบไม่มี กลายเป็นว่าเขามักเก็ยมันไว้ในใจแล้วนั่งเศร้าอยู่คนเดียวมากกว่า...
    คนอย่างเขาถึงจะไม่ชอบมีตัวถ่วงทั้งในใจและทางความรู้สึกอื่นๆเยอะแต่ก็ไม่อยากไปถ่วงใครเช่นกัน

    ลักษณะการพูด:: 
    ลูเซียสมักพูดจาแบบห้วนๆดูเหมือนคนชอบพูดแบบส่งๆหรือขอไปทีมาก บางครั้งก็ดูไร้น้ำใจ ไม่น่ารักแข็งกระด้างอีกทั้งน้ำเสียงยังราบเรียบเป็นโทนเดียวอีก จะมีบางครั้งที่กระแทกกระทั้นก็ตอนที่เริ่มมีน้ำโหนั่นแหละ ทางด้านน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้นุ่มทุ้มชวนฟังเสียเท่าไหร่ มันกลับติดแหบๆและทุ้มต่ำมากกว่า ถึงแม้จะดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีก็เถอะแต่เขาก็ไม่ชอบแบบนี้นี่หว่า...
    โดยปกติแล้วเขาใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ฉัน” และแทนคนอื่นๆว่า “นาย/เธอ” ถ้าเป็นคนที่อายุมากกว่าหรือน่าเคารพหน่อยก็จะ “คุณ” และจะมีหางเสียงตามมาบ้างบางครั้งเพื่อความเหมาะสม แต่ถามว่ามันฟังดูสุภาพอ่อนหวานขึ้นบ้างไหม? บอกได้เลยว่าไม่ หรืออาจจะเเค่เล็กน้อย เพราะเขายังติดความห้วนๆและการพูดแบบหกร้านโลกระคนขอไปทีอยู่ดี แต่ถ้าอารมณ์เสียเมื่อไหร่ก็จะเปลี่ยนเป็น “แก” ได้กับทุกเพศทุกวัยเลยทีเดียว
    กับครอบครัวเขาจะใช้คำแทนตัวว่า “ผม” อันเป็นคำที่สุภาพและนุ่มนวลกว่าการพูดกับคนอื่นๆ อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังแตกต่างกันพอสมควรอีกด้วย

    ► Example 1 ; น้องสาว
    “ลีน่า” น้ำเสียงแหบทุ้มอันทรงเสน่ห์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเท้าที่ย่างเข้ามาภายในห้องพักผู้ป่วยโทนสีอ่อนช้าๆ เสียงนั่นร่ำเรียกความสนใจจากเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงให้หันมาหาเขา รอยยิ้มบนดวงหน้าจิ้มลิ้มระบายออกมาทันเมื่อเขาและเธอสบตากัน
    “มาแล้วเหรอคะ พี่!” เด็กสาวเอ่ยพร้อมกับกระเด้งตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องร้องโอ้ยพร้อมกับเบ้หน้าเพราะดันทำกระดูกตัวเองลั่นดังกร๊อบ
    “พี่บอกเรากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าบุ่มบามแบบนั้น” ลูเซียสทำเสียงดุขึ้นขณะที่นิ้วหน้าแล้วจ้องมองไปที่น้องสาวที่กำลังตัวหดจ้อยลงเรื่อยๆ
    “ก็หนูดีใจนี่นา” เด็กสาวก้มหน้า น้ำตาเริ่มรื้อขึ้นเมื่อรู้ว่าทำให้พี่ชายทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้น “หนูขอโทษนะคะ”
    “...ช่างเถอะ” ลูเซียสสั่นหน้าแล้วเอาหนังสือนิทานที่เพิ่งซื้อมาเคาะลงบนหัวคนตัวเล็ก ใบหน้าที่ปกติแล้วไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลยกลับค่อยๆคลี่ยิ้มช้าๆ “แต่เราอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้มั้ย เราทำให้พี่เป็นห่วงนะ”

    Example 1.1 ; น้องสาว
    “และแล้ว...เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป...” ฝ่ามือหนาปิดหนังสือลงแล้วเงยหน้ามองผู้ฟังซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆที่นั่งอยู่บนเตียง “นิทานจบแล้ว ชอบรึเปล่า?” 
    “ชอบที่สุดเลยค่ะ!” ลีน่าเอ่ยแล้วฉีกยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะคะ พี่!”
    “พี่ดีใจที่เราชอบนะ” ลูเซียสเอ่ย แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิทานที่อ่านอยู่มันซ้ำกับเรื่องที่เคยอ่านไปแล้วรึเปล่า แต่ทุกๆครั้ง...ลีน่าก็มักจะบอกว่าชอบเสมอ “แล้วเราอยากฟังเรื่องไหนอีกรึเปล่า? เดี๋ยวพี่อ่านให้ฟังเองนะ”
    “เจ้าชายกบค่ะ” เด็กสาวเอ่ยตอบ
    “งั้นเหรอ? แต่พี่ไม่อยากอ่านน่ะ งั้น...”
    “พี่ลูซ! ห้ามแกล้งลีน่านะ!” 
    ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายพองแก้มราวกับกำลังไม่พอใจอยู่ เขายอมแพ้แล้วหยิบหนังสือนิทานตามที่เธอต้องการมาอ่าน
    “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...” 

    ► Example 2 ; แม่
    “ไม่เอาน่าลูซ ลูกโตแล้วนะ แม่แค่จะออกไปซื้อของเท่านั้นเอง” เสียงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากถูกเจ้าลูกชายตัวดียื้อตัวเอาไว้ไม่ยอมให้ไปซื้อของเสียที กอดเเขนกอดเอวรั้งไว้ราวกับเป็นเด็กๆอย่างนั้นแหละ
    “ไม่เอา... มันมืดแล้ว” ลูเซียสเอ่ยสั้นๆแล้วกอดเอวผู้เป็นมารดาแน่นขึ้น  “เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะออกไปแทนก็ได้..”
    “โธ่ ลูซ...”
    สุดท้ายสงครามครั้งนี้ลูเซีสก็เป็นฝ่ายชนะ... แม่ของเขายอมแต่โดยดี ผู้เป็นมารดาโดนเจ้าลูชายตัวดีคนนี้พากลับเข้ามาในบ้านแล้วลงเอยด้วยการให้เขานอนหนุนตักส่วนเธอก็นั่งเย็บถักผ้าพันคอไปพลางๆ บทสนทนาจิปาถะดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงจุดจุดหนึ่ง
    “วันนี้ตอนที่แม่ไม่อยู่บ้าน มีคนนอกเข้ามา” เมื่อลูซเอ่ยจบ เขาก็สัมผัสได้ถึงมือสองมือที่กำลังถักผ้าพันคอหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะดำเนินการต่อพร้อมด้วยเสียงของผู้เป็นแม่ที่เอ่ยถามเขา
    “ใครล่ะ หืม?”
    “ผมไม่รู้” ลูเซียสตอบแล้วพลิกตัวนอนหงาย มองดูใบหน้าของมารดาแล้วเอ่ยอีกครั้ง “แต่พวกนั้นเข้ามาเชิญผมเข้าโรงเรียน... แต่จะยังไงก็ช่าง ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น”
    “ลูซ อย่าดื้อแบบนี้นะ บอกแม่มาให้หมดว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
    “ไม่เอาครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเท้าคาง ไม่ยอมหันไปมองผู้เป็นแม่ที่กำลังทำสีหน้าหนักใจอยู่ “ยังไงผมก็จะอยู่ที่นี่”

