คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เหยื่อของโพธิ์ดำ
บทที่ 2 : เหยื่อของโพธิ์ดำ
ฉันมองเด็กๆ ที่ฉันส่งเข้าไปในองค์กรนักฆ่าด้วยความรู้สึกผิด แต่นักฆ่าชั้นล่างอย่างชั้นก็ได้แต่ก้มหน้าทำตามคำสั่งเท่านั้น สิ่งที่ทำได้ก็ขอเพียงให้สักวันหนึ่งเด็กเหล่านั้นคงได้ออกไปจากองค์กรเถื่อนๆ แห่งนี้ ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา แต่ฉันก็ไม่รู้จะช่วยพวกเขาอย่างไร เพราะแม้แต่ตัวฉันเองก็ยังทำได้เพียงแค่
“เดินหน้าต่อไป”
...........................
เสียงตะโกนโหวกเหวกขายของของคนในตลาดดังจนกลบเสียงควบม้าที่หยุดลงข้างหลังหญิงสาวที่คลุมผ้าสีมอซอเหมือนกับชาวบ้านยากจนธรรมดา โดยไม่ทันรู้ตัวชายหนุ่มกระโดดลงมาจากหลังม้าด้วยความคล่องแคล่ว ในมือมีกริชยาวตรงเข้ามาหาด้วยความมาดร้าย ก่อนที่จะตวัดลงที่กลางหลังหญิง
ควับ...ฉึก!!
แต่เพียงชั่ววินาทีแห่งความเป็นความตาย หญิงสาวหันกลับมาล็อคคอคนร้ายพร้อมกับหันปลายกริชที่คมกริบเข้าแทงตัวมันเองจนมิดด้ามด้วยความรวดเร็วปานสายลม โดยไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ก่อนจะค่อยๆ โอบอุ้มพยุงร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าโชคร้ายเข้าไปทิ้งในซอกตึกร้างผู้คนใกล้ๆ กับตลาดเย็น
“หึ” หญิงสาวส่งเสียงในลำคอ นัยน์ตาสีดำกลมโตมองร่างของคนที่เธอเพิ่งฆ่าด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะก้มลงลูบแผลที่ยังคงมีกริชปักโดยไม่มีเลือดไหลออกมาให้เห็นสักนิด ก่อนจะเลื่อนมือไปฉีกแขนเสื้อของมันจนเห็นรอยสลักสีแดงเป็นรูปใบโพธิ์ “ที่แท้ก็พวกโพธิ์แดงนี่เอง”
ตึกๆๆ เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ตรงมายังซอกตึกทำให้เธอหันกลับไปมองยังทางเข้าด้วยสายตาระแวดระวังว่าอาจเป็นพวกของโพธิ์แดงส่งมาอีก แต่พอเห็นหน้าคนมาใหม่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
“โธ่พี่มาริเอะ ข้าตกใจหมดเลยนะ”
ผู้มาใหม่คราวนี้เป็นหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาคมสีเงินกับเรือนผมซอยสั้นสีเดียวกัน สวมชุดเสื้อหนังแขนกุดสีดำกางเกงหนังขาสั้นและสวมรองเท้าบูทหุ้มจนถึงเข่า เธอเดินตรงเข้ามาพร้อมกับมองศพที่นอนกองอยู่ที่ปลายเท้าหญิงสาวในผ้าคลุมมอซอด้วยสายตาชื่นชม
“เจ้าไม่บาดเจ็บใช่ไหมซาเนียย่า” หญิงสาวผู้มาใหม่หรือก็คือมาริเอะ นักฆ่าสาวหนึ่งในกลุ่มกุหลาบดำถามเด็กรุ่นน้อง “ข้าไม่น่ายอมให้เจ้าออกมาหาข่าวคนเดียวเลย แล้วเป็นไงละ ความก็แตก ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ถูกพวกมันฆ่าหรือจับไปเค้นความลับนะ”
“ฮ่าๆๆ พี่ก็ว่าไปนั่น คนอย่างข้านะไม่เสียทีใครง่ายๆ หรอกนะ บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไปมาหมดแล้ว” ซาเนียย่าเอ่ยเสียงร่าเริง มือก็ปลดผ้าคลุมออกให้เห็นเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ล้อมรอบใบหน้าอ่อนวัยกับนัยน์ตาสีเดียวกัน เธอสวมชุดหนังรัดรูปปกปิดร่างกายมิดชิด
