คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Light of my life, fire of my loins. My sin, my soul.
เสียงเพลงจากวิทยุเครื่องเล็กดังเคล้าคลอไปทั่ว
เช่นเดียวกับกลิ่นสารเคมีฉุนกึกจากน้ำยาย้อมผมยี่ห้อแคล์รอลลอยคละคลุ้งทั่วห้องน้ำชวนให้มึนหัว
แม้ว่าจะถูกน้ำชำระล้างออกไปแต่ก็ไม่ช่วยบรรเทาเท่าไรนัก
บิลย่นจมูกก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งเปิดประตูห้องน้ำให้กว้างไล่เอากลิ่นอันเข้มข้นให้ระบายออกไปได้บ้าง
ส่วนมืออีกข้างก็ประคองไดร์เป่าผม ไล่ลมร้อนจากเครื่องจักรไฟฟ้าสู่เส้นผมของเด็กสาวที่นั่งพิงหลังอยู่บนโถชักโครกอย่างเกียจคร้าน
“อยู่นิ่ง ๆ สักวินาทีหนึ่งจะได้ไหม”
บิลกล่าวเสียงขรึม
และนั่นก็เป็นเหตุให้เด็กสาวต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่ใคร่จะพอใจนักแต่ก็ไม่พูดอะไร
เมื่อเธอนิ่งแล้วเขาจึงจับเส้นผมส่วนหนึ่งของเธอขึ้นมาพิจารณา
สีของมันดำสนิทอย่างที่เขาต้องการ แต่ก็ยังไม่น่าพอใจ
เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะคว้ากรรไกรจากอ่างล้างหน้ามาไว้ในมือ
และหันไปจ้องผมของโดโลเรสอีกรอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
บิลไม่เคยตัดผมมาก่อน
มากสุดก็แค่โกนหนวดเท่านั้นแหละ
ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้
เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นในขณะที่จรดปลายคมของโลหะบนเส้นผมสีดำ
เขาไม่ได้หวังจะให้มันออกมาสวยเหมือนช่างทำผมมืออาชีพในร้านเสริมสวยหรอก(ก็แน่ล่ะ เขาพึ่งจะเคยตัดผมให้คนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่น่า)
แต่อย่างน้อยก็ให้มันไม่ออกมาน่าเกลียดก็พอแล้ว
สิ่งที่ยากที่สุดคือการต้องรักษาข้อมือให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ยามที่หั่นผมของอีกฝ่าย
จนเมื่อเวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงพร้อมกับเสียง ‘แกร่ก’ สุดท้ายจากกรรไกรในมือ ทุกอย่างก็สำเร็จไปได้ด้วยดี
บิลถอยห่างออกมาเล็กน้อยเพื่อที่จะมองรูปลักษณ์ใหม่ของคนตรงหน้าให้เต็มตา
ผมสีดำที่สั้นระใบหูก็ออกมาเป็นสไตล์ที่ดูดีอยู่แม้จะยุ่งเหยิงไปบ้าง
ถือว่าเขาก็มีฝีมือในระดับหนึ่งที่ไม่ได้ทำให้หัวของโดโลเรสแหว่ง
“เสร็จแล้วเหรอ”
บิลพยักหน้าแทนคำตอบ
มองดูเด็กสาวที่กำลังหมุนคอไล่ความเมื่อยขบจากการนั่งอยู่กับที่นาน ๆ “เธอคิดว่าไง?”
