ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ..IZee merris..

    ลำดับตอนที่ #2 : คำสอนข้อที่ 1 เมื่อเห็นโอกาสที่คู่สนทนาจะเป็นประโยชน์ต่อเรา...จงตามน้ำไป อย่าได้ขัดโชค ขัดลาภ ของตน

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 54



    คำสอนข้อที่ 1 เมื่อเห็นโอกาสที่คู่สนทนาจะเป็นประโยชน์ต่อเรา...จงตามน้ำไป อย่าได้ขัดโชค ขัดลาภ ของตน

               

                    ‘ถ้าเช่นนั้นไม่ถือว่าเป็นการเห็นแก่ตัวหรือขอรับท่านอาจารย์

                การตามน้ำไปถือว่าเป็นการให้เกียรติคู่สนทนา เพราะถ้าเราขัดเขา เขาก็จะหน้าแตก แถมเราอาจจะต้องเดือดร้อนอีกด้วย...จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

                    ‘อ๋อ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง...ข้าจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดขอรับ!’

                   

     

                    ข้าขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ แต่ก็ต้องหรี่สายตาลง เนื่องจากแสงตะวันที่เฉิดฉายยามเช้าในวันนี้มันช่างสาดส่องอย่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน

                    โอยแสบตา

                    ทำได้เพียงแต่หรี่เปลือกตาลงแล้วลุกขึ้นเดินไปยังลำธารใกล้ๆ ตัวซึ่งใกล้ๆ ลำธาร ข้าได้ผูกเจ้าอาชาคู่ชีวิตของข้าไว้ด้วย

                    เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่นเชียว ที่ข้าเรียกมันว่าคู่ชีวิตไม่ได้หมายว่ามันเป็นคู่รักของข้าสักหน่อย แต่ว่าข้าอยู่ในป่านี้กับมันมาจะครบสองอาทิตย์อยู่แล้ว เจ้าลองคิดดู...จากตอนแรกที่ข้าขี่ม้าไม่เป็น จนตอนนี้ข้าขี่ม้าได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว กระชับฉับไว ไฉไลเสียยิ่งกว่าบรมจารย์ ตั๋กม๊อ (เอ...เกี่ยวด้วยรึ?) จะให้ข้าขี่มันขึ้นเขา ลงห้วย หรือว่าจะวิ่งซิกแซ็ก ทางตรง ทางอ้อม เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แซงหน้า แซงหลัง หรือแม้กระทั่งเข้าโค้งหักซอกข้าก็ไม่หลุดโค้งง่ายๆ อีกด้วย

                    แต่ก่อนที่ข้าจะขี่ได้แบบนี้ ก็เสียเลือดไปเป็นปี๊ปเลยทีเดียว

                    แล้วพอวันๆ ข้าก็อยู่บนหลังของมัน พอตื่นเช้ามาข้าก็ยังต้องมองเห็นหน้ามันทุกเช้า แถมข้ายังไม่ต้องเดินเองให้เมื่อยเท้าอันแสนเปราะบางของข้าก็เพราะมันอีก

                    เจ้าโนฮีโร่เอ๋ย ข้าหละขอบใจเจ้าจริงๆ

                    ว่าแต่...เจ้าหน้าตาดูดีขึ้นทุกวันนะเนี่ย สงสัยคงเป็นเพราะเจ้าอยู่ใกล้ข้านานเป็นแน่แท้เจ้าถึงได้ดูดีวันดูดีคืนเช่นนี้ เฮอๆ

                    ข้าเดินตรงไปแล้วนั่งยองๆ ที่ริมลำธารก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าให้หายง่วง พอล้างหน้าเสร็จข้าก็ได้แต่จ้องมองลงไปในลำธารใสตรงหน้า จ้องมองเงาใบหน้าของตัวเองในน้ำ

                    เด็กชายอายุประมาณ 14 ปี ผู้มีดวงหน้ากระจ่างใสนวลเนียน สีผิวขาวราวสีของน้ำนมไข่มุก

    ไม่มีริ้วรอยของสิวฝ้าใดๆ คิ้วโก่งสวย จมูกที่เป็นสันได้รูปสวยงาม ริมฝีปากบางสีสดดุจสีของกลีบกุหลาบแรกแย้ม ดวงตาคู่สวยสีมรกตเขียวใสที่มีแพขนตางอนยาวเรียงตัวสวย กับเรือนผมเงางามเรียบรื่นทิ้งตัวอย่างมีน้ำหนักที่ถูกมัดรวบไว้หลวมๆ ปล่อยยาวมาข้างหน้าสีทองคำสุกสว่าง

                    (เสียแต่เพียงส่วนสูงที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยถึงมาตรฐานตามเกณฑ์ / ไม่ทราบได้ว่าใครพูด)

                    เฮ่! ใครบอก! ข้าน่ะมาตรฐานโลกเชียวนะ! ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาที่สุดแสนจะเพอร์เฟก น้ำเสียงที่สุดแสนจะไพเราะและรูปร่างที่แสนจะสมส่วน วะฮ่า! ข้านี่ช่างเลิศเลอเสียจริง ...ว่าแต่เจ้าเป็นใคร คุยมาตั้งนาน

                    ที่ข้าพร่ำมานั้นมันควรเป็นใบหน้าของข้าที่ทุกคนเห็นแล้วต้องหลงใหลและเป็นใบหน้าที่กระจกทุกบานเคยส่องให้ได้ยล

                    แต่บัดนี้เงาที่ข้าเห็นบนผืนน้ำมีเพียง

                    เด็กชายตัวเล็ก ผอมแห้ง ปากเจ่อมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ ผมสีทองหม่นๆ ยาวเกือบถึงเอวที่ยุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้หวีมาเป็นปีแถมมีแต่เศษกิ่งไม้ใบไม้ติดอยู่เต็มไปหมด มีรอยแผลฟกช้ำเต็มเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยดินและโคลน ดวงตาทั้งสองดูโหลไม่สดใสเหมือนเก่าและใต้ขอบตาก็ดำคล้ำเสียยิ่งกว่าหมีแพนด้า!