มาริเอะส่ายหน้า พลางล้วงกลีบกุหลาบสีดำวางลงบนศพ ก่อนจะดึงมีดที่ปักอกของนักฆ่าหนุ่มที่ขึ้นมาเช็ดเลือดก่อนจะยื่นให้ซาเนียย่าเก็บไว้ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“เก็บกริชนี่ไว้ซะ ผู้มีชัยเหนือเจ้านายของมันก็สมควรจะได้ครอบครองมัน แต่ตอนนี้เจ้ากลับไปที่ท่าเรือฟรอนเต้กับข้าก่อนดีกว่า หัวหน้าสั่งเลิกล้มแผนการทั้งหมด...เรามีงานใหญ่ต้องทำ”
ซาเนียย่าพยักหน้ารับอย่างไตร่ตรอง...งานอะไรนะที่ทำให้เซ็นซังหัวหน้ากลุ่มกุหลาบดำถึงกับเรียกตัวพวกเธอกลับไปด่วนขนาดนี้
“รีบไปเถอะ ข้าเตรียมม้าไว้รอเจ้าอยู่ด้านหน้านี้แล้ว”
ซาเนียย่าและมาริเอะควบม้าสีดำตัวอ้วนพีไปบนทุ้งหญ้าเตี้ยๆ ห่างไกลจากสายตาของผู้คนเพื่อไปยังท่าเรือของเมืองฟรอนเต้ แม้ว่าเส้นทางนี้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเธอปลอดภัยจากเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาจจะโผล่ออกมาเมื่อไร่ก็ได้ จนกระทั่งเวลาใกล้พบคล่ำ พวกเธอก็ถึงเมืองฟรอนเต้อันเป็นจุดหมายเสียที ม้าค่อยๆ วิ่งช้าลงเพื่อไม่ให้เป็นทีสะดุดตาของชาวบ้านมากนัก
“ทำไมหัวหน้าถึงเรียกพวกเรากลับละ งานนี้กำลังจะเสร็จอยู่แล้วแท้ๆ” ซาเนียย่าเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ระหว่างที่ผ่านร้านรวงที่เริ่มปิดแล้ว
“โพธิ์ดำเอางานนี้ให้กลุ่มมังกรดำทำแทน แล้วก็ยื่นงานใหม่ให้พวกเรา แต่จากที่ข้าฟังจากพวกพิราบดำดูท่างานนี้ท่าจะยากน่าดูเลยละ”
ฟังเพียงเท่านี้ ความอยากรู้อยากเห็นของนักฆ่ารุ่นน้องก็พุ่งปรูดปร๊าดเสียแล้ว เธอหันไปมองรุ่นพี่เป็นเชิงถามรายละเอียด แต่เธอกลับตอบปัด
“เดี๋ยวไปถึงท่าเรือเจ้าก็ถามเขาเอาเองแล้วกัน”
ไม่นานนักพวกเธอก็เข้ามาในเขตของท่าเรือ ที่นี่มีโกดังเก็บสินค้าขนาดเล็กใหญ่มากมาย แต่เพราะว่ามันเป็นของเอกชน ทางองค์กรเลยสามารถใช้เงินซื้อโกดังสักที่ไว้สำหรับเป็นรังให้พวกเธอได้ แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินเพื่อปิดปากพวกสอดรู้สอดเห็นไปไม่น้อยก็ตาม แต่มันก็คุ้มเมื่อนึกถึงผลประโยชน์ตรงที่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานีขนส่งที่สำคัญ แถมยังอยู่ใจกลางเมือง จะเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย
โกดังที่พวกเธออยู่เป็นโกดังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ชั้นในสุดของท่าเรือเพื่ออำพรางจากสายตาผู้คน และยังมีรั้วเหล็กล้อมรอบไว้เป็นเขตหวงห้ามอีก มาริเอะและซาเนียย่าลงจากหลังม้าและส่งสายบังเหียนให้เด็กทำความสะอาดโกดังคนหนึ่งให้ไปเก็บไว้ที่โรงม้า จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นพวกเธอ ทั้งสองจึงเดินไปเคาะประตูโกดัง 3 ทีเป็นสัญญาณลับ
“ใครนะ!!!”
เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวดังขึ้นจากด้านหลังประตูเหล็ก
“อิๆ ทำไมพ่อบ้านชอบทำเสียงดุจังนะ” ซาเนียย่าหัวเราะเบาๆ ก่อนกระแอมแล้วตอบกลับไป “ซาเนียกับพี่มารี่จ้า”
“อย่ามาโกหกน่า... กุหลาบหมดแล้ว”
ซาเนียย่าหันไปมองหน้ามาริเอะอย่างปลงกับนิสัยเจ้าระเบียบของพ่อบ้านที่ว่าหากใครไม่พูดรหัสลับก็จะไม่ให้เข้าโกดัง
“พลบค่ำแล้ว กุหลาบหุบ เดี๋ยวเช้าแล้ว กุหลาบบาน ข้ากุหลาบดำเบอร์ Z และ M”
แอดด...
