คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : △ The Rain of Pain :: ZL'HC
13 July, 2009
Seoul Highschool of Art Performing
Room 1 - C
“..................” (-_- )-_- ) (-_-(-_- ) (- -(-_- ) (_ _(-_- )
ผมและนักเรียนม.ต้น ปี 1 ห้อง C สามสิบกว่าชีวิตนั่งประจำโต๊ะของตัวเองพุ่งสายตาไปที่หน้ากระดานอย่างพร้อมเพรียงกัน เปล่า ถึงวันนี้จะเป็นวันแรกของการเรียนครึ่งเทอมหลังเด็กห้องบ๊วยอย่างพวกผมก็ไม่คิดจะตั้งใจเรียนหรอก ไอ้เด็กใหม่ที่ยืนตัวซีดอยู่หน้าห้องนั่นต่างหากที่พวกผมกำลังให้ความสนใจอยู่ แต่ก็นั่นแหละ พวกผมมันเด็กสมาธิสั้น ไม่ถึงห้านาทีก็หันไปเม๊าท์กันเสียงดังประหนึ่งยกชองดัมดงทั้งย่านมาตั้งในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี่แล้ว ตอนหมอนั่นแนะนำตัวแทบไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ ไอ้ผมที่อยากจะฟังมันแนะนำตัวซะหน่อยก็ดันไม่ได้ยินเพราะห้องเสียงดังเกินไป ช่างแม่งละกัน งีบดีกว่า
“นี่! เด็กๆ พวกเธอจะไม่สนใจเพื่อนใหม่จริงๆหรอ? เขาเป็นเด็กฝึกหัดของค่าย TX เชียวนะ”
สำหรับเด็ก SHAP คำว่าเด็กใหม่ไม่เคยได้รับความสนใจมากไปกว่าคำว่า ‘เด็กฝึกหัด’ ได้ชื่อว่าโรงเรียนผลิตไอดอลอันดับต้นของเกาหลีใต้ แน่นอนว่าเด็กทุกคนที่พ่อแม่ยอมควักเงินให้เข้ามาเรียนที่นี่เป้าหมายสูงสุดคือการเป็นศิลปินของค่ายเพลงใดค่ายเพลงหนึ่ง อ้อ ต้องยกเว้นผมสินะ เพราะเหตุผลเดียวที่ผมยอมเข้าเรียนที่นี่ตามความต้องการของพ่อกับแม่ คือ มันใกล้บ้านที่สุด ผมซึ่งเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านการนอนตื่นสายสามารถลากสังขารมาโรงเรียนได้ทันถึงแม้ว่าจะตื่นก่อนประตูปิดแค่ 10 นาทีก็ตาม หึหึหึ น่าภูมิใจอะไรอย่างนี้
ท่าไม้ตายของครูใช้ได้ผลอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเด็กลิงทั้งหลายในห้องหยุดการกระทำทุกอย่างราวกับกดปุ่ม pause หันมองไปทางหน้าห้องเป็นตาเดียวด้วยสายตาชื่นชมปนตกตะลึง ต่างจากการจ้องที่ปราศจากความสนใจครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง
“สวัสดี ฉันชื่อชเวจุนฮง ฝากตัวด้วยนะ”
ผมว่าพวกคุณคงเดาออกว่าชีวิตในโรงเรียนของหมอนั่นหลังจากวันนั้นจะเป็นยังไงหลังจากเปิดเทอมมาได้เกือบสองเดือน ตามนั้นเลยครับ ทุกคนเข้าหา ให้ความสนใจ บางคนถึงขั้นทำตัวตีสนิทหมอนั่นประหนึ่งซี้กันมาสามชาติเศษ เหตุผลก็มีอยู่แค่อย่างเดียว เพราะหมอนั่นกำลังจะกลายเป็น ‘คนดัง’ ในเร็วๆนี้ไงล่ะ ส่วนผมหรอ? ผมก็ใช้ชีวิตตามแบบฉบับเด็กม.ต้นห้องบ๊วยของผมไปน่ะสิ พวกคุณคงไม่คิดว่าผมจะปั้นหน้ากากเข้าไปทำความรู้จักหมอนั่นเหมือนที่พวกนั้นทำหรอกนะ? หึหึ ผม คิมฮิมชาน นะครับ
“อัซซ่า!!” ร่างบางเผลออุทานกับตัวเองกระโดดด้วยความดีใจ หลับตาสูดกลิ่นไอดินจนเต็มปอด หลังจากรอมาหลายอาทิตย์ในที่สุดฝนฤดูร้อนที่เขารอคอยก็ตกลงมาซักที มือเรียวกระชับสายเป้เตะขากำลังจะก้าวออกจากตัวอาคารแต่ก็ต้องชะงักไว้เพราะเสียงของใครบางคน
“เฮ่ย!! นี่แกจะทำอะไรน่ะ?” ร่างโปร่งร้องตกใจยกมือห้ามคนที่กำลังจะก้าวลงจากอาคารเดินฝ่าสายฝน
“กลับบ้านน่ะสิถามได้” คนถูกเรียกหันมาตอบเสียงห้วนอย่างปกติ อันที่จริงเขาไม่ได้ใส่ใจเด็กใหม่สุดฮอตคนนี้นักหรอก เพียงแต่นึกสงสัยในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมาทักเขาในเวลาที่คนอื่นๆกำลังวุ่นวายหาที่กันฝนแบบนี้เพื่ออะไรทั้งที่ปกติเจอกันที่ห้องทุกวันก็ไม่เคยแม้แต่จะเดินผ่านโต๊ะเขาด้วยซ้ำ
“ฉันรู้ แต่นี่แกจะตากฝนเดินกลับบ้านงั้นหรอ?”
