ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Devil Hi School โรงเรียนป่วนก๊วน ปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #2 : Devil Hi School โรงเรียนป่วนก๊วน ปีศาจ - คาบที่ 1 โรงเรียนปีศาจ

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 55


     

     





    ...ไม่นึกเลยว่ามันจะไกลขนาดนี้...

            แสงแดดส่องกระทบกระจกใสเป็นละอองเรื่อง ท้องทะเลส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางปุยเมฆขาวจั๊ว บรรยากาศสดชื่นที่นานๆทีปีหนจะได้สัมผัสสักที
    แบบนี้มันทำให้ผม....

             "แหวะ..." แฮมเบอร์เกอร์ที่สวาปามเข้าท้องไปเมื่อเช้าเริ่มทยอยเดินขบวนประท้วงออกมา มันคงจะดีอยู่หรอกถ้าทางที่มันออกมาไม่ใช่ทางเดียวกับทางเข้าแบบนี้ มันทำให้ผมนึกถึงอาหารรสเปรี้ยวๆที่แทบจะหาไม่ได้เลย ทำไมน่ะเหรอ

             ...มันเป็นกรด

             ความจริงผมก็ไม่ใช่พวกเมารถเมาเรืออะไรง่ายๆหรอกนะ แต่ตอนนี้ผมอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสองหมื่นฟุต และสิ่งที่ทำให้ผมมาอยู่ในบรรยากาศที่ไอติมไม่มีวันละลายแบบนี้ได้คือเจ้านกเหล็กที่โคลงเคลงไปมาทุกๆสิบนาทีตัวนี้แหละ ใครช่วยบอกผมทีว่านี้มันไม่ใช่รถไฟหะ... "แหวะ"
             

           ตอนนี้ผมกำลังอยู่บนท้องฟ้า ใช่ คุณฟังไม่ผิดหรอก ทางโรงเรียนส่งเครื่องบินมารับ แต่นั่นทำให้ผมทึ่งไม่ได้มากเท่ากับไอตัวอักษรสีแดงเหมือนเลือดเด่นหราสะดุดตาที่ เขียนว่า Devil Hi School ที่อยู่บนตัวเครื่องบินที่ดูเหมือนจะเป็นเศษเหล็กราคาถูกที่เค้าเลาะขายทิ้งเพราะกำลังจะขึ้นสนิมหรือจะหักแหล่ไม่หักแหล่มาประกอบกัน มันทำให้ผมเผลอยกบัตรประกันชีวิตที่คิดว่าจะไม่ได้ใช้ซะแล้วขึ้นมาดูว่ามันคุ้มครองเรื่องเครื่องบินตกหรือเปล่า 

           ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนเบนหน้าไปยังกระจกทรงกลมด้านข้างอย่างเบื่อหน่ายอีกรอบ ถึงจะเอียนกับสภาพบรรยากาศด้านนอกไปหน่อยก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าหันไปสบตากันคนด้านข้างตอนนี้ เพราะดูเหมือนด้านข้างอีกฝั่งของผมจะมีสาวแว่นขี้อายประเภทรุนแรงนั่งติดกันอยู่ด้วยแหละ ตอนที่ผมเผลอไปสบตาเธอแป๊ปเดียวใบหน้าของเธอก็กลายเป็นสีแดงราวลูกตำลึงแทบจะทันที จากนั้นก้มหน้าคงไปเขี่ยนิ้วตัวเองเล่น ขืนผมมองไปอีกทีแม่คุณอาจขาดใจได้เพราะความเขินเอาก็ได้ ผมไม่อยากมานั่งรับผิดชอบหรอกนะ

          วิวทิวทัศด้านนอกบ่งบอกว่าผมกำลังอย่เหนือพื้นมหาสมุทร ก็ยอมรับล่ะนะว่าโลกมีน้ำอยู่ถึงสองส่วนสาม แต่พอมาเห็นแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันกว้างใหญ่จริงๆ

         "ประกาศ" เสียงดังมาจากลำโพงทำให้ผมละสายตาจากกระจกและทิวทรรที่แสนจะน่าเบื่อ ดูเหมือนสาวแว่นเจ้าของผมสีน้ำตาลเปลือกไม้จะเงยหน้าขึ้นมาจากการเล่นเล็บตัวเองกว่าสองชั่วโมงด้วยเหมือนกัน เสียงจากลำโพงนั้นหยุดไปสักพักราวกับรอให้คนสนใจหมดแล้วกล่าวต่อ "ขณะนี้เรากำลังจะลงจอดที่โรงเรียน  Devil Hi School "