ประตูโกดังค่อยๆ เปิดออก พร้อมกับชายชราร่างแคระมีหนวดเครารุงรังในชุดนอนที่วิ่งช้าๆ เข้ามาหาพวกเธอด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง ดูก็รู้ว่าเพิ่งจะลุกออกมาจากที่นอนเมื่อครู่นี้เอง
“รีบๆ เข้ามาซะนังตัวดี ชอบมาเคาะประตูดึกๆ ดื่นๆ คนจะหลับจะนอน”
ซาเนียเหยียดยิ้ม แต่มาริเอะเร็วกว่า เธอกระโดดเข้าหาชายชราโดยมีมีดสั้นจ่ออยู่ที่คอ ใบหน้าของรุ่นพี่สาวเรียบนิ่งและดูเยือกเย็นจนเขาหน้าซีดและตัวสั่นงกๆ
“หุบปากของเจ้าไปซะหากยังอยากจะมีปากไว้พูดต่อไป”
“อย่าเลยพี่” ซาเนียย่าตรงรี่เข้ามาห้ามเอาไว้ พลางดันหลังให้มาริเอะเดินเข้าไปยังส่วนในของโกดังซึ่งเป็นกำแพงเปล่าๆ มีถังเบียร์วางเรียงอยู่เต็มไปหมด แต่เป้าหมายของเธอไม่ใช่ถังเบียร์เหล่านั้น หากแต่เป็นพื้นตรงมุมห้องด้านหน้าถังเบียร์ต่างหาก
นักฆ่ารุ่นน้องดึงกริชที่เพิ่งได้มาใหม่ๆ ออกมางัดพื้นห้องที่เป็นกลไกพิเศษให้เปิดออก ก่อนที่ทำท่าเชื้อเชิญให้มาริเอะลงไปเป็นคนแรกก่อนที่ตัวเองจะลงตาม แต่ก็ไม่ลืมหันกลับมาส่งสายตาให้พ่อบ้านชราปิดจัดการปิดพื้นให้เป็นเหมือนเดิมด้วย
ภายในชั้นใต้ดินของโกดังเป็นห้องแคบๆ ที่มีโต๊ะไม้ผุๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีประตูอยู่ทุกด้านของผนัง และที่ด้านในสุดของห้อง คนสามคนกำลังรอพวกเธออยู่
คนแรกที่คือ เซ็นซุง ชายหนุ่มอายุยี่สิบปลายๆ ที่มีดีกรีเป็นถึงหัวหน้ากลุ่ม เขาสวมชุดพื้นเมืองที่ทำจากผ้าฝ้ายสบายๆ นั่งอยู่บนถังเบียร์ที่ถูกผ่าครึ่งทำเป็นเก้าอี้ ข้างๆ เขาคือร็อคกี้ ชายหนุ่มร่างใหญ่บึกบึนผู้เป็นรองหัวหน้ากลุ่ม
ถัดมาที่มุมห้อง หญิงสาวร่างเพรียวสูงในชุดหนังสีดำไม่ต่างจากมาริเอะนอนไขว้ขาอยู่บนเปลเชือก ในมือถือแก้วไวน์แกว่งไปมา เธอคือพริมซ์ นักฆ่าสาวคนที่สามในกลุ่มนั่นเอง
“มาแล้วหรอแม่สาวนักฆ่าคนเก่ง”
“ไม่มาแล้วจะเห็นยืนอยู่ตรงนี้หรอเจ้าคะ...” ซาเนียย่าย้อนกลับด้วยร้อยยิ้ม ก่อนที่ทั้งหมดจะพร้อมใจกันเข้ามารุมล้อมอยู่ที่โต๊ะไม้ผุๆ กลางห้อง พร้อมกับบรรยากาศที่ค่อยๆ เงียบลงอย่างเป็นการเป็นงาน
“พิราบดำบอกข้าว่าโพธิ์ดำสั่งยกเลิกงานที่พวกข้าทำอยู่จริงหรอ” มาริเอะถาม ซึ่งพิราบดำก็คือพวกสายข่าวขององค์กรที่แทรกซึมอยู่ทั่วทั้งอาณาจักรฟรอนดาโก้นั่นเอง
เซ็นซังพยักหน้ารับ ก่อนจะโยนซองสีน้ำตาลลงบนโต๊ะด้วยใบหน้านิ่งเรียบเหมือนคนกำลังกังวล “พวกยมทูตดำนำคำสั่งมาให้ข้าเมื่อเช้า”
ทุกคนพยักหน้ารับ อย่างเข้าใจความหมายดี เพราะในองค์กรคิงโพธิ์ดำแบ่งออกเป็น 4 พวก นั่นคือ โพธิ์ดำที่เป็นคำออกคำสั่ง ยมทูตดำซึ่งเป็นมนุนคนสนิท พิราบดำที่คอยส่งข่าวสารทุกอย่าง และนักฆ่ากลุ่มต่างก็คือพวกเธอนั่นเอง
“ให้สมุนคนสนิทมาเองเชียว ไหนดูสิว่าเป็นอะไร” ซาเนียย่าพึมพำ มือก็แกะซองที่วางอยู่บนโต๊ะและเทของที่อยู่ข้างในออกมา มันเป็นรูปสองใบ ใบแรกเป็นเด็กชายอายุไม่เกินสิบปีที่กำลังตั้งท่าถือดาบดูแล้วก็เท่ไม่หยอก แต่รูปอีกใบกลับเป็นชายหนุ่มผมสีดำยาวระต้นคอ นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูเจ้าเล่ห์ แต่ทว่าใบหน้ากลับปิดด้วยหน้ากากรูปนกอินทรีย์ทำให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น ด้านหลังคือชายหนุ่มอีกคนที่สวมเสื้อคลุมปิดหน้าปิดตามิดชิดจนดูไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายด้วยซ้ำ
....
