ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    永遠に

    ลำดับตอนที่ #2 : f o u n d i t

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 63



    [ found it ]


    เราจะตามหาความรักได้จากที่ไหนบ้างนะ?

    จากท้องฟ้า..ดวงดาว..หรือจากผืนทะเลกัน


    'ความรักจากพ่อแม่'

    เด็กหญิงตัวน้อยกะพริบตาตอนที่อ่านข้อความดังกล่าว หากภาพที่ปรากฏเข้ามาในหัวกลับมีเพียงแค่ภาพของผู้ใหญ่สองคนที่มักทะเลาะเบาะเเว้งกันตลอด เสียงตะโกนโหวกเหวกเมื่อหลายคืนก่อนยังจำได้ดี เหมือนกับเดือนก่อนหน้าและก่อนหน้าที่เธอยังไม่ทันลืมมันได้เลยด้วยซ้ำ

    "มีรึเปล่านะ..?"

    นั่งคิดทบทวนดูให้ดี..มีความรักอยู่ในนั้นบ้างรึเปล่า?

    บางทีอาจจะมี, แต่ไม่ใช่การอยู่อย่างพร้อมหน้า ไม่ใช่โต๊ะอาหารที่มีพ่อแม่ลูกล้อมวงกินข้าวกันด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน ไม่ใช่บนเตียงนอนแสนสุขที่เธอจะสามารถกอดพวกท่านไว้แน่น ๆ แล้วหลับฝันไปได้แบบในหน้าหนังสือนิทานเหล่านี้ หากเป็นเงินทองที่แม่หามาให้เธอใช้ไม่ขาดมือ หรืออาจจะเป็นรอยยิ้มที่นานครั้งจะได้เห็นจากพ่อแสนดีของเธอ ที่เดี๋ยวนี้การจะเจอหน้ากันกลายเป็นเรื่องยากไปซะเเล้ว

    ไม่สิ..ความจริงไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ ฮารุมิก็แทบไม่ได้เจอหน้าพวกท่านแล้วล่ะทุกวันนี้

    'แม่มีงานต้องทำเยอะมากเลยน่ะจ้ะ ฮารุมิเป็นเด็กดี ไม่งอแงแล้วรอแม่อยู่ที่บ้านนะ' ผู้หญิงคนนั้นพูดเเบบนี้บ่อย ๆ 

    'พ่อต้องไปประจำมหาลัยที่ญี่ปุ่น มันเป็นโอกาสที่ดี..ฮารุมิเข้าใจพ่อใช่ไหม?' ส่วนผู้ชายคนนั้นก็ถามเธอแบบนั้น ก่อนที่จะหายไปกับเครื่องบินนั่น

    เด็กหญิงวัยสิบสองไม่ได้ทำความเข้าใจอะไรไปมากกว่า เธอคงไม่ได้เจอพ่ออีก หรืออย่างน้อย..ก็คงต้องรอนานเป็นพิเศษ อีกสักห้าหรืออาจจะสิบปี จนกว่าเธอจะโตกว่านี้ มากพอจะสามารถไปหาพ่อที่ประเทศญี่ปุ่นนั่นด้วยตัวของเธอเอง เพราะแม่คงไม่มีวันพาเธอไปหาเขาเเน่ ๆ

    พ่อกับแม่หย่ากันเเล้ว..ด้วยเหตุผลสักอย่าง แต่เธอไม่อยากรู้หรอก เพราะทุกครั้งที่พูดถึงอีกฝ่าย ทั้งสองก็มักหงุดหงิดอยู่เสมอ

    ฮารุมิเรียนรู้ที่จะไม่พูดถึง ตั้งแต่เด็กตอนอายุสักห้าขวบจนตอนนี้ที่อายุสิบสอง เธอเลือกเดินหนีเข้าไปในห้องมากกว่าเข้าไปถามว่าทำไมพวกเขาถึงต้องทะเลาะกัน จนมาวันนี้เเล้วก็ไม่จำเป็นต้องเดินหนีเข้าไปในห้องอีกต่อไป แต่ก็กลายเป็นว่าบ้านเเสนสวยของเธอดันเงียบเหงามากขึ้น หลงเหลือเพียงแค่เด็กน้อยกับพี่เลี้ยงที่มักนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือของเธอมากกว่ามานั่งคุยกับเด็กไม่รู้ประสา เป็นความวังเวงที่ชินชาอย่างน่าประหลาด..

