ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #20 : [18] tik tok - Zyqarri Mario

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 63



    [ tik tok ]


              ว่ากันว่าคนเรามีระเบิดเวลาอยู่ภายในตัว

              มันจะนับถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ..และเมื่อเลขบนหน้าปัดนั้นกลายเป็นศูนย์ ทุกอย่างก็จะระเบิด

              ถ้าอย่างนั้นระเบิดนั่นเริ่มจุดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกันล่ะ?


              บางที..อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น

              ตอนที่เขาเจอกับผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งแรก..



              มันเป็นวันที่อากาศร้อนซะจนน่าหงุดหงิด

              เหงื่อที่ไหลลงมาปนกับเลือดบนหน้า ต่อให้พยายามปาดออกไปก็มีแต่จะไหลเข้าไปให้แสบตาเสียมากกว่าเดิม ถึงอย่างนั้น ไซริก็ยังเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าอย่างชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี..

              เด็กผู้ชายที่ดูโตกว่ากันนิดหน่อย สวมใส่เสื้อผ้าภูมิฐาน เขาถือร่มเอาไว้ในมือทั้งที่ฝนไม่ได้ตก

              "ทำอะไรน่ะ" ถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสงสัย แต่แววตากลับเฉยชาไร้อารมณ์ จ้องมองเขาที่นั่งอยู่บนกองดิน เนื้อตัวสกปรกและเต็มไปด้วยรอยแผล

              ริมฝีปากแตกยับจากแรงกระแทกเม้มแน่นเข้าหากัน ไซริไม่ได้ตอบอะไรออกไปสักคำ มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้เข้า ตอนที่ฝ่ามือขาวยื่นเข้ามาใกล้ เด็กชายก็ข่มตาหนีและหดคออย่างขลาดกลัวเหมือนกับเต่า

              พรึ่บ..

              ทว่ามันกลับไม่มีอะไรเลย ไม่มีฝ่ามือที่ฟาดลงหรือทุบตีลงมา..ปลายนิ้วเย็นแตะลงบนข้างแก้มเขา สัมผัสตรงบาดแผลที่ทำให้เด็กน้อยสะดุ้งโหยง

              ได้ยินเสียงหัวเราะ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูเป็นประกายมากขึ้น "แปลกดีแฮะ" เด็กชายได้แต่กะพริบตา สงสัยและไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังสื่ออะไรกันแน่

              "เจ็บรึเปล่า" อีกครั้งที่คนตรงหน้าแตะปลายนิ้วลงบนแผลของไซริ คราวนี้เป็นแผลที่คล้ายกับถูกเผาไหม้บนหลังคอ วางมือนาบลงไปแล้วกดซ้ำให้รู้สึกเจ็บซะจนน้ำตาคลอ "แผลเหวอะขนาดนี้ สงสัยคงจะต้องเป็นแผลเป็นแน่เลย"

              "ปะ ปล่อย.." เด็กชายหดคอหนี ส่งเสียงเบาหวิวทั้งสีหน้าซีดเซียว เพราะยิ่งเเตะแผลพวกนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ

              น่าแปลกดีที่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมา

              เด็กชายตรงหน้าดูประหลาดใจ ต่อให้กดปลายนิ้วลงไปจนมันเปื้อนเลือด เขาก็ไม่เห็นน้ำตาสักหยด

              "แปลกดีแฮะ" เขาทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเเล้วทำท่าเดินจากไป

              "ดะ เดี๋ยว!" ทว่าไซริกลับร้องตะโกนเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ รอจนฝ่ายนั้นยอมหยุดเดินเเล้วหันหน้ากลับมา "ทำไม..ต้องทำเเบบนี้"

              เป็นคำถามที่ทำให้เด็กชายยืนนิ่งไป ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเฉยชา แต่ลึก ๆ แล้วก็ดูแฝงด้วยเเววบางอย่างที่เข้าใจไม่ได้ "สนุกล่ะมั้ง" หรือแม้แต่คำตอบที่ได้ยินนั้น ไซริก็ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

              "แต่ว่าผมเจ็บ.."

              "ช่างสิ" เด็กชายโต้กลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาเขาถึงกับเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ "ถ้าคนที่เจ็บไม่ใช่ตัวเอง จะยังไงก็ได้ทั้งนั้นนั่นแหละ"

              คำตอบที่ได้รับสร้างความประหลาดใจแก่เขา แต่มันคงไม่เท่าการที่อีกฝ่ายเดินย้อนกลับมาหาเขา แล้วยื่นบางสิ่งบางอย่างให้

              "เดี๋ยวเธอก็เข้าใจฉันเอง"