                    กรี๊ดดด!!! ไม่นะ! ข้ารับไม่ได้ เสียงหวีดสยองดังลั่นป่า ทำให้กวางตัวหนึ่งที่มากินน้ำที่ลำธารถึงกับสำลักน้ำค่อกแค่ก

                    ข้าไม่มีอะไรจะพูดได้ดีกว่านี้อีกแล้ว มันเป็นสิ่งที่ข้ารับไม่ได้ที่สุด เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากท่านอาจารย์! ดูหน้าตาของข้าตอนนี้สิ แล้วยังเสื้อผ้าของข้าอีก ข้าใช้แต่ของเบรนเนมทั้งนั้นเลยนะ! แล้วใครจะชดใช้ให้ข้ากันล่ะเนี่ย

                    ข้ารีบหยิบแบล็คเบอร์รี่ของท่านอาจารย์ (ที่ข้าแอบจิ๊กมา) ออกมากดรัวๆ เพื่อดูผลอะไรบางอย่าง

                    ข้อความที่ขึ้นบนหน้าจอคือ

     

                          สิบอันดับหนุ่มฮอตฮิตประจำเดือน... (ข้าไล่ดูเจ้าคนแรกทันที)

    V)เซเว่น อีเลฟแว่น

    IV)เม เจ๋อ

    III)สแวน แซ่น

    II)น้าม ป้าเชง

     I)เอริค มาร์ค

     

                    ตาของข้าเบิกกว้างเอริค! เจ้าราชาแว่นหน้าเอ๋อ! ให้มันขึ้นมาแทนข้าได้ไง ใครเป็นกรรมการกันเนี่ย ข้าไม่ยอมจริงด้วย!” สบถพึมพำหวังระบายเครียด   

                    สิ่งที่ข้าต้องทำอันดับแรกคือ...อาบน้ำ!

                    แต่...ที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้มันกลางป่า เจ้าจะบอกข้าให้ไปอาบน้ำในลำธารงั้นหรือ?

                    มันไม่ได้หรอก! ถ้าข้าโดนพวกปาปารัสซี่แอบซุ่มถ่ายอยู่จะทำอย่างไร! ถ้าเจ้าพวกนั้นเอารูปข้าไปแบล็คเมล่ะ คนทั่วผืนแผ่นดินคงได้เลือดกำเดาไหลจนหมดตัวเพราะข้าเป็นแน่แท้! (ซึ่งถ้าข้าได้ตังค่าตัวสักหน่อย ข้าก็คงจะไม่ว่าอะไรหรอก...แต่นี่ ข้าไม่ได้!) แถมพวกเจ้ายังไม่รู้กันล่ะสิว่าค่าตัวของข้าน่ะมันแพงขนาดไหน ข้าไม่ยอมให้เจ้าพวกนั้นฉวยโอกาสถ่ายผิวขาวๆ หน้าหล่อๆ ของข้า (ฟรีๆ) หรอก!

                    นี่ แม่หนูน้อย มายืนทำอะไรอยู่กลางป่ากันเล่า แถมเนื้อตัวยังมอมแมมเสียขนาดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลังของข้า

                    ข้าหันขวับกลับไปทางต้นเสียงทันที

                    ซึ่งมันทำให้ข้าเห็นหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางใจดี๊ใจดี ยืนลูบหัวเจ้าคู่ชีวิตของข้าอยู่

                    แต่เอ..นางพูดว่าแม่หนูน้อยงั้นหรือ? นางเห็นข้าเป็นเด็กผู้หญิงหรือเนี่ย! แต่ไม่เป็นไร...เพราะถึงจะถูกมองเป็นเด็กผู้หญิง แต่ข้าก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่สุดแสนจะน่ารัก!

                    นางเป็นหญิงวัยกลางคน มีผมสีฝุ่น กับดวงตาสีเดียวกัน ผมของนางถูกถักเป็นเปียคู่เหมือนหนูน้อยบ้านทรายทองอย่างไรอย่างนั้น แถมยังมีกระบุงใบใหญ่สะพายอยู่ที่หลัง ถ้าเจ้านึกไม่ออกก็นึกถึงในโฆษณาน้ำชายี่ห้อหนอนชาเขียวเอาละกัน มันหน้าตาแบบนั้นแหละ ส่วนการแต่งตัวก็รู้สึกว่าข้าเคยเห็นในโฆษณาเดียวกับกระบุงนั่นน่ะแหละนะ พอข้าดูรวมๆ แล้วนางคงเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ

                    ข้าจึงงัดท่าไม้ตายของข้า (ที่ถูกสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ของข้าอีกที) ออกมาใช้ในทันทีทันใด!

                    ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ บีบเสียงเล็กๆ แล้วก็ให้มันสั่นนิดๆ เหมือนกำลังกลัว

                    สรุปคือข้าพยายามทำตัวให้ดูน่าสงสารที่สุดนั่นแหละ เพราะนางอาจให้อาหารที่พัก แล้วก็...