    Example 2.1 ; ยาย
    “ตัวใหญ่ขึ้นรึเปล่า เราน่ะ” เสียงของหญิงวัยชราเอ่ยขึ้นหลังจากการเต้นรำยามค่ำคืนท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังคลอเบาๆภายในบ้าน แม้หญิงชราจะตาบอดแต่หล่อนก็สัมผัสได้ถึงร่างกายที่เติบใหญ่ต่างจากเดิมเยอะ
    “ผมสิบเก้าแล้วนะ” ลูเซียสเอ่ยตอบแล้วขยับตัวไปตามท่วงทำนองบทเพลง และเมื่อบทเพลงจบลงเขาก็ช่วยพยุงร่างของหญิงชรากลับมานั่งที่โซฟาตัวยาว เอนหลังพิงพนักแล้วเอ่ยอีกครั้งขณะทำเสียงอ่อนลง “ร้องเพลงให้ผมฟังที...”
    “เอ.. แต่เราก็โตแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงชราแกล้งเย้าหยอก
    “นะครับ นะ...”
    “โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กคนนี้” หล่อนหลุดหัวเราะ และสุดท้ายก็ยินยอมร้องเพลงให้เจ้าเด็กโข่งตัวเบ้อเร่อคนนี้ฟังอยู่ดี

    ► Example 3 ; ความหงุดหงิด
    “โห่! อะไรเนี่ย นั่นยายแกเหรอ ยายแก่ตาบอดคนนั้นที่เก็บผักขายน่ะนะ ฮ่าๆๆ”
    ผลั้วะ!!
    ลูเซียสมัวอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ แต่แค่เสี้ยววินาทีจู่ๆหมัดของเขาก็เสยเข้าที่ปลายคางอีกฝ่ายซะจนหงายไปซะแล้ว และร่างกายของเขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาพุ่งเข้าไปกระชากตัวอีกฝ่ายขึ้น ถลึงตาใส่แล้วขู่ร้องคำราม
    “มีปัญหาอะไรกับยายฉันวะ!” 
    ผลั้วะ!! ผลั้วะ!!
    และอีกสองหมัดก็ถูกปล่อยออกไป โดยที่คนถูกกระทำไม่อาจจะตอบโต้ได้ ผู้คนรอบๆที่ได้แค่รุมล้อมไม่มีใครเลยที่กล้าเขามาห้าม...
    “ไอ้สวะเอ๊ย!” 

    ► Example 4 ; ความปกติ
     พอถึงคิวการแนะนำตัวลูเซียสก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปด้านหน้าแบบเงียบๆ สีหน้าฉาบไปด้วยความเรียบเฉย ก่อนจะหยุดลงแล้วหันไปหาเพื่อนร่วมห้องทุกคน ดวงตาสีเขียวมิ้นท์กวาดมองทุกคนแบบลวกๆก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
     “ลูเซียส โอเลเซีย” พอเอ่ยจบเขาก็โค้งตัวเล็กน้อยให้พอเป็นพิธี “ชื่อก็มีแค่นั้นแหละ”
    ไม่มีการพูดฝากเนื้อฝากตัวหรือเล่าเรื่องคร่าวๆเกี่ยวกับตัวเองอีกเลย... ไม่มีเลยสักนิดเดียว
    แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ... ทว่ากระนั้นแล้วลูเซียสก็ไม่คิดจะใส่ใจอะไรนัก ร่างสูงเดินเข้าไปนั่งยังที่ที่ว่าอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนทันทีโดยไม่สนใจจะพูดอะไรต่ออีกเลย เจ้าตัวหยิบเอาหูฟังออกมาแล้วเปิดเพลงฟังพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างอันเป็นการขีดเส้นตายอย่างสมบูรณ์ว่าเขาไม่อยากจะเสวนากับใครอีก
    ทุกอย่างรอบๆตัวเขากลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดทันใด

    ► Example 5 ; เศร้าโศก
     “ถ้าเรายังอยู่ก็คงดี...” เสียงอันเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อยถูกเอ่ยออกมาเมื่อร่างสูงร่างหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าหลุมศพของของเด็กสาวคนที่เขาเคยเล่นกับเธอบ่อยๆ...เด็กสาวคนที่เป็นน้องสาวแท้ๆของเขานั่นแหละ
    แต่เขาก็เอ่ยได้แค่นั้น ไม่มีการพูดการจาอะไรอีก ไม่มีน้ำตาหรือเสียงสะอื้น
    มีแต่เพียงความเงียบที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันว่าเปล่าเคว้งคว้างและโหวงเหวงของเขาเท่านั้น...


    ประวัติความเป็นมา:: 
    ลูเซียสถือกำเนิดในครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายแต่ก็นับว่าอบอุ่นเพียบพร้อมไม่แพ้ใครเป็นแน่ พ่อของเขาเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีความสามารถและเป็นคนตลกแม้ว่ามุกแต่ละมุกจะมีฝืดบ้างอะไรบ้างแต่เจ้าตัวก็เป็นสีสันให้กับครอบครัวได้เสมอ เป็นเสาหลักที่ดี เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมและเป็นสามีที่มีคุณธรรม เป็นผู้ชายที่หน้าตาไม่ได้หล่อเลิศกว่าใครในโลกแต่ก็เป็นผู้ชายที่ดีไม่แพ้ใครในโลกเช่นกัน...เป็นชายที่ลูเซียสรักมากถึงมากที่สุด
    ในบ้านของเขามีกันถึงห้าคนพ่อ แม่ ลูเซียส น้องสาว และยาย พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุข มีความสุข มีรอยยิ้มให้กันในทุกๆวัน ในบ้านเดี่ยวที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก พื้นที่โดยรอบก็มีเพื่อนบ้านที่น่ารัก ลูเซียสมีเพื่อนมากมายในตอนนั้น เขายิ้มง่ายและเป็นเด็กร่าเริงเสมอ ชอบเล่นมุกตามแบบฉบับของพ่อ—ที่บางครั้งก็ไม่ได้ทำให้ขำแต่กลับทำให้เครียดหนักกว่าเดิมนั่นแหละ
    น้องสาวของลูเซียสเป็นเด็กสาวที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอเลยจะต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่เขากับเพื่อนๆก็มักจะเข้าไปเยี่ยมและหาอะไรไปเล่นด้วยเสมอๆ บางครั้งก็เอาเรื่องจากที่โรงเรียนไปเล่า บางครั้งก็ช่วยสอนหนังสือยามที่เธอต้องพักในโรงพยาบาล บางครั้งก็ไปเล่นด้วยกันจนต้องนอนค้าง
    แต่ช่วงชีวิตที่แสนสดใสของลูเซียสก็อยู่ถึงแค่ตอนเขาอายุสิบขวบเท่านั้น...
    มันเป็นวันที่เขาเพิ่งกลับมาจากบ้านของเพื่อน แล้วน้องสาวก็อยู่ในโรงพยาบาล แม่กับยายก็ออกไปธุระ เป็นค่ำคืนที่เขากลับมาบ้านช้า ท้องฟ้าที่มืดมัว บนถนนที่ควรจะเต็มไปด้วยสีดำกลับถูกสาดกระทบด้วยแสงสว่างจากเปลวไฟ—เปลวไฟที่ลุกลามบ้านของเขาไปทั่วทั้งหลัง
    ผู้คนและเจ้าหน้าที่ต่างๆรายล้อมอยู่รอบๆ เมื่อเห็นดังนั้น ความหวาดกลัวก็เข้ากัดกินหัวใจของเด็กหนุ่ม จากที่ได้ยิน—มีพวกคนชั่วบุกเข้ามาขโมยทรัพย์สิน ทว่าพอเห็นว่ามีคนอยู่ในบ้านและเกิดการต่อต้านก็เลยมีการวางเพลิงก่อนจะหลบหนีไป
    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!”  เสียงหวีดร้องอย่างทรมานทุกข์ทมดังขึ้นทำให้ลูเซียสต้องมองหาต้นเสียง...เสียงที่เป็นเสียงพ่อของเขาเอง ร่างที่กำลังถูกไฟครอกตายอยู่ในนั้น ในบ้านหลังนั้น
    “พ่อ!!!” 
    “เฮ้ ไอ้หนู อย่าเข้าไปใกล้เชียวนะ ไฟลุกลามขนาดนี้เข้าไปช่วยไม่ได้แล้ว!” 
    ทันทีที่ลูเซียสจะออกวิ่งเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ยื้อตัวเอาไว้ ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่ยอม เขาดิ้น ดิ้นและดิ้น... แต่มีหรือที่เรี่ยวแรงของเด็กจะสู้แรงของผู้ใหญ่ได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้แค่แหกปากร้องเรียกพ่อ ยื่นมือออกไปด้านหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจนนองแก้ม
    เพราะมือที่ยื่นออกไปมันไม่อาจจะสัมผัสถึงกายผู้เป็นพ่อได้อีกแล้ว ...ไม่มีทางอีกแล้ว 