              ทิ้งไว้เพียงคำพูดนั้น เเล้วเขาก็ไม่หันหลังกลับมาอีกเลย


              ไซควาริ เป็นชื่อของเขา แต่ว่าทุกคนก็มักจะเรียกเขาว่า ไซริ ซะมากกว่า

              เด็กชายอาศัยอยู่ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า มันตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับย่านคนจนแห่งหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรสวยงาม อีกทั้งรอบ ๆ บ้านหลังใหญ่นั้นก็เต็มไปด้วยเด็กเกเรมากมาย..ตัวเขาอาศัยอยู่ในที่แบบนั้น มีบาดแผลอยู่ตามตัวตลอด แต่กลับไม่เคยเป็นที่ใส่ใจเว้นเพียงแต่พี่ชายนอกสายเลือดคนนั้นก็เท่านั้น

              "ทำไมถึงมีแผลอีกแล้วล่ะ" ดวงตาคู่นั้นดูเจ็บปวด ลูเธอร์ พี่ของเขาค่อย ๆ ทำแผลให้กับเด็กชายที่อายุน้อยกว่ากันสองปี

              แต่ถึงจะถูกถาม ไซริก็ไม่ได้ตอบอะไรไปเลย เขาแค่ยิ้มเหมือนกับทุกวัน..ยิ้มเหมือนอย่างที่คุณแม่เคยสอนเขาเอาไว้ ก่อนที่จะพาเขามาอยู่ที่นี่

              ไม่สิ..บางทีถ้าเรียกทิ้งคงจะเหมาะซะมากกว่า..เพราะยังไงซะเด็กทุกคนในนี้ก็ถูกพ่อแม่ตัวเองทิ้งแต่แรกกันทั้งนั้น

              ไซริเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ประมาณเก้าเดือนแล้ว เขาสนิทกับลูเธอร์ที่สุด นั่นเพราะฝ่ายนั้นเองก็ไม่มีใครเล่นด้วยเท่าไหร่ อยู่มานานกว่าเขาสักหนึ่งปีกว่า ๆ ได้ มีขาที่ไม่แข็งแรงเเละครอบครัวยากจนเลยเอาลูกชายส่วนเกินของบ้านมาทิ้ง ตามปกติเเล้วลูเธอร์เป็นน้องคนเล็ก แต่เมื่อมาเจอกับไซริ เขากลายเป็นพี่ชาย

              ถึงจะทำหน้าที่ปกป้องได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ไซริก็ได้รับความห่วงใยจากลูเธอร์เสมอ

              "ขอบคุณนะ พี่" เพราะแบบนั้นเขาถึงได้รู้สึกชอบที่จะอยู่ใกล้กับลูเธอร์เสมอ

              รอยยิ้มน้อย ๆ ที่หาได้ยาก ลูเธอร์ไม่ชอบยิ้ม มักทำหน้านิ่ง ๆ ตลอดเวลา ยอมให้คนด่าหรือว่าโดยไม่ตอบโต้อะไร พวกเด็กเกเรชอบแกล้งเขาเพราะอย่างนั้น แต่ไซริไม่ชอบเวลาที่เห็นพี่ชายต้องหนีไปร้องไห้คนเดียวในห้องเก็บของเก่า ๆ นั่น


              ดังนั้นถึงได้คิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง

              "ไอ้เวรนี่มันไม่ร้องไห้จริง ๆ ด้วยว่ะ" เสียงของพวกเด็กที่โตกว่ากันมากดังอยู่เหนือหัว

              ไซริก้มหน้ามองเท้า ดวงตาเฉยชา แต่ในหัวร้องตะโกนซ้ำไปซ้ำมาว่าเจ็บ เมื่อเหลือบสายตามองขึ้น ก็เห็นปลายนิ้วที่กำลังถูกหมุดทิ่มลงไปช้า ๆ

              เจ็บ

              เจ็บจนจะตาย

              แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาก็ยังไม่ไหล ร้องไห้ไม่ได้ทั้งที่อยากจะร้อง เสียงในหัวดังอื้ออึงไปหมด ไม่รู้เพราะเสียเลือดมากไปรึเปล่า แต่นึกอะไรไม่ออกเลย

              'อย่าร้องไห้!' เสียงตวาดของแม่ดังอยู่ในหัว ตอนนี้จำหน้าเธอไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่แล้ว 'ถ้าแกร้อง ฉันจะตีแกให้ตายเลย'

              กลัว

              อย่าตีเขา

              อย่าทำร้ายกันได้ไหม

              ปลายนิ้วหดเกร็งมากขึ้น ฟันขบกัดลงไปบนผิวปากจนเลือดเริ่มไหลซึม รสคาวฝาดในปากนั่นเป็นรสชาติที่คุ้นเคยพอ ๆ กับนมร้อนของโปรด เสียงในหัวกับเสียงนอกพากันตีไปมา คนหนึ่งบอกว่า 'อย่าร้อง' แต่อีกคนกลับสั่งให้เขา 'ร้อง'

              "ไอ้โง่เอ๊ย" ถ้อยคำหยาบคายคล้ายกับหงุดหงิด เมื่อไม่สามารถทำให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้าอ่อนนั้นได้ เด็กเกเรที่อายุมากกว่ากันก็หมดความสนุก เขาเหวี่ยงเด็กชายทิ้งอีกทาง เตะซ้ำเข้ามาจนจุกไปหมด