          โกหกน่า!!! ลงจอด ผมยังไม่เห็นว่ามันมีอะไรใต้เครื่องบินนี้เลยนะนอกจากน้ำทะเลสะท้อนแสงระยิบระยับเลยนะ

          ผมคิดได้แค่นั้น เพราะอยู่ๆก็มีสายอะไรบางอย่างรัดตัวและแขนขาผมเอาไว้ และดูเหมือนสาวแว่นจะโดนด้วย ไม่สิ โดนทั้งเครื่องบินเลยนี่น่า เท่าที่ผมจำได้ก่อนลงจอดไม่เคยมีเครื่องบินที่ไหนมีระบบแบบนี้เลยนะ แล้วก็ไม่ใช่พวกโรคจิตชอบโดนรัดซะหน่อย เห้ ปล่อยนะ!!!

          "เฮ้ย!!!" อยู่ๆสภาพบรรยากาศด้านนอกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงราวกับเลือด แต่ต้นเหตุของเสียงร้องของผมจริงๆมาจากการที่อยู่ดีๆเครื่องบินก็พุ่งหัวลงพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แบบที่ผมเคยทำในเกมคอมพิวเตอร์บ่อยๆ และผลที่ออกมาคือเครื่องบินในเกมกลายสภาพเป็นเศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อย นั้นทำให้ผมหลับตาปี๋ คิดถึงพ่อแก้วแม่แก้ว และวงเงินประกัน...

          วูบ!!!

          เสียงเหมือนเครื่องบินบินผ่านอะไรสักอย่าง ไม่มีเสียงระเบิด หรืออาจจะมีแต่ผมไม่ได้ยิน แต่ผมคงไม่ชอบอย่างหลังแน่ ผมรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลซึมที่ต้นคอ ทุกอย่างนิ่งสงบ ผมจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ หวังว่าภาพที่เห็นคงไม่ใช่นรกหรอกนะ หรือถ้าเป็นจริงไม่แน่ผมอาจจะขอร้องยมบาลให้ผมกลับไปเซ็นพินัยกรรมก่อนได้มั้ยเนี่ย เอาเถอะ เป็นไงเป็นกันฟะ...

          แสงแดดทอเป็นลำแสงผ่านกระจกวงกลมกระทบเปลือกเลนต์ตาสีน้ำตาลใสของผม ทำให้ผมต้องหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อปรับแสง แต่ทันทีที่นัยน์ตาของผมปรับแสงได้มันก็เบิกกว้างขึ้น ภาพที่ผมเห็นราวกับเป็นความฝัน มันเป็นภาพของทุ่งหญ้ากว้างใหญ่จรดแม่น้ำโดยมีฉากหลังเป็นภูเขา ที่กลางทุ่งหญ้ามีปราสาทขนาดเท่าเมืองย่อมๆเมืองนึง ส่วนด้านหลังปราสาทเป็นป่าทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

          ตะกี้เป็นทะเลไม่ใช่เหรอ แล้วไอปราสาทนั่น...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย

          ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะพื้น อยู่ๆสายรับก็คลายตัวออก ทำให้ผมที่นั่งอึ้งอยู่นานออกอาการตกใจเล็กน้อย แค่เผลอกรี๊ดนิดหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมควรทำคือหาคนมาอธิบายเครื่องหมายคำถามตัวโตๆที่อยู่บนหัวผม ผมจึงหันไปหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุด

          ทันทีที่สายตาของผมจ้องเข้ากับนัยน์ตาสีทับทิมหลังกรอบแว่นทรงโบราณ ผมก็รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกด เหมือนมีพลังบางอย่างแฝงออกมา มันเป็นพลังที่ชวนหลงไหลจนผมเผลอเคลิ้มไปตอนไหนก็ไม่รู้

          "ขอโทษน่ะ" เสียงหวานใสดึงสติผมกลับมา สาวแว่นเจ้าของเสียงเมื่อกี้ก้มหน้าลงไปเล่นเล็บตัวเองอีกครั้ง ส่วนผม เครื่องหมายคำถามด้านบนเพิ่มขนาดเข้าไปอีก