    __ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายบ้าๆคนหนึ่งชอบเล่นมุกฝืดๆ หน้าตาไม่ได้หล่อเลิศแต่ก็เป็นชายที่เล่นบอลกับเขา เป็นชายที่เคยปั่นจกรยานสี่ล้อแข่งกับเขา เคยนั่งดูบอลกับ—น่าเศร้าที่บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีใครเล่นมุกฝืดๆให้เขาฟังอีก เขาไม่มีใครให้เล่นบอลด้วย ไม่รู้จะปั่นจักรยานแข่งกับใคร ไม่รู้จะนั่งดูบอลคนเดียวไปทำไม

    การสูญเสียครั้งนั้นทำให้ลูเซียสซึมไปพักใหญ่ๆ แม้จะได้เงินประกันจากพ่อแต่เขาก็ไม่ได้ร่าเริงแบบเดิมอีก เขา แม่ น้องสาวและยายย้ายที่อยู่ออกไปในเวลาต่อมา ก่อสร้างที่อยู่ในป่าแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่าที่จะทำได้ อยู่กับธรรมชาติที่งดงามเพื่อที่จะได้ลืมเรื่องของพ่อที่ตายไปเร็วๆ เพื่อเยียวยาจิตใจและฟื้นฟูเสียใหม่
    เวลานั้นลีน่า น้องสาวของลูเซียสกลับต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งห่างไกลจากป่าที่เขาเข้ามาอาศัยพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรที่จะต้องเดินไปๆมาๆเพื่อไปเยี่ยมน้องสาวบ่อยๆ เขายอมเหนื่อยเสียยังจะดีกว่าปล่อยให้ลีน่าเหงาอยู่คนเดียว เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกหลายปี ทุกๆอย่างดีขึ้น แม่และยายของเขาปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และหารายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ การใช้ชีวิตแบบพอเพียงทำให้เขาไม่อดอยากปากแห้งอะไรนัก
    ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเปลวไฟกำลังลุกลามไปทั่วทั้งโรงพยาบาล มันเกิดมาจากอุบัติเหตุหม้อไฟระเบิด
    ลูเซียสในวัยสิบหกปีที่กำลังจะเข้าไปเยี่ยมน้องสาวพลันหยุดชะงัก ภาพเหตุการณ์วันที่เขาช่วยพ่อไม่ได้วกกลับมาอีกครั้ง ขาของเขาเเข็งทื่อแต่ไม่นานนักเขาก็เริ่มออกวิ่ง วิ่งเข้าไปในตึกโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของใครอีก ไม่สนใจเจ้าหน้าที่หลายสิบคนที่เข้ามายื้อเขา
    น่าแปลกที่เขาสลัดเจ้าหน้าที่หลุดออกได้อย่างง่ายดายด้วยตัวคนเดียว...
    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!” 
    “ลีน่า!!!” 
    ชายหนุ่มส่องเสียงร้องเมื่อได้ยินเสียงของบุคคลที่ตามหาแล้ว เขาพุ่งตรงเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งก่อนจะหัวใจสั่นสะท้านเมื่อเห็นร่างเล็กๆนอนแดดิ้นอยู่บนเตียง เขาฝ่ากองเพลิงเดินเหยียบย่ำเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต สองมือโอบกอดร่างเล็กๆไว้ พยามจะอุ้มเธอทั้งๆที่ไฟกำลังลวกแขนและมือของเขา กลิ่นเนื้อไหม้ลอยขึ้นมาพร้อมๆกับกลิ่นควันไฟที่ขมุกขมัวเต็มไปหมด
    ลูเซียสร่ำร้อง เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้... ร้องไห้อย่างหนัก กรีดร้องจนเหมือนคนบ้า อุ้มร่างที่กำลังแดดิ้นเพราะถูกไฟไหม้อย่างทรมานไปยังห้องน้ำราวกับคนเสียสติ ในใจเขาหวังว่ามันจะทัน..
    แต่แล้วก็ไม่ ถึงลูเซียสจะสามารถวิ่งเข้ามาในห้องน้ำแล้วเอาน้ำชะโลมได้สำเร็จแต่สิ่งที่พบได้หลังจากนั้นก็คือร่างเล็กๆในอ้อมแขนนอนแน่นิ่ง เนื้อตัวไหม้เกียม ผิวหนังถูกแผดเผาจนเห็นเนื้อใน กลิ่นเนื้อไหม้ลอยผลสมกับกลิ่นเลือด 
    ลีน่าตายแล้ว เธอตายไปอีกคนแล้ว
    แม้ว่าจะได้รับแผลพุพองมาเหมือนกัน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางกองไฟ แม้ว่าเขาอาจจะตายได้ในอีกไม่กี่วินาทีแต่ลูเซียสก็กอดร่างเล็กเอาไว้แบบนั้น ร่ำไห้ราวกับผู้ชายเสียสติ ราวกับคนหมดสภาพที่ไม่มีทางไปอีกแล้ว...

    __ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กสาวคนหนึ่งชอบโทรหาเขาบ่อยๆ ชอบขอให้เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชอบขอให้เขาซื้อนิทานมาฝากแล้วอ่านให้เธอฟัง ชอบขอให้เขาร้องเพลงให้  แม้เธอจะงอแงไปบ้างแต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กสาวที่น่ารักเสมอ—น่าเศร้าที่บัดนี้ไม่มีเธออีกแล้ว ไม่มีใครโทรหาเขา โทรศัพท์เงียบฉี่ เขาไม่รู้จะซื้อนิทานให้ใครอีก ไม่รู้ว่าจะอ่านนิทานคนเดียวได้รึเปล่า ไม่รู้ว่าจะร้องเพลงให้ใครฟัง ไม่ได้เห็นรอยยิ้มกับใบหน้าที่สดใสนั้นอีกต่อไปแล้ว...