              "อย่าคิดเอาไปฟ้องใครเชียวล่ะ" ปลายนิ้วชี้มาที่เขา ใบหน้านั่นน่ากลัวซะยิ่งกว่ายักษ์มารเสียอีก 

              "ถ้าแกฟ้องพวกซิสเตอร์น่าโง่นั่นเมื่อไหร่ ฉันเล่นไอ้เด็กพิการนั่นตายแน่"

              ปลายนิ้วจิกลงไปบนผืนดิน กลั้นทั้งความโกรธ ความกลัว และเสียงหัวใจที่ดังก้องลั่นทั่วหัว

              ต้องทนให้ได้มากกว่านี้ ต้องทนเอาไว้จนกว่าพวกมันจะเบื่อแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปเอง..ไม่อย่างนั้น..ไม่อย่างนั้นก็คงเป็นลูเธอร์ที่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้แทนตัวเขาเอง..

              'พี่รักเรานะ'

              จำเสียงของเขาได้ เสียงนั้น ลูเธอร์..

              'อยู่ด้วยกันนะไซริ ถึงคนพวกนั้นจะทิ้งเรา เราก็จะอยู่ด้วยกัน'

              เพราะแบบนั้น..ถึงได้ต้องปกป้องเอาไว้..


              ไซริจำใบหน้าของแต่ละคนไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่..สิ่งที่ชัดเจนมากเหมือนจะเป็นเสียงของพวกเขาซะมากกว่า

              ร่างที่ดูเหนื่อยล้าทรุดนั่งอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง แผลเก่าที่ยังไม่หายดีถูกกระชากผ้าปิดแผลทิ้งไปตั้งเเต่ตอนที่เขาเจอหน้ากับพวกเด็กเกเรนั่น ก็เหมือนเคย..ไซริยังคงโดนดักทำร้ายได้ตลอด คราวนี้พวกนั้นบอกให้เขาช่วยไปซื้อเครื่องดื่มให้หน่อย

              ยังมีเวลาอยู่..ยังไม่ต้องรีบมากก็ได้, เด็กชายบอกกับตัวเองแบบนั้น

              ตอนนี้ปลายนิ้วไม่สั่นเเล้ว รู้สึกสงบ..อาจเป็นเพราะว่าชิน..ไม่ก็คงเป็นเพราะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้เเล้ว

              ไซริหยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ในกระเป๋าออกมา เป็นของที่ได้มาตั้งเเต่เมื่อสองเดือนก่อนจากเด็กชายแปลกหน้าคนนั้น เขาจ้องมองอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจแกะมันออกมา แล้วเทสิ่งที่อยู่ในนั้นลงไปในเครื่องดื่มแต่ละแก้ว

              "ขอให้อร่อย" เอ่ยพึมพำเบาหวิว เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนั้นเองเขาก็กำลังยิ้มอยู่


              เสียงกรีดร้องของเด็กเกเรนั่นดังไปทั่ว สีหน้าดูทรมาน และเลือดมากมายก็ไหลออกมาจากปาก

              ความโกลาหลเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ทันทีที่สามในสี่ดื่มน้ำที่เขาไปซื้อให้เข้าไป พวกเขาก็เริ่มทำสีหน้าประหลาด ๆ ออกมา ดูเจ็บปวด พยายามอาเจียน ล้วงมือเข้าไปแล้วควานหาบางสิ่ง แต่นั่นกลับทำให้ 'เข็มหมุด' อันเล็ก ๆ พวกนั้นยิ่งเกี่ยวเนื้อในปากและลำคอจนเป็นรอยยาวมากกว่าเดิม

              "ฝีมือแกใช่ไหม ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!!"

              เพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ของพวกนั้นหันมาถีบเขาจนล้ม ซ้อมเขาจนเจ็บไปหมด แต่สุดท้ายเเล้วมันก็ต้องรีบวิ่งกลับไปหาเพื่อนของมัน พยายามช่วยด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดจนไร้สีเลือด ผิดกับกองเลือดที่เด็กคนอื่นเริ่มทยอยคายออกมาจากปากพร้อมน้ำลายพวกนั้น ดูสกปรกสิ้นดี

              ไซริจ้องภาพพวกนั้น รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังยิ้ม..และหัวเราะ

              หัวใจเต้นแรงกว่าที่คิด

              ไม่อึดอัดเเล้ว ไม่รู้สึกแย่เหมือนเคย

              'สนุกล่ะมั้ง'

              'ถ้าคนที่เจ็บไม่ใช่ตัวเอง จะยังไงก็ได้ทั้งนั้นนั่นแหละ'