          "ขอโทษผมเรื่องอะไร" ผมถาม

          "..." เงียบ

          "ผม ชื่อ เพลส นะ" ผมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัว

          "เรย์..." เสียงตอบกลับเบาราวกับเสียงกระซิบแต่ยังคงความหวานใส
    มิสึนะ เรย์

          "’เออ เรย์... เราไปกันบ้างเถอะ" ผมพูด เพราะเริ่มเห็นคนอื่นในเครื่องทยอยลงกันจะหมดแล้ว

          และผมต้องประหลาดใจอีกทีเมื่อเท้าสัมผัสพื้น ประสาทที่ผมเห็นเมื่อกี้เมื่อมองจากตรงนี้มันดูใหญ่โตมโหรานประเภทที่เรียก ว่าผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมดเลยทีเดียว ด้านหน้าผมมีประตูทางเข้าที่มีหินสลักอยู่ด้านบนว่าDevil Hi School ผมได้แต่ค่อยๆเดินเข้าไปตามคนอื่นๆแบบมึนงง ด้านในเหมือนกับเมืองที่ผมเล่นในเกมต่างกันตรงที่นี่มันของจริง บ้านทรงประหลาดปลูกไว้ตามทางเดินที่ทำจากหินอะไรสักอย่าง ผู้คนแถวนี้แต่งกายด้วยชุดประหลาด แบบมีเหล็กอยู่เต็มไปหมดหยั่งกับเสื้อเกราะ หรือเสื้อคลุมกันทรายทั้งตัวก็ยังมี

          "ประกาศ" เสียงดังก้องกังวาลดูมีอำนาจดังไปทั่ว "นักเรียนที่มาถึงกรุณามารวมตัวกันที่ปราสาทมารอสซ่า"

          ...ประสาทมารอสซ่า ชื่ออย่างกับซอส แล้วมันที่ไหนกันล่ะ!!!?

          ผมนิ่งพลางเอียงคออย่างงงๆ(คาดว่าตอนนี้ตัวเองคงดูน่ารักมาก)

         อุ๊ค!!!

         อยู่ๆก็มีร่างสูงที่ไหนไม่รู้ชนผมซะกระเด็นหมุนตัวไปสี่ห้าตลบ

          "โอยยย เจ็บชะมัด!!!" ผมค่อยๆลุกขึ้นพลางกัดฟันข่มความเจ็บปวด

          "เธอ เป็นอะไรมั้ย" ร่างสูงวิ่งมาดูผมตัวสีหน้าตื่นตระหนก

          "ไม่เป็นไรฮะ" แค่กระเด็นกลิ้งไปสี่ห้าตลบเอง แถมแผลฟกช้ำอีกนิดหน่อย ไม่ถึงตายหรอกฮะ แฮะๆ

          ผมมองหน้าคนที่ชนผมกระเด็น หมอนี่มีนัยน์ตาสีฟ้าเหมือนน้ำทะเลมีขีดกลางแบบแมว เส้นผมสีขาวสะท้อนแสงดูยุ่งๆ ใบหน้าที่หล่อเหลา ผิวขาวเกลี้ยงราวกับไม่เคยเจอแสงแดดมาก่อน แต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาวเข้ากับสีผม ดูแล้วน่าจะเป็นครูของที่นี่

          "งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ" คนผมขาวเตรียมตั้งท่าจะเดินต่อ

     

     

          "เดี๋ยวก่อนฮะ" ผมพูดขึ้น ส่วนชายคนนั้นหยุดนิ่ง ผมคลี่ยิ้มใสซื่อฉบับเพลสไปให้เขา "ผมมีเรื่องจะถามเยอะแยะเลย"
          ....

     

     


           "ว่าไงนะ!!! " เสียงดังแปดหลอดดังขึ้นภายในตรอกแห่งหนึ่ง แน่ล่ะมันเป็นเสียงของผมเอง "โรงเรียนปีศาจ!!! "

     

     

          แม้คำพูดของครอส(คนหัวขาวเมื่อกี้)จะดูไม่น่าเชื่อ แต่ผมก็หาคำอธิบายอื่นมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ สรุปผมถูกส่งเข้ามาที่โรงเรียนปีศาจเหรอเนี่ย ผมไม่ได้ฝันอยู่หรอกนะ

           ว่าแล้วก็ทดลองด้วยการต่อยผนังเต็มแรง

         "โอ๊ย!!!" เจ็บ... ไม่ได้ฝันจริงด้วย นี่ผมถูกส่งมาโรงเรียนปีศาจจริงๆเหรอเนี่ย

         "นี่เธอไม่เห็นจะต้องตกใจอะไรขนาดนั้นซะหน่อย" ใบหน้าของครอสมองผมอย่างเอือมระอา ก่อนทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้และมองผมด้วยนั้ยน์ตาที่เบิกกว้าง "หรือว่าเธอไม่ใช่..."