“เด็กกับคนบ้าๆ สองคนหรอหัวหน้า” พริมซ์กับซาเนียร้องขึ้นพร้อมกัน เพราะแม้พวกเธอจะเป็นนักฆ่า แต่ก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำจะฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กกับคนบ้าสติไม่เต็มที่เอาอะไรมาปิดหน้าตัวเองหรอกนะ
“ฮ่าๆๆ” ร็อคกี้หัวเราะลั่น “ข้าว่าแล้วว่าพวกเจ้าต้องว่าแบบนี้ นักฆ่าที่ดีต้องหัดรู้จักคนใหญ่คนโตเอาไว้บ้างเข้าใจไหม? สองคนนี้นะคือคนๆ เดียวกัน แต่เพราะว่าเขาคือองค์ชายปริศนาดาร์ฟ ฟา เทอร์ริสไงละ”
ซาเนียย่าพยักหน้างึกๆ ที่แท้ก็เป็นองค์ชายรัชทายาทดาร์ฟนั่นเอง แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร และไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าหลังหน้ากากนกอินทรีย์นั่น เขาจึงถูกตั้งฉายาว่า “เจ้าชายปริศนา” นั่นเอง
“นี่คงไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกฆ่าไปเก็บเจ้าองค์ชายนี่หรอกนะ”
ร็อคกี้พยักหน้ารับอย่างจริงจัง พร้อมกับเริ่มเล่าประวัติของเหยื่อรายต่อไปของพวกเธอ
“องค์ชายรัชทายาท ดาร์ฟ ฟา เทอร์ริส อายุ 20 ปี อาศัยอยู่ในปราสาทสามฤดูในวังหลวง เป็นลูกขององค์ราชาเจอโรมกับอดีตราชินีเฟรย่า หลังการพระมารตาสิ้นพระชนม์ตอนอายุ 7 ขวบก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง หลังจากนั้นก็เริ่มสวมหน้ากากนกอินทรีย์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน มีราชองครักษ์คนสนิทคือซาคาน ว่ากันว่าเป็นคนเก่งมีฝีมือมากเลยทีเดียว สามารถชนะการประลองจนเลื่อนขั้นเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ได้”
พอเอ่ยจบเซ็นซังก็หยิบรูปใบที่มีคนสองคนยืนคู่กันขื้นมา “คนที่ใส่หน้ากากนี่คือองค์ชาย ส่วนข้างๆ นี่คือซาคาน”
“ข้อมูลน้อยเกินไป เราควรจะหาข้อมูลให้ได้มากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยลงมือ” มาริเอะเอ่ย ซาเนียย่าก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหยิบรูปขึ้นมาดูใกล้ๆ เธอพยายามเก็บรายละเอียดของใบหน้าและการแต่งกายของดาร์ฟและซาคานไว้ให้มากที่สุด เพราะเหยื่อเคสนี้ของเธอค่อนข้างจะแปลกกว่าเคสที่ผ่านๆ มาตรงที่เป็นคนเก็บตัว ทำให้การที่เข้าถึงตัวทั้งสองคนนั้นเป็นลำบากมากยิ่งขึ้น
“แล้วเราจะเอาอย่างไรก่อนดีคะ” พริมซ์ถาม “เข้าไปฆ่าซึ่งๆ หน้า ลอบฆ่า วางยาพิษ จับมาถลกหนัง ตัดหัว หั่นศพ หรือว่า...”
“พอเลยแม่คุณ วิธีการแต่ละอย่างดีๆ ทั้งนั้น” ร็อคกี้ยกมือขึ้นห้าม “อย่างที่มาริเอะบอก ข้อมูลเราน้อยเกินไป เราต้องหาข้อมูลเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ ความชอบ เวลาการเข้าออกตำหนัก ลักษณะการกิน หรือแม้กระทั่งฝีมือ โดยเฉพาะคนที่ชื่อซาคาน เราควรจะจับตาดูเขาไว้ให้ดีๆ”
“อ่า...ต้องเหนื่อยอีกแล้วหรอ....” ซาเนียย่าเริ่มบ่น
“ก็คงต้องเหนื่อยหน่อย” เซ็นซังเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความห่วงใยในตัวลูกน้องทุกคน “เราจะเริ่มงานกันต้องแต่พรุ่งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการประเมินฝีมือขององครักษ์ลึกลับคนนี้...”