              เสียงของเด็กคนนั้นดังขึ้นในหัว ชัดเจนยิ่งกว่าใบหน้านั้นเสียอีก


              เริ่มจากตรงนั้น จุดเล็ก ๆ ที่ทำให้ตัวตนเริ่มบิดเบี้ยวไปทีละน้อย

              แรกเริ่มเขาทำเพราะแค้น ต่อมาก็เริ่มรู้สึกว่ามันสนุกกว่าที่คิด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โจ่งแจ้ง และไซริฉลาดมากพอที่จะยิ้ม รวมถึงเเสร้งเป็นเด็กร่าเริงที่ดูซุกซนในสายตาพวกซิสเตอร์กับลูเธอร์ต่อไป

              แต่เขาก็ไม่เคยรู้ตัว ว่าดวงตาคู่นั้นมองตามเขามาอยู่เสมอ

              ไซริไม่เคยรู้..ว่าลูเธอร์มองเห็นเขาได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร ๆ


              ตอนกลางดึก มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บอกว่าตนเป็นเพียงชายวัยสี่สิบหกที่โดดเดี่ยว ไร้ภรรยาหรือลูกให้เยียวยาใจ จึงอยากรับเด็กสักคนไปเพื่อช่วยผลักดันอนาคตของเด็กคนนั้น

              ลูเธอร์คือคนที่ถูกเลือก เขาคือคนที่ชายคนนั้นบอกว่ามีแววดี

              แต่ถึงอย่างนั้น..

              "ผมจะอยู่กับไซริ"

              เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ตอบกลับเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาสบมองกับว่าที่พ่อบุญธรรมด้วยความมั่นคง

              "สัญญาเอาไว้แล้วครับ" เอ่ยย้ำทีละคำ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของตนเอง "ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ทิ้งเขาเด็ดขาด"

              และไซริได้ยินมันทุก ๆ คำ


              ในชีวิตของไซริ มันมีเรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้นหลายต่อหลายอย่าง

              ครั้งแรกคือเมื่อตอนอายุห้าขวบที่เขาเจอกับเด็กชายปริศนาคนนั้น

              ครั้งสองคือเมื่อตอนอายุสิบสอง เขากับลูเธอร์ได้รับการอุปการะจากผู้ชายคนหนึ่งทั้งที่ตามปกติเเล้ว เด็กที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นมักไม่ได้รับการอุปการะ

              "คิดซะว่ามันเป็นบ้านของพวกเธอนะ"

              ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้กับพวกเขาทั้งคู่ เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น นุ่มนวลไปจนถึงแววตา

              ไซริได้ยินเสียงตัวเองขานตอบรับ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจ แน่ล่ะ..ใครจะรู้สึกวางใจได้ล่ะถ้าตัวเองต้องถูกรับอุปการะ เพราะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จะทำให้เขาสามารถรับลูเธอร์มาอยู่ด้วยได้แบบนี้

              เขาดีใจที่ลูเธอร์คิดถึงเขา รักเขาถึงขนาดว่าถ้าหากต้องเเยกกัน ก็ขอยอมอาศัยที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าต่อไปเสียยังดีกว่า แต่กับผู้ชายคนนี้..ไซริกลับไม่ไว้ใจเขาเลย ต่อให้พ่อบุญธรรมจะมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนถึงขนาดนั้น การกระทำของเขาก็ยังทำให้ไซริหวาดกลัว

              เป็นของแถมนี่ อาจจะโดนโยนทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้

              อีกไม่นานก็คงจะต้องโดนทิ้งอีกแน่ ๆ

              ความคิดในหัวตีโพยตีพายไปก่อนต่างนา แต่มันช่วยไม่ได้เลย ในเมื่อครั้งหนึ่งเขาก็เคยถูกทิ้ง เพราะเป็นของแถมที่คนพวกนั้นไม่ต้องการเหมือนกัน เด็กชายนั้นหวาดกลัว ไม่ใช่แค่เพราะความทรงจำในอดีต แต่ยังเป็นเพราะไม่อยากจะถูกพรากไปจากครอบครัวคนสำคัญอย่างลูเธอร์อย่างเด็ดขาด


              ดวงตาของเขามักไม่สื่ออารมณ์ หากคราวนี้มันชัดเจนจนเกินไป

              มากถึงขนาดที่เเม้แต่คน ๆ นั้นเองก็ยังรู้สึกตัวได้

              "ไซริ" วันหนึ่งที่อากาศเย็นสบาย พ่อบุญธรรมก็ส่งเสียงเรียกเขา ในมือมีถุงมือและลูกเบสบอลถือเอาไว้ ถือเป็นคำเชิญชวนอย่างหนึ่ง

              "ผมเล่นไม่เป็น" เด็กชายวัยสิบสองตอบกลับ ยิ้มแหย่ประมาณว่ามันช่วยไม่ได้ แต่เหมือนว่าผู้เป็นพ่อจะไม่ยอมแพ้สักเท่าไหร่ เอ่ยบอกว่าตนจะสอนวิธีเล่นให้เขาเอง คะยั้นคะยออยู่นาน สุดท้ายไซริก็ต้องยอมลูกตื็อของชายวัยกลาง เเละรับลูกบอลมาถือเอาไว้ในที่สุด