    เพราะแบบนั้น..ไม่ได้หรอก..ขอความรักจากทั้งสองคนไม่ได้หรอก

    อย่างน้อยก็ไม่ใช่อ้อมกอด ไม่ใช่รอยยิ้มแน่ ๆ ที่เธอจะได้รับมันมา

    'ถ้าอย่างนั้นกับพวกเพื่อน ๆ ล่ะ?'

    ปลายนิ้วหยุดลง หน้าหนังสือภาพวาดหยุดอยู่ตรงนั้น ตรงที่มีรูปของเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งยืนล้อมวงจับมือกัน รอยยิ้มกว้าง ๆ ถูกวาดไว้บนใบหน้าของทุกคน ดูสนุกสนานเฮฮา เป็นภาพที่เคยเห็นมาตลอด ทว่ากลับไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย

    ดวงตาช้อนมองภาพจากอีกฝากหนึ่งของสนามหญ้าที่ตนนั่งอยู่ เห็นเพื่อน ๆ ในห้องพากันเล่นสนุกอยู่แบบนั้น มีกลุ่มหนึ่งเหมือนว่าจะมองมาที่เธออยู่เหมือนกัน แต่เมื่อดวงตาสีชมพูเพทายช้อนมองไปที่พวกเขา เด็กผู้หญิงพวกนั้นก็สะดุ้งตกใจกลัว รีบพากันหลบสายตาแล้ววิ่งหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

    "ไม่น่ามีแฮะ.."

    เพราะฮารุมิมักจะอยู่วงนอกเสมอเลยน่ะสิ

    ก่อนที่พ่อจะย้ายไปญี่ปุ่น และก่อนที่พ่อกับแม่จะหย่ากัน บ้านเราอยู่ด้วยกันสามคนเหมือนกับครอบครัวทั่ว ๆ ไป หากเเต่ก็มักบินไปบินมาอยู่ตลอดเพราะงานการของทั้งสองคนที่ทำให้อยู่ติดบ้านไม่ได้สักเท่าไหร่ ลูกสาวคนเล็กเองก็ไม่สามารถทิ้งเอาไว้แค่ลำพังคนเดียวได้ นั่นทำให้ฮารุมิได้รับผลพลอยได้เป็นการได้ไปเที่ยวทั่วโลกตั้งแต่เด็ก แต่ข้อเสียก็คือ..เธอไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว

    เวลาที่แสนสั้นจะสร้างมิตรภาพขึ้นมาไม่ได้ หรือต่อให้สร้างได้ เด็กน้อยแบบเธอก็ไม่รู้วิธีในการรักษา เว้นแต่การขอให้สามารถกลับไปเจอเพื่อนของเธอได้ในอนาคต..แต่ก็นั่นแหละ เรื่องพวกนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่เเล้วล่ะ ก็ตอนนี้แม่จะอยู่ที่อเมริกาแบบถาวรแล้วนี่นา เธอเองก็ด้วยล่ะนะ

    ถ้าอยากมีเพื่อน ก็คงต้องเริ่มจากทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ในห้องก่อน แต่ว่านะ..

    "เราชื่อ ฮารุมิ นะ"

    "ชื่อเธอเรียกยากชะมัดเลย ไม่เอาด้วยหรอก"

    "งั้นเรียกเฮสเทียก็ได้"

    "แต่ว่าเธอชอบทำหน้าดุอะ เราไม่อยากเล่นด้วย"

    อืม...

    แวบหนึ่งฮารุมิแอบอดคิดไม่ได้ว่าคนพวกนี้มันต้องการอะไรจากเธออะ? หรือจริง ๆ แค่ไม่อยากเล่นด้วยเฉย ๆ ก็เลยหาข้ออ้างนู่นนี่ไปเรื่อย? แต่ใด ๆ ก็ตาม ผลการทดลองหาเพื่อนครั้งแรกในชีวิตวัยประถมอีกหนึ่งปีที่เหลือ ปรากฏออกมาว่าล้มเหลวอย่างจัง 

    และก็กลายเป็นว่าตอนนี้ฮารุมิไม่มีเพื่อนเลย..ไม่มีแบบไม่มีจริง ๆ..