“ก็เออสิ ทำไม?”
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกฝนตกหนักขนาดนี้” สีหน้ากังวลใจตอนเหลือบมองสายฝนด้านนอกของคนตัวสูงทำให้ร่างบางรู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“เหอะๆ ไม่มีคำว่าป่วยในสารบบของฉัน ไม่ต้องห่วง” คนหน้าหวานโบกมือปัดกลบเกลื่อนอาการของตัวเอง ก้าวขาเตรียมจะออกเดินอีกครั้ง แต่ก็ต้องดึงเท้ากลับมายืนตรงบนอาคารอีกจนได้เพราะเสียงเรียกของเด็กใหม่คนเดิม ร่างเล็กยู่ปากพ่นลมออกมาอย่างเหลืออด ยกมือเท้าเอวเอียงคอหันมาจ้องคนเจ้าปัญหาอย่างเอาเรื่อง
แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อคนตัวสูงหยิบร่มสีน้ำเงินจากกระเป๋าตัวเองขึ้นมากางแล้วออกไปยืนกลางฝนพร้อมกับกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปอยู่ในร่มด้วย ฮิมชานยืนมองร่างโปร่งอย่างชั่งใจ ตัวเขาเองไม่เคยคิดจะเข้าไปอยู่ใต้ร่มกันฝนอยู่แล้วไม่ว่าจะคันไหนในโลกก็ตาม เพียงแต่สงสัยว่า ถ้าเขาจะเข้าไปอยู่ในร่มนั่นจริง มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ตัวเขาจะไม่เปียกฝน ร่มนั่นคันใหญ่ก็จริง แต่ด้วยขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่าเด็กปีหนึ่งทั่วไปของเด็กหนุ่มตรงหน้า แค่เขาคนเดียวก็ยืนซะเต็มพื้นที่แล้ว
“อ้าว เฮ้! จะไปไหนน่ะ? รอด้วยสิ” ร่างโปร่งร้องขึ้นเมื่อฮิมชานก้าวลงจากอาคารเดินผ่านเขาไปท่ามกลางสายฝนที่เทลงมา ขายาวรีบก้าวตามไปกางร่มบังร่างเล็กที่พยายามเร่งฝีเท้าเดินหนีเขา
“โว้ย!! จะตามมาทำไมวะเนี่ย?! แกมีปัญหาอะไรกับฉันหา?!” ร่างบางหยุดหันไปตะคอกคนเดินตามอย่างหงุดหงิด คนถูกตะคอกเบิกตาด้วยความตกใจ
“...ฉันอยากรู้จักแก”
“ห๊ะ! เวลาแบบนี้เนี่ยนะ? เพื่ออะไรวะ?” ฮิมชานเลิกคิ้วด้วยความงุนงง มือบางยกขึ้นลูบน้ำฝนออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ แววตาใสซื่อกระพริบปริบๆของร่างสูงที่ถือร่มค้างไว้บังตัวเขาจากสายฝนแต่ตัวเองกลับยืนรับน้ำฝนอยู่ด้านนอกทำให้ฮิมชานอารมณ์อ่อนลงแต่ก็ยังไม่คลายความหงุดหงิด
“เพราะแกเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่เคยคุยกับฉันเลย”
“เฮ่อะ! คนทั้งห้องก็คุยกับแกตั้งเยอะแยะ ขาดฉันไปคนเดียวนี่มันเป็นปัญหาขนาดนั้นเลยรึไง?” ปากอิ่มหยักสีชมพูพีชยิ้มเหยียด คิดว่าทุกคนต้องเข้าหาตัวเองกันหมดรึไงกัน น่าขำชะมัด