เขาจิ้มนิ้วลงไปบนใบหน้าของซาคานในชุดคลุมปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิด “แล้วกระชากหน้าตาที่แท้จริงของมันออกมา”
....การประชุมเรื่องแผนที่จะดำเนินการพรุ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเที่ยงคืน เซ็นซังจึงจะปล่อยให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนและเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด...
“เดี๋ยวก่อนซาเนีย” หัวหน้ากลุ่มนักฆ่ากุหลาบดำเอ่ยเรียกชื่อลูกน้องคนเก่งก่อนที่เธอจะเดินออกจากประตูไป
“เดี๋ยวข้าไปรอที่ข้างนอกนะ” มาริเอะหันมาบอกก่อนจะเดินออกไปกับพริมซ์ ทิ้งให้ซาเนียย่าและเซ็นซังอยู่กันเพียงลำพังสองคน
“มีอะไรหรือเปล่าหัวหน้า”
“เจ้าลืมของสำคัญเอาไว้กับข้า” คนเป็นหัวหน้าเอ่ยพร้อมกับยื่นหยกขาวรูปหงส์ให้ ทันทีที่หญิงสาวเห็นเธอก็ถึงกลับยิ้มแก้มปริทันที
“แฮะๆ ข้านี่ซุ่มซ่ามอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากเลยน้า...” ซาเนียย่าคว้าหยกกลับมาเก็บไว้ที่ข้างเอวเหมือนเดิมก่อนโค้งน้อยๆ เป็นการขอบคุณก่อนเดินออกจากห้องไป
ที่ข้างนอกห้องเป็นอุโมงค์ดินที่มีบันไดไม้ผุๆ ขึ้นไปสู่ทุ้งหญ้าหลังโกดัง ที่นั่นมาริเอะและพริมซ์ยืนรอเธออยู่ด้วยความเงียบสงัด แต่ทันทีที่พริมซ์เห็นเธอก็รีบถามขึ้นทันที
“หัวหน้าเรียกเจ้าทำไมหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เก็บหยกของข้าได้เลยเอามาคืนนะ” ซาเนียย่าชูหยกของตัวเองให้ดูว่ามันยังอยู่ดี
“เห็นว่าหยกชิ้นนี้ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เด็กเลยไม่ใช่รึ ดูแลมันให้ดีๆ หน่อยสิ” มาริเอะทำเสียงดุ ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับอย่างเต็มใจในความเห็นห่วงเป็นใยของนักฆ่ารุ่นพี่ เพราะการที่เธอมีหยกชิ้นนี้ก็เท่ากลับว่าเธอได้เก็บอดีตต่างๆ ของตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน
“จะยืนสั่งสอนกันอีกนานไหมฮะ ข้าไปนอนก่อนแล้วกัน” พริมซ์เริ่มโวยวาย แล้วก็หาววอดๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนบนแพไม้เล็กที่สร้างไว้บนต้นไม้ใหญ่หลังโกดัง มาริเอะกับซาเนียย่าหัวเราะกับท่าทางของเพื่อนสาวนักฆ่าก่อนที่ตนเองจะกระโดดขึ้นตามไปติดๆ
“อ่าๆ ตกลงแผนเอาตามนี้เลยนะหัวหน้า เจ้าว่าไงมาริเอะ” พริมซ์ถาม ขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่ที่กระดาษที่เขียนแผนทั้งหมดที่จะใช้ในวันนี้เอาไว้
“ข้าไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ว่าซาเนียนะสิ ไม่รู้ไปอยู่ไหน”
“ข้าอยู่นี่” เสียงใสแจ่วดังขึ้นที่หลังบานประตูไม้ผุ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินเข้ามา ซาเนียย่าอยู่ในชุดกระโปรงยาวระพื้นเหมือนพวกลูกคุณหนูที่ชอบใส่กัน ในมือถือกระเป๋าขนสัตว์สีขาวใบใหญ่
“โอ้! แม่นางซาเนียย่า” ร็อคกี้แซวก่อนหัวเราะร่วนทันทีที่เห็นเพื่อนนักฆ่าสาวแต่งตัวเป็นหญิงกับเขาบ้าง แต่ถึงกระนั้นในสายตาของเขาเธอก็ไม่ต่างจากลูกลิงที่ถูกจับเอามาแต่งตัว
“เจ้าไม่ต้องมาพูดดีเลย” ซาเนียย่าร้องขึ้น ก่อนไล่สายตามองสมาชิกแต่ละคน วันนี้มาริเอะและพริมซ์อยู่ในชุดกระโปรงผ้าแพรบางเสียจนสามารถมองทะลุเห็นผิวได้เลยทีเดียว แต่เซ็นซังและร็อคกี้กลับสวมชุดผ้าฝ้ายมีผ้ามีผืนคลุมหน้าไว้หลวมๆ เหมือนพวกชาวบ้านผู้ชายเวลาไปทำสวนทำไร่
เซ็นซังอธิบายแผนการทั้งหมดที่เขาวางเอาไว้อีกครั้งให้ทุกคนฟังก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไปทำหน้าที่