          "...ปีศาจ" ผมต่อ "คุณตั้งใจจะพูดแบบนั้น...ใช่มั้ยฮะ"

           ครอสพยักหน้า

           ...อ่า ซวยฉิบ...

           ผมคุงเข่าลง ก้มหน้าลงพื้นอย่างหมดอะไรตายอยาก

     

     

          เพลส ครอสเรียกชื่อผม

     

     

         ฮะ ผมหันขึ้นไปมองด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

     

     

          ตามฉันมา ครอสพูด เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว

     

     

            อึก!!!

         "ตามมาเร็วๆสิ" ครอสกวักมือเรียก ดูเหมือนเค้าจะเห็นผมกำลังชมนกชมไม้ไปเรื่อย

         ...ยังรับไม่ได้ต่างหากเฟ้ย...

         "ครับบบ" ผมลากเสียงยานคาง ทั้งที่รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว แต่มันกลับไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นแม้แต่น้อย อุตส่าห์คิดว่าจะตั้งต้นเรียนมัธยมปลายเหมือนคนอื่นๆเค้า มีเพื่อนดีๆสักกลุ่ม จีบสาวไปเรื่อย ตั้งใจเรียนเพื่อสอบมหาลัย หางานทำ หาผู้หญิงดีๆสักคน มีลูก...

         “เฮ้อ...ผมหลับตาไล่ความคิดตัวเองก่อนจะเดินตามครอสไป

         ครอสเดินนำผมไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีส้มสลับกับน้ำตาลเข้มลายตารางหมากรุก ดูเหมือนมันจะเป็นทางเดินที่เชื่อมต่อกับปราสาทสีน้ำเงินที่ขนาดใหญ่ที่สุดแถมยังอยู่ที่จุดศูนย์กลาง ตามทางเดินปลูกต้นไม้ไว้เพิ่มความร่มรื่น แถวนี้ไม่มีบ้านคนสักหลัง ผมเดินเหม่อไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้
     

         ผมเป็นมนุษย์คนเดียวในโรงเรียนนี้!!!
     

     

     

         ให้ตายสิ ทำไมผมไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ! ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเมืองนี้เป็นปีศาจ นั่นทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ปีศาจจะทำกับมนุษย์

     

     

          “ตายล่ะหว่า ผมสบถดังลั่นจนครอสหันมามอง

     

     

          มีอะไรงั้นเหรอ ครอสถามผม ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า น้ำเสียงเขาดูเป็นห่วง

     

     

           คือ... ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะถามดีมั้ย

     

     

           ตกลงมีอะไรล่ะ หน้าเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง ครอสพูด

           ... ตายเป็นตายวะ ผมตะโกนถามสุดเสียง
     

           "คุณจะทำอะไรกับผมมั้ยครับ!!!" ผมหลับตาปี๋ และอยู่ดีๆเหมือนครอสจะเข้ามาเอามืออุดปากผม "อุ๊บ!!!"
        
           "ชู่วว..." ครอสทำเสียงให้ผมเงียบ "ไว้คุยกันตอนถึงที่แล้ว"

           ผมพยักหน้ารับ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ อย่างน้อยถ้าผมขอร้องเค้าอาจจะให้ผมกลับไปเซ็นพินัยกรรมก่อนก็ได้มั้ง 

           ครอสพาผมเดินมาถึงหน้าปราสาททำให้ผมอึ้งอีกครั้ง ผมยืนอยู่หน้าประตูสีขาวที่ทำจากหินอะไรสักอย่างสลักลวดลายเหมือนบอกเล่าประวัติศาสตร์อะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งจริงๆคือมันมีขนาดพอๆกับบ้านผมสองหลัง นี่ม

