ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END ☣ FAKE LOVE รักปลอมๆ

    ลำดับตอนที่ #2 : FAKELOVE :: CHAPTER 1 100% [อัพครบ]

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 63


    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

    CHAPTER 01


     

               “ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าแกมันไม่เอาไหนจริงๆ เลยฟาง”

     

    “นั่นสิคุณ เห็นพ่อกับแม่แกเป็นอะไรไม่ใช่ธนาคารฝากเลี้ยงลูกแกนะ ยังไงฉันกับพ่อแกก็ไม่รับเลี้ยงแน่ๆ”

     

    “จะเอาไปฝากใครก็ไป”

     

    “…”

     

    สิ้นประโยคเสียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าของฉันเกิดขึ้นถึงแม้ว่าตอนนี้จะนั่งเผชิญหน้ากับพ่อและแม่บังเกิดเกล้าของตัวเองก็ตามแต่รู้ไหมฉันกับเลือกทำอาการแบบนี้ต่อหน้าท่านอย่างไม่แคร์ด้วยซ้ำเพราะยังไงมันก็เกินคำนั้นมานานแล้ว เรื่องของเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นก็คือฉันจะฝากเตแค่เพียงครึ่งวันของวันเสาร์ที่กำลังจะมาถึงนี้แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นแค่คำปฏิเสธพร้อมกับประโยคที่แฝงไปด้วยการเหยียบย้ำความรู้สึกเล่น

     

    ไม่เพียงแค่ประโยคที่ออกมาจากปากของพวกทั้งสองนะแต่มันยังมีน้ำเสียงท่าทางและก็สายตาที่ทำให้รู้สึกไม่ดีทุกครั้งซึ่งแน่นอนฉันปกติแล้วเมื่อเจอสายตาพวกนี้คอยเล่นงานแต่คนอื่นถ้าได้มาเห็นไม่มีทางที่พวกเขาจะเข้าใจแน่ๆ ฟันธงได้เลยว่ายังไงสายตาคนนอกที่มองมาแว๊บแรกคนพวกนั้นจะมองตัดสินว่าฉันมันไม่ดี ฉันทำให้พ่อแม่เสียใจ ฉันเป็นตัวการทำให้พ่อแม่เสียหน้าและฉันจึงเป็นลูกชังอย่างเต็มตัว

     

    โอเค...

     

    ฉันยอมรับว่าฉันอาจเป็นแบบนั้นจริงๆ

     

    แค่ฉันมีลูกตอนเรียนจบมัธยมปลายพอดีหลังจากไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ

     

    แค่ฉันดรอปเรียนไปปีหนึ่งเลยเข้าเรียนระดับปริญญาช้า

     

    แค่นี้ฉันเหมือนถูกตีค่าว่าสารเลว

     

    ทั้งๆ ที่มีพ่อของลูก

     

    “มันเป็นอะไรนักตั้งแต่เกิดมีปัญหาจริงๆ บอกผัวแกสิ ฝากไว้กับมัน”

     

    “เขาไม่ว่างค่ะพ่อ เขาก็มีเรียนซ่อมตอนเช้า”

     

    ถ้ามีทางเลือกมากกว่านี้คิดเหรอว่าฉันจะเลือกมาขอในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้

     

    แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆ

     

    “ฉันก็ไม่ว่างมีนัดกับเพื่อนเช่นกัน” ฉันรู้ว่าพ่อเอาอารมณ์มาใช้ในการตัดสินใจตั้งแต่แรกถึงจะว่างเขาก็จะบอกว่าไม่ว่างอยู่ดี จะมีอะไรนักแค่นัดกับเพื่อนไปจิบน้ำชาบ้านกงสีพบปะพูดคุยเรื่องไร้สาระทั่วไปแต่เรื่องหลานในไส้กับไม่สนใจใยดี อ้อ... ลืมไปไม่คิดสนใจด้วยซ้ำไป “แค่นี้จบจะไปฝากใครก็เรื่องของแก”

     

    นี่ไงคำตอบของพ่อฉัน

     

    นี่เป็นคำตอบที่ฉันได้รับมาตลอด

     

    “ไม่ใช่ฉันและพ่อแกแน่นอนเลยฟาง”