ได้ยินคำถามเช่นนั้นเธอก็หันไปส่องกระจกอย่างพิจารณา
ก่อนจะจับผมตัวเองแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดูแปลก ๆ ไม่ค่อยชินเท่าไร” กล่าวจบโดโลเรสก็หันมายิ้มให้เขา “แต่ก็ขอบคุณนะคะ”
บิลรู้สึกโล่งใจไม่น้อย
อย่างแรกเพราะเธอไม่ได้ไม่พอใจกับฝีมือการทำผมครั้งแรกของเขา
และอย่างที่สองก็คือเธอไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยและตั้งคำถามแก่เขาว่าเหตุใดจู่ ๆ เขาถึงได้ลุกมาจัดการย้อมและตัดผมให้เธอแบบนี้
จริง
ๆ แล้วเหตุผลก็ไม่ได้สลักซับซ้อนอะไรนักหรอก เพราะบิลไม่ได้กักขังโดโลเรสไว้ในห้องใต้ดินอีกแล้ว
เขาให้อิสระเธอในการไปไหนมาไหนได้ตามใจ ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงความคิดของเขาเองที่อยากจะพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง
แต่การปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์แบบเดิมอาจจะทำให้มีคนที่จดจำเธอได้
มันจึงเป็นการดีกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกให้แตกต่างจากเดิม
อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้เป็นโดโลเรสคนเก่าอยู่แล้ว
การเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่นับว่ามากมายอะไรนัก แต่ก็ถือว่าผิดแปลกจากเดิมไปพอสมควร
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทำผมแล้ว
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังสาละวนกับการใช้ผ้าเช็ดตัวปัดเอาเศษผมออกจากคอและบ่าของคนตัวเล็กกว่า
บิลก็รู้สึกได้ว่าดวงตาสีเขียวจากเจ้าของทรงผมใหม่กำลังจ้องมองเขาอยู่
มันไม่ใช่สายตาของความสงสัยหรือจับผิด แต่มันออกไปทางสายตาที่เหม่อลอยเสียมากกว่า
เขาคิดเช่นนั้น
“โดโลเรส?” เขาหยั่งเชิง
แล้วก็ได้ผลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็ก ๆ
อย่างสงสัยใส่เขา “คิดอะไรอยู่เหรอ”
“ฉัน...”
น้ำเสียงลากยาวอย่างติดจะลังเลดึงดูดให้เขาต้องตั้งใจฟังมากยิ่งขึ้น
บิลจัดการโยนผ้าขนหนูไว้ตรงอ่างล้างหน้าก่อนจะหันไปมองโดโลเรสอย่างเต็มตา “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระนะ”
โดโลเรสไม่เคยเป็นแบบนี้
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือปัจจุบันนี้ก็ตาม เธอไม่ใช่คนมีความลับอะไรเมื่ออยู่กับเขา
เธอยินดีจะเล่าอะไรหลาย ๆ อย่างเดียวกับตัวเองให้เขาฟังด้วยซ้ำไป
ฉะนั้นคำพูดที่บอกว่า ‘ไม่มีอะไร’
จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
“หรือเธอจะไม่ชอบที่ฉันตัดผมให้เธอ?” บิลถามกึ่งเล่นกึ่งจริง
และนั่นก็ทำให้โดโลเรสต้องหัวเราะออกมาจนได้
“ไม่เกี่ยวอะไรกับทรงผมหรอกน่า” พลันสีหน้าของเด็กสาวฉายแววไม่มั่นใจนัก
เธอเสมองไปทางกระจกมากกว่าจะมองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ คล้ายกับจะหลบซ่อนสายตาของตัวเองจากคนตรงหน้า
“ฉันก็แค่มีเรื่องที่สงสัยอยู่นิดหน่อย”
ความสงสัยไม่ใช่เรื่องที่ดี บิลคิดอย่างนั้น