    ตอนที่เห็นเพื่อนในห้องเล่นกันมันก็น่าสนุกอยู่หรอกนะ แต่จะให้วิ่งเข้าไปเล่นด้วย เด็กพวกนั้นก็ดูไม่ชอบหน้าเธอกันเอาซะเลย เเละถึงฮารุมิจะไม่เข้าใจว่าตัวเองทำหน้าดุตรงไหน เด็กหญิงก็ได้แต่ถอนหายใจ ยอมรับชะตากรรมแล้วปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียวไปทั้งแบบนี้แทน

    จะว่าไปแล้วก็ใกล้ได้เวลาเลิกเรียนเเล้วนี่นา..หนีกลับบ้านก่อนเลยดีกว่าเรา

    คิดได้ดังนั้น เด็กหญิงก็ทำการยัดหนังสือภาพที่หยิบมาอ่านเล่น ๆ จากที่บ้านลงกระเป๋าไปทันที วันนี้เธอต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะคุณแม่ต้องบินไปทำงานที่อังกฤษกับพวกกองถ่าย ดังนั้นระหว่าทาง ฮารุมิจึงเดินเลี้ยวไปทางขวา มุ่งหน้าไปร้านเบอร์เกอร์ก่อนแทนที่จะกลับบ้านไปเลยเหมือนอย่างวันก่อน ๆ แล้วก็ได้มื้อเย็นมาในที่สุด ซึ่งถึงแม้เธอจะไม่ค่อยคุ้นทางกลับบ้านทางนี้สักเท่าไหร่ ฮารุมิก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรหรอก

    พลั่ก!!

    อืม...

    ไม่มีปัญหาก็บ้าละ

    ฮารุมิกลอกตาของตัวเองไปมาเพื่อมองไปรอบ ๆ ตัว แต่ตอนนั้นเธอกลับรู้สึกว่าโลกเธอหมุนเกินกว่าจะตั้งสติได้ เห็นเบอร์เกอร์ที่กระเด็นกระดอนกลิ้งตกไปไกลลิบเเล้วหนึ่ง กับอีกไม่ไกลคือลูกบาสที่กลิ้งอยู่ข้างหัวตอนงัดตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้พอดี

    ใครมันปาลูกบาสใส่หัวเธอเนี่ย!?

    "เป็นอะไรรึเปล่า" ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เขาหอบเล็กน้อย เหมือนว่าเพิ่งเล่นกีฬามา แต่ดูจากท่าทางแล้วเขาคงไม่ใช่คนที่ปาลูกบาสนั่นมาโดนหน้าเธอหรอก "ไทกะ ขอโทษเธอเร็วเข้าสิ" นั่นไง เจ้าเด็กผมสีแสบคนนั้นต่างหากตัวการเลย

    "หะ ห๊า — แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่ ใครจะรู้ว่ามันจะกระเด็นออกไปแบบนั้นล่ะ"

    เอ้าไอ้นี่

    ฮารุมิรู้สึกคิ้วกระตุกยิบขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่าแบบนั้น และยิ่งฟังเด็กผู้ชายสองคนตรงหน้าพูดคุยกัน เธอก็ยิ่งรู้สึกคิ้วกระตุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เด็กผู้ชายคิ้วสองแฉกคนนั้นโดนต้อนจนจนมุม เขาหันมามองเธอที่ก็มองเขาด้วยสายตาไม่พอใจน้อย ๆ อยู่เหมือนกันได้พอดิบพอดีเด๊ะ ซึ่งสายตาของเธอคงทำเขาหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิมโขเลยล่ะมั้ง

    "มองอะไร —"

    พลั่ก!!

    ลูกบอลในมือเธอลอยออกไป กระแทกหน้าอีกฝ่ายซะก่อนที่จะได้ทันพูดจบซะอีก

    "ตะกี้นี้น่ะฉันตั้งใจ" ฮารุมิพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเค้นเขี้ยว เธอลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลนิดหน่อย "ทีหลังทำคนอื่นเจ็บก็ขอโทษซะสิ ไอ้บ้า"

    หรือไม่ก็เพราะปากของเธอเป็นแบบนี้นี่แหละ พวกเพื่อน ๆ ในห้องถึงได้พากันวิ่งหนีนัก..

    ฮารุมิถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกในตอนนั้น เธอไม่สนใจทั้งเด็กผู้ชายหน้าตาหล่อจัดที่ยืนอ้าปากเหวออยู่ หรือเด็กคิ้วสองแฉกนั่นที่ลงไปจับกบเเทนเธอเเล้ว เด็กหญิงแอบเหลือบมองแฮมเบอร์เกอร์บนพื้นตาป้อย ๆ รู้สึกเสียดายสุดใจเพราะเธอไม่หลือเงินติดตัวเเล้ว คงต้องเดินกลับบ้านไปนอนหิวเอาสินะ..เฮ้อ แถมหน้าก็เหนียวเหนอะหนะไปหมด 

    "หือ?"

    อะไร..เหนียว ๆ..?

    นิ้วเรียวลดลงจากปลายจมูกที่เพิ่งยกไปขยี้เมื่อสักครู่ อาการปวดจมูกตุ้บ ๆ เเล่นเข้าโสตประสาททันทีหลังจากนั้น แต่มันก็คงส่งไปไม่ถึงจิตสำนึกของฮารุมินักหรอก เพราะทันทีที่เห็นว่าปลายนิ้วเรียวขาวของเธอมีของเหลวติดมาด้วย ฮารุมิก็ช็อคค้างไปเลย

    "......"

    อืม...

    โครม!!

    แล้วก็ล้มหงายหลังตึงไปทั้งแบบนั้นท่ามกลางเสียงร้องว๊ากลั่นของเด็กอีกสองคนที่เหลือนั่นแหละ


    ฮารุมิตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเที่ยงของวันต่อมาในบ้านของตัวเอง

    "เด็กสองคนนั้นอุ้มหนูมาส่งที่บ้านให้จากป้ายที่ติดอยู่กับกระเป๋าน่ะจ้ะ"

    และนั่นคือคำตอบจากคุณป้าแมรี่รั้วข้างบ้าน ที่ช่วยตอบให้อย่างใจดีเมื่อเด็กน้อยวิ่งเหยงไปถามตาเหลือกว่าทำไมเธอถึงกลับมานอนที่บ้าน ซึ่งคำตอบของป้าแกคงไม่ทำให้เธอปวดหัวขึ้นมาได้เลย ถ้าฮารุมิไม่วิ่งกลับเข้าบ้านไปเจอป้ายที่ว่านั่นติดอยู่กับกระเป๋านักเรียนเธอจริง ๆ

    'หากพบหลง โปรดติดต่อที่เบอร์ 0x-xxxx-xxxx หรือพามาส่งที่บ้านเลขที่..'

    "แม๊.."

    ฮารุมิร้องฮือออกไปและแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายเสียเดี๋ยวนั้น เธอไม่อยากจะคิดภาพเลยว่าถ้าเจ้าคิ้วสองแฉกนั่นเห็นป้ายนี่แล้วจะเป็นยังไง ไม่สิ..หมอนั่นต้องเห็นแล้วแน่ล่ะ ต้องหาว่าเธอเป็นเด็กหลงแน่ ๆ..

    และเพราะความค้างคาใจปนอาฆาตแค้น (แม้ว่าจะได้รับการช่วยหิ้วมาส่งบ้านให้ก็เถอะ) ค่ำวันนั้นหลังจากที่หายมึนหัวเรียบร้ยแล้ว ฮารุมิจึงออกจากบ้านอีกครั้ง ไม่ได้ไปเรียน ทว่ากลับมุ่งหน้าเดินดุ่มกลับไปที่สนามบาสเจ้าเก่า ซึ่งก็โป๊ะเชะเลย..เจ้าคิ้วสองแฉกนั่นอยู่ที่นั่นจริง ๆ ด้วย

    ..แต่วันนี้อยู่คนเดียวแฮะ..

    "นี่"

    "เฮ้ย!!"

    คนโว้ยไม่ใช่ผี จะร้องทำบ้าอะไรเนี่ย!?