           ผมหันหน้าไปมองคนหัวขาว ครอสพึมพำอะไรบางอย่างก่อนปรากฎวงกลมเรื่องแสงสีขาวที่ประตู จากนั้นประตูก็ค่อยๆแง้มออกทีล่ะนิด ด้านในเป็นทางเดินปูด้วยพรมสีแดงราวกับในวัง มีเสาต้นใหญ่ประดับด้วยธงสีแดงที่ตรงกลางมีรูปหัวแพะสีดำ และด้านล่างหัวแพะมีตัวอักษร
    Devil Hi School เขียนไว้ ผมสัมผัสความรู้สึกบางอย่างได้ มันค่อนข้างจะอบอุ่น และเป็นอะไรที่ดูคุ้นเคยเหมือนเป็นบ้าน

           ครอสไม่ปล่อยให้ผมได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขาเดินเข้าไปก่อนที่ผมจะเดินตามไปติดๆ

           "นี่ ครอส?" ผมพูดไปพลางเดินไปพลาง

           "มีอะไรอีกล่ะ" ครอสเบนหน้ามาทางผม แต่ยังคงเดินต่อ

           "ตะกี้ เวทย์มนต์งั้นเหรอ" ผมถามด้วยน้ำเสียงสนใจ

           "จะว่างั้นก็ได้นะ" ครอสเบนหน้ากลับไป "ปีศาจทุกตนมีความสามารถควบคุมธาตุเป็นคุณสมบัติพื้นฐานอยู่แล้วล่ะ หรือที่เค้าเรียกว่าพลังปีศาจน่ะแหละ"

            "..." ให้ตายเถอะ ปีศาจหรือพ่อมดเนี่ย

             ทางเดินยังคงทอดยาวไปเรื่อยๆราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่สองข้างทางมีอะไรแปลกใหม่ให้ดูเป็นระยะๆ ทั้งภาพวาด งานปั้น หรือแม้แต่โครงกระดูกไนโดเสา
            
            "แฮ็ก เหนื่อยชะมัด" ผมพูดพลางปาดเหงื่อที่หน้า ถึงทางเดินสองข้างทางจะมีอะไรแปลกใหม่ให้ดูอยู่เป็นระยะ แต่นี่ก็เดินมานานแล้วนะ ยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย

            ครอสเหล่มาทางผม ท่าทางเขาดูไม่เหนื่อยสักนิด "อดทนอีกหน่อย ใกล้ถึงแล้วล่ะ"

           "ฮะ..." ผมพยักหน้ารับรู้ รู้สึกได้เลยถึงขาที่ปวดไปหมด

           "ถึงแล้ว" ครอสเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ผมเดินลากขาตามเขามานาน ครอสเปิดประตูสีดำสนิทเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ ตรงท้ายห้องมีประตูบานสีดำอยู่อีกบาน หน้าประตูมีหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารบนโต๊ะทำงานของเธอ

             "อลิซ" ครอสเดินเข้าไปใกล้เธอ เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นมามอง
     
            "อ่าว ครอส กลับมาแล้วเหรอ" เสียงใสเอ่ยทักครอส จากนั้นก็มองมาทางผม "นั่นพาใครมาด้วยน่ะ?"

           ผมยิ้มใสกระชากใจสาวตามฉบับเพลสไปให้ก่อนจะแนะนำตัว แต่ครอสพูดแทรกเข้ามาก่อน

           "ท่าน ผอ.เซอร์เรเน่ อยู่มั้ย" ครอสถาม สีหน้าที่ดูจริงจังสุดๆทำให้ผมขนลุก

          "ท่านอยู่ในห้อง" อลิซตอบ "ว่าแต่ มีธุระอะไรเหรอ"

          "มีสิ..." ครอสตอบเสียงเย็น "...เรื่องใหญ่ด้วย"

          "เรื่องใหญ่?" อลิซทวนคำ
          
           ห้องนอนเด็กผู้หญิง....?

           ไม่ผิดแน่ คงไม่มีใครกล้าเถียงไอผ้าปูเตียงสีชมพูหวานลายหมีน้อยกับผนังลายดอกไม้น่ารักนั่นเป็นห้องนอนของผู้ชายหรอกนะ

          "มีเรื่องอะไร?" ใบหน้าดูเด็กอายุราวๆ 13-14 เส้นผมสีเพลิงยาวถึงเอว นัยน์ตาสีแดงเพลิงดูหยิ่งๆ ร่างเล็กใส่ชุดราวกับหลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซีนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โต๊ะ

          ...ยัยเด็กแก่แดดนี้อะนะ ผอ...