    อ่างอาบน้ำ กับข้าก็ได้

                    ข้าชื่อ อีลู เป็นชาวบ้านหมู่บ้านใกล้ๆ นี่แหละ เจ้าเป็นใครแล้วทำไมเจ้ามาอยู่กลางป่าแบบนี้กันเล่า แม่หนูน้อย เธอพูดด้วยน้ำเสียงใจดีพร้อมกับรอยยิ้ม

                    ข้าชื่อไอดีลเจ้าค่ะ หมู่บ้านของข้าโดนพวกปีศาจบุกโจมตี มะ...มัน เผาหมู่บ้านข้าจนเฮี่ยนเลยเจ้าค่ะข้าทำเสียงสั่นพร้อมกับบีบน้ำตาออกมา พอให้เห็นเป็นหยดน้ำใสๆ เคลียข้างแก้ม

                    ที่ข้าบอกว่าปีศาจเผาแต่ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนเผาหมู่บ้านของข้า แต่พวกมนุษย์ก็เชื่อว่าพวกปีศาจเป็นพวกชั่วร้ายอยู่แล้ว แถมนางก็คงไม่รู้หรอกว่า ข้าเองก็ไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับปีศาจที่พวกนางรู้จัก หรือบางทีพวกมนุษย์อย่างนางก็เรียกพวกข้าว่าปีศาจรวมไปด้วยน่ะนะ แต่ยังไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าคงไม่เป็นไรหรอก นางคงไม่คิดจะหาว่าเด็กตัวน้อยๆ ผู้น่าสงสาร (?) อย่างข้า จะเป็นปีศาจผู้ชั่วร้ายมาโกหกนาง แล้วแกล้งเอาน้ำตาเทียมที่เตรียมไว้มาบีบใส่ตาตัวเองตอนที่นางเผลอ เพื่อทำเป็นร้องไห้หรอกนะ

                    แล้วข้าก็ไม่ได้โกหกด้วย แค่พูดให้น่าเชื่อถือ (?) เล่นตามบท แล้วก็เพิ่มอารมณ์ในการเล่าประกอบนิดหน่อยเอง เจ้าก็รู้

                    พวกมันช่างโหดร้าย มันต้องเป็นปีศาจแน่ๆ เผาหมู่บ้านอย่างเดียวไม่พอ มันยังจับคนในหมู่บ้านไว้ แล้วก็เฉือนคอเอาเลือดของเด็กๆ เอาไปดื่มกิน ถ้าเป็นชายฉกรรจ์มันก็เอาไปมัดรวมกันแล้วเผาพวกเขาทั้งเป็น ถ้าเป็นผู้หญิงก็ข่มเหงพวกนาง พ่อกับแม่กับน้องสาวของข้าพวกเขาก็โดนพวกมัน ฮึกๆๆ ข้าเริ่มใส่อารมณ์ (บีบน้ำตา) ในการเล่ามากขึ้น

                    ข้าแอบเหล่ดูแล้ว นางน้ำตาจะไหลแล้วนั่น ฮี่ๆๆ ท่านพ่อสละชีพของท่านช่วยให้ข้ารอดออกมา ฮึกๆๆ... ข้าสะอื้นไห้

                    ข้าว่านางคงอดสงสารข้าไม่ได้แล้วแน่ๆ นางโผเข้ากอดข้าแล้วลูบหัวช้าๆ ใบหน้าของข้าเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งแน่นอน นางไม่เห็น...

                    เจ้าน่าสงสารเหลือเกิน...เอาเป็นว่า เจ้ากลับไปที่หมู่บ้านกับข้าก่อนเถอะนะ แล้วถ้าเจ้าไม่มีที่ไปข้าจะขอท่านหัวหน้าหมู่บ้านให้เจ้าอยู่ในหมู่บ้าน เจ้ามาอยู่กับข้าก็ได้ เธอพูดพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงเผลาะลงบนผมของข้า

                    ตอนนี้เพื่อให้ไม่หลุดออกนอกบทบาทเด็กน้อยผู้น่าสงสารเพราะขำ ข้าจึงได้แต่ซุกหน้าลงไปในอ้อมกอดของนางแล้วทำเสียงฮือๆ เท่านั้น อืม...กลิ่นของนางนี่ก็หอมดีนะ เฮอๆ

     

                    ข้ากำลังนั่งพับเพียบอยู่ในบ้านของเจ้าหัวหน้าหมู่บ้านหัวใส! ซึ่งข้าไม่ได้เล่นคำแต่อย่างใด...มันใสจริงๆ!

                   

    (ตัดเข้าช่องโฆษณา)

                    แท่นแทนแท้น~ ดิฉันซาร่า เป็นพิธีกรภาคสนามค่ะ (โผล่มาจากไหน?)

                     หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านชาเขียว...ตั้งอยู่แถบทางตอนใต้ของหุบเขาต้นสน เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในป่าลึก OTOP ประจำหมู่บ้านคือใบชาที่มีคุณภาพดีที่สุดของเขตตะวันออก ใบชาที่นี่จึงเป็นของหายากและมีราคาแพง ทำให้รายได้หมุนเวียนของที่นี่เดือนๆ หนึ่งทะลุยอดหลายสิบล้าน

                    โอ้จอร์ท! น้ำชาที่ต้มจากใบชาของที่นี่ช่างสุดยอดจริงๆ! พอดื่มเข้าไปมันก็ละลายในปากทันที!

                    แน่นอนซาร่า! มันสุดยอดมาก...ถ้าคุณสั่งซื้อกับเรา เราขอมอบส่วนลดสิบเปอร์เซ็นต์!

                    แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าคุณโทรมาตอนนี้ สิบสายแรกของเรา ซาร่าแถมให้อีก! เอาไปเลย! ชุดปั้นชาเซรามิคราคาสิบบาท!

                    โอ้ซาร่า! มันช่างคุ้มเกินคุ้มจริงๆ อ่าฮ่า!

                    ติ๊ดๆๆ~ สัญญาณขาดหาย...

     

                    เมื่อกี้มันอะไรกัน?