    ลูเซียสทำเรื่องน่าทึ่งด้วยการเดินกลับออกมาโดยที่ตัวเขานั้นยังไม่ตาย แต่ก็ได้รับบาดเจ็บอยู่เหมือนกัน เขาอุ้มลีน่าออกมาด้วย—นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาสร้างความตกตะลึงให้แก่ใครหลายๆคน สำหรับการมีชีวิตรอดในกองเพลิงได้ตั้งนาน ทว่าพอเข้าไปถามเจ้าตัวกลับตอบอะไรไม่ได้เลย เขาเหม่อลอยและค่อนข้างสิ้นสติในเวลานั้น คำตอบของคำถามนี้จึงเป็นปริศนาอันลึกลับต่อไป...โดยที่เขาไม่รู้ตัว เรื่องแบบนี้มันก็ไปเตะตาใครสักคนเข้าแล้ว
    แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวหรอก มันมีครั้งที่สอง
    ซึ่งก็คือตอนที่ยายของเขาถูกคู่อริของเขาเองกำลังรุมทำร้าย พวกเด็กเกเรรุมทุบตีหญิงชราอย่างไร้จิตสำนึก แน่ล่ะว่าลูเซียสจะต้องโกรธมาก....มากถึงขั้นซัดคนสิบคนที่อายุเท่ากันอาการโคม่าหมดทุกคนได้เลย แต่ความโกรธของเขาก็ยังไม่สิ้นเมื่อส่งตัวยายเข้าโรงพยาบาลแล้วพบว่าเธอตาบอก ทีแรกเขาตั้งใจจะกลับไปเอาให้ถึงตายแต่ก็ถูกแม่และยายห้ามเอาไว้
    แม่และยายของเขาพล่ามสอนแต่สิ่งที่ดีงามเสมอ พวกเธอเป็นคนดี และดีมากด้วย ดีเกินกว่าที่ใครอื่นจะเข้ามาทำลายชีวิตได้อีก
    ฉะนั้นเขาจึงปฏิญาณตนว่าจะปกป้องครอบครัวที่เหลืออยู่ของตนให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครจากไปอีก...

    __อย่างน้อยเขาก็ยังเหลือหญิงชราที่ร้องเพลงเพราะคอยขับกล่อมให้เขาฟัง อย่างน้อยๆหญิงชราตาบอดคนนี้ก็เต้นรำเก่งเสมอ อย่างน้อยก็ยังมเธออยู่...
    __และอย่างน้อยๆเขาก็ยังเหลือหญิงวัยกลางคนที่ทำอาหารเก่งสุดยอด ถักเย็บผ้าได้สวยเลิศกว่าใคร และคอยใช้หน้าตักเป็นหมอนให้เขาเสมอเมื่อเขาต้องการ คอยลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยให้เสมอเมื่อเขาร้องขอ
    ___อย่างน้อยๆลูเซียสก็ยังเหลือพวกเขา ยังมีพวกเขาอยู่ และจะไม่ยอมเสียไปอีกเด็ดขาด

    เขาอาจเป็นเด็กสันดานเสียคนหนึ่ง... ใช่ มันเป็นแบบนั้นแหละ เด็กนิสัยไม่ดี พูดไม่เพราะ ทำตัวไม่น่ารัก ไม่มีเพื่อนแล้วก็ชอบมีแต่เรื่องนั่นแหละ แม้เขาจะเป็นแบบนั้นเเต่เขาก็รักและซื่อสัตย์ต่อผู้หญิงสองคนนี้เสมอ และตลอดไป
    วันนี้พวกเธอยังอยู่กับเขา และวันข้างหน้าก็ต้องเป็นแบบนี้เช่นกัน

    ชอบ:: 
    - เพลงที่ยายร้อง ; เพลงเก่าๆโบราณๆที่เขาชอบฟังแล้วก็เคลิ้มหลับไปซะทุกรอบนั่นแหละคือสิ่งที่เขามักจะอ้อนขอให้ยายทำเมื่อมีเวลาว่าง ทำตัวเป็นเด็กๆอย่างการไปเกาะแกะยายน่ะนะ...
    - งานถักเย็บของแม่ ; มันสวยสำหรับเขาทุกชิ้น เธอมักจะทำส่งออกขายแต่ก็มีบางส่วนที่เขาจิ๊กมา(?) แน่นอนว่าต้องโดนดุ ถามว่าเขาถึงกับกลัวจนคอหดเลยไหม...? อืม...ตอยเลยว่าใช่ แต่แค่กับแม่เท่านั้นแหละ...
    - อาหารที่ยายกับแม่ทำ ; กินเยอะยิ่งกว่าใครทั้งยังจะขอเติมไม่เลิกไม่ราอีก สีหน้าที่กินก็ไม่ได้ถึงกับยิ้มแป้นแค่ยิ้มจางๆด้วยความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอยู่ในใจเท่านั้นแหละ...
    - อากาศเย็นๆ ; เขาแค่ไม่ชอบอากาศร้อนเพราะมันทำให้หงุดหงิดมากกว่า เขานอนขดตัวทุกทีล่ะที่ได้เจออากาศเย็นๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขาไม่ได้หนาวถึงขั้นนั้นแต่ก็ชอบนอนขดตัวในอากาศเย็นอยู่ดี มองดูจากภายนอกแล้วอย่างกับก้อนกลมๆก้อนใหญ่สักก้อนแหน่ะ---
    - ธรรมชาติ ; ให้ความรู้สึกร่มรื่นร่มเย็นดี ส่วนมากเขาก็แค่ยืนรับลมชมวิวเงียบๆเท่านั้น ไม่ได้อ้าปากพูดกับต้นไม้หรอก...
    - การวาดภาพ ; แค่ชอบทำมาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็ทำมาจนชินมือไปแล้ว เขาวาดรูปได้สวยมากแต่ก็วาดธรรมชาติไปเรื่อยๆมากกว่าจะวาดคน ในเวลาที่วาดเขาก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละนะ

    ไม่ชอบ:: 
    - เรื่องยุ่งยาก ; มันน่ารำคาญนี่นะ ถ้าหนีได้ก็หนีล่ะ แต่ถ้าจำเป็นต้องช่วยก็แค่กลอกตานิดหน่อยเท่านั้น
    - สังคมแออัดและเสียงดัง ; เขาค่อนข้างรำคาญอะไรที่มันแออัดเกินไป มากเกินไป เสียงดังเกินไป สิ่งเหล่านี้มันรบกวนโสตประสาทเขาจนทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าแลดูหงุดหงิดขึ้นมา ถ้าหนีได้เขาก็จะหนีทันทีนั่นแหละ
    - พวกตามตื้อ ; น่ารำคาญ เดี๋ยวพ่อซัดร่วง---
    - ต้นหอมกับผักชี ; ไม่อร่อย... /ทำหน้านิ่งแล้วเขี่ยออก(?)

    เกลียด:: 
    - สังคมแออัดและเสียงดัง ; เหตุผลก็ไม่ต่างจากเดิม... น่ารำคาญ น่าหงุดหงิดไปหมด ถ้าหนีได้เขาก็ย่อมต้องเดินหนีออกมาอยู่แล้ว
    - พวกอวดดี พวกชอบหาเรื่อง ; ก็น่าหงุดหงิด... แต่ถึงอย่างนั้นถ้าขอมาเขาก็จัดให้ กวนตีนนักก็รอรับกรรมไปเถอะ
    - การถูกจี้ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ ; เขาไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่... มันทำให้หงุดหงิดเอาได้ง่ายๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายถามด้วยหน้าซื่อๆเจตนาดีก็แค่ขมวดคิ้วแล้วกลอกตานิดหน่อย สุดจะทนก็แค่ลุกเดินหนี แต่ถ้าพวกกวนประสาท---ชะตากรรมก็อยู่กับหมัดของเขาแล้วแหละ
    - ต้นหอมกับผักชี ; คงไม่ต้องบอกเหตุผลซ้ำหรอกนะ...