ความสงสัยเปรียบเสมือนเนื้อร้ายในความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์ และเขาไม่ควรจะปล่อยทิ้งให้ความสงสัยนั้นอยู่นานเกินไปจนเป็นภัย
“บางทีฉันอาจะให้คำตอบกับเธอได้นะ
ถ้าเธออยากถามฉัน”
เธอถอนหายใจ
แล้วจึงหันมาจ้องตาเขาด้วยความจริงจัง
“ฉันอยากรู้ว่าเรารักกันได้ยังไง”
คำถามนั้นทำให้บิลชะงัก
ด้วยไม่คาดคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายสงสัยจะเป็นเรื่องนี้ “ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ”
“นายบอกว่านายเป็นสามีฉัน และเราแต่งงานกันแล้วนี่ใช่ไหม” โดโลเรสจับผมของตัวเองทัดหู รอยยิ้มเก้อเขินประดับบนใบหน้าเผยให้เห็นฟันซี่เป็นระเบียบ
“บอกตามตรง ฉันไม่เคยจินตนาการถึงการมีครอบครัวเลย ไม่สิ...ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีแฟนด้วยซ้ำ
มันทำให้ฉันสงสับมาตลอดเลยว่าอะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มา..เอ่อ..ลงเอยกันนะ”
มันเป็นคำถามที่ง่ายดาย
แต่บิลกลับไม่สามารถที่จะตอบไปได้โดยทันที แท้จริงแล้วการตอบคำถามนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขาเลยถ้าหากจะเลือกโกหกไปดั่งเช่นเรื่องงี่เง่าอื่น
ๆ ที่เคยโกหกเธอไว้ก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มยังไม่อาจให้คำตอบแก่โดโลเรสได้นั่นเป็นเพราะคำถามของเธอทำให้บิลต้องเกิดคำถามแก่ตัวเองเช่นกัน
ว่าเหตุใดเขาจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย ไม่ใช่แค่ในตอนนี้แต่เป็นตลอดมาเลยต่างหาก
เรารักกันได้ยังไง
ความรักอาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ
อาจจะเป็นที่บุคลิกหรือรูปลักษณ์ที่ดูดีช่วยดึงดูดให้เกิดความรู้สึกที่ดีไปด้วย นั่นทำให้ผู้คนมักตกหลุมรักใครคนอื่นที่หน้าตาเป็นส่วนใหญ่
แต่ความสวยงามภายนอกไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจ
สิ่งที่ดึงดูดสายตาเขาไม่ใช่ดวงตาสีเขียวสวย รอยกระเล็ก ๆ ตรงจมูก ผมสีน้ำตาลเหลือบทอง
และริมฝีปากเล็ก ๆ นั่น
แต่เป็นเพราะเธอมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับแม่ของเขาจนเขาไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้สักวินาทีเดียว
เขาอยากฆ่าเธอเพียงเพื่อหวังว่ามันจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกที่เคยถูกแม่ทารุณกรรมมาก่อน
และบิลก็เชื่อว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเธอเช่นนั้นไม่ใช่ความรักแน่ ๆ
แต่อะไรกันเล่าที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้เขารักเธอ?
โดโลเรส
ผู้หญิงที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับแม่ของเขา แต่เนื้อแท้แล้วเธอไม่เหมือนแม่ของเขาเลยแม้แต่สักนิดเดียว
หากแม่คือฤดูหนาวที่โหดร้าย โดโลเรสก็เป็นฤดูร้อนที่อบอุ่น
เธอไม่ใช้ผู้ช่วยเหลือที่มาฉุดดึงเขาขึ้นจากแม่น้ำ
แต่คือผู้ที่พร้อมยินดีจะจมน้ำร่วมกับเขา
เขาคิดถูกที่คิดว่าเธอคือผู้ที่สามารถชดเชยและเติมเต็มความว่างเปล่าในใจให้กับเขา