                    ...ช่างเถอะ

                    เรามาดูไอ้แก่หัวใสตรงหน้าข้าดีกว่า

                    ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน (อีลูเรียกแบบนี้) ของหมู่บ้านชาเขียวมีนามว่า คลอโร่ กรีนที ชาวบ้านมักเรียกว่า ท่านกรีน (ต่อหน้า) หรือไอ้เขียววิ๊ง (ลับหลัง) ลักษณะเด่นของท่านผู้นี้คือ ศีรษะอันแสนจะเกลี้ยงเกลาที่สะท้อนแสงวิบวับตลอดเวลา (อย่างกับไฟเทค) หน้าท้องที่เต็มไปด้วยชั้นไขมันกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ และเครื่องระดับทำจากทองคำแท้น้ำหนักรวมๆ ประมาณ 20 บาท (แน่นอนว่าข้าไม่ได้พูดถึงน้ำหนักของเจ้าแก่วิ๊งนี่)

                    แถมบ้านของเจ้านี่ยังเต็มไปด้วยเครื่องประดับที่สะท้อนแสงวิบวับตลอดเวลา...และเต็มไปด้วยทองคำบริสุทธิ์

                    ข้าชักชอบรสนิยมเจ้าแก่นี่แล้วสิ!

                    ข้านั่งพับเพียบอย่างสำรวมและมีเอฟเฟกเป็นน้ำตาใสๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นเป็นระยะ โดยมีอีลูนั่งซึ้งเป็นลุกคู่อยู่ข้างๆ

                    ส่วนเจ้าแก่ที่นั่งฟังเรื่องราว (ฉบับใส่อารมณ์) ของข้า ก็นั่งซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าสีชมพูลายจุดเป็นระยะ กับสายตาที่เหมือนมีเนื้อก้อนโตมาอยู่ข้างหน้า

                    ข้าลอบกลืนน้ำลาย พูดด้วยเสียงสะอื้น ...ข้าอยากจะขออนุญาตท่านหัวหน้าหมู่บ้านผู้ใจบุญอย่างท่าน ขอค้างที่นี่สักคืนสองคืน แล้วก็จะไปเจ้าค่ะ

     

                    อืม...ข้าว่านี่มันสวรรค์ชัดๆ

                    ตอนนี้ข้ากำลังนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำแบบไม้ ควันกรุ่นที่ลอยขึ้นจากผิวน้ำช้าๆ ฟองที่ลอยฟ่อง กลิ่นดอกไม้หอมๆ

                    อ๊า...มันช่างเป็นอะไรที่สบายไม่มีอะไรเกินจริงๆ!

                    หลังจากที่ข้าขอเจ้าแก่วิ๊งนั่น เจ้านั่นมันก็แทบจะคลานมาหาข้าแล้วบอกว่า เจ้าจะอยู่ชั่วชีวิตเลยก็ยังได้

                    หึ! จากที่ข้าดูแล้ว แววตาของเจ้านั่น ไอ้เฒ่าหัวงูชัดๆ! มันคงกะจะกินเด็กสาวตัวน้อยๆ อย่างข้าแน่ๆ! แล้วต่อให้มันรู้ความจริงว่าข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิง! มันก็คงไม่เกี่ยงที่จะเข้าข้างหลัง...

                    พอคิดถึงตรงนี้ขนคอของข้ามันก็ลุกเกรียว

                    น่าขยะแขยงจริงๆ!

                    แต่ข้าก็ยังพอจะมีบุญอยู่บ้าง เพราะตอนนั้นอีลูก็ขัดขึ้นมาว่าให้ข้าไปอยู่ที่บ้านนางเพราะนางเป็นคนเจอข้า

                    นี่เห็นข้าเป็นอะไรกันเนี่ย

                    แต่ด้วยความที่ยังไม่อยากเสียหนุ่ม ข้าจึงรีบเออออห่อหมก กล่าวขอบคุณเจ้าแก่วิ๊งหัวงู ก่อนจะฉุดอีลูออกมาทันที

                   

                    ก็อกๆ แอ๊ด~

                    ข้าหันขวับไปทางต้นเสียง พร้อมๆ กับย่อเข่าเพื่อให้ร่างกายจมอยู่ในน้ำแล้วโผล่หัวขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง ท่านน้าอีลูมีอะไรหรือเจ้าคะ

                    “ต้องการคนถูหลังรึเปล่าไอดีล...” อีลูยื่นหน้าเข้ามาจากข้างนอก สีหน้าที่ดูจะรื่นเริงเป็นพิเศษ

                    “มะ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ! ไม่เป็นไรจริงๆ!” ข้าส่ายหน้าวืดๆ พร้อมโบกมือพัลวัน   

                    โอ้! ยอดซวย!

                    ไม่ต้องอายหรอกน่า ยังไงเราก็ผู้หญิงด้วยกัน...ข้าไม่มีคนให้ถูหลังตั้งนานแล้วคราวนี้นางก้าวเท้าเข้ามา...ที่สำคัญมันทำให้ข้าเห็นว่า นางนุ่งกระโจมอก! เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่

                    ข้ายิ้มค้าง

                    เฮือก! ถูหลังมันไม่ได้เห็นแต่หลังนะ!

                    “เจ้าอาบน้ำแล้วออกจะน่ารัก เดี๋ยวข้าช่วยอาบ จะได้ขาวๆ เลยไง นางยิ้มจนตาหยี

                    เออ ก็ดีเนอะ ข้าจะได้ขาวขึ้น ฮ่า

                    ฮึ่ย! จะบ้ารึไง!

                    “เอ่อ...มะ ไม่ๆๆๆ ดีกว่าเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าอาบเสร็จแล้วด้วย เชิญท่านน้าอาบเถอะเจ้าค่ะ         ข้าคว้าผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่ข้างๆ อ่าง ลากลงมาในน้ำแล้วห่อตัวเอาไว้ (ใบหน้ายังคงรอยยิ้มไว้ไม่ขาด) ก่อนจะโดดขึ้นจากอ่าง (ยังยิ้มอยู่) หยิบเสื้อผ้า (ยิ้มค้างไว้...) แล้วรีบวิ่งออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว...