“...คนพวกนั้น.....พวกเขามีจุดประสงค์กันทั้งนั้นแหละ ทั้งโรงเรียนก็มีแต่แกคนเดียวที่ไม่พยายามเข้าหาฉัน...” ฮิมชานจับความเศร้าที่เจืออยู่ในน้ำเสียงนุ่มของคนตรงหน้าได้ แววตาจริงจังตอนเขาพูดบอกว่าเขาไม่ได้โกหก
“อันที่จริงฉันจะเข้าไปทักแกหลายครั้งแล้ว แต่คนพวกนั้นล้อมหน้าล้อมหลังเยอะเกินไปฉันเลยไม่มีโอกาส แล้วอีกอย่าง....แกก็เหมือนไม่อยากจะคุยกับฉันเท่าไหร่..” ประโยคสุดท้ายของร่างโปร่งเบาราวกับพูดกับตัวเอง แต่ในระยะห่างแค่นี้ฮิมชานสามารถจับใจความได้อย่างไม่ยากเย็น
“ก็ใช่ไง ฉันไม่อยากรู้จักแก พวกที่ล้อมหน้าล้อมหลังแกมันวุ่นวายน่ารำคาญ แกก็กำลังจะเป็นคนดังนี่นะ ทำใจซะเถอะว่ะ ฉันไปล่ะ” มือบางยกขึ้นตบไหล่กว้างแล้วก้าวเดินจากมา ทว่าแต่ละก้าวกลับเชื่องช้าต่างจากตอนแรก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดประโยคใจร้ายแบบนั้นออกไป นึกอยากหันกลับไปอธิบายแต่ขาก็ไม่ยอมหยุดเดิน
“แต่ฉันอยากเป็นเพื่อนแกนะ...” ขาเรียวหยุดชะงักหันกลับไปมองต้นเสียง ร่างสูงก้าวยาวๆมายืนกางร่มอยู่ข้างๆพร้อมคลี่ยิ้มเศร้าๆกระพริบตาปริบๆเป็นเชิงอ้อนวอน
“ทำไมต้องอยากเป็นเพื่อกับฉัน?” ร่างบางถามหน้านิ่ง บังคับหัวใจไม่ให้วูบไหวไปกับท่าทางของคนตัวสูง
“เพราะแกอยู่ด้วยแล้วมีความสุข”
“เหอะ แกรู้จักฉันรึไงถึงรู้ว่าอยู่กับฉันแล้วมีความสุขน่ะ?” ฮิมชามเหลือบตามองร่างโปร่งอย่างไม่ไว้ใจ ขณะเดียวกันก็ระงับจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่รู้จักหรอก...แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันมีความสุข” คนตรงหน้าตอบพลางก้มหน้ายกมือเรียวใหญ่ขึ้นปัดสางผมเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนไปมา ตาเรียวที่จ้องจรดอยู่แค่ปลายผมสั้นๆของตัวเองกับใบหน้าขาวซีดขึ้นสีส้มเรื่อนั่นทำให้ฮิมชานนึกขำในใจ ร่างบางมองกิริยาของคนตัวสูงขณะที่หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ เลือดสูบฉีดขึ้นที่ใบหน้าหวานทีละน้อย
“...งั้นก็ตามใจ” คำตอบเรียบๆเก็บอาการของฮิมชานทำเอาคนตัวสูงหันขวับมามองด้วยแววตาลิงโลดที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ ปากบางเฉียบสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มกว้างอย่างสดใสราวกับส่องแสงสว่างออกมาได้ ร่างเล็กเผลอจ้องมองรอยยิ้มเป็นประกายนั้นอยู่นาน ทันทีที่เรียกสติกลับมาได้ก็รีบสับเท้าเดินมุ่งสู่บ้านตัวเอง
It's because I like you so much, eventhough I always have an indifferent face.