     

    พอแม่สำทับคำตอบของพ่ออีกฉันก็ไม่ตื้อและไม่ทักท้วงอะไรอีกแล้ว

     

    “ฟางรู้แล้ว”

     

    “ทำไม่เหมือนพี่สาวแกเลยนะฟางต่างกันราวฟ้ากับเหว แฟเอาแต่เรียนๆ และก็เรียนไปแลกเปลี่ยนพร้อมกันก็ยังไม่มีปัญหาอะไรแถมตอนนี้ยังเลือกเรียนต่อใกล้จบจากนอกได้หน้าถือตาส่วนแกเป็นขี้ปากชาวบ้านเต็มไปหมด ฉันปวดหัวเรื่องของแกมากผ่านไปเกือบจะสามปีก็ยังเป็นขี้ปากให้ชาวบ้านได้ถามอยู่เรื่อย” มันจะเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องอดีตของฉันตั้งแต่สองสามปีก่อนที่แม่เจาะจงหยิบยกขึ้นมาเล่าฉายซ้ำแบบไม่มีวันจบในชีวิตนี้ “ฉันไม่ว่างนะบอกไปแล้วทางสโมสรแม่บ้านเขานัดและพ่วงลูกแกไปด้วยไม่ได้”

     

    หึ... ก็แบบนี้แหละ

     

    “อย่ามาใช้สายตาแบบนี้กับฉัน” พ่อเริ่มอยู่ไม่นิ่งเมื่อเจอสายตาของฉันที่มองไปยังตัวเองความร้อนรนบวกกับการแก้สถานการณ์ผิดของท่านสิ่งที่ฉันได้กลับมากับเป็นความไม่พอใจหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิม ใบหน้าเข้มขรึมตึงขึ้นอย่างอัตโนมัติแถมใช้สายตาแข็งกร้าวเพิ่มขึ้นเท่าตัว “เหมือนแม่แกว่าจริงๆ รู้งี้มีแค่แฟคนเดียวเป็นลูกน่าจะดีเสียอีก”

     

    เหรอ…

     

    งั้นเหรอ...

     

    “โอเคค่ะ”

     

    ใช่ฉันเลือกยอมเพราะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องประสาทแดกในชีวิตเกินไปมากกว่านี้และอีกอย่างพูดไปมันก็เท่านั้นในเมื่อมันอยู่ในจุดเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างมากวันพรุ่งนี้ฉันก็แค่อยู่กับเตเท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมายไปกว่านี้

     

    “แล้วนี่แกจะไปไหน?”

     

    พอฉันลุกขึ้นหันหลังจะจากไปประโยคของแม่ก็รั้งเอาไว้ให้หยุด

     

    จะให้อยู่ต่อเพื่ออะไรล่ะ

     

    “กลับค่ะ”

     

    “ก่อนกลับบ้านแกไปล้างจานให้ฉันก่อนนะ”

     

    “ไม่ค่ะ วันนี้ฟางมีธุระต่อคงอยู่ทำงานบ้านให้แม่ไม่ได้หรอก” ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยทำนะทุกอย่างในบ้านหลังนี้ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ฉันทำหมดถ้าได้ย่างก้าวเท้าเข้ามาแต่วันนี้คงไม่ได้ “เมื่อก่อนแม่ก็ทำได้ตอนนี้ผ่านมาไม่กี่ปีนะคะแม่ก็คงทำได้”

     

    “อีฟาง!”

     

    “…”

     

    “ใช่สิตั้งแต่มีบ้านหลังโต มีรถเกือบสิบคันให้เลือกใช้ บ้านมีแม่บ้านมันทำแบบนี้กับคนเป็นแม่สินะ” แม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาใช้ว่าฉันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จนพอแม่อ้าปากพูดฉันก็สามารถเดาออกได้เลยว่าประโยคที่ออกจากปากจะเป็นแบบไหน “ฉันขอแม่บ้านมาช่วยบ้างไม่เคยให้”

     

    “จริงเหรอคะที่ฟางไม่เคยให้ แม่นึกดีๆ สิว่าฟางจ้างมาอยู่กับแม่แล้วกี่คน”

     

    “…”

     