                    อ้าว! ไอดีล!” อีลูพูดพร้อมกับเคาะประตู...จากข้างใน

                    พอดีห้องน้ำที่นี่มันมีกลอนด้านนอกอยู่ด้วย...ข้าเลยขอกันไว้ก่อน

                    สักครู่นะเจ้าคะท่านน้า!” ข้ารีบสวมเสื้อผ้าที่อีลูเตรียมไว้ให้ตั้งแต่แรก ก่อนจะปลดล็อกแล้วเปิดประตูให้นาง

                    “โธ่...ไอดีลนางพูดเสียงอ่อย

                    ข้าได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้นาง ข้าขอตัวไปนอนก่อนนะเจ้าคะ

                    นางมองตามหลังข้า ที่ผลุบเข้าอีกประตูหนึ่งอย่างเร็วไว ก่อนจะตามด้วยเสียงดังกริ๊กเบาๆ

                    เฮอ...!” ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ไม่ต้องเจออะไรที่น่าฝันร้าย พลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง

                    ห้องสีขาวสะอาด แต่ไร้ซึ่งการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ในห้องมีเพียง เตียงเดี่ยวเล็กๆ เตียงหนึ่งเท่านั้น

                    ข้าเดินไปยังเตียงนั่นก่อนจะล้มตัวนอนอย่างเหนื่อยอ่อน...

                    อึก!! อูยยย เจ็บ! ข้าลืมไปว่านี่ไม่ใช่บ้านข้า เลยล้มตัวนอนลงแรงไปหน่อย ดีนะที่ข้าไม่ส่งเสียงร้องออกมา

                    เฮอ...ข้าพยายามทำใจกับเจ้าเตียงหินที่แสนจะแข็งนี่ พยายามข่มตาหลับ แต่ยังไงๆ ข้าก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้สักที ก็เลยเดินไปยังหน้าต่างบานเดียวในห้อง หมายจะผ่อนคลายเผื่อจะได้ง่วงขึ้นมาบ้าง

                    ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยป่าและภูเขา มีต้นไม่ใหญ่มากมายล้อมรอบอยู่

                    กุกกักๆ

                    หือ? ข้าได้ยินเสียงอะไรไม่รู้จากต้นไม้ใหญ่ข้างนอกนั่น มันอยู่ห่างจากบ้านของอีลูพอสมควร

                    ข้าเห็นเงาดำตะคุ่มๆ อยู่บนกิ่งไม้ด้วย!

                    เจ้าคิดว่ามันเป็นตัวอะไรนะ ผีงั้นหรอ! คืนนี้เลิกพูดกับข้าได้เลย

                    เพราะฉะนั้น!...เจ้าอย่าพูดต่อเลย ข้าขอร้อง...เฮ้ย! ข้าเห็นอะไรสีเหลืองๆ ร่วงลงจากต้นไม้ แวบๆ ด้วย

                    โอ้ย!!

                    มีเสียงด้วยนั่น! ข้าว่าต้องมีใคร ตกลงมาจากต้นไม้แน่ๆ

                    หา! เจ้าบอกให้ข้าไปช่วยเขาหรอ จะบ้าหรือไง! นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ! จะให้ข้าออกไปมืดๆ ได้ไง

                    ก็ได้ๆ ข้าไปก็ได้ เลิกมองข้าอย่างนั้นได้แล้ว...

                    เจ้านี่น่ากลัวยิ่งกว่าผีซะอีกนะเนี่ย

     

                    ข้าเดินออกมาจากบ้านของอีลู รอบๆบ้านมีต้นไม้อยู่มากแต่ไม่มีเสาไฟสักต้น ทำให้แถวนี้มีแต่แสงสีนวลของดวงจันทร์เพ็ญ ที่สาดส่องพอให้เห็นทาง แต่แสงแค่นั้นมันไม่พอสำหรับข้าหรอก

                    นี่ไง! ข้ายืมไฟฉายจากอีลูมาเรียบร้อยแล้ว

                    ชิ้งงง~!

                    ข้าเปิดไฟฉายให้สว่างเต็มระดับ...!! ซึ่งที่จริงมันก็มีอยู่ระดับเดียวนั่นแหละนะ ก่อนจะเดินตรงไปยังต้นไม้ผีสิง เอ๊ย! ต้นไม้ที่มีคนตกลงมา

                    ซึ่งที่ตกลงมา...ก็น่าจะเป็นคนนั่นล่ะนะ!

                    แต่ถ้าไม่ใช่...เจ้ากับข้าคงต้องใส่เกียร์หมาตัวใครตัวมันซะแล้วล่ะ

                    ฟิ้ว...~

                    เสียงลมแถวนี้ นี่มันหวิวได้ใจข้าจริงๆ แถมมาพัดเอาตอนข้ามายืนประชันหน้ากับต้นไม้ขนาดสองคนโอบตรงหน้าข้าพอดีเลยนะเนี่ย

                    เจ้าพวกผู้ควบคุมลม! ถ้าข้าจับได้ว่าเจ้าตั้งใจแกล้งข้า ข้าจะเพิ่มแสงใส่อาณาจักรของเจ้า

    ให้ตาบอดกันไปข้างเลยทีเดียว!

                    “เฮอ...เฮอ...เฮอ

                    หยึย เสียงใครกันแน่นะ แต่ที่แน่ๆ ข้าคงไม่มาหัวเราะตอนนี้แน่นอน เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่เสียงข้า!