“เต้นเก่งมากเลยจุนฮงอ่า อ่ะเค้กนี่นูน่าซื้อมาให้ ต้องกินนะ”
“เอ่อ..ครับ ขอบคุณครับ”
“เป็นเด็กฝึกนี่คงเหนื่อยมากใช่มั้ย? มีอะไรให้พวกพี่ช่วยก็บอกได้เลยนะ”
“ใช่ ไม่ต้องเกรงใจนะ นูน่าเต็มใจ ฮะๆๆ”
ร่างบางยืนกอดอกพิงเสา กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่ายมองพวกรุ่นพี่ผู้หญิงที่เอาขนมนมเนยมาให้เพื่อนสนิทของตนที่เพิ่งลงเวทีมาหยกๆ การแสดงของจุนฮงที่เพิ่งจบไปเป็นการแสดงที่มีคนรอชมมากที่สุดในงานโรงเรียนปีนี้ก็ว่าได้ การเต้นฟรีสไตล์ที่เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างป๊อปกับฮิปฮอป ท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบราวกับเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์แบบนั้นทำเอาผู้ชมทั้งฮอลล์นั่งนิ่งอ้าปากค้างราวกับถูกสะกดตลอดทั้งการแสดงของเขา ไม่เว้นแม้แต่ตัวฮิมชานเอง
“คงตื่นเต้นมากเลยสินะที่แสดงเมื่อกี้น่ะ เหงื่อออกเต็มเลย มาเดี๋ยวพี่เช็ดให้” นักเรียนหญิงรุ่นพี่หนึ่งในนั้นพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อให้เด็กหนุ่มร่างสูง เจ้าตัวก้มหน้าพยายามเบี่ยงหลบอยู่น้อยๆแต่ก็ไม่พ้นจากวิธีผ้าผืนนั้นอยู่ดี ท่าทางแบบนั้นของเพื่อนสนิททำให้ร่างบางที่ยืนดูอยู่รู้สึกหงุดหงิดจนต้องทำเป็นเสมองไปทางอื่นกรอกตาขึ้นฟ้าเบะปากอย่างหมั่นไส้
“เอ่อ ไม่เป็....” เสียงนุ่มของร่างโปร่งขาดไปพร้อมกับแรงฉุดที่ข้อมือหนา ฮิมชานไม่รู้ว่าตัวเองลากเพื่อนสนิทออกมาจากตรงนั้นเพื่อเหตุผลอะไร รู้เพียงแต่ไม่ชอบใจเอามากๆที่เห็นผู้หญิงคนนั้นทำแบบนั้น ขาเรียวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายโดยไม่หันไปมองคนถูกตนจูงมือแม้แต่น้อย ในขณะที่คนถูกจูงเองก็ไม่ทักท้วงอะไร เดินตามเจ้าของมือเรียวนุ่มอย่างว่าง่ายเสียด้วยซ้ำ
“คาราเมลปั่นสองแก้วฮะ” ร่างเล็กสะบัดปล่อยข้อมือหนาเมื่อเดินเข้ามาในคาเฟ่เล็กๆภายในโรงอาหาร นั่งลงบนเก้าอี้หน้าเค้าเตอร์รอเมนูที่สั่งไป แสร้งหยิบนิตยสารใกล้มือขึ้นมาเปิดอ่านหนีสายตาของร่างโปร่งที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เพราะงานในหอประชุมยังไม่จบภายในร้านจึงมีเพียงเพื่อนสนิททั้งสองเท่านั้น
“.....มองอะไร?” คนหน้าหวานเงยหน้าจากนิตยสารที่เปิดไว้แต่ไม่ได้อ่านขึ้นมามองหน้าร่างโปร่งที่ก้าวมายืนอยู่ข้างๆจ้องเขาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างหัวเราะขันๆ คนถูกถามไม่ตอบแต่กลับยื่นใบหน้าฉาบยิ้มทะเล้นเข้ามาใกล้คนบนเก้าอี้ ร่างบางหัวใจเต้นรัวทั้งกลัวจะถูกจับได้ทั้งเขินอายกับท่าทางคนตรงหน้า พยายามปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดส่งกลับไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานยกเมนูที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี มือบางรีบวางเงินแล้วคว้าแก้วของตัวเองดีดตัวลงจากเก้าอี้สาวเท้าออกจากร้านด้วยท่าทางที่ดูปกติที่สุด
“มองหาไม้มาตีหัวตัวเองหรอ ไม่เคยเห็นคนกินคาราเมลปั่นรึไงวะ” ฮิมชานหยุดเดินหันไปถามคนที่ยังคงจ้องหน้าตนมาตั้งแต่ในร้านด้วยสีหน้าแววตาหงุดหงิดกลบเกลื่อนอาการของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ อันที่จริงคนหน้าหวานเริ่มจะชำนาญกับเรื่องนี้ทีละน้อยหลังจากรู้จักกับเพื่อนใหม่คนนี้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องเป็นแบบนี้ตลอดเวลาที่อยู่กับคนตรงหน้า แทบไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนเวลาที่คนตัวสูงอยู่ใกล้ๆ
“แกลากฉันออกมาเพราะอยากกินคาราเมลปั่นเนี่ยนะ?”