              น่าแปลกที่เมื่อลองดู เขาก็ค้นพบว่ามันสนุกมากกว่าที่คิด

              เล่นกันจนลืมดูเวลา โยนลูกและฝึกสอนกันเเบบงูปลาประสาพ่อลูก หัวเราะขบขันกันบ้างตอนที่ไซริรับลูกพลาดหรือถลาตัวเเรงเกินไปซะจนหน้าจุ่มดิน

              มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดังที่สุดเท่าที่เขาเคยหัวเราะมา..ต่อให้จะเหนื่อยแค่ไหน เหงื่อจะอาบท่วมหน้าหรือจะคลุกฝุ่นเสียจนเสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ไซริกลับพบว่าหัวใจเขาเต้นแรงมาก เป็นจังหวะการเต้นที่บ่งบอกถึงความสุขมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

              เราสองคนอนแผ่อยู่บนสนามหญ้าตรงสวนหลังบ้าน หอบหายใจน้อย ๆ ทั้งหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม

              "พ่อน่ะไม่ได้รับเรามาแค่เพราะว่าลูเธอร์ขอหรอกนะ"

              หากไม่นานรอยยิ้มก็ชะงักไป ไซริขยับตัวลุกขึ้นนั่งคล้ายกับว่าตกใจ จ้องมองรอยยิ้มที่ยังระบายอยู่บนใบหน้าของพ่อบุญธรรมไม่จางหาย

              "ตอนที่ได้เห็นลูก..พ่อรู้ทันทีว่าลูกน่ะเจ็บปวด" ดวงตาคู่นั้นเหลือบมาสบมองเขา เป็นดวงตาที่อบอุ่น "อยากจะให้ลูกได้เจอโลกที่ดีกว่านี้..พ่ออยากจะช่วยลูกออกมาจากสภาพแวดล้อมที่มีคนใจร้ายอยู่เต็มไปหมด"

              ชายวัยกลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งบ้าง วางฝ่ามือลงบนกลุ่มผมเขาเเล้วขยี้เบา ๆ เหมือนกับจะบอกว่าให้วางใจเขาได้

              "ถึงจะไม่ใช่พ่อจริง ๆ..แต่ก็ขอฝากตัวด้วยนะ"

              เริ่มถักทอสายสัมพันธ์จากตรงนั้น ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้เด็กคนนั้นที่ดูร้าวรานไปเสียทุกส่วน

              ผู้ชายคนนั้นกลายมาเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญของไซริ

              ไม่นาน..ครอบครัวที่เคยมีแค่สอง ก็กลายเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนทั้งสามคนไปในที่สุด


              วันคืนผ่านไป ทุกอย่างดูสงบสุข ชีวิตของเขาเองก็ดีขึ้นจากแต่เดิมมากเเล้ว..

              บ้านที่มีกันสามคน ความสนุกสนาน รอยยิ้ม ที่คอยประคับประคองความร่าเริงในตัวไซริเอาไว้..ความรู้สึกสนุกสนานเวลาที่กลั่นแกล้งผู้คนเองก็ดูจะทุเลาลง เหมือนกับว่าเขากำลังได้รับการบำบัด ไซริใกล้จะได้กลับกลายเป็นคน ๆ หนึ่งที่เป็นเพียงเด็กธรรมดา เขาใกล้จะหายดีเต็มทนแล้ว

              แต่จนถึงตอนนั้น ก็เหมือนกับว่าทุกอย่างผิดพลาดไปจนหมด..


              เรื่องแปลกประหลาดครั้งที่สามเกิดขึ้นตอนที่เขาอายุสิบห้า

              เป็นความแปลกประหลาดที่บัดซบที่สุดในชีวิต..และมันทำให้ทุกอย่างพังลงจนหมด


              วันนั้นเป็นวันที่หิมะตก เขาได้รับสายโทรศัพท์จากพี่ชายว่าวันนี้จะมีเพื่อนมาทำงานที่บ้านด้วย ส่วนพ่อก็ไปทำงานที่นอกเมือง ลูเธอร์มีธุระที่ต้องไปทำก่อน เขาจึงอยากจะฝากให้ไซริช่วยมารับเพื่อนของเขาไปยังบ้านเราก่อน

              เด็กหนุ่มเดินไปตามทาง เส้นทางนั้นไม่ไกลเท่าไหร่ ลมพัดเย็น เป็นอากาศที่ทำให้สดชื่นดี ไม่นานเขาก็เห็นแผ่นหลังของคนสองคนที่ยืนรออยู่หน้าโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งลูเธอร์นั้นได้รับทุนการศึกษาให้เข้าเรียนต่อที่นี่ ไซริรีบตะโกนเรียกอีกฝ่ายทันที