          "นายเรียกใครว่ายัยเด็กแก่แดด" เสียงจากร่างเล็กทำเอาผมสะดุ้ง

          "เปล่าฮะ" ผมพูดพลางเอามืออุดปาก แล้วยิ้มใสซื่อไปให้ ร่างเล็กมองผมด้วยสีหน้าราวกับเห็นแมลงสาบสักพักก่อนจะจ้องไปที่เจ้าครอส

          ไม่ต้องแสดงท่าทีรังเกียดชัดเจนขนาดนั้นก็ได้นะฮะ เห็นแล้วรู้สึกอยากลงไปนั่งร้องไห้กระซิกๆที่พื้น

          "ครอส ตกลงมีอะไรที่ทำให้เธอต้องมารบกวนเวลาพักผ่อนของฉัน?" นัยน์ตาสีแดงฉายแววอารมณ์เสียชัดเจน "คงรู้นะว่าถ้าไม่สำคัญจริงจะเกิดอะไรขึ้น"

          ผมกลืนน้ำลายเอือก รู้สึกได้เลยถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา ไม่น่าเชื่อว่ามันจะแผ่ออกมาจากเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ส่วนครอสก็ทำสีหน้าไม่ต่างจากผมมากนัก

          "คือ..." ครอสพูดอ้ำอึงอย่างเห็นได้ชัด "เรื่องของเด็กคนนี้"

           จากนั้นครอสก็เล่าเรื่องที่ผมเป็นมนุษย์ให้ยัยเด็กนั่นฟัง ผอแอบเห็นนัยน์ตาสีเพลิงเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะกับเป็นหยิ่งๆเหมือนเดิม นับว่ายัยนี่เก็บอารมณ์ได้ดีชะมัด

          "อืม...งั้นเองเหรอ" ผอสาวเอามือลูบคางเหมือนใช้ความคิด "ท่าทางคงเป็นเพราะระบบส่งมาผิดสินะ" แล้วนัยน์ตาสีแดงก็จ้องมาที่ผมอีกครั้ง ถ้าผมเดาไม่ผิด เหมือนยัยนี่กำลังสนุก? "นายว่าฉันควรจะทำยังไงกับนายดีล่ะ"

            "ไม่รู้สิ" ผมตอบไป "เธอว่าไงล่ะ"

            "ก็มันไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย" เข้าของนัยน์ตาสีแดงพูดพลางกลอกตาทำเอาผมสะอึก

            "งั้นก็ส่งผมกลับบ้าน" ผมเสนอความคิด "พวกคุณพอจะมีเวทย์พวกลบความทรงจำมั้ยล่ะ"

            "ไม่มีหรอกของแบบนั้นน่ะ" เจ้าของนัยน์ตาสีแดงพูด "แต่จะให้ความลับเรื่องนี้รั่วไหลไปไม่ได้"

           "จะทำยังไงดีล่ะครับ" ครอสทำสีหน้าตื่นตระหนก แต่มันไม่เท่ากับผมในตอนนี้หรอก

           "'ง่ายๆ" ดูเหมือนเจ้าของนัยน์ตาสีแดงจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร "จัดการซะก็สิ้นเรื่อง"

         "จัดการ!?" ผมทวนคำ คาดว่าตอนนี้ใบหน้าหล่อใสของผมคงซีดเป็นไก่ต้ม จัดการนี้คงไม่ได้หมายถึงการทำให้ผมหายไปจากโลกนี่หรอกนะ

          "ก็อย่างที่คิดน่ะแหละ" ร่างเล็กกลอกตา ขณะที่ผมตัวสั่นหงึกๆ

          ตายแหง!