    “แต่ไม่มีใครทนได้เพราะแม่กดขี่เขาเกินคนไงคะถึงจะมากี่คนทำแบบนี้คำว่าทนคงใช้ไม่ได้”

     


             มันคือความจริงทั้งนั้นแหละที่คนอย่างฉันเอ่ยออกจากปากไปต่อหน้าพ่อกับแม่ซึ่งมันดูปกติสุดทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยพวกท่านทั้งสองโกรธฉันเข้าเส้นที่ได้กล่าวว่าแบบนี้ออกมาทั้งที่มันเป็นความจริงทุกอย่างแต่คงแทบน้อยครั้งในการหลุดพูดออกจากปากของฉันยกเว้นวันนี้

     

    ไม่ได้โกรธที่ท่านไม่รับฝากเตแต่มันคือสิ่งที่ต้องทำให้ท่านทั้งสองรับรู้เอาไว้บ้างไม่อย่างงั้นมันต้องเป็นไปอีกเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งอีกเหตุผลหนึ่งมันละเอียดอ่อนจนแทบทำการอธิบายไม่ถูกด้วยซ้ำ จากที่ฉันรับรู้เรื่องแม่บ้านมาเข้าหูนี่ไม่ใช่เพราะเห็นกับตานะแต่เพราะได้ยินจากคนอื่นเล่าสืบกันมาทั้งนั้น

     

    ขนาดฉันได้ยินยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

     

    แล้วคนที่ไม่รู้จักได้ยินมันจะเป็นยังไง

     

    ถ้าไม่ตีสีใส่ไข่เพิ่มกันสนุกปาก

     

    โลกของการนินทาไม่มีที่สิ้นสุดหรอกไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ช่างต่อหน้าไม่กล้าลับหลังอย่าถามหาเลยเละทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเครือญาติ เพื่อนฝูงหรือแม้แต่คนในครอบครัวก็ใช่ว่าจะไม่มี เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอหลายเหตุและผลความเกลียดชังมักอยู่ในความจริงและก็การนินทา

     

    “ใครมันบอกแกยัยฟาง”

     

    “ไม่มีใครบอกค่ะแค่รับรู้แล้วเห็นจริงมากกว่า”

     

    “ฉันไม่เชื่อ”

     

    แม่ยิ่งทำหน้าเข้มขึ้นหลายเท่าเมื่อได้ยินคำตอบของฉันที่กลายเป็นว่าทำให้ไม่เชื่อเข้าไปกันใหญ่ ความเชื่อของแม่เมื่อมองคนอื่นหรือว่าเมื่อเจอกับความรู้ทันแปลกที่แม่ท่านจะเกลียดไปโดยปริยาย การปิดกั้นทางคำตอบเกิดขึ้นในทันทีโดยที่ไม่สามารถรับอะไรได้อีก

     

    ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก

     

    ประโยคนี้ใช้กับแม่และก็พ่อได้เลย

     

    “ฟางโตแล้วนะแม่รู้ทุกอย่างนั่นแหละอีกอย่างที่ฟางส่งมาก็เป็นแม่บ้านเขาเป็นเด็กที่บ้านฟางมีเหรอเกิดอะไรขึ้นจะไม่รู้” เด็กไม่ได้ฟ้องแต่เลือกปิดบังให้เหตุผลอื่นว่าจะลาออกทั้งที่มาทำงานบ้านแม่ได้ไม่กี่วันแบบนี้มันน่าสงสัยแค่เค้นหรือหลอกถามนิดหน่อยไม่นานทุกอย่างก็รับรู้ได้หมด “ทุกครั้งเลือกไม่สนเพราะคิดว่าเป็นเหตุผลอื่นก็ได้แต่ไม่ใช่เลยหลายคนที่ออกล้วนมีเหตุแบบเดียวกัน”

     

    “หึพวกมันก็ว่าไปเรื่อย ทำงานไม่ดีมาโทษคนจ้างหน้าไม่อาย”

     

    “ฟางกลับก่อนนะคะ”

     

    “นี่คิดว่าปีกกล้าขาแข็งออกไปอยู่กับผัวแล้วคิดจะลืมพวกฉันงั้นเหรอ แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ”

     