              แต่คนที่หันมาสบตากับเขาเป็นคนแรก มันไม่ใช่ลูเธอร์

              เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นทรงเหลี่ยม ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบไม่คุ้นเคยเท่าไหร่

              "เขาชื่อ เคนเน็ธ ควินเซนต์" ลูเธอร์แนะนำอีกฝ่ายให้กับเขา ผายมือไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน "ทักทายสิ เขาเป็นเพื่อนสนิทพี่เอง"

              จนกระทั่งอีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นมา รวมถึงเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้น มันก็เริ่มจุดประกายความทรงจำในหัวเขาขึ้นมาได้ในที่สุด

              "เจอกันอีกเเล้วนะ"


              เคนเน็ธคือเด็กคนเดียวกับที่เขาเคยเจอเมื่อตอนอายุห้าขวบ

              ใช่..เขาคือคนที่ยื่นกล่องเข็มหมุดให้กับไซรินั่นแหละ


              "ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง" อยู่ ๆ เด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้น ทั้งที่ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเอาแต่เงียบมาตลอด ไซริเหลือบสายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ทำหน้าไม่รู้ความ แต่สุดท้ายก็ดิ้นไม่หลุดอยู่ดี

              "ถึงขนาดใส่เข็มหมุดลงไปในเครื่องดื่มให้พวกนั้นดื่มเลยไม่ใช่เหรอ ยังจะกลัวอะไรอีกล่ะ"

              ไซริหัวเราะออกมาเบา ๆ คล้ายว่าเป็นเสียงหัวเราะที่ดูฝืดไม่น้อย "รู้ด้วยเหรอครับ"

              "ดูอยู่น่ะ" เคนเน็ธตอบเขา แต่ไม่ได้ขยายความว่าไอ้คำว่า 'ดูอยู่' นั่นน่ะ หมายถึงอะไรกันแน่ "ว่าแต่ถามได้รึเปล่าว่าทำไมพวกนั้นถึงแกล้งเธอ"

              "ก็คงทำเพราะสนุกเหมือนพี่มั้งครับ"

              "จริงเหรอ"

              คำพูดที่ดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อกันทำให้ไซริหรี่ตาลง รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่ แต่ว่า..เป็นถึงเพื่อนสนิทของพี่เลยนี่นา คงจะไม่เป็นไรมากหรอกมั้ง?..เด็กหนุ่มคิด เขาเชื่อว่าลูเธอร์จะเลือกคบคนถูกเพราะพี่เขาน่ะเป็นคนฉลาด สุดท้ายปากเขาเองก็เผลอพูดออกไปเมื่อรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

              "พวกนั้นอยากเห็นผมร้องไห้"

              "...."

              "เพราะว่าปกติเเล้วจะไม่ร้อง" ดวงตาหลุบต่ำ มองเท้าที่ก้าวเดินไปเรื่อย ๆ "ถึงจะเจ็บแค่ไหน ผมก็ไม่ร้องไห้อยู่ดี"

              "เห.."

              ปลายเท้าหยุดยืนอยู่ตรงสุดทางเดิน สัญญาณไฟข้ามถนนนั้นกลายเป็นสีแดง ผู้คนบางตาถึงขนาดว่าแทบไม่มีใคร มันเป็นสถานที่ที่เหมือนกับว่ามีแค่พวกยืนอยู่แค่สองคนเท่านั้น ไซริเเหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม เห็นไอควันสีขาวพ่นออกมาจากปาก

              "ตลอดชีวิตไม่เคยร้องไห้เลยเหรอ ไซริ"

              "..ไม่หรอกครับ สมัยเด็ก ๆ ก็เคยร้องอยู่..แต่ตั้งแต่สี่ขวบก็ไม่ร้องเเล้วล่ะ"

              "ถ้าอย่างนั้นทำยังไงถึงจะร้องล่ะ"

              คำถามประหลาด ๆ นั้นทำให้เขาหันไปมองคนพูด เคนเน็ธยืนอยู่ด้านหลังเขา แต่แทนที่ไซริจะได้ถามอีกฝ่ายดี ๆ เขากลับพบว่าร่างของตนกำลังเอนถอยหลังลงไปยังถนนใหญ่

              ความมึนงงแทรกขึ้นมาเป็นอันดับแรก จ้องมองรอยยิ้มประหลาดที่วาดอยู่บนหน้าของคนที่ผลักเขาลงมายังถนนในตอนนี้

              "ถ้าเจ็บจนจะตาย..เธอจะร้องรึเปล่า?"

              บรื๊นนนนนนนนนนนนนน — นนนน!!!


              เจ็บ..