ไม่ใช่ด้วยการฆ่าแต่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
เพราะเธอให้ในสิ่งที่แม่ไม่สามารถให้เขาได้...นั่นก็คือความรัก
เขารักเธอเพราะเธอเหมือนแม่
และก็ไม่เหมือนแม่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้เขาเกลียดเธอเสียด้วย
แต่มันก็ไม่มากเท่ากับความรักหรอก เพราะถ้าหากเขาเกลียดเธอมากกว่านี้ เธอก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไปนานแล้วล่ะ
“อืม..มันค่อนข้างจะน่าตลกสักหน่อยนะ” เด็กหนุ่มพูดทำลายความเงียบในที่สุด
มีความลังเลฉายชัดอยู่ในแววตา บิลไม่คิดว่าการเล่าอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้จะเป็นความคิดที่ดีเท่าไรนัก
แม้ว่าเขาจะไม่อยากโกหกเรื่องของความรู้สึกกับเธอเลยก็ตามที
ขืนบอกไปตรง
ๆ ว่า ‘ตอนแรกฉันอยากจะฆ่าเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ดันทำให้ฉันรักเธอแทน’
มันก็คงจะไม่ใช่ความรักที่โรแมนติกชวนฝันแน่ ๆ ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าจะเล่าความจริงผสมกับเรื่องโกหกลงไปบ้างสักเล็กน้อยแทน
“เราเจอกันครั้งแรกที่โรงเรียนสมัยยังเรียนหนังสือ
แล้วตอนนั้นฉันก็ไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไร”
“ทำไมถึงไม่ชอบฉันล่ะ”
“ก็เพราะ..เธอหน้าเหมือนคนที่ฉันไม่ชอบมาก ๆ นะสิ”
บิลพูดพร้อมเกาจมูกไปด้วย รู้สึกเคอะเขินอยู่นิดหน่อยที่ต้องมารำลึกความหลังเก่า ๆ
ให้ใครอีกคนฟัง “แต่นั่นมันก็ไม่นานหรอก
เพราะหลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกัน ฉันก็เริ่มจะชอบเธอขึ้นมาเรื่อย ๆ
จนเลิกเกลียดไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้”
“อ่า..งั้นใครเป็นคนเริ่มทำความรู้จักก่อนเป็นคนแรกเหรอ”
“ก็เธอนั่นแหละ”
“ฉัน?” โดโลเรสชี้นิ้วใส่ตัวเอง
ใบหน้าเหรอหราของเธอทำให้เด็กหนุ่มหลุดขำออกมาเล็กน้อย
“เธอเป็นคนชวนฉันคุยก่อน”
สาบานได้เลยว่าอันนี้เขาไม่ได้โกหก ก็เธอเริ่มชวนเขาคุยก่อนตั้งแต่ตอนที่อยู่ในสถานบำบัดจิตจริง
ๆ นี่น่า “บางทีเธอก็ติดจะพูดมากไปนิด
แต่ฉันก็ชอบฟังที่เธอพูดนะ ฉันชอบความใส่ใจที่เธอมีกับทุกเรื่องซึ่งนั่นต่างจากฉันมาก
แต่ก็ไม่มากสักทีเดียวเพราะเธอก็มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับฉันด้วย
ฟังดูย้อนแย้งแปลก ๆ แต่ฉันคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันชอบเธอมั้ง”
“นายใช้คำว่ามั้ง” โดโลเรสขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีเขียวที่จ้องเขม็งทำให้บิลอึดอัด
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่นายชอบฉันจริง ๆ ใช่ไหม”
บิลกำลังจนตรอก
ดูเหมือนคำโกหกของเขาจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีเท่าไรนัก นี่เป็นความผิดพลาดที่เขาไม่ได้คิดล่วงหน้าถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
เธอจึงสามารถจับพิรุธได้ไม่ยากนัก และการฝืนโกหกต่อไปก็คงมีแต่จะทำให้แย่ลงแน่
หรือบางทีการเสแสร้งอาจไม่ใช่คำตอบที่เราทั้งคู่ต้องการก็ได้?