    เป็นพ่อที่พูดออกมาย้ำเพื่อทำให้ฉันยินยอมทำสิ่งที่พวกท่านต้องการเมื่อก่อนอาจได้แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ฉันควรรู้ว่าตัวเองควรพอมานานแล้วอย่าไปตามใจมากเกินกว่าเหตุด้วยซ้ำ

     

    “ฟางไม่เคยคิด ฟางไม่มีความคิดแบบนั้น”

     

    “แกเถียงฉันทุกคำแบบนี้มันหมายความว่าไม่เคยเหรอ”

     

    “…”

     

    “แกปฏิเสธทั้งที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร”

     

    “…”

     

    “แกอิจฉาพี่สาว แกอยากได้รับความสนใจแบบนี้ฉันว่ามันเป็นเด็กมีปัญหาแล้วยัยฟาง”

     

    “…”

     

    ฉันไม่เคยอิจฉา

     

    ฉันไม่เคยอยากเอาชนะพี่แฟ

     

    และฉันก็ไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหาเรื่องแบบนี้

     

    “ทำไมไม่เถียงพ่อแกล่ะ”

     

    แม่ลุกขึ้นมาใกล้ฉันมากก่อนใช้มือออกแรงผลักลงบนศีรษะของฉันอย่างแรงจนเมื่อแรงผลักเกิดขึ้นมีเหรอที่ร่างกายฉันเมื่ออยู่นิ่งเฉยมันจะไม่เสียหลักก้าวเท้าถอยไปทางด้านหลังตามแรงผลักที่มีตามมาติดๆ กันอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด

     

    “…”

     

    “แกมันจะเถียงอะไรในเมื่อเป็นแบบนั้น”

     

    “…” แม่ผลักอีกซ้ำๆ

     

    “เป็นความอับอายของฉัน!”

     

    “…” ได้ยินแล้ว

     

    “เป็นก้อนเนื้อที่ถ้าฉันรู้ว่าเกิดมาแล้วทำให้ชีวิตพังฉันจะเลือกฆ่าให้ตาย”

     

    “…” แต่ก้อนเนื้อก้อนนี้ก็มีหัวใจไม่ใช่ตายด้านเรื่องความเสียใจ

     

    “ได้ยินมั้ยอีฟาง ฉันทำแกตายแน่ๆ แค่นี้ก็อยากบีบคอแกจะตายห่าอยู่แล้ว”

     

    “…” ได้ยินจนไม่อยากจะได้ยิน

     

    “ยิ่งเห็นหน้าลูกแกก็ยิ่งอยากฆ่า”

     

    ปึก... เส้นความอดทนขาดสะบั้นลงเป็นที่เรียบร้อยเมื่อประโยคที่ออกมาจากแม่คือการคิดฆ่าลูกฉันแค่นี้มือของตัวเองมันก็ต้านทานสะบัดมือของแม่ออกไปด้วยความแรงไม่มากนักทว่าเสียงมือฉันกระทบกับมือแม่มันดังกว่าปกติ ความเงียบเป็นชนวนชั้นดีให้สายตาของพ่อที่นั่งไม่ไกลตึงขึ้น

     

    “แกทำร้ายแม่แกทำไมอีฟาง!”

     

    “…” พ่อสติแตกลงในทันทีพร้อมกับวาจาแข็งกร้าวสาดพ่นเข้ามาใส่อีกทั้งยังลุกขึ้นคว้าไม้กวาดใกล้ตัวขึ้นมาติดมือก่อนเดินมุ่งหน้ามาเพื่อกะฟาดฉันแน่ๆ “ฟางไม่ได้ทำร้ายแต่ฟากก็เจ็บเป็นเหมือนกัน”

     

    “แกเป็นลูกบังอาจมาทำกับแม่แบบนี้เหรอ ฉันสอนแกแบบนี้เหรออีกฟาง”

     

    ไม่มีใครสอน 

     

    ไม้กวาดถูกยกสูงเตรียมฟาดลงมากระทบเนื้อของฉันทว่าชั่วพริบตาที่ยังมีความรวดเร็วของอะไรบางอย่างเข้ามากันเอาไว้อย่างทันการแถมเสียงด้ามไม้กวาดกระทับกับมันดังปึก