                    อึ๋ย! นั่นไง ข้าเห็นแล้ว! พอข้ามองไปทางต้นเสียงข้าก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งหัวเราะดัง เฮอๆๆ อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นไม้ตรงหน้า

                    เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะน้อยกว่าข้าสัก 4-5 ปี มีผมสั้นระต้นคอสีดำกลืนไปกับความมืดรอบตัวกับผิวสีซีด ซึ่งข้ารู้สึกว่าทำให้ข้ามองเห็นเขาในความมืดได้ง่ายกว่าเดิม (ล่ะมั้ง) ใส่เสื้อแขนสั้นคอกลมสีเทา กางเกงขาสั้นสีดำ กับรองเท้าแตะหูหนีบ ส่วนตาของเขานั้นข้าไม่เห็น เพราะผมของเขามันทิ้งตัวลงมาปิดดวงตาเขาไว้เสียหมด แถมบนไหล่ยังมีแมวดำหน้าตาแปลกๆ เกาะอยู่อีกด้วย

                    แล้วข้าก็พอจะรู้แล้วว่าไอ้สีเหลืองๆ ที่เห็นก่อนหน้านี้มันคืออะไร มันก็คือแสงสะท้อนจากดวงตาของเจ้าแมวที่เกาะอยู่บนไหล่ของเจ้านี่เป็นแน่แท้...เหลืองเหมือนกันเด๊ะเลย

                    เขานั่งห้อยขาลงมาจากบนต้นไม้ แล้วอยู่ดีๆ ก็ดูเหมือนจะทรงตัวไม่ได้กะทันหัน ลื่นตกลงมาจากข้างบนนั้น

                    โครม!!!

                    เจ้า...ไม่ตายใช่มั้ย ข้าหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ มาลองเขี่ยๆ จิ้มๆ ดู เพราะพอตกลงมา เขาก็นอนแน่นิ่งไม่ขยับ

                    อะ...อืม ข้ายังไม่ตาย เด็กชายตอบ ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ

                    ซึ่งข้าอยากจะถามเขาเหลือเกินว่าเจ้าอยากได้หวีมั้ย ข้ามีนะเพราะผมของเขามันช่างน่ารำคานซะเหลือเกิน แล้วอีกอย่าง ข้าว่าถ้าเจ้านี่มันไม่พูด เขาน่าจะดูเหมือนคนยังไม่ตายมากกว่านี้นะ เสียงของเจ้านี่มันเย็นๆ ยานๆ ยังไงไม่รู้

                    อูย...พูดแล้วขนลุก บรื๋อ~

                    แล้วเจ้ามานั่งบนต้นไม้มองข้าทำไม

                    อ๋อ...ข้าลืมบอกเจ้าไป ตอนก่อนที่ข้าจะเห็นว่าเขาตกลงมาจากต้นไม่รอบแรก เขานั่งมองมาที่หน้าต่างห้องที่อีลูให้ข้าพักอยู่ พอสบตาเข้ากับข้าเท่านั้นแหละ ร่วงเลย...

                    ข้าแค่สงสัย...เท่านั้นแหละ เด็กชายตอบอย่างมั่นใจ

                    หือ? สงสัยอะไรงั้นหรอ ข้าถามเขา

                    แต่ข้าว่าเจ้านี่มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ข้าสังหรณ์ แบบนั้น

                    กลิ่นน่ะนะ กลิ่นของเจ้ามันแสบจมูกไปหมดเลยหละ ใช่มั้ยมาแซลเด็กชายเกาคอเจ้าแมวที่อยู่บนไหล่

                    มันครางเบาๆ

                    “กลิ่นงั้นหรอข้าเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะก้มลงดมๆ ตัวเอง

                    นี่ข้าอาบน้ำแล้วนะ กลิ่นข้าไม่ได้มีอะไรสักหน่อย! เจ้าอย่ามองข้าอย่างน้านนน!  

                    “ไม่ใช่กลิ่นอย่างนั้นหรอก ตัวเจ้าน่ะ หอมจะตาย เขาพูดเนิบๆ พรางยื่นหน้าเข้ามาใกล้

                    ข้านิ่ง ไม่กระดุกกระดิก แต่ขนบนร่างกายมันก็ดันลุกซู่

                    และข้าอยากจะหวังอย่างสูงและสูงที่สุด ว่าเขาจะไม่ใช่พวกวิญญาณหรือสัมภเวสีอะไรแบบนี้ล่ะนะ  ไม่งั้นผมบนหัวของข้าอาจจะร่วงมลายหายไปหมดภายในเสี้ยววินาทีก็เป็นได้

                    “กลิ่นที่ข้าพูดถึง หมายถึงกลิ่นของสิ่งที่เจ้าคลุกคลีอยู่ทุกวัน หรือสิ่งที่เจ้าใช้ทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างบ่อยๆ น่ะ เขาพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ตัวข้าอีกนิด น่าจะไม่ได้แค่คลุกคลีหรอก มันมาจากเจ้านี่แหละ แย้มรอยยิ้มแบบแปลกๆ

                    และข้าก็อยากจะหวังอย่างยิ่งอีกอย่างคือ ข้าหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ได้คิดลึกอะไรกับข้านะ ดูสิ! ขนลุกอีกแล้ว บรื๋อ~

                    อืม...ผู้ใช้มนตรา ไม่สิ กลิ่นเจ้ามันเข้มข้นกว่านั้น ผู้ใช้เวท สินะ ขั้นสูงพอตัวเลยนะเนี่ย ยังเด็กอยู่แท้ๆเขาทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะค่อยๆ ถอนใบหน้ากลับไป อย่างช้าๆ

                    เฮ้อ~

                    เจ้าเป็นใครกันแน่!” ข้าชี้หน้าเขา พยายามทำสีหน้าจริงจังอย่างที่สุด

                    พอข้าถามเจ้านั้นก็เอาแต่หัวเราะเบาๆ ซึ่งข้าอยากจะบอก (อีกแล้ว) ว่า เจ้าหยุดหัวเราะหลอนๆ แบบนั้นก่อนจะได้ไหม ข้ากลัวหัวจะโกร๋นแล้วเนี่ยอะไรประมาณนี้แหละ แต่ไว้ทีหลังแล้วกัน

                    ถ้าเป็นเจ้า เจ้าก็ควรจะถามคำถามเดียวกับข้านะ เพราะข้าคิดว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนเขาดมกลิ่นพวกนี้ได้กันหรอก ข้าขอฟันธงแล้วก็คอนเฟิร์มด้วย เอ้า!