    ฮารุมิแทบอยากจะฟาดอีกฝ่ายสักทีกับการร้องกรี๊ด (?) อัดใส่เธอที่โผล่เข้ามาหาแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้แต่มุ่นคิ้วแล้วเบะปากใส่กับความเว่อวังนั้น เด็กชายคนนั้นพอเห็นเธอก็อ้ำอึ้งไปนิดหน่อย เขามีท่าทีอ่อนกว่าเมื่อวาน เหมือนว่ากำเดาเธอจะทำเขารู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย พอ ๆ กับฮารุมิเองที่แอบรู้สึกผิดเพราะทำให้เขาต้องแปะพลาสเตอร์บนหน้าอันเบ้อเร้อ

    "คือ..เอ่อ.." ฮารุมิก้มลงมองปลายเท้าของตัวเอง ทำตัวยุกยิกอยู่อย่างนั้น ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรกันแน่

    ว่าแต่เธอมาที่นี่ทำไมกันนะ..?

    เหมือนว่าบรรยากาศจะยิ่งพาลเงียบเข้าไปใหญ่ ฮารุมิก็ได้แต่ยืนใบ้ เธออยากชวนอีกฝ่ายคุย แต่ก็ไม่รู้จะชวนคุยยังไงดีเลยได้แต่ปล่อยให้เงียบไปแบบนั้น จนกระทั่งเธอเริ่มได้ยินเสียง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีก ของบ้านก็ปลิวเข้ามาใส่หน้าเธอระดับที่ไวซะจนรับไว้เเทบไม่ทันเข้าให้

    และเธอคงด่าเขาไปแล้วล่ะ ถ้ามันไม่ใช่เบอร์เกอร์จากร้านเจ้าโปรดของเธอน่ะ

    "เมื่อวานฉันทำให้เธออดกินนี่นา" เด็กคนนั้นพึมพำเบา ๆ เหมือนไม่อยากจะพูด คิ้วเองก็ขมวดไว้แน่น "ถือซะว่ายกยอดกันไปแล้วกัน..แต่ว่าเรื่องที่เธอปาลูกบาสใส่หน้าฉันนี่ยังไม่หายกันหรอกนะเฟ้ย!"

    "ก็นายปาใส่ฉันก่อนนี่" ฮารุมิเถียงกลับอย่างอดไม่อยู่ เธอสะดุ้งนิด ๆ ตอนที่นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นเขาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจนี่นา

    ว่าไปเหมือนเธอจะผิดแฮะ..แต่ไอ้หมอนี่มันกวนโมโหก่อนอะ

    "ว่าแต่อีกคนที่หน้าตาหล่อ ๆ ล่ะ วันนี้ไม่อยู่เหรอ"

    เพื่อเปลี่ยนเรื่อง ฮารุมิเลือกจะถามหาใครอีกคนที่หายไปแทน ด้านเด็กคิ้วสองแฮกทำหน้างงนิดหน่อยเหมือนไม่เก็ทว่าคนที่หน้าตาหล่อ ๆ ที่ว่านั่นน่ะใคร จนเธออธิบายเพิ่มไป เขาก็ร้องอ้อแล้วบอกออกมาว่า "ติดธุระอะ เเล้วนั่นเธอจะยืนกินเหรอ มานั่งนี่ดิ" แล้วเขาก็ชี้ไปที่ม้านั่งใกล้ ๆ กัน นั่นทำให้ฮารุมิต้องเดินไปนั่งอย่างว่าง่ายซะช่วยไม่ได้ เธอเเกะเบอร์เกอร์ออกมา งับไปคำเเล้วเริ่มเบ้หน้าเมื่อสัมผัสได้ถึงรสชาติที่คุ้น ๆ ไม่น้อย

    "แหวะ มีผักดองด้วย"

    "อย่าเรื่องมากน่า มีให้กินก็กินไปเถอะ"

    "ก็ฉันไม่ชอบอะ!"

    แล้วพวกเธอก็เถียงกันอีกจนได้..

    จะว่าไงดี..เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกดีนะ เพราะเธอมักทะเลาะกับเขาทุกครั้งที่เราเจอหน้ากันเลยล่ะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงยังโผล่ไปหาบ่อย ๆ นี่สิ..