     

    “ทานโทษครับพ่อตาพ่อดีลูกเขยคนนี้อยากถามว่าอย่างไหนจะเจ็บกว่ากันถ้าโดนฟาดระหว่างด้ามไม้กวาดกับ...ไม้เบสบอลในมือผม”

     

    ประโยคคำพูดกวนส้นตีน

     

    น้ำเสียงไม่เชิงไม่เคารพแต่ไม่ใช่ยอม

     

    กิริยาท่าทางที่เลือกใช้แสดงออกมานั้นสมเป็นเขาดี

     

    แค่นี้ก็คาดเดาไม่ผิดว่าผู้มาใหม่ที่เข้ามาร่วมอีกคนเป็นใครอีกทั้งพ่อแม่ทั้งสองไม่สะทกสะท้านกับการมาเท่าไหร่นักแค่นี้ก็ทำให้รู้โดยอัตโนมัติไปโดยปริยายว่าเขาคือพ่อของลูกฉันเอง เรื่องราวความซับซ้อนของครอบครัวฉันมันมีอีกเยอะแยะทั้งที่สามารถรับรู้ได้และที่ไม่สามารถรับรู้ได้

     

    ‘ความลับ’ มันมีอยู่ทุกที่แหละ

     

    และถ้าจะไขความลับได้ก็ต้องรอเมื่อ ‘ถึงเวลา’ หรือไม่มันก็จะยังคงที่เป็นความลับไปตลอดกาล

     

    “…”

     

    พ่อเลือกที่จะไม่โต้ตอบและก็ปล่อยด้ามไม้กวาดในมือลงกระทบพื้นไปแต่รู้ไหมว่าสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมคนมันยังคงอยู่ไม่จางหายไปประจวบกับไม้เบสบอกของอีกฝ่ายที่อยู่เคียงข้างฉันมันก็ถูกเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว เขารอเวลาพ่อยอมแล้วถึงจะยอมลงเช่นเดียวกัน

     

    วิถีชีวิต การใช้ชีวิต การกระทำหรือว่าการตอบโต้ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ หรอกตั้งแต่รู่จักกันมาคำว่าเสือ Playboy Badboy ฉลาดเป็นกรดคำพวกนี้ทำให้ฉันได้ยินทุกครั้งไม่ว่าจะหลังคบหรือว่าก่อนคบกัน

     

    เขาไม่เหมือนคนอื่น

     

    เขาไม่พูดมากให้เรื่องวุ่นวาย

     

    และเขาก็ซัดอย่างเดียวเมื่อฉันโดยกระทำ

     

    อย่างเช่นในครั้งนี้ก็ตามแค่นัยน์ตาคมสีดำเข้มดุตวัดเข้ามาไล่ดูตามร่างกายของฉันด้วยความละเอียดแต่ว่าแฝงความรวดเร็วก่อนละทิ้งไปมองคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อตาตัวเอง

     

    “ตี... ตีได้ไม่ว่าแต่ถามเหตุผลหน่อย ครั้งนี้ตีฟางทำไมครับ”

     

    “รีบเอาอีฟางออกไป”

     

    “ผมยังไม่ได้คำตอบจากพ่อตาเลยแม่ยายคิดว่าผมจะไปเหรอ”

     

    “แกนี่มันขี้หาเรื่องจริงๆ” แม่ตำหนิขึ้นโดยใช้สายตาดุสื่อมองมาทางฉันว่าให้รีบพาเขาออกไปจากบ้านแต่มีเหรอฉันจะทำได้ถ้าอีกฝ่ายยังคงปักหลักยืนนิ่งแสวงหาคำตอบแบบนี้ “อีฟางเอาผัวแกออกไป”

     

    “ผมพูดกับพ่อตาอยากได้ยินแค่พ่อตาไม่ใช่แม่ยายนะ”

     

    “ไอ้...”