For
one command, I stand and wait now
From
one who's master of my fate now
I
can't escape, for it's too late now
I'm
just a prisoner of love[1]
เพลงที่กำลังเล่นจากวิทยุในเวลานี้ดูจะดังเป็นพิเศษเมื่อความเงียบเข้าครอบงำอย่างกะทันหัน
ไม่มีคำพูดใดได้เอื้อนเอ่ยเมื่อริมฝีปากทาบทับสอดประสานไม่ทันตั้งตัว เขาจูบเธออยู่นานเป็นนาที
ก่อนจะถอนริมฝีปาก ประคองใบหน้าเธอด้วยมือทั้งสองข้างแล้วแตะหน้าผากเข้ากับหน้าผากของเด็กสาว
ท่ามกลางเสียงเพลงเขาได้ยินเสียงหอบหายใจยกใหญ่จากเธอ
ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจที่ดังอย่างรุนแรงกว่าทุกครั้ง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย บิลจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย
หวังให้เธอรับรู้ทุกสิ่งได้ผ่านแววตาของเขา บางทีถ้าหากคนเราสามารถอ่านใจกันได้
โลกนี้คงไม่จำเป็นต้องมีคำโกหกอีกต่อไป
“เพราะเธอเข้ามาเติมเต็มฉัน เพราะเธอให้ความรักฉันในแบบที่ไม่มีใครให้ฉัน
ฉันจึงรักเธอ”
นี่เป็นเรื่องจริงที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มจะพูดออกมาได้
และเขารู้ว่าอย่างไรเสียเธอก็ต้องเชื่อสิ่งที่เขาพูดแน่ บิลคิดอย่างนั้นก่อนจะจูบเธออีกเป็นครั้งที่สองและครั้งที่สาม
เพื่อพิสูจน์ให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นคือเรื่องจริง เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่ไม่มีการเสแสร้ง
ไม่มีการปั้นแต่ง ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการสงสัย
เพราะโดโลเรสมีความทรงจำถึงเพียงแค่อายุสิบเอ็ดปีเท่านั้น
เด็กสาวจึงไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร เธอจูบไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
มันสมควรถูกเรียกว่าเป็นจูบที่ห่วยแตกเลยล่ะ ยามที่บิลเริ่มเป็นฝ่ายรุกก่อน
เขาสัมผัสได้เพียงความเงอะงะ ลนลาน และตกใจจากอีกฝ่ายเท่านั้น
เขาควรจะหงุดหงิดกับเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่าความไม่รู้ประสาของเธอกลับทำให้เขารู้สึกอยากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ถอดเสื้อซะ”
โดโลเรสมองอีกฝ่าย
ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวแต่เป็นด้วยความสับสน เด็กสาวถอดเสื้อของตัวเองอย่างช้า ๆ
ราวกับไม่มั่นใจว่าควรจะถอดมันออกจริงหรือเปล่า บิลไม่ชอบความชักช้าเช่นนี้
เขาอยากจะเข้าไปฉีกกระชากเสื้อผ้าของอีกฝ่ายให้จบ ๆ ไปเหมือนกับที่เคยทำมาก่อน
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ต้องการจะทำให้เธอหวาดกลัวขึ้นมาอีก
โดโลเรสไม่ได้หัวแข็งเหมือนกับเมื่อก่อนเสียหน่อย
มันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่จะต้องทำรุนแรงแก่เธอ
เธอบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้แรกแย้มที่เริ่มเบ่งบานรับแสงตะวัน
และเขาก็อยากจะถนุถนอมความบริสุทธิ์นี้ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฝ่ามือลูบไล้เนื้อขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกหยอกเย้าให้เกิดอารมณ์
เสียงเล็กกดครางแผ่วช่วยกระตุ้นอารมณ์ได้ดีเลยทีเดียว เด็กหนุ่มเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายประหนึ่งอีฟที่ถูกงูล่อลวงให้กินแอปเปิ้ลในสวนอีเดน
เขาจูบเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ละเมียดชิมรสชาติอันแปลกประหลาดที่น่าหลงใหล
แต่สุดท้ายก็ยอมผละออกเมื่อคนตัวเล็กกว่าเริ่มส่งเสียงประท้วงที่ถูกช่วงชิงลมหายใจ
แต่บิลก็ไม่ได้เว้นช่วงให้เธอทำใจนานนักเมื่อร่างสูงเริ่มไล่พรมจูบไปทั่วผิวหนังทุกที่ของเธอ
ร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กสาวกำลังสั่นสะท้าน หอบหายใจอย่างหวาดหวั่นต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
อ่อนไหวและไร้เรี่ยวแรงเมื่อโดนอีกฝ่ายดันนอนราบไปบนพื้นอย่างไม่รู้ตัว
บิลได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังเหมือนกับเสียงฟ้าร้องของเด็กสาวอย่างแจ่มแจ้ง
และเขาเองก็ไม่ต่างกันเลย ใบหน้าแดงก่ำของโดโลเรสปลุกเร้าสัญชาตญาณของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เสียงซิบกางเกงถูกรูดลงอย่างรีบร้อนตามด้วยตัวตนที่สอดแทรกเข้าไปข้างใน แล้วมันก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเชื่องช้านิ่มนวลก่อนจะเร็วขึ้นอย่างเป็นจังหวะ
มากขึ้นและมากขึ้น ฉับพลันทุกอย่างในดวงตาก็เจือจางและหม่นมัว ร่างกายกระตุกเกร็งคล้ายว่าจะลอยละล่องทั้งที่ยังคงแนบชิดติดกันไม่ห่าง
She's in my dreams, awake or sleeping
Upon my knees, to her, I'm creeping
My very life is in her keeping
I'm just a prisoner of love
ไม่มีการเอื้อนเอ่ยใด ๆ ต่อกัน ความเงียบอันยาวนานยังคงดำเนินต่อไปคล้ายกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด
และในวันนั้นทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้ว่าความเงียบนั้นเป็นคำตอบที่ดียิ่งกว่าคำพูดเป็นไหน
ๆ
....................................