“เดี๋ยวเราจะแยกกันออกเป็นสองกลุ่ม ซาเนีย ข้ากับร็อคกี้จะไปที่ลานกลางเมือง ซาเนียจะต้องพยายามตีวงเข้าใกล้องค์ชายให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ร็อคกี้จะลงมือ ส่วนข้าจะคอยสังเกตทุกอย่างให้เอง”
คราวหัวหน้ากลุ่มชี้ทางมาริเอะ “ส่วนเจ้ากับพริมซ์ให้ไปที่ประตูหลังวัง และหาข่าวจากพวงทหาร เข้าใจตามนี้นะ”
“คะ”
มาริเอะกับพริมซ์พร้อมใจกันส่งเสียงขานรับก่อนที่ทั้งสองจะออกจากโกดังไปเป็นกลุ่มแรก
“อืม...ทีนี้ก็เหลือแต่พวกเราแล้ว” ซาเนียย่าพึมพำพลางคว้ามีดสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะเหน็บไว้ที่ต้นขา “งั้นข้าไปก่อนนะ พวกเจ้าอย่าลืมตามไปละ”
ว่าเสร็จก็รีบวิ่งออกมาทั้งๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงลิบอยู่แท้ๆ จนร็อคกี้อดที่จะตะโกนตามหลังมาไม่ได้
“อย่าลืมละ วันนี้เจ้าต้องทำตัวเป็นท่านหญิงนะ อย่าวิ่งไปตกท่อก่อนเจอองค์ชายเสียละ”
ลานหน้าพระราชวังวันนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งผู้ชายผู้หญิงเด็กรวมไปถึงคนแก่ที่ต่างมาเฝ้ารอรับเสด็จองค์ชายดราฟ ฟา เทอร์ริส ซึ่งแน่นอนว่าซาเนียย่าก็ปะปนไปกับบรรดาสาวๆ เหล่านั้นด้วย ในมือถือผ้าแพรลายดอกท้อสีสวยที่จะเอามาถวายให้องค์ชายเช่นกัน เธอเดินเบียดเสียดกับผู้คนไปมาด้วยความยากลำบาก ตัวก็สูงไม่พอที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ลานบ้างด้วย
ว่าแล้วหญิงสาวจึงหันไปสะกิดชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ยืนคอชะเง้ออยู่ข้างๆ
“พี่ชายๆ องค์ชายเสร็จหรือยังพี่”
‘พี่ชาย’ ก้มลงมองหน้าคนเรียกเล็กน้อยก่อนตอบด้วยเสียงกึ่งรำคาญ
“เอ้อ! มาแล้ว”
พอรู้ดังนั้น ซาเนียย่าก็ยิ้มกริมก่อนจะใช้วิชาตัวเบาเบียดๆ แทรกๆ ฝูงชนเข้าไปจนออกมายืนแถวหน้าได้ในที่สุด
ด้านหน้าของเธอคือลานกว้างที่มีผ้าสีแดงปูกว้างเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของลาน เก้าอี้บุนวมอย่างดีถูกนำมาตั้งไว้ มีชายหนุ่มร่างสูงหนานั่งไขว่ขาอยู่ ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากนกอินทรีย์ปกปิดเอาไว้....ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคือดาร์ฟนั่นเอง
ที่ด้านหลังของเขามีคนสวมชุดเกราะสีดำร่วมสิบคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานดูแล้วน่ากลัวพิกล ทว่าคนที่น่ากลัวกว่านั้นกลับเป็นร่างในชุดคลุมสีทะมึนที่ปกปิดหน้าตามิดชิดยืนอยู่ข้างๆ กับองค์ชายนั่นต่างหาก
“องค์ชายนี่เท่ระเบิดไปเลยนะ” เสียงใสๆ ของสาวน้อยข้างกายทำให้ซาเนียย่าเหลือบตาไปมอง ก่อนตัดสินใจเอ่ยถามเบาๆ
“นี่น้อง องค์ชายนะหล่อมากเลยหล่อ”
“เปล่าหรอกคะ ข้าไม่เคยเห็นหน้าองค์ชายหรอก แต่ข้าว่าท่านคงต้องหล่อมากๆ เลยละ” เด็กหญิงคนนั้นตอบกลับมาด้วยนัยน์ตาเพ้อฝันเสียจนซาเนียย่าไม่กล้าจะถามต่อ เพราะรู้ว่าถึงถามไป คำตอบที่ได้รับก็คงมีแต่เรื่องดีๆ ขององค์ชายบ้านั่น
นักฆ่าสาวในมากท่านหญิงยืนดูเหตุการณ์อยู่จนถึงเที่ยง มีชาวบ้านนำสิ่งของต่างๆ มาให้เขาตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าสีสันต่างๆ พืชผักผลไม้ หรือแม้แต่อาวุธชั้นเลิศ ดูๆ แล้วก็น่าภูมิใจอยู่หรอกที่ชาวเมืองรักองค์ชายคนนี้มากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าอีกไม่นานนี้ชีวิตของเขาคงจะต้องจบลงด้วยน้ำมือของพวกเธอ
จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ระหว่างที่องค์ชายกำลังจะกลับเข้าพระราชวัง ซาเนียย่าก็พยายามเดินเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ท่ามกลางเสียงโห่ร้องสรรเสริญของชาวบ้าน เธอก็แกล้งโห่ร้องตามไปด้วย จนในทีสุดก็สามารถมาอยู่ในระดับเดียวกับองค์ชายได้
“องค์ชายเพคะองค์ชาย”
หญิงสาวแกล้งส่งเสียงเรียกทำให้ผู้สูงศักดิ์ที่เดินอยู่หยุดลงและส่งสายตามาทางเธอทำนองว่ามีอะไร
“ข้านำผ้าแพรชั้นเลิศมาถวายเจ้าคะ” ปากว่าไปมือก็ล้วงเอาผ้าแพรชั้นเลิศที่เซ็นซังเตรียมไว้ให้ออกมายื่นให้ ซึ่งเขาก็รับไปโดยไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังผ้าแพรผืนนี้มีอะไรที่ซ่อนอยู่
ซาเนียย่าลอบยิ้มน้อยๆ นึกแล้วก็อดชื่นชมแผนการของเซ็นซังไม่ได้ แต่อันที่จริง เวลานี้น่าจะเริ่มแผนรุกได้แล้ว
“กรี๊ดดด....”
ไม่ทันไรเสียงกรีดก็ดังขึ้นพร้อมกับฝูงชนที่แหวกออกเป็นทางให้ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่วิ่งตรงมาทางเธอกับองค์ชาย พวกองครักษ์รีบวิ่งเข้ามายืนอารักษ์ขาชายหนุ่มสูงศักดิ์ทันที แต่ทว่าเธอกลับไม่ได้อยู่ในเป้าหมายการอารักษ์ขาครั้งนี้ด้วยนะสิ
“หลบไปนังหนู” เจ้ายักษ์ที่วิ่งมาตะโกนก้องก่อนจะกระชากกระเป๋าขนสัตว์ไปจากมือของซาเนียย่าจนเธอล้มลงไปกองกับพื้นทันที
“โอ๊ย!!”
“ตามมันไป จับมันมาลงโทษให้ได้” เสียงทุ้มตะโกนก้องพร้อมกับทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งที่รีบวิ่งตามเจ้าคนร้ายไปทันที เมื่อซาเนียย่าหันไปมองจึงรู้ว่าที่แท้ก็เขาก็คือซาคาน องครักษ์คนสนิทขององค์ชายดาร์ฟนั่นเอง
องครักษ์หนุ่มเหลือบตามามองเธอก่อนจะรีบวิ่งตามไปด้วยอีกคน ส่วนดาร์ฟนั้นกลับตรงเข้ามาช่วยพยุงเธอให้ลุกยืนขึ้น
“ขอบพระทัยเพคะ” หญิงสาวก้มหน้าก้มตาตอบกลับเบาๆ อย่างน่าสงสาร ดาร์ฟถอนใจแล้วจึงหันไปสั่งทหารที่เหลือให้ไล่ชาวบ้านออกไปให้หมดก่อนจะหันกลับมาทางซาเนียย่าอีกครั้ง
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่เพคะ” เธอตอบกลับ แต่พอเขาจับเข้าที่แขนของเธอก็ถึงกับร้องออกมาทันที พอชายหนุ่มถลกแขนเสื้อข้างนั้นขึ้นจึงพบว่ามันถลอกและมีเลือดไหลซิบๆ
“เจ้าบาดเจ็บ!” ดาร์ฟร้อง “เข้าไปในวังหลวงก่อนเถอะ ข้าจะให้หมอทำแผลให้เจ้า”
“ไม่เป็นไรเพคะ ข้าอยากจะไปตามกระเป๋าของข้ามากกว่า” ซาเนียย่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานจนเขาได้แต่ถอนใจ แต่ใจหนึ่งก็ยากจะเข้าไปในวังเพื่อหาลู่ทางเข้าออกเหมือนกัน แต่ว่าทางด้านร็อคกี้ที่ท่อซาคานไปสู้ด้วยนั้นสำคัญกว่า
“งั้นเจ้าไปกับข้าดีกว่า” คนสูงศักดิ์กว่ายื่นข้อเสนอกลับมาซึ่งเธอก็ไม่เกี่ยง เขาจึงให้กลับไปสั่งให้พวกลูกน้องกลับไปก่อน แล้วจึงให้มาหาเธออีกครั้ง
“เจ้าขึ้นม้าไปกับข้าจะไวกว่า ป่านนี้ซาคานคงจับเจ้าโจรนั่นได้แล้ว”
ซาเนียย่ายิ้มรับ ก่อนที่เขาจะส่งเธอขึ้นเจ้าม้าสีดำสนิทและควบมันออกไปด้วยความรวดเร็ว โดยไม่เฉลียวใจถึงภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาถึงตัวเลยสักนิด เพราะอันที่จริงทั้งหมดนี่คือแผนการเริ่มต้นของพวกเธอ
การที่เธอเข้ามาถวายผ้าให้เจ้าองค์ชายนั่นก็เพื่อเป็นการเข้าประชิดตัว ส่วนที่โจรวิ่งเข้ามาปล้นกระเป๋าของเธอไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งลานก็เพื่อดึงดูดความสนใจของซาคานให้ตามเขาไป เพราะเจ้าโจรนั่นก็คือร็อคกี้นั่นเอง และตอนนี้เขาก็คงกำลังสู้อยู่กับซาคานเป็นแน่ ไม่รู้ก็แต่ว่าตอนนี้เซ็นซังไปแอบนั่งดูอยู่มุมไหนกัน??