     

    “จะตอบได้หรือยังครับพ่อตา”

     

    “กูตีมันเพราะมันทำร้ายแม่ตัวเองไง พ่อตีลูกแค่นี้ไม่ได้เหรอ”

     

    “แล้วที่คนเป็นแม่เข้ามาผลักหัวลูกซ้ำๆ แค่ลูกมีธุระไปทำต่อไม่ล้างจานให้แบบนี้เรียกว่าอะไรครับหรือแค่เรียกว่าแม่แค่สั่งสอน”

     

    พอพ่อท่านได้ยินแบบนี้สิ่งที่ทำได้ในเวลาต่อมาคือยกนิ้วขึ้นชี้ไปทางประตูบ้านในทันทีไม่รีรออะไรทั้งนั้นสมที่จะเป็นพ่อดีเมื่อถกเถียงอะไรไม่ได้ก็ทำแค่ไล่ออกจากบ้าน

     

    “ออกไปจากบ้านกูซะ!”

     

    “หึ...” เขาก็เลยทำได้โดยการส่งเสียงแค่นี้โดยที่ไม่ได้อะไรกับพ่อต่อมีแต่ใช้ไม้เบสบอลดันร่างกายของฉันให้ไปทางประตูเราทั้งสองคนมาหยุดที่หน้าบ้าน “เป็นอะไรเกิดความดีเข้าสิงไม่โต้ตอบอย่างงั้นเหรอ”

     

    เขามองฉันและทิ้งลมหายใจยาวจากนั้นก็เบือนใบหน้าไปทางอื่นเพื่อสะกอดกั้นอารมณ์หนึ่งเอาไว้แทนเพราะความหัวเสียแต่ไม่ได้ทำอะไรนักทำให้เขาเป็นแบบนี้ ฉันในตอนนี้ทำได้แค่จ้องมองเขาในชุดนักศึกษานิ่งๆ ไม่ได้พูดหรือว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำไป

     

    “…”

     

    “มาทำอะไรที่นี่อีกฟาง”

     

    ที่นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากให้ฉันมา

     

    ที่นี่คือสิ่งที่เขาเอ่ยห้ามทุกครั้งด้วยแหละ

     

    และที่นี่ถ้าจะมาก็ต้องให้มีเขาตามมาด้วยมันถึงโอเค

     

    ไม่ใช่ว่าฉันไม่ฟังเขานะแต่วันนี้ฉันเลือกที่จะเข้ามาคนเดียวเพราะอีกฝ่ายเรียนเช้าต่างหากจึงไม่อยากรบกวนอีกอย่างถ้ามาหาพ่อกับแม่ตอนบ่ายรับรองไม่เจอหรอก

     

    “ขอฝากเต”

     

    “ฝากเต?”

     

    “อืม”

     

    “รู้ทั้งรู้ว่ามันจะเป็นยังไงแล้วยังจะมาอีก อย่าฝืนไม่ใช่ก็ไม่ต้องทำเคยบอกเอาไว้ไม่ใช่หรือไง”

     

    “แล้วจะให้ทำยังไงพรุ่งนี้ฟางมีเรียนซ่อมคาบที่หยุดไม่ว่างส่วนพี่ก็มีเรียนนิปล่อยลูกไว้คนเดียวเหรอ” เห้ยนี่มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้วนะแต่คงต้องเปลี่ยนแผน “จะเอาแบบไหนคิดบ้างเลย”

     

    “…” เพราะเขาเงียบก็เป็นฉันเองที่เอ่ยปากอีกครั้งหนึ่ง

     

    “ฟางเมื่อยจะขึ้นไปนั่งบนรถ”

     

    แค่นี้เขาก็ปลดล็อคให้พร้อมกับเดินมาเปิดประตูรถให้เสร็จสรรพพอขึ้นรถมาได้อีกฝ่ายก็เช่นกันคนอย่างเขาไม่ยืนอยู่นอกรถประทะอากาศร้อนให้อารมณ์เสียหงุดหงิดหรอก ฉันรีบปลดรองเท้าส้นสูงของตัวเองไว้มุมหนึ่งของรถแล้วเลือกสวมรองเท้าแตะที่มีการเตรียมเอาไว้ให้แทนเป็นแบบนี้เสมอซึ่งมันติดเป็นนิสัยไปแล้วแหละทั้งๆ ที่รถคนนี้ไม่ใช่ของตัวเองนะ ฉันไม่ได้เอารถมาเพราะมีเรียนตอนเช้าแค่สองชั่วโมงจึงรีบมาบ้านพ่อแม่เลยโดยใช้บริการวินมอเตอร์โซค์แทน