    กลัว:: 
    - ไฟ ; แต่จะเป็นกองไฟที่ลุกลามเป็นกองใหญ่ๆ ถ้าแค่กองเล็กๆ หรือแค่เตาแก๊สเขาก็ไม่ได้ถึงกับกลัวแค่มีอาการเหงื่อตกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
    หากทว่าถ้าเป็นถึงขั้นกองไฟกองใหญ่ๆอย่างที่ไฟเผาป่าหรือไฟที่เผาตึกอาคาร เหมือนกับเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลถูกวางเพลิง ตอนที่เขาช่วยดึงน้องสาวออกมาไม่ได้ วันที่เขาเกือบจะโดนไฟครอกตายไปด้วย พอพบเจอสถานการณ์แบบนี้ทีไรเหงื่อก็จะตกมากกว่าตอนที่เห็นกองไฟเล็กๆอีก อีกทั้งตัวก็แข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนทั้งนั้น เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเจอแล้วได้แต่ส่ายหน้าพึมพำว่ามันไม่จริงๆ มือไม้สั่น ดวงตาสั่นแล้วค่อยๆยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองราวกับคนเสียสติ...
    - การที่ไม่สามารถปกป้องคนที่ตัวเองรักได้ ; เรียกได้ว่ากลัวการสูญเสีย... ครอบครัวของเขาเหลือน้อยเต็มทนแล้ว และเขาก็ไม่อยากจะเสียใครไปอีก ไม่อยากให้ใครไปไหนไกลเกินไปทั้งนั้น ไม่อยากให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายว่าร้ายด้วย และอีกอย่าง..เขาก็กลัวตัวเองจะไม่ดีพอจะปกป้องคนพวกนี้ด้วยเหมือนกัน ความกลัวเหล่านี้ทำให้เขาไม่คิดจะสานสัมพันธไมตรีเท่าไหร่ มีน้อยได้ยิ่งดีเลยล่ะ

    แพ้:: -
               มายเหตุ ; จริงๆไม่มีอะไรที่แพ้เลย กินอาหารทุกอย่างได้ตามปกติ แต่พอต้องกรอกข้อมูลแบบนี้ทีไรเจ้าตัวก็จะใส่ไปว่าแพ้ต้นหอมกับผักชี...ด้วยความที่ไม่ชอบกินมันน่ะนะ อาการที่กรอกใส่ลงไปก็คือคลื่นไส้ อาเจียน ไข้ขึ้นสูงเกือบตายแต่ไม่ถึงตายแค่อีกไม่นานก็จะสู่ขิต(?)

    งานอดิเรก::
    - อ่านหนังสือ ; เพื่อเพิ่มความฉลาดสักหน่อยน่ะนะ
    - เดินเล่น ; ชมวิวกับธรรมชาติ สงบจิตสงบใจดีออก...
    - วาดรูป ; เหตุผลก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สงบจิตสงบใจดี...
    - ออกกำลังกาย ; อย่างน้อยก็ไม่อยากอ้วนพุงพลุ้ย

    ชมรมที่สังกัด:: ไม่มีสังกัด (หรืออาจจะไม่มีใครอยากรับ...)

    ความสามารถพิเศษ:: 
    - การเรียนรู้สิ่งต่างได้เร็ว แต่ไม่ถึงขั้นมองปราดเดียวแล้วทำได้ แค่เรียนรู้ไว ฝึกฝนและชำนาญได้เร็วเท่านั้นอย่างเช่นเรื่องการเรียนหรือกีฬาที่ดีเลิศนั่นก็มาจากการฝึกฝนเรียนรู้นั่นแหละ 
    - วาดภาพ ; ได้ทั้งภาพสีและขาวดำ
    - ความสามารถพ่อบ้านพ่อเรือนทุกชนิด ; เห็นหนังหน้ากับนิสัยเป็นแบบนี้เขากลับมีความประณีประนอมด้านนี้อย่างน่าเหลือชื่อเลยล่ะ งานเย็บปักถักร้อยยังทำได้เลย...
    - มีสัญชาตญาณและไหวพริบในการเอาตัวรอดเข้าขั้นดี ; แน่ล่ะว่าคนนิสัยแบบเขาจะต้องมีดีด้านนี้บ้างไม่งั้นคงเอาตัวรอดไม่ได้หรอก คบได้โดนรุมกระทืบตายก่อนน่ะสิ
    - มีทักษะการต่อสู้ระยะชิดดีเยี่ยม ; หมัดหนักมือหนักและไม่ออกมมือง่ายๆ... หากจะวัดกันด้วยการสู้ระยะประชิดลูเซียสก็มักจะชนะขาดเสมอ แต่สำหรับระยะไกลก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ถนัดสักเท่าไหร่

    อาวุธ:: มีดกับปืนพก (ถนัดมีดมากกว่า)

    เพิ่มเติม:: 
    - อีกเหตุผลที่สวมฮู้ดเพราะมีสีผมที่ค่อนข้างจะเด่นแล้วก็แปลกกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา อันเป็นสีที่ได้มาจากพ่อ
    - ถนัดมือซ้าย และเกิดวันที่1มกราคม
    - ที่แรกตอนที่ถูกเชิญก็ว่าจะไม่ไป แต่เพราะถูกยายกับแม่เกลี้ยกล่อมมากๆเข้าสุดท้ายก็ยอม...
    - เพราะนิสัยและสันดา--เป็นแบบนี้ พอเจอเข้ากับเพื่อนสมัยเด็ก(น้องเบอร์11) ลูเซียสจึงไม่อยากเข้าใกล้เธอนัก จะเรียกว่าไม่อยากสนิทสนมกับเธอออีกก็ว่าได้เพราะถ้าสนิทเขาก็จะมองว่าเธอสำคัญ แล้วถ้าสำคัญ เวลาที่ต้องเสียเธอไปล่ะ? ...อีกอย่างก็เพราะนิสัยเขามันกร้านโลกด้วยล่ะนะ

    Lucius's family

    Father



    Name :: ลูคัส โอเลเซีย │ Lucas Olesia
    Status :: Dead
    Data :: ชายผู้เป็นเสาหลักของบ้านโอเลเซียในอดีต เขาเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมทีเดียว แม้จะมีนิสัยเพี้ยนๆอย่างชอบเล่นมุกฝืดๆ และหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไม่กลัวจะเสียภาพลักษณ์ก็เถอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นสีสันของบ้านได้อย่างดีเยี่ยม เสียชีวิตเมื่อตอนที่อายุ32ปี

    Mother



    Name :: ลิเลียน่า โอเลเซีย │ Liliana Olesia
    Status :: Alive
    Data :: แม่ของลูเซียสที่ยังคงมีชีวิตอยู่และปัจจุบันอายุ42ปี (ลูเซียสอายุ19 และคูมแม่หน้าเด็กน่ะคะ่ .__.) เธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาจัดว่าสะสวย เป็นคนที่มีจิตใจดี เอื้ออาทรแต่ก็เหนื่อยใจเล็กๆกับการสั่งสอนลูกชายที่ดูจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทแทบทุกวัน... แม้ว่าเจ้าตัวจะเชื่อฟังเธออยู่บ้างก็เถอะ แต่มันก็อดเป็นห่วงไปไม่ได้เลยนี่นะ

    Sister



    Name :: ลีน่า โอเลเซีย │ Leena Olesia
    Status :: Dead
    Data :: เด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มสดใส แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของเธอไม่แข็งแรงนัก เธออ่อนแอและขี้โรคอย่างมาก เป็นภูมิแพ้ขั้นรุงแรงอีกทั้งกระดูกก็ไม่ได้แข็งแรงสักท่าไหร่ เธอติดพี่ชายของตนมากทีเดียว เธอมักจะนอนรอให้ร่างสูงนั้นเปิดประตูเข้ามา เขามักจะถือนิทานเล่มใหม่ตามที่เธอขอเข้ามาด้วยเสมอ และไม่ว่าลูเซียสจะซื้อมาซ้ำหรือไม่เธอก็มักจะตอบว่าชอบมากอยู่ดี น่าเศร้าที่เธอเสียชีวิตด้วยวัยเพียง12ปีเท่านั้น

    Grandmother



    Name :: ลินดา โอเลเซีย │ Linda Olesia
    Status :: Alive
    Data :: แม่ของลิเลียน่า ปัจจุบันอายุ65ปี (อาจดูแก่ไปหน่อยแต่เพราะเคยทำงานหนักน่ะค่ะ /โครตแถ จริงๆหารูปยากค่ะ55555555555) และน่าเศร้าที่เธอตาบอดเพราะถูกพวกเด็กนิสัยไม่ดีทำร้ายมา การจะรักษาก็ต้องรอคนบริจาคดวงตาที่ไม่รู้ว่าจะมีมาเมื่อไหร่ ทว่าเธอก็มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ มีความสุขกับการอยู่ในบ้านเล็กๆกลางป่า แล้วก็ได้ร้องเพลงให้เจ้าเด็กโข่งอย่างลูเซียสฟัง