                    ข้าหรอ? เขาเลิกคิ้ว

                    อันที่จริงข้าไม่เห็นเขาเลิกคิ้วหรอก ผมมันปิดอยู่ ข้าเดาเอา...

                    ข้าชื่อเวลเดย์  แมวน้อยของข้าชื่อ มาแซล แล้วเจ้าล่ะ นักเวทตัวน้อย เวลเดย์แนะนำตัวโดยยังไม่หุบยิ้มสยอง

                    ชื่อประหลาดๆ นี่ คุ้นชะมัดเลย

                    “ข้าชื่อไอซีน่ะ เฮ้ย!” ข้าเอามืออุดปากตัวเอง

                    แล้วข้าจะบอกชื่อไปทำไมเนี่ย! แถมมือข้าก็ยังยื่นไปข้างหน้าเหมือนต้องการณ์ทักทายด้วยอีกต่างหาก นี่ข้า...บ้าไปแล้วหรือไงกัน! เจ้านี่อาจเป็นศัตรูก็ได้

                    เวลเดย์ยังหัวเราะไม่เลิก ก่อนจะพูดต่อ เจ้านี่น่ารักดีนะ

                    อ๊ะ! เด็กน้อยตรงหน้าข้านี้ ช่างเป็นคนตาถึงอะไรเช่นนี้! ข้าว่าเขาก็ดูไม่มีพิศภัยอะไรนี่นะ เจ้าคิดเหมือนข้าใช่ไหมล่ะ...ช่างเป็นเด็กดีอะไรเช่นนี้~

                    น้ำเสียงและสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด! อคติและความสงสัยทั้งหลายมลายหายไปสิ้น เหลือแต่ความรู้สึกเอ็นดูร่างเล็กตรงหน้าในทันทีสวัสดีเวลเดย์ ข้าดีรู้ว่าเจ้าไม่มีเจตนาร้ายต่อข้า แต่เจ้าคงไม่ใช่คนในเขตแดนนี้ เช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่ ข้าถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แววตาและสีหน้าเป็นมิตร กับอารมณ์ที่แสนจะสุขใจ (คุยด้วยง่ายกว่าเดิมสิบเท่า ฮ่า~)

                    เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไมกัน? เขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ดูจากคำพูดแล้วก็ดูเป็นคนดีออกนี่นา ข้าก็แค่ปฏิบัติต่อเขาอย่างที่สุภาพชนอย่างข้าควรทำก็เท่านั้นเอง เฮอๆ

                    เวลเดย์ยิ้มรับ ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง นักเวทตัวน้อย...โอ๊ะ ไม่ใช่สิ ผู้สืบทอดเจตนารมแห่งแสง

                    ผู้สืบทอดเจตนารมแห่งแสง? เด็กตรงหน้าของข้านี้ เขาเป็นใครกันแน่นะ!?

                    ข้ายิ้มสู้ต่อไป แต่ในใจชักตงิด เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า

                    ไม่มีพิษสงค์...แน่รึเปล่านะ?

                    “ฮ่าๆ ! เจ้านี่ขนาดเวลาทำหน้าเหวอยังน่ารักเลยนะ ช่างน่าอิจฉาอัชลานจริงๆ

                    หือ อัชลาน อย่างนั้นหรอ?

                    เจ้ารู้จักคนชื่อ อัชลาน ด้วยงั้นหรือ คิ้วกระตุกกึก แต่ปากก็ยังคงฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร

                    เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ อัชลานงั้นหรือ?...ข้าไม่รู้จักหรอก เอามาจากไหนกัน เวลเดย์ถาม สีหน้าดูงงงวยเหมือนอยากจะถามว่าข้าไปขุดชื่อนี้มาจากไหน

                    เอ้า! เมื่อกี้มันพูดออกมาจากปากตัวเองไม่ใช่หรือนั้น! เจ้าได้ยินเหมือนข้าใช่ไหม!

                    หรือเขาจะพูดว่า น่าอิจฉาข้าจริงๆ ที่เกิดมาหล่อแบบนี้ต้องใช่แน่ๆ เขาพูดแบบนี้แน่เลย

                    ก็เมื่อกี้เจ้า...เอ่อ ช่างมันเถอะ ข้าตอบปัดไป แล้วคนที่ไม่สมควรอยู่แถวนี้อย่างเจ้า มาทำอะไรที่นี่กันแน่ เวลเดย์

                    เวลเดย์แย้มรอยยิ้มอันแสนน่าขนลุกอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ข้าก็แค่ตามเจ้ามาเท่านั้นเอง

                    อ๊ากกก!! นี่หรอ! ไม่มีอะไรพิเศษของเจ้าน่ะ!