          "ไม่ได้นะครับ" เสียงครอสขัดขึ้น "เรามีกฎว่าห้ามฆ่ามนุษย์นะครับ"

          "ก็รายงานว่าเป็นอุบัติเหติก็ได้นี่" เด็กสาวทำเหมือนไม่สนอะไร

          "แต่ว่า..." ครอสเถียงไม่ออก

         "งั้นก็ให้เจ้าหนูนี่ตัดสินใจเองล่ะกัน" ร่างเล็กพูดพลางมองตรงมายังผม มันให้ความรู้สึกเสียวสันหลังพิลึก "ว่าไงล่ะ"

           ถึงอยากจะแย้งว่าเธอเองก็เด็กเหมือนกันแหละน่าก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมต้องเอาสมองมาคิดในเรื่องความเป็นความตายของผมก่อน

          "คิดได้หรือยัง นานแล้วนะ" ร่างเล็กเอ่ยปากอย่างเบื่อๆ
     
            เพิ่งผ่านมา3วินาทีเองนะเฟ้ย

           ผมเอามือกุมหัว ก่อนจะคิดอะไรได้บางอย่าง "งั้น ให้ผมเรียนที่นี่ไปก่อนจนกว่าผมจะหาทางได้"

           "คิดดีแล้วนะ" ร่างเล็กกล่าว

           "อึก" ผมกลืนน้ำลายเสียงดัง "คิดดีแล้วฮะ" ผมตอบ

           "เอางั้นก็ได้...แต่มีข้อแม้อยู่อย่าง" ร่างเล็กกล่าว

           "ข้อแม้?" ผมทวนคำ
     
            "นายต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน" ยัยนั่นพูดเสียงใส พลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี และนั่นมันใช่คำพูดของเด็กสาวปกติแน่เหรอฟะ

            "พูดเป็นเล่นน่า" ชัดเจน ยัยนี่กำลังสนุกกับการปั่นหัวผมเล่นอยู่แน่ๆ

            "นายไม่สนใจข้อเสนอก็ไม่เป็นไรนะ" เด็กสาวผมแดงเอ่ยเสียงใสเจือความเสียดาย "แต่
    ถ้าหากมีปีศาจสักตนรู้ว่าเธอเป็นมนุษย์ล่ะก็..."

            ร่างเล็กยกนิ้วขึ้นมาทำท่าปาดคอ


            "..." หมายความว่าตายหองสินะ
     
            ร่างเล็กพยักหน้า

           เธอนี่มัน.... ปีศาจชัดๆ



            ตึกๆ
        
            ผมกำลังเดินออกมาจากปราสาทกับครอส แค่นึกถึงนัยน์ตาสีแดงนั่นตัวผมก็สั่นไปทั้งตัวอย่างหยุดไม่ได้ ราวกับครอสจะรู้ความรู้สึกของผม

           "ไม่ต้องกังวลหรอกนะ" ครอสเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

           "ฮะ..." ผมหันไปหาเขา ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่มันก็กลัวอยู่ดีนีน่า

           "ท่านผอ. เซอร์เรเน่น่ะ" ครอสพูด ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าเหมือนนัยน์ตาสีขาวของเขาจะสะท้อนสีรุ้งแว๊บนึง "เห็นอย่างนั้นก็เป็นคนใจดีนะ"

         ผมยิ้มแห้งๆไปให้ พลางคิดไปว่า ถ้าแบบนั้นใจดี ทั้งโลกก็ไม่มีคนใจร้ายแล้วล่ะฮะ

          "แต่ฉันขอเตือนไว้อย่างนะ" ครอสกล่าวขึ้น สายตาเค้าฉายแววเป็นห่วง "
    อย่าทำตัวเป็นจุดเด่นให้มากนักล่ะ"

          "ฮะ?" ผมหันไปมองเขาอย่างสงสัย

          "ถ้ามีใครรู้ว่าเธอไม่ใช่ปีศาจล่ะก็ เรื่องมันจะยุ่งเอานะ" ครอสกล่าว ผมได้แต่พยักหน้ารับและจำคำพูดใส่สมองไว้

     

           "ประกาศ" เสียงดังก้องไปทั่วเรียกความสนใจของผมและคนหัวขาวให้หันไปมองที่จุดกำเนิดเสียงทีมาจากประสาทด้านหลัง ผมจำเสียงนี้ได้ดี ยัย ผอ แก่แดดนั่น เสียงนั่นกล่าวต่อ "นักเรียนทุกคนไปรวมตัวกันที่หน้าจตุรัสมารอสซ่า เพื่อไปรับบัตรนักเรียน"

          "มารอสซ่า?" ผมกล่าวเบาๆ วันนี้ได้ยินชื่อนี้ 2 ครั้งแล้วนะ

          ผมหันไปยังครอส พลางส่งสายตาเชิงขอความช่วยเหลือ

         "เฮ้อ..." คนหัวขาวถอนหายใจยาว ก่อนจะกล่าว "เดินตามทางเดินสีฟ้าโน่นไปจนสุดทาง"