    หมายเหตุ ; เป็นการสมมติเหตุการณ์ขึ้นมาค่ะ เพื่อนให้ได้คำพูดและท่าทางของลูเซียสเวลาที่เจอกับน้องน้อย(?)บทที่11นะคะ ชื่อก็คิดเองเออเอง นิสัยก็คีพเพิ่มมาเอง เรียกง่ายๆว่าเป็นการมโนน้องออกมาก่อนค่ะ ไม่ได้คิดจะส่งบทนี้เองด้วย ;;w;; ชื่อของน้องเบอร์11ในที่สมมติออกมานี้ก็คือชื่อ อีเลฟเว่น นะคะ ง่ายดี5555555 แต่ด้วยเพราะความขี้เกียจ(?)ที่สลัดไม่ออกสักทีก็เลยอาจจะยกตัวอย่างได้ไม่เยอะนะคะ ขอท่ดกั๊บ /นอนกราบ


    Hobbits on a gold leash Drago şi Neela se cunosc de mici copii, fiind colegi încă de pe bănci… #adolescenți # Adolescenți # amreading # books # wattpad

    One of my favorite things on the planet... just holding hands


    - สถานการณ์ที่หนึ่ง ; วัยเด็ก

    “พี่...ลูซ พี่ลูซซซ... พี่ลูซๆๆๆ!!”

    เปลือกตาของชายหนุ่มปรือขึ้นช้าๆเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากที่แว่วๆก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนรบกวนระบบประสาทไม่ใช่เล่น ทว่าเขาก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรเมื่อเสียงนั่นเป็นเสียงของเด็กสาวที่เขาเองก็คุ้นเคยดี แถม...เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของเธอคนนั้นอยู่ตรงหน้าแล้ว เด็กหญิงเจ้าของดวงหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับดวงตะวันดวงน้อยๆ ใบหน้าที่ไม่ได้สะสวยสะคราญงานลั่นเมืองอะไรแต่เธอก็ดูน่ารักในแบบที่เป็นตัวของตัวเองเสมอ

    “ว่าไงอีเลฟเว่น” เด็กหนุ่มที่เพิ่งลืมตาขึ้นมายิ้มตอบกลับพร้อมกับชันตัวลุกขึ้นนั่งหลังจากแอบงีบหลับใต้ต้นไม้มาตั้งแต่เช้า และตอนนี้ก็คงกินเวลาไปถึงเที่ยงแล้วด้วย

    อีเลฟเว่น—เด็กสาวข้างบ้านของลูเซียส ที่มีความบังเอิญตรงที่ว่าห้องของทั้งคู่อยู่ชิดริมของตัวบ้านทำให้สามารถเปิดหน้าต่างออกมาหากันได้สบาย แม้ว่าระเบียงจะไม่ได้อยู่ติดกันนักแต่ก็ไม่ยากอะไรหากจะกระโดดข้ามฝั่ง (ถ้าไม่กลัวตกลงไปคอหักตาน่ะนะ) มันจึงไม่แปลกอะไรหากว่าทั้งคู่จะสนิทกันได้เร็วกว่าพวกผู้ใหญ่ที่เสียอีก

    “ว่าไงอะไรล่ะ นี่พี่จะไม่กินข้าวเลยใช่มั้ยเนี่ย หลับเป็นตายอยู่ได้” อีกฝ่ายบู้ปากแล้วกอดอกราวกับไม่พอใจเขา กระนั้นลูเซียสก็ยังคงยิ้ม และหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังเหล่านั้น รู้ดีว่าเธอไม่ได้โกรธอะไรเขาจริงๆจังๆหรอก

    “พี่ขอโทษทีนะ พอว่าอากาศดีพี่ก็เลยนอนเพลินไปหน่อยน่ะ” เขาพูดพร้อมก้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีเขียวมิ้นท์คู่นั้นจ้องมองไปยังใบหน้าของเด็กสาวที่จู่ๆก็หน้าแดงแล้วหลบตาไปอย่างเหนียงอาย

    ลูเซียสหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อขบคิดเอาว่าภาพนั้นมันน่าเอ็นดูดีเหมือนกัน

    “ไม่เอาน่า ไม่โกรธพี่นะครับ คนดี” น้ำคำอันอ่อนโยนน่าฟังถูกเอื้อนเอ่ยออกมาขณะที่ฝ่ามือของเด็กหนุ่มวางลงบนศีรษะคนตัวเล็กกว่า จากนั้นก็ออกแรงขยี้เสียจนเรือมผมของเธอยุ่งไปหมด เด็กสาวแยกเขี้ยวใส่เขาทันทีแต่กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้ม 

    ความอ่อนโยนและจิตใจที่ดูสะอาดบริสุทธิ์ของเขาในตอนนี้นั้นทำให้เด็กสาวหวั่นไหว แต่แน่นอนว่าเขาเองก็หลงใหลชื่นชมในความน่ารักสดใสร่าเริงของเธอไม่แพ้กัน ก่อเกิดเป็นความรู้ดีๆระหว่างกันเงียบๆ ที่ตัวลูเซียสนั้นไม่รู้ว่าคืออะไรทว่ากับเด็กสาวแล้วเธอรู้ตัวเสมอ

    ว่าเธอแอบชอบพี่ชายข้างบ้านคนนี้เข้าแล้ว แต่เขาที่ดูจะฉลาดเรื่องเรียนกลับบื้อเรื่องนี้ซะไม่มี ให้ตายสิ!


    - สถานการณ์ที่สอง ; หลังจากเหตุการณ์การสูญเสียครั้งแรก

    ดวงตาของอีเลฟเว่นมองข้ามผ่านระเบียงห้องของตัวเองไปยังบานประตูกระจกที่ถูกปิดทับด้วยผ้าม่านผืนหนานิ่ง แม้จะรู้ว่าไม่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ก็ตาม แต่เพราะไฟยังเปิดอยู่เธอก็ยังมีหวังที่จะเฝ้ามอง... เพราะตั้งแต่มีข่าวที่ว่าเขาสูญเสียพ่อไปเขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบกับใครอีก ไม่แม้แต่จะติดต่อใครเลย แถมมีข่าวว่าจะย้ายบ้านออกไปจากที่นี่อีก

    นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเป็นกังวลใจและพยายามหาทางติดต่อลูเซียสทว่าเจ้าตัวกลับปฏิเสธ ไม่ยอมคุยกับใครเลย แม้เธอจะส่งเสียงเรียกผ่านระเบียงที่อยู่ใกล้กันไปหลายสิบครั้ง แต่ประตูบานนั้นก็ไม่เปิดออกมาเหมือนดั่งที่เคยเป็นอีกแล้ว...