                    “ฮ่าๆ ! ข้าได้เห็นเจ้าทำสีหน้าแบบนั้นอีกแล้ว น่ารักจริงๆเวลเดย์เอ่ยขำๆ ข้าแค่ล้อเล่นเฉยๆ ที่จริงข้าก็แค่ มาเดินเล่นเท่านั้นเอง แถวนี้มีดอกไม้ที่สวยมากๆ อยู่ แต่น่าเสียดาย...ถ้ามาไม่ถูกเวลาก็จะมีแต่ภายนอกอันงดงาม แต่กลิ่นที่เย้ายวนและน่าชื่นชมยิ่งกว่าหน้าตาของมันนั้นจะหลบซ่อน ไม่ยอมเผยออกมาให้ได้เชยชม และเมื่อดอกไม้ที่สวยแต่รูป ในบางครั้งก็ทำให้มองเห็นความงามได้ยาก ถึงแม้จะสวยเพียงใด แต่ถ้าไม่ถึงเวลาก็เป็นได้แค่ดอกไม้ธรรมดา

                    เขาพูดเนิบๆ พรางหยิบดอกไม้ดอกหนึ่งขึ้นมาหมุนไปมาในมือเล่น ดอกไม้นี่มีชื่อว่า ดอกหมอกจันทร์ มีคุณสมบัติคือ สามารถสลายพิษได้เกือบทุกชนิด แต่ถ้านายเก็บมันไม่ถูกเวลา มันก็ไม่ได้ต่างกับดอกไม้ข้างทางธรรมดา... ก่อนจะยื่นดอกไม้นั่นมาให้ข้า

                    “นี่คือคืนพระจันทร์เต็มดวง ถ้าจะเก็บดอกหมอกจันทร์ คืนจันทร์เต็มดวงก็คือเวลาที่มันเบ่งบานและส่งกลิ่นหอม...เพียงคืนเดียว แล้วพอสัมผัสกับแสงตะวันกลิ่นของมันก็จะหายไป ก่อนจะค่อยๆ ร่วงโรย...แต่ถ้าเจ้าเก็บรักษามันไว้ กลิ่นของมันจะคงชั่วนิรันดร เขากล่าวด้วยน้ำเสียงยานคราง เหมือนกับว่ากำลังเล่านิทานอันแสนน่าเบื่อ

                    ถึงมันจะน่าขนลุก แต่ข้าว่า คำพูดของเวลเดย์แต่ละคำมันช่างน่าฟังเหลือเกิน...

                    ข้ารับดอกไม้นั่นมา

                    นี่หรือ สิ่งที่เรียกว่าดอกหมอกจันทร์ กลีบทั้งสี่มีสีนวลเฉกเช่นเดียวกับสีของแสงจันทรา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คล้ายคลึงกับกลิ่นของธรรมชาติยามค่ำคืน กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์แห่งความสุขที่ผ่านมาในชีวิต ความอบอุ่น ความรักและความห่วงใย...ดอกไม้ในมือของข้านี้ดูเหมือนจะสะท้อนภาพความทรงจำที่เคยผ่านพ้น พร้อมกับสะท้อนเงาของแสงจันทร์เพ็ญบนผืนนภากว้าง...ตรงหน้าข้านี้

                    สวยจริงๆ ดอกหมอกจันทร์ ข้ากล่าวลอยๆ รอยยิ้มอิ่มเอิบเผยขึ้นโดยไม่รู้ตัว

                    งั้นข้าให้เจ้าแล้วกัน นักเวทตัวน้อย เขาดูเหมือนจะพอใจไม่น้อยที่ข้าชอบดอกไม้นี่

                    ดูเหมือนรอยยิ้มของเขาจะไม่น่ากลัวเหมือนเคย รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

                    ข้าคงต้องขอตัวก่อน ไว้โอกาสหน้าเจอกันนะ...ไอซี กล่าวลา แล้วค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปในความมืดมิด

                    ข้ายืนมองตรงจุดที่เขาหายไป ก่อนจะกลืนน้ำลายดัง

                    เอื๊อก

                    สรุปแล้ว...เจ้านี่มันใช่คนรึเปล่าเนี่ย!


    ..........................................................................................................................

    ถึงจะบอกว่านี่เป็นฉบับแก้ไขแล้ว...แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะ ดีขึ้น หรือ  แย่ลง เลยครับเนี่ย...ฮ่าๆๆ แล้วก็แก้ไม่มากอีกด้วย... เฮอๆ งงกับตัวเองจริงๆ  แถมช่วงแถวๆ เวลเดย์นี่ ของเก่าเป็นตอนจบของบทที่ 2 ตอนนี้กลับเป็นตอนจบของบทที่ 1 ซะได้ คงเพราะดึงบางส่วนไปอยู่ในบทนำแน่เลย...55+

    ช่วงนี้ให้ชื่อช่วงว่า! ( ...แนะนำอะไรที่มันไร้สาระตามประสาคนเขียนบ้าๆ บอๆ ครับ 55+)

     

    (ช่วงแนะนำไร้ประโยชน์...)

      

    ชื่อ: เวลเดย์ ลามอส

    ประวัติ: ความเป็นมาของเขายังคงมืดมิด...(ไร้ประโยชน์สมชื่อช่วงจริงๆ = =)

    อายุ: มาแซลบอกว่ามันเป็นความลับของเจ้านาย...

    ลักษณะ: เป็นเด็กชายตัวเล็กๆ (ตรงนี้ไอซีบอกให้ย้ำหน่อย) ที่มีผมสีดำน่ารำคาน ผิวขาวจนซีด...แต่งตัวสบายๆ (สไตซ่อมซ่อ) ชอบโผล่มาตอนกลางคืน...แล้วก็ชอบชมไอซีว่า น่ารัก เป็นประจำ...(หุบปากไปเลย! เจ้านักเขียนงี่เง่า!)

    ส่วนสูง: 136 cm. (ไอซีปลื้มมากมาย...)

    ความชอบ: ดอกไม้ ต้นไม้และธรรมชาติ...แถมไอซีด้วยอีก 1

    ไม่ชอบ: แสงแดดกับเวลาที่มาแซลโมโห

    ความพิเศษ: มีรังสีหลอนแผ่ออกมาจากตัวตลอดเวลา...

    เพิ่มเติม: แมวที่เกาะอยู่บนไหล่ชื่อ มาแซล...เป็นแมวสีดำที่มีตาสีอำพันหางแหลมเป็นรูปลูกศร อยู่ติดกับเวลเดย์ตลอดเวลา ความคิดที่มีต่อคนอื่นคือ น่ากินดี’                       

          

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×