Light of my life, fire of my loins. My sin, my
soul.
ประโยคจากนวนิยายเรื่องโลลิต้า[2]ของวลาดีมีร์
นาโบคอฟ ดูจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อโดโลเรส ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดในนิยายฮัมเบิร์ตจึงหลงรักโลลิต้าหัวปักหัวปำนัก
บิลเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโดโลเรสทำให้เขาหลงใหลคลั่งไคล้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นไม่ต่างกันเลยสักนิด
โดโลเรสคือฝันหวานในฤดูร้อนของเขา
งดงาม แสนดี สดใส อบอุ่น ยั่วยวน และไร้เดียงสา
เธอเหมือนลูกนกตัวน้อย ๆ
ที่ต้องการการปกป้องดูแลอยู่เสมอ และเขาก็ชอบที่ได้ดูแลเธออยู่เสมอ ทำอาหารให้เธอ
ถักเปียให้เธอ อาบน้ำให้เธอ แต่งตัวให้เธอ ประหนึ่งแม่ที่ดูแลลูกสาว
หรืออาจจะเหมือนเด็กที่กำลังเล่นตุ๊กตา แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม
สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือบทบาทที่ได้เป็นผู้ครอบครองตัวเธออย่างสมบูรณ์แบบ
เขาปรารถนาที่จะทำให้เธอสบายใจและมีความสุขในฐานะของ
ๆ เขา และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นมาในค่ำคืนหนึ่ง
เสียงแผดร้องลั่นอย่างหวาดกลัวปลุกให้เด็กหนุ่มต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
เขาพบว่าตัวเองไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ตื่นเมื่อเห็นว่าโดโลเรสนอนลืมตาโพลงในความมืดท่ามกลางแสงจันทร์สลัว
เมื่อไฟถูกเปิดขึ้นในห้องบิลจึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่
“เกิดอะไรขึ้น” เขาลนลานไม่น้อยเมื่อเห็นแม่ตุ๊กตาตัวน้อยของเขาร่ำไห้ แล้วสองมือก็บรรจงเช็ดหยาดน้ำตาจากใบหน้าของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน
เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่ดูหวาดกลัวเหลือหลาย
บิลชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้สบอีกฝ่าย
นั่นเพราะสายตาของเธอยามนี้ช่างเหมือนกับสายตาที่เคยมองเขาครั้งที่เธอยังคงถูกจับขังอยู่ในห้องใต้ดินไม่มีผิด
มันเป็นสายตาที่ทำให้เขากังวลและไม่ใคร่จะชอบใจเท่าไรนัก
เหตุใดเธอถึงได้มองเขาด้วยสายตาเช่นนี้เล่า? หรือเธอจะเกิดจดจำขึ้นมาได้กะหันทันว่าตัวจริงของเขาคือใคร?