    ทว่าในวันที่ลูเซียสออกมาจากบ้านกลับเป็นวันที่เขากำลังขึ้นรถเพื่อออกไปจากหมู่บ้านนี้พอดี ทั้งเพื่อนเก่าและเด็กๆข้างบ้านที่เคยเล่นด้วยกันต่างก็เข้ามาอำลาเขาพร้อมทั้งอวยพร และปลอบใจกับเรื่องที่เขาเจอมาด้วย วันนั้นเป็นวันที่อีเลฟเว่นตัดสินใจเดินเข้าไปหาลูเซียส ถามเขาให้แน่ชัดว่าเป็นอะไรรึเปล่า แต่คำตอบของกลับมีเพียงการสั่นหน้าปฏิเสธ

    กระนั้นอีเลฟเว่นก็มองออกว่าสีหน้าและแววตาคู่นั้นไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับพี่ชายแสนดีที่คอยเข้ามาเล่นกับเธอในววันวาน เธอเดาได้ว่าลูเซียสคงโทษตัวเองเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพ่อของเขา ทว่าพอเธอกล่าวออกไปลูเซียสก็ยังคงปฏิเสธอยู่ร่ำไป ปากก็พล่ามบอกแต่ว่าไม่เป็นไร และบอกว่าเธอเองก็ดูแลตัวเองดีกว่า...ดีกว่าการที่จะต้องมาเป็นห่วงคนแบบเขา

    เวลานั้นเองที่หยดน้ำสีใสไหลออกมาจากดวงตากลมโตอย่างที่แม้แต่เข้าของร่างยังควบคุมไม่ได้ ลูเซียสชะงักไปทันทีเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นของเด็กสาว น้ำคำที่พรั่งพรูออกมาล้วนบอกกล่าวได้ว่าเขาทำให้เธอเป็นห่วงมากแค่ไหน แล้วเธอก็เป็งกัลวลมากเพียงใด เธอไม่ชอบเอาเสียเลยเมื่อเด็กกลุ่มอื่นๆล้อเรื่องที่พ่อของเขาเสียชีวิต

    แต่ลูเซียสเองก็ไม่ชอบใจเช่นกันที่เธอขับไล่เด็กพวกนั้นด้วยตัวเองทั้งๆที่ไม่จำเป็น ไม่ชอบใจที่เธอเป็นห่วงเขามากถึงขนาดนั้น—และถ้าเขาอยู่ห่างๆจากเธอมันก็คงช่วยได้เยอะ คงไม่ต้องให้เธอไปลำบากเถียงกับเด็กที่ล้อเรื่องที่เขาไม่มีพ่ออีกแล้ว หรือเรื่องที่เธอจะต้องมานั่งหนักใจกับคนแบบเขา เป็นห่วงเขา หรือแม้กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมา

    เขาไม่ชอบเลยที่จะต้องเห็นมัน 

    อย่างน้อยๆถ้าการถอยออกมาแล้วปล่อยให้เธอไปเจอกับคนดีๆกว่านี้ได้เขาก็คงจะทำ ลูเซียสรู้ดีว่าตัวเองคงทำตัวงี่เง่าไปหน่อยลที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องแบบนั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะต้องรู้สึกผิด...ทว่ากับอีเลฟเว่นนั้น ไม่ควรเลยที่จะต้องมาคอยรู้สึกแย่ๆไปกับเขา

    อย่างน้อยๆก็แค่รักษาใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสดใสเอาไว้ก็ดี

    “พี่ทำให้เป็นห่วงเหรอ” เด็กหนุ่มเอ่ย ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเริ่มหดหายไปแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด “ขอโทษนะ แล้วจะไม่ทำให้เป็นห่วงอีก” เขาเอ่ยแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาแม้จะรู้ตัวว่าทำให้เธอรู้สึกแย่ที่เขาไม่เข้าไปปลอบ แต่นั่นก็คงดีเหมือนกัน

    ปล่อยให้เธอเกลียดคนแบบเขาไปก็ดีเหมือนกัน... ไหนๆเขาก็จะย้ายบ้านไปแล้ว และก็ไม่อยากปล่อยบรรยากาศหม่นๆใส่ใครเหมือนกัน 


    - สถานการณ์ที่สาม ; เจอกันอีกครั้ง

    “อ๊ะ...” เสียงใสกังวานจานร้องเมื่อไหล่เล็กๆของเธอชนเข้าไปลำแขนแกร่งของใครบางคน สาวเจ้าชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นหมายจะสบตากับชายคนนั้นแล้วเอ่ยขอโทษตรงๆ ทว่าพอเธอสบตาเข้ากับดวงตาสีเขียวมิ้นท์คู่นั้นเธอก็ตัวแข็งทื่อไปราวกับถูกดวงตาคู่นั้นสาบให้เป็นน้ำแข็ง หัวใจพลันเต้นรัวขึ้นมาพร้อมๆกับความทรงจำในวัยเด็กที่ค่อยๆถูกถักทอราวกับเส้นใยไหม ต่อเติมหลอมรวมกันจนเป็นรูปร่างทำให้เธอพึมพำออกไปอย่างไม่เชื่อสายตา

    “พี่ลูซ...เหรอคะ? พี่ลูซจริงๆใช่มั้ย!?” เสียงเดิมเอ่ยอีกครั้ง

    ทว่าคนตัวสูงกลับทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผละตัวออกแล้วเดินผ่านร่างของหญิงสาวไปราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด และมองไม่เห็นร่างของเธอที่ยืนอยู่ตรงนั้น ลูเซียสเองก็สามารถจดจำอีเลฟเว่นได้เช่นกัน—แต่แน่ล่ะว่าคําปฏิญาณที่เขาตั้งหมั้นเอาไว้ตอนที่เดินจากเธอมาในวัยเด็กคืออะไร เรื่องนั้นเขาก็ไม่มีวันลืม

    “อ๊ะ! เดี๋ยวสิคะ!” หญิงสาววิ่งพรวดพราดเข้ามาดักหน้า เธอหอบแฮ่กๆเล็กน้อยเนื่องจากต้องใช้กำลังนิดหน่อยใจการตามเขาให้ทัน กระนั้นลูเซียสกลับทำเป็นไม่เห็นใจ ร่างสูงเดินตรงไปด้านหน้าเลี้ยวอ้อมตัวหญิงสาวไปอีกครั้ง ทำทีราวกับว่าเธอเป็นแค่สิ่งกีดขวาง

    “พี่ลูซ! ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ!!” ในเมื่อสุดจะทนอีเลฟเว่นก็โพล่งออกไปเสียงดังลั่นสะท้อนก้องภายในตัวอาคาร

    ตอนนั้นเองที่ลูเซียสหยุดเดิน เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่หันไปมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหลัง สีหน้าและแววตาของเขาดูไม่เป็นมิตรนักทั้งยังฉายแววเยือกเย็นจนหนาวเหน็บออกมาด้วย

    “มีอะไร?” เขาเอ่ยออกไปสั้นๆ แต่ก็เป็นน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเสียจนหญิงสาวเผลอตัวสะดุ้ง ดวงตากลมโตสุกใสคู่นั้นมองเขาอย่างครั่นคร้ามคล้ายไม่แน่ใจว่าใช่คนที่ตัวเองคิดในใจรึเปล่า แต่เธอก็เงียบนานเกินไปจนลูเซียสเอ่ยตัดบทอีกครั้ง “ถ้าเรียกแล้วไม่พูดอย่ามาเรียกร้องความสนใจอีก” ดวงตาสีเขียวมิ้นท์หรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำวาจาร้ายๆอีกครั้ง “มันน่ารำคาญ”

    วินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมุนตัวเเล้วเดินออกมาาภาพที่เขาเห็นก็คือสีหน้าของอีเลฟเว่นที่ดูตกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอตกใจกับอะไรกันแน่ระหว่างที่ว่าเขาเป็นลูเซียสคนที่เธอคิดถึงอยู่กับนิสัยและคำพูดที่ดูร้ายกาจกว่าเดิม ลูเซียสเดินไกลออกมาโดยไม่มีเสียงรบกวนอีก ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่คิดจะหันกลับไปมองทางเดิมอีกเช่นกัน

    ถึงแม้จะรู้สึกว่าถูกมองตามแผ่นหลังอยู่ก็ตาม แต่เขาก็เดินออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกเลย 

    อ่า..อย่างน้อยๆเขาก็ไม่อยากให้เธอมาหนักใจกับคนนิสัยแบบเขาจริงๆนั้นแหละ ยิ่งตอนนี้คงน่าหนักใจกว่าตอนเด็กเยอะ ใครอยู่ด้วยก็คงปวดหัวแย่เลยล่ะ กับครอบครัวที่เหลือเพียงแม่กับยายมันก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องคอยดูแล

    แต่กับอีเลฟเว่นน่ะ น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้อยู่แล้วถูกไหมล่ะ?