ส่วนฝ่ายของมาริเอะกับพริมซ์นั่นหรอ...ป่านนี้สองสาวนักฆ่านั่นคงจะจัดการเผด็จศึกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!
ที่ประตูวังทางด้านหลังตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงเฮฮาอย่างเมามายของเจ้าทหารยามที่ตอนนี้ลงไปนั่งเมาอยู่บนพื้นด้วยฝีมือของมาริเอะกับพริมซ์เป็นที่เรียบร้อย
“อีกแก้วนะคะพี่...ดื่มให้หนูหน่อยนะคะ..น้า...” พริมซ์แกล้งออเซาะ พลางเอาแก้วเหล่าจ่อปากเจ้าทหารขี้หลีที่นั่งโอบกอดเธออยู่
“อะจ้า...เอิ๊ก... ได้เล้ยน้องสาวคนงาม” ทหารยามเอ่ยด้วยเสียงเบลอฟังไม่ได้ศัพท์ หน้าก็แดงเพราะฤทธิ์เหล่า แต่เพื่อโชว์สาวก็ยังคงกินต่อไป
“แต่แบบนี้จะดีหรอคะ” มาริเอะที่นวดหลังให้อยู่เอ่ยเสียงหวาน “ถ้าเจ้านายพี่มาเจอ พี่จะแย่เอาน้า”
“แหม...พี่ซะอย่าง” เจ้าทหารยามทุบอกดังปัง ก่อนเลอลั่นอย่างน่ารังเกียจ “พวกเจ้านายนะเอาแต่นั่งอยู่ในห้องจะไปรู้อาราย... ทางนี้ก็ไม่มีโคนผ่าน ม่ายรู้จะเฝ้าทำซากอารายของมาน เอิ๊ก!!”
“จริงหรอคะ” พริมซ์ช้อนตาขึ้นมองพลางซบลงที่อกของทหารหนุ่ม
“จริงซี่ นี่นะ ถ้ามีตรานี้จะเข้าไปถึงวังชั้นในยังได้เล้ย” เขาพูดพลางก้มลงหอมแก้มพริมซ์ แล้วจึงดื่มเหล้าเข้าไปอีกแก้ว ก่อนจะดึงตราทหารออกมาอวด
“โห...เก่งจังเลยค่ะ” ได้ทีเธอก็รีบเสริมต่อ พลางเหลือบตาขึ้นมองมาริเอะเป็นเชิงให้สัญญาณ
“ฮ่าๆๆ แน่อยู่แล้วจ้ะน้องสาว”
มาริเอะเหยียดริมฝีปากออกจนเป็นเส้นตรง มือที่นวดอยู่ที่ไหล่ค่อยๆ ขยับมาอยู่บริเวณท้ายทอย “ถ้าอย่างนั้น...แกก็หมดประโยชน์แล้วไอ้สวะ”
กร็อก!! เสียงกระดูกหักดังเบาๆ ก่อนที่คอของเจ้าทหารยามจะหับและหมดลมหายใจลงด้วยฝีมือของนักฆ่าสาว
“ชิ” พริมซ์ส่งเสียงอย่างรังเกียจขณะที่เอาร่างใหญ่ยักษ์ออกจากร่างของตน แล้วกระชากตราทหารออกมาจากมือของเขา “ข้าว่าหั่นศพไอ้บ้านี้ไปไว้ในป่าให้เป็นอาหารของพวกหมามันดีกว่า”
รุ่นพี่สาวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ทีนี้แผนการของเซ็นซังก็สำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว ที่เหลือก็แค่รอแผนขั้นต่อเท่านั้น
มาริเอะยิ้มอย่างเยือกเย็นในแบบฉบับของตัวเอง...ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะได้เป็นหนึ่งในตัวหมากที่จะเขย่าราชบัลลังก์ของอาณาจักรฟรอนดาโก้ที่ยามนานมาหลายศตวรรษ
ความคิดเห็น