“เออสิ จะเพราะอะไรอีกล่ะ คิดว่าฉันจะหึงที่ยัยนั่นเช็ดหน้าให้แกรึไง?”
“ก็...เปล๊า” ร่างสูงเลิกคิ้วส่ายหน้าเหลอหลา
“คราวหลังก็อย่าไปให้เขาเช็ดหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นนะ”
“ฮั่นแน่ ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าหึงฉันน่ะ?”
“หึงพ่อง! ไม่เคยดูข่าวรึไง ยาสลบแบบป้ายมีขายกันเกลื่อน มีคนโดนฉุดไปทำไม่ดีไม่ร้ายตั้งหลายราย”
“จริงหรอ?” ร่างสูงหันมาเบิกตาถามอย่างประหลาดใจทั้งที่หลอดดูยังคาอยู่ที่มุมปาก ฮิมชานแสร้งกรอกตาขึ้นฟ้ายู่ปากพ่นลมส่ายหน้าอย่างเอือมๆก่อนเอื้อมมือไปใช้นิ้วเช็ดคราบคาราเมลปั่นออกจากมุมปากร่างโปร่ง พลางระงับแววตาไหวระริกรัวเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจเมื่อจับจ้องไปที่กลีบปากบางสีชมพูอ่อนที่มักจะคลี่ยิ้มสว่างสดใสออกมาแทบจะตลอดเวลา
“เอ๋อๆอย่างแกจะไปรู้อะไรกับชาวบ้านเค้าล่ะ ใครจะมาแตะตัวก็หัดระวังมั่งละกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คงไม่มีใครคิดแผลงๆแบบนั้นหรอก”
“ไม่ได้ ถ้าโดนขึ้นมาแล้วจะหาว่าฉันไม่เตือน”
“ดูแกจะหวงฉันมากกว่าตัวฉันเองซะอีกนะเนี่ย” ร่างโปร่งพูดกลั้วหัวเราะก่อนอ้าปากคาบหลอดดูดคาราเมลปั่นท่าทางไม่ยี่หระ ทว่าตาคู่เรียวกลับเหลือบจ้องมายังอีกฝ่ายด้วยแววคาดหวังอย่างปิดไม่มิด
“เออ! หวง! พอใจรึยัง?” ฮิมชานเกร็งลูกตาจ้องคนตรงหน้าจนร่างสูงต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาแสร้งสนใจอย่างอื่น ขาเรียวก้าวเดินต่อไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลัง สาวเท้าเอื่อยเฉื่อยหากแต่รวดเร็วด้วยท่าทีไม่ร้อนรนว่าจะถูกจับได้เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ผิดไปจากความจริงแม้แต่น้อย ราวกับประโยคเมื่อครู่ไม่ได้มีความสำคัญอื่นใดนอกจากเพื่อประชดเพียงเท่านั้น....
ทั้งๆที่ฮิมชานเองรู้ตัวดีว่าเขาได้ประชด ‘ความจริง’ ออกไป
ในตอนแรก ผมแสร้งตีหน้าเย็นชาใส่จุนฮงเพียงเพราะไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อหมอนั่น นานเข้ามันกลายเป็นความเคยชินของผมที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกหวั่นไหวซึ่งทวีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆไว้ภายใต้ท่าทีเรียบนิ่งหากแต่ยังคงความสดใสร่าเริงเป็นปกติของตัวเองเอาไว้ แต่แล้วในท้ายที่สุด ท่าที ‘ปกติ’ ซึ่งผมสร้างขึ้นเองนั้นกลับกลายเป็นรั้วเหล็กสูงกักกั้นผมจากการเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองที่มีต่อหมอนั่นโดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันจุนฮงเองก็ไม่เคยมีท่าทีว่าจะคิดเหมือนกันกับผมแม้แต่น้อย เว้นแต่จะหยอกแหย่ตามประสาคนขี้เล่น สิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้จึงมีเพียงปล่อยให้เวลาและระยะทางกร่อนความรู้สึกภายใจในให้เจือจางไปอย่างช้าๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็นฝุ่นตะกอนจับตัวกันเป็นแผ่นบางอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ....
.........ตะกอนที่นอนรอบางสิ่งเข้ามากระทุ้งให้ฟุ้งกระจาย......ไม่ก็อยู่ในซอกหลืบซึ่งลึกเกินกว่าจะมีสิ่งใดสามารถหยั่งแทรกเข้าไปรบกวนได้...ตลอดกาล
CRY .q
ความคิดเห็น