    ______________________________________________________________________________
    R O L E P L A Y


    ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เข้ามาในรั้วโรงเรียน แปง เด ปีส คะ?
              “อยากให้รู้สึกยังไงล่ะ” เสียงอันเย็นเยียบเอ่ยออกมาอย่างไม่เป็นมิตรนัก และทั้งสายตา ท่าทางการนั่งการจดจ้องมองอีกฝ่ายของลูเซียสก็เรียกได้ว่าเสียมารยาทมากพอตัวแล้ว
               แต่อีกฝ่ายกลับเงียบและไม่ยอมตอบเขาราวกับกำลังรอคำตอบที่ดีกว่านี้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงกลอกตาแล้วถอนหายใจแรงๆก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำตอบที่ดีที่สุดมันเป็นยังไงกันแน่ แต่ใครสนกันล่ะ
               “ก็ไม่ยังไง มีที่เรียนแล้ว...แค่นั้นแหละ” 

    มีความเห็นอย่างไรกับฝั่งตรงกันข้ามกับตนเองคะ?
               “ก็แค่คนที่อยู่คนละฝั่งกันไม่ใช่รึไง อยากให้รู้สึกอะไรอีกล่ะ” เรียวคิ้วของชายหนุ่มเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างนึกฉงน ทั้งไม่เข้าใจคำถามและไม่เข้าใจจุดประสงค์เอาซะเลย แต่เพราะความน่าหงุดหงิดมันอยู่ตรงที่ถ้าเขาไม่รีบตอบให้มันดีๆคำถามต่อไปก็จะไม่มา และถ้าคำถามต่อไปไม่มาก็แปลว่าการสัมภษณ์โง่ๆนี่ก็ยังไม่จบลงสักทีน่ะสิ
               ฉะนั้นเขาจึงทำได้แค่ถอนหายใจ ขบคิดเพียงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบอีกครั้ง
               “แค่ชื่อเรียกมันต่างกัน ยังไงก็คนเหมือนกันนั่นแหละวะ ถามอะไรปัญญาอ่อน” และถึงจะคิดมาแล้วก็เถอะ ยังไงเขาก็อดหยาบใส่ไม่ได้อยู่ดี... ดูเหมือนมันจะติดเป็นนิสัยไปแล้วแฮะ

    ไม่ทราบว่าคุณได้คาดหวังอะไรจากการเข้ามาศึกษาหรือเข้ามาสอนในโรงเรียนแห่งนี้รึเปล่าคะ?
               “เรียนจบแล้วมีงานทำ” เขาตอบแบบห้วนๆไร้ซึ่งหางเสียงใดๆ  “แค่นั้นแหละ...อ้อ แล้วก็อย่ามีเรื่องวุ่นวายให้มากนักล่ะ”
               แล้วก็ปิดท้ายด้วยคำพูดที่ฟังดูเหมือนเป็นคำสั่ง... ดูไร้มารยาทซะจริง แต่ถึงยังไงลูเซียสก็ไม่แคร์อยู่ดีในเมื่อเป็นคำพูดที่ตรงกับใจเขามากที่สุดแล้วนี่นะ

    คำถามสุดท้ายแล้วนะคะ คุณคิดว่าตนเองเป็นคนอย่างไรคะ?
               พอได้ยินคำถามชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว ยิ่งสงสัยไปกันใหญ่ว่าไอ้สถาบันนี้มันต้องการอะรไกันแน่ นี่ถามอย่างกับจะคัดตัวนางงามอย่างนั้นแหละ แต่นางงามมันมีผู้ชายด้วยเหรอวะ?
                ให้ตายสิ...ต่อให้น่ารำคาญยังไงสุดท้ายก็ต้องตอบอยู่ดีสินะ
                “ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง” ลูเซียสไหวไหล่แล้วพูดเสียงเย็นต่ออีกครั้ง “ที่ไม่ยอมให้ใครมาหยามกันได้ง่ายๆ ไม่ยอมให้ใครแตะต้องครอบครัวแม้แต่ปลายเล็บ”
                จากนั้นเขาก็กอดอกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างโดยไม่ได้ขออนุญาต
                 “จบรึยัง? อยากจะเสือกเรื่องไหนอีกมั้ย?” น้ำคำวาจาร้ายกาจถูกเอื้อนเอ่ยออกมาแต่นั่นไม่ใช่คำถาม--มันเป็นการจิกกัดต่างหาก...

    ______________________________________________________________________________
    P A R E N T   M E E T I N G

    ➭สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ทางนี้ชื่อเครสค่ะ ขอทราบชื่อคุณผู้ปกครองหน่อยนะคะ
    :: สวัสดีค่ะ ชื่อเด็กอ้วนนะคะ -w- (บ่งบอกสภาพร่างกายตัวเองเบาๆ//) — สารภาพเบาๆนะคะ พอดีปั่นๆลูเซียสมาแล้วแอบติดลมบนนิดหน่อย แต่ก็คิดว่ายาวดีเหมือนกันนะเออ(?) เพิ่งจะเข้าส่องหน้าคอมเมนต์ อะ...อ้าว มีคนส่งแล้วเหรอ ทรุดเลยข่า แม่ขาาา นู๋ไม่อยากมีคู่แข่ง 555555555555

    ➭เรื่องนี้ค่อนข้างดาร์กแต่ก็มีโรแมนซ์บ้างเล็กน้อย ไม่ทราบว่าคุณผู้ปกครองโอเคกับพวก LGBT+ มั๊ยคะ? ถ้าน้องที่ส่งมาไม่มีคู่หรือไม่ได้เป็นนอร์มอลจะพอรับได้มั๊ยคะ?
    ::ได้หมดค่ะ ยังไงก็อ่านทุกแนวอยู่แล้วจะจิ้นแบบไหนคู่ใดก็ตามแต่ประสงค์เลยค่ะ555555

    ➭ข้อนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโรแมนซ์เล็กๆน้อยๆในเรื่องอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้ปกครองอยากให้น้องมีคู่หรือโสดคะ?
    ::อันนี้ก็ตามแต่ประสงค์เช่นกันค่ะ คือจริงๆอยากให้น้องแอบชอบกับน้องเบอร์11นะคะ แต่ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไรค่ะ ปล่อยเบลอไป55555 /ถ้าได้ก็จะทำให้นก หรือทำให้สมหวังกับคู่ไหนก็ได้เช่นกันค่ะ บ่ซีเรียส =w=

    ➭ถ้าลูกคุณติดเข้าไปในเรื่องก็มีโอกาสที่จะตายหรือเสียชีวิตอยู่นะ โอเคกับแบบนั้นรึเปล่าคะ? (แต่ถ้ารับไม่ได้ก็คงต้องรับให้ได้อยู่แล้วน่ะนะ //เหงื่อตก)
    :: โอ้ย ไม่เป็นไรค่ะ อินี่ชอบ(?) แค่ผ่านก็ดีแล้วเนอะ ถ้าไม่ผ่านอันนั้นก็หน้าแตกไป แง่55555555 เอาไว้จะส่งอีกตัวนะคะถ้ามีโอกาส ปั่นแล้วรู้สึกล่องลอย(?) อีกสักหน่อยคงไม่เป็นไรแต่คงอีกนานเลยค่ะ55555

    ขอบคุณสำหรับตัวละครนะคะ ขอให้โชคดีติดบทกันนะ! ไว้เจอกันในคอมเม้นท์ค่ะ <3



    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×