              เจ็บจนเหมือนจะตายจริง ๆ

              ทันทีเริ่มได้สติอีกครั้ง ความรู้สึกร้าวระบมไปทั่วร่างก็พุ่งเข้ามาในหัวทันที ริมฝีปากเผลอหลุดเปล่งเสียงร้องครวญเจ็บปวดออกไปชั่วขณะ ไซริรู้สึกมึนงง คล้ายกับว่ากลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อพวกนี้กำลังทำให้เขาหัวหมุน แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่างชัดขึ้นมาทันที เมื่อได้เขาได้ยินเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น

              "ตื่นแล้วเหรอ"

              เด็กหนุ่มดีดตัวลุกพรวด และนั่นก็ทำให้เขาจุกเสียดเสียจนตัวงอ ดวงตาที่หลุบต่ำนั้นมองเห็นบาดแผลที่ปรากฏขึ้นทั่วตัว ตอนนั้นเองที่ความทรงจำทุกอย่างเริ่มไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว เขาอยู่ในโรงพยาบาลก็เพราะว่าเขาบาดเจ็บ..คืนนั้น ไซริถูกรถชน..เขาถูกชน..

              เพราะเคนเน็ธผลักเขาลงไปที่ถนนนั่น

              หัวใจเต้นแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่หันไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลด้านหลังกรอบเเว่นนั่น ไซริคว้าเอาแจกันที่วางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ มาถือไว้ หากไม่ได้เพื่อทำร้ายอีกฝ่าย..เขาทำเพราะร่างกายมันตอบสนองอัตโนมัติ มันร้องบอกเขาว่าต้องป้องกันตัวเองจากคนตรงหน้า

              เคนเน็ธยกยิ้มทันทีที่เห็นท่าทีเหล่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเขาชอบใจเเค่ไหน

              "ฉันไม่แทงเธอหรอก" ว่าจบ เขาก็ก้มลงไปปอกแอปเปิ้ลในมือต่อ หั่นมันออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะยื่นมันมาจ่อที่ปากเขา "กินสิ"

              ไซรินั่งนิ่ง เขาปฏิเสธที่จะกินมัน แต่แล้วเด็กหนุ่มกลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อคนที่เคยนั่งนิ่งอยู่ก่อนหน้านี้กลับดันร่างเขาจนกระแทกเข้ากับหัวเตียงนอนอย่างแรง ใช้มีดนั่นจ่อไว้ที่คอเขา ในขณะที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มเช่นเคย

              "กินสิ"

              อีกครั้งที่คำพูดนั้นเอ่ยขึ้น หากคราวนี้มันคือคำสั่ง..ไม่ใช่ประโยคคำถาม

              ริมฝีปากอ้าออกรับเอาชิ้นผลไม้หวานช่ำเข้าไปเคี้ยวอย่างเชื่องช้า รสของมันหวานเลิศแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเคี้ยวกระดาษ ไซริถูกปล่อยให้เป็นอิสระในเวลาต่อมา แต่เขาก็ยังต้องคอยกินแอปเปิ้ลที่อีกฝ่ายปลอกเรื่อย ๆ จนกระทั่งใกล้หมด

              "..ทำไมต้องทำแบบนี้"

              ฝ่ามือที่กำลังหั่นแอปเปิ้ลชิ้นสุดท้ายออกจากแกนกลางหยุดชะงัก เคนเน็ธเงยหน้าขึ้นสบตาเขา สถานการณ์ตอนนี้อย่างกับว่าย้อนกลับไปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนไม่มีผิด ทั้งรูปสนทนา หรือกระทั่งสายตาคู่นั้น..ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง

              "สนุกล่ะมั้ง"

              ไซริน่าจะรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน

              ว่าตอนนั้นเด็กผู้ชายที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขา..แท้จริงเเล้วคือปีศาจ..ไม่ใช่ผู้ที่ชี้หนทางให้หลุดพ้นแต่อย่างใด

              "เธอบอกว่าต่อให้เจ็บแค่ไหนก็จะไม่ร้อง..ฉันเลยอยากรู้ว่าจริงรึเปล่า" แอปเปิ้ลชิ้นสุดท้ายถูกยื่นมา แตะลงบนกลีบปาก แต่คราวนี้ไซริกลับไม่ยอมรับมันมาแต่โดยดี เคนเน็ธเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ และเป็นฝ่ายกินแอปเปิ้ลชิ้นนั้นเข้าไปเอง "ดูท่าจะไม่ได้โกหกแฮะ"

              ไซรินึกอะไรไม่ออกเลย

              รู้สึกเพียงแค่ว่าอยากจะฉีกปากพล่อย ๆ นั่นทิ้งซะเดี๋ยวนี้

              "..พี่ผม..อยู่ที่ไหน" ถึงอย่างนั้น ไซริก็ยังถามหาใครคนหนึ่ง ใครคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้แต่กลับหายไปแล้ว

              "อ้อ ไปจัดการเรื่องงานศพอยู่น่ะ"

              "ห๊ะ?"