     

    “คาดเข็มเข็ดด้วย”

     

    “เป็นไงคิดออกมั้ย” ฉันทำตามที่เขาบอกจากนั้นก็ส่งเป็นประโยคคำถามไปด้วยยังไงตอนนี้สองหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียวแล้วกันอย่างน้อยๆ ปัญหาใหญ่เราสองคนก็ผ่านกันมาได้นี่มันเล็กเกินกว่าจะทำอะไรพวกเราได้แน่

     

    “พอเดี๋ยวพี่ดูลูกเอง”

     

    “แน่ใจนะ” ฉันย้ำ

     

    “ทำไมกัน”

     

    “เหอะไม่น่าถาม”

     

    “ถ้าคิดว่าพี่จะไปหาเด็กโปรดเลิกมโนลงซะฟางตอนนี้ไม่มีหรอก”

     

    ประโยคแก้ตัวที่อีกฝ่ายเอามาใช้ทุกครั้งจนฉันจำขึ้นใจในตอนนี้มันถึงขึ้นพื้นฐานเลยแหละ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสับรางเก่งแค่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับอีหนูน้อยคนไหนฉันไม่สนใจทั้งนั้นตราบใดที่เขายังคุมอยู่

     

    “ก็เอาให้อยู่แล้วกัน อย่าให้วุ่นวาย”

     

    “เธอกำลังหาเรื่องนะ”

     

    “โปรดทำความเข้าใจใหม่นะพี่มันไม่ใช่หาเรื่องแค่เตือนมากกว่า จะมีเยอะก็คุมให้อยู่ซะ”

     

    “เธอกำลังหึงงั้นเหรอ?”

     

    “…” ไม่มีคำตอบมีแต่การถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเป็นที่สุดให้กับคำถามนี้เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเลือกถามแต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เยอะจนนับและจดจำไม่ไหวก็ว่าได้ "อันนี้ก็อย่าหลงตัวเองให้มาก"

     

    “มั่นหน้าถามเลยนะ”

     

    “มั่นหน้าให้มันลดลงหน่อยเถอะ” อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับเร่งความเร็วเพื่อให้ทันไฟแดงตรงหน้าและมันก็ฉิวเฉียดผ่านมาได้อย่างไร้กังวลใดๆ ทว่าสิ่งที่นำความกังวลเข้ามาอีกครั้งคงเป็นทางที่แสนคุ้นแต่เป็นทางที่ฉันไม่อยากเข้ามาเท่าไหร่นัก “ทำไมถึงมาทางนี้นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านเรานะ”

     

    “กลับวัง”

     

    “วังอย่างงั้นเหรอ ทำไมมีอะไรพี่”

     

    ใช่เขาเป็นเจ้า

     

    และเขาก็ฐานะใหญ่ด้วย

     

    “...”

     

    “หรือว่ามีเรื่องอีก คราวนี้จะให้ฟางพูดกับหม่อมแม่พี่ว่าอะไรอีก”

     

    “พี่ไม่ได้มี” เขาปฏิเสธนัยน์ตาใสสื่อคู่นั้นทำให้ฉันระแวงขึ้นมาและไม่เชื่อง่ายๆ “จริงๆ แม่แค่อยากทานข้าวด้วย”

     

    “จริงเหรอ”

     

    “มั้ง”

     

    “แบบนี้เรียกว่ามีเรื่องแล้วแหละ” ‘มั้ง’ เป็นคำที่ออกมาจากปากเขาแล้วบอกไว้เลยว่าไม่น่าเชื่อถือสักนิดเดียว มั้งที่มีเรื่อง มั้งที่ไม่ใช่และก็มั้งที่ไว้ใจไม่ได้อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด “บอกมาเลยจะได้เตรียมตัวถูก”

     

    “ไอ้ตุลย์มันกลับมาแล้วนะฟาง”

     

     

     

    --------------------------------------------------------------------

    ฝากเรื่องเฮียต้าด้วยนะคะ

    **มีการเว้นวรรคและตัวอักษรผิด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×