“เมื่อกี้ฉันฝันร้าย” น้ำเสียงสั่นเครือของโดโลเรสดึงเขาออกมาจากอารมณ์หวั่นวิตก
บิลถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เขาคิด ก่อนจะสวมกอดร่างเล็กกว่าด้วยต้องการปลอบโยนให้หายเศร้าเสียใจ
“อย่าร้องไห้เลย
มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละ” เขากล่าวแก่เธออย่างนุ่มนวล “ไหนเล่ามาสิว่าฝันว่าอะไร”
“ฉันยืนอยู่ในที่ ๆ หนึ่ง มันเป็นห้องสีขาวสว่าง
แล้วก็มีคนเยอะแยะอยู่ในนั้นกับฉัน”
โดโลเรสสะอื้นไห้อยู่เป็นระยะ ราวกับฝันร้ายนี้ทำให้เธอขวัญเสียอย่างสิ้นเชิง “แล้วก็มีผู้ชายใส่ชุดดำถือปืนกระบอกใหญ่ไล่ยิงคนทีละคน
จนทุกที่มีแต่เลือดเต็มไปหมด..”
ตอนนั้นเองที่เด็กสาวเงยหน้าขึ้น
นัยน์ตาสีเขียววาววับคู่นั้นจดจ้องที่ใบหน้าเขาอย่างจริงจัง
“ผู้ชายชุดดำคนนั้นหน้าเหมือนคุณเลย”
บิลชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายจากปากเธอ
และครั้งนี้เขาไม่อาจควบคุมความหวั่นวิตกของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว
เขารู้สึกได้ว่าตัวเขาเองก็กำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวเฉกเช่นเดียวกับโดโลเรส
แต่เป็นในสาเหตุที่ต่างกันออกไป
เธอฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นจริง
หนึ่งในความชั่วช้าที่เขาได้กระทำลงไป
นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าความทรงจำของเธอกำลังจะกลับมาแล้วใช่หรือไม่?
หากเธอสามารถจดจำเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาได้จริง
นั่นเท่ากับว่าโดโลเรสที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็จะเปลี่ยนไปด้วย เธอจะไม่ใช่ลูกนกตัวน้อย
ๆ ที่คอยพึ่งพาเขาอีกแล้ว แต่จะกลับกลายเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ต่อต้าน
หวาดกลัว และเกลียดชังเขาสุดหัวใจ คนที่พยายามจะหนีไปจากเขาอยู่ตลอดเวลา คนที่ทำร้ายและทำลายจิตใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แค่คิดว่าเธอจะต้องกลายเป็นเช่นนั้น
จิตใจของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาเสียแล้ว
ไม่ ไม่เด็ดขาด เขาจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ๆ
เธอเป็นของ ๆ เขา
และเขาจะไม่มีวันยอมเสียสิ่งที่เป็นของเขาโดยชอบธรรมไปอย่างแน่นอน
“ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวหรอก ฉันอยู่ตรงนี้และฉันจะจัดการทุกอย่างเอง”
บิลกล่าว
ไม่ใช่แค่เพื่อปลอบโยนเธอเท่านั้นแต่เป็นการปลอบโยนความรู้สึกตัวเองไปด้วย
เขาจูบที่หน้าผากอีกฝ่ายแล้วสวมกอดเธอแน่นอย่างหวงแหนในขณะที่ยังคงครุ่นคิดถึงความหลังเก่า
ๆ ที่ไหลกลับเข้ามาในหัว รวมถึงความเป็นไปได้หากสิ่งที่เขาคิดนั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ
บางทีครั้งหน้าเขาควรจะตีหัวเธอให้แรงกว่านี้สักหน่อย
เผื่อว่าเธอจะได้ความจำเสื่อมไปตลอดกาล คราวนี้เธอจะได้ไม่ต้องหนีไปจากเขาเสียที
_____________________
[1]
เพลงPrisoner
of Love - Russ Columbo(1931)
[2]
โลลิต้า
เป็นนวนิยายที่เขียนโดยวลาดีมีร์ นาโบคอฟ เรื่องเกี่ยวกับฮัมเบิร์ต ชายวัยกลางคน
ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องได้ตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำและมีความสัมพันธ์ทางเพศกับ
โดโลเรส โลลิต้า เฮซ เด็กสาวอายุ 12 ปี บุตรบุญธรรมของตน
ความคิดเห็น