          "อะฮะ" ผมเดินไปตามทางที่ครอสบอก เขาไม่ตามมาด้วยซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร เขาคงมีธุระของเขาแหละ

          จตุรัสมารอสซ่า พื่นที่สีเหลี่ยมจตุรัสซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน ล้อมรอบด้วยปราสาทห้าสี ด้านเหนือเป็นสีแดง ด้านใต้เป็นสีน้ำเงิน ด้านตะวันออกเป็นสีขาวและดำ ส่วนด้านตะวันตกเป็นสีส้ม นั่นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าใครเป็นคนออกแบบที่นี่ฟะ 

          "ยัยแว่นนี่!!!" เสียงแว่วดังมาเรียกความสนใจของผม รุ่นพี่ตัวโตกว่ากำลังดูเหมือนจับกลุ่มกันอยู่ "คิดว่าขอโทษแล้วจะหายเหรอ"

          ผมปรับโฟกัสไปยังคนตรงกลาง ก่อนจะอุทานออกมา

          "เรย์!!!" ผมมองไปยังเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกับผม ผมยาวถึงเอวสีน้ำตาลเปลือกไม้ผูกโบว์สีชมพูไว้ด้านข้าง นัยน์ตาสีแดงเหมือนกระต่ายภายใต้กรอบแว่นทรงกลมแบบแฮรี่พ๊อตเตอร์ดูเหมือนมีแรงดึงดูด ผิวขาวเนียนราวหิมะ เธอกำลังโดนพวกรุนพี่กว่าสิบคนรุมอยู่ ใบหน้าขาวตอนนี้ซีดไปด้วยความกลัว

         ผมกำลังจะก้าวขาออกไปช่วย แต่อยู่ๆประโยคนึงก็ผุดขึ้นในใจ

        
    ...อย่าทำตัวเป็นจุดเด่นให้มากนักล่ะ...

         ผมจึงหยุดดู เผื่อมีใครสักคนที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย เพียงแต่ว่า
    คนที่มุงดูอยู่ไม่มีท่าทีจะเข้าไปช่วยสักนิด

        "โธ่เว้ย!!!" ผมสบถเสียงดัง ไม่คิดว่าตัวเองจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ หรือตอนนั้น...

        "หน้าใสๆถ้าโดนกรีดจะเป็นยังไงน้า" รุ่นพี่คนนึง เอาเล็บกวาดที่ใบหน้าของเรย์

         ตูม!!!

         ไวเท่าความคิด หมัดของผมถูกส่งออกไปกระแทกใบหน้าของรุ่นพี่คนนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึง ภาพทุกอย่างดูเป็นสโลวโมชั่น ทีละช๊อต ทีละช๊อต รุ่นพี่คนนั้นกระเด็นลอยกลางอากาศไปสี่ห้าเมตรก่อนจะตกพื้นเสียดัง

         "อย่ายุ่งกับเรย์!!!" ผมพูดเสียงดัง รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ ตอนนี้ผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น รู้อย่างเดียวว่าจะต้องปกป้องเรย์ให้ได้ รู้อย่างเดียวว่าต้องไม่ยอมให้มันเป็นเหมือนตอนนั้นอีก

          ผมกวาดสายตาไปทั่วอย่างระมัดระวัง รุ่นพี่คนอื่นๆดูเหมือนจะมองผมอย่างกล้าๆกลัวๆเหมือนกันหมด

          "หยุดนะ" เสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนทำให้สายตาทั้งหมดจับจ้องไปยังร่างเจ้าของเสียง

         "ครอส!!!" วิเศษผมจ้องไปที่คนผมขาวที่กำลังวิ่งมาด้วยสีหน้ายินดียิ่ง รอดแล้วเรา ผมอยากจะขอบคุณเป็นภาษาปีศาจจริงๆ

         รุ่นพี่คนอื่นวิ่งหนีกันไปหมดเมื่อครอสวิ่งมาถึง เขามองมาที่ผมด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความ เออ... น่าจะเป็นโมโหมั้ง

         "ให้ตายสิ ก็บอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวเป็นจุดเด่น" ครอสว่า ทำให้ผมนึกบางอย่างขึ้นได้

          ภาพยัย ผอ เอานิ้วปาดคอ

          ...ตายหอง!!!...



     
         

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×