              ตอนนั้นเหมือนกับว่าโลกทั้งใบมันพลิกคว่ำ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเข้าใจยากไปเสียหมดจนได้แต่นั่งนิ่ง

              "เพราะอยู่ดี ๆ ลูกชายคนเล็กกลับถูกรถชน มิสเตอร์มาริโอถึงได้ร้อนรนขนาดที่ว่าไม่สามารถทำงานต่อได้ เขารีบขับรถกลับมาเพราะอยากดูอาการลูกชาย..แต่น่าเสียดาย ที่เขารีบร้อนเกินไปจนทำให้สะเพร่า"

              เสียงของเคนเน็ธฟังดูยืดยาน ก้องไปก้องมาในหัวเขาไม่หยุด

              เห็นรอยยิ้มนั้นแย้มระบายอย่างชัดเจน

              "เขาขับผ่านทางรถไฟทั้งที่สัญญาณไฟเป็นสีแดง..เพราะฉะนั้นก็เลยตายอยู่ใต้ล้อนั่น"

              ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาช่างเย็นชืด ไร้ความเห็นใจ ไร้ความแยแส

              แม้กระทั่งตอนที่ไซริขยับตัวลุกขึ้น พยายามจะวิ่งออกไปจากห้องเพื่อตามหาครอบครัวของเขา เพื่อที่จะยืนยันว่าเรื่องพวกนั้นเป็นคำหลอกเด็ก เคนเน็ธก็ยังดูเฉยชา เขารั้งตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ รับร่างที่อ่อนแรงจากพิษบาดแผลเอาไว้ไม่ให้ล้มลงกระแทกพื้นไปซะก่อน

              "เดี๋ยวแผลก็เปิดกันพอดี" เขาพูดคำ ๆ นั้นออกมาได้หน้าตาเฉย ทั้งที่เป็นเขาเองแท้ ๆ ที่ทำให้เลือดมันชุ่มไปหมด

              ไม่ใช่แค่ตัวไซริ แต่ยังรวมถึงพ่อบุญธรรมของเขาที่ต้องตายเพราะการกระทำของไอ้เวรนี่

              "ปล่อย.." ไซริเค้นเรี่ยวเเรงออกมาอย่างยากลำบาก พยายามขยับปากพูดแม้ว่าจะสมองจะอื้ออึงไปหมด "ฉันบอกให้ปล่อยไง ไอ้สารเลวเอ๊ย!!!"

              เสียงร้องตะคอกดังขึ้นพร้อมกับเขาที่พยายามออกแรงดิ้น แต่กลับถูกรวบตัวเอาไว้ได้ง่าย ๆ เคนเน็ธแรงเยอะกว่าเขามาก ต่อให้ไซริจะบาดเจ็บหรือไม่ เขาก็ไม่สามารถหนีจากอ้อมแขนหนีไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน

              "ไหนบอกว่าต่อให้เจ็บจนตายก็จะไม่ร้องไห้ไง"

              ร่างกายที่พยายามตะเกียกตะกายนั้นหยุดชะงัก พร้อม ๆ กับที่รู้สึกว่าไม่สามารถยืนไหวอีกแล้ว หากไม่ติดว่าอีกคนช่วยประคองไว้ หรือปลายเล็บของเขาเองที่จิกลงบนเสื้ออีกฝ่ายจนยับยู่ เขาคงร่วงลงไปกองกับพื้นเเล้วแน่ ๆ

              ได้ยินเสียงตัวเองหอบหายใจ สัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวที่กระบอกตาอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานมากแล้ว

              ไซริสัมผัสได้ถึงอ้อมกอด ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบลงบนกลุ่มผมของเขาคล้ายกับว่าเป็นการปลอบประโลม เขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเคนเน็ธทำสีหน้ายังไง จะยังยิ้มหน้าระรื่น หรือว่าทำสายตาเฉยเมยอยู่อีกไหม

              รู้แต่ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ในรอบสิบเอ็ดปี

              ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดจากปากเพราะฟันขาวที่ขบลงบนกลีบปากอย่างอดกลั้น ความกลัวในอดีตยังคงหลอกหลอนจนถึงขั้นไม่กล้าที่จะส่งเสียงร้อง ทั้งที่น้ำตาไหลอาบท่วมหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด

              หัวใจของเขาเจ็บ มันเจ็บเสมือนกับว่าถูกกระชากจนเป็นรูโหว่ภายในนั้น

              "เด็กเลี้ยงแกะ"

              ได้ยินถ้อยคำที่กระซิบบอกเอาไว้แผ่วเบา หากไม่สามารถจดจำอะไรได้อีก

              สติเขาเลือนรางลงทีละน้อย กลิ่นของเลือดจากบาดแผลที่ปริแตก ผสานไปกับกลิ่นน้ำหอมบนตัวของเคนเน็ธ ผสมผสานกลายเป็นความหวาดกลัวที่แทรกลึกเข้าไปในจิตใจ ก่อร่างขึ้นมาเป็นสิ่งกฎอีกหนึ่งข้อภายในชีวิตของเขา..

              กฎข้อที่สำคัญที่สุด..ว่าจะต้องหนีไปให้พ้นจากคน ๆ นี้ให้ได้..ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม


    ___TBC?___

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×