    ฮารุมิได้มารู้เอาตอนหลังว่าชื่อของเขาคือ คากามิ ไทกะ มันเป็นเรื่องน่าตกใจนิดหน่อยที่เจอคนญี่ปุ่นเหมือนกันที่นี่ (ถึงเธอจะเป็นลูกครึ่งก็เถอะ..) ส่วน ฮิมุโระ ทัตสึยะ นั้นอายุมากกว่าพวกเราหนึ่งปี เป็นพี่ชายหน้าหล่อที่ทำให้ฮารุมิเคลิ้มเเละใจเต้นได้ตลอดศก ซึ่งด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้เธอกับไทกะมักทะเลาะกันบ่อย ๆ เพื่อทำการแย่งชิงตัวพี่ชายคนนั้นมาอยู่ฝ่ายตัวเอง ไป ๆ มา ๆ ความสัมพันธ์งง ๆ พวกนั้นก็ดำเนินไปได้หลายเดือนแล้ว

    ถ้าจะถามว่ามันเป็นความสัมพันธ์แบบไหน ฮารุมิเองก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าถ้าจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน เธอกับไทกะก็ทะเลาะกันบ่อยซะจนถึงขนาดว่าถ้าจะต่อยกันเเล้วก็คงไม่มีคนแปลกใจ เรียกได้ว่าเพราะมีทัตสึยะนั่นแหละ วงมวยมันถึงยังไม่เกิดขึ้นน่ะ

    แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ได้สนิทกัน ฮารุมิก็รู้เรื่องของไทกะเยอะแยะไปหมด เหมือนกับที่อีกฝ่ายรู้เรื่องของเธอมากพอจะยิ้มเยาะเธอได้เวลาที่เธอบอกว่าโดดเรียนออกมา แล้วเขาดันจับได้ว่าเพราะไม่มีเพื่อนเล่นเลยหนีมาหาทั้งสองคนแทนน่ะ..

    อืม..เป็นความสัมพันธ์แบบนั้นเเหละ เข้าใจยาก, แถมยัง..ไม่ยืนยาวสักเท่าไหร่ด้วยสิ


    "ย้ายบ้านกันเถอะนะลูก"

    นั่นคือคำพูดของผู้เป็นแม่ที่บอกกับเธอที่ช็อคค้างไปแล้วจนเเซนวิชในมือถึงกับร่วงตกพื้นเลยล่ะ..

    อย่างที่บอก..ฮารุมิไม่มีเพื่อนมาก่อน ทั้งหมดนั่นก็ไม่ใช่เพราะนิสัยของเธอเสียอย่างเดียว แต่ส่วนมากแล้วก็มาจากนิสัยที่ชอบย้ายบ้านไปมาตลอดของคนเป็นแม่เธอด้วยเนี่ยแหละ..อันที่จริงฮารุมิก็ไม่ควรจะแปลกใจนะ แต่ แต่ ก็แม่บอกว่าจะอยู่เเบบถาวรนี่นา..แถมคราวนี้ก็อยู่มาตั้งปีนึงเเล้วด้วย

    แต่เพราะสีหน้าเเบบนั้นน่ะ รอยยิ้มของเเม่ที่ทำเอาปฏิเสธไม่ลง..แม่บอกเธอว่ากองถ่ายหนังที่เเม่ทำงานด้วยล่าสุดจะไปตั้งหลักถ่ายซีซั่นใหม่ที่ซานดิเอโก ซึ่งคราวนี้ก็คงจะเป็นการย้ายบ้านครั้งสุดท้ายเเล้วล่ะ เพราะหลังจากงานคราวนี้ แม่ก็คิดว่าจะมาทำกิจการที่ลงหลักปักฐานแล้ว เพราะว่าไม่อยากปล่อยให้เธออยู่คนเดียวบ่อยเกินไปก็ด้วย ด้วยเหตุผลนั้นเอง ที่เหมือนจะทำเพื่อเธอหน่อย ๆ เเละมีเรื่องงานของแม่มาเกี่ยวด้วย ฮารุมิถึงปฏิเสธไม่ลง

    ไม่เป็นไรหรอก ก็นั่นมันเป็นงานของแม่นี่นา

    ส่วนเรื่องเพื่อน..อ่า นั่นสินะ มันจะเป็นยังไงต่อกันล่ะ?

    "ก็แลกเบอร์ติดต่อกันไว้สิ"

    เออว่ะ...

    เป็นตอนนั้นเองที่ฮารุมิรู้สึกโง่มากหลังจากนั่งหงอยน้ำตาซึมบอกข่าวอำลาแก่เพื่อนใหม่ของเธอออกไป ด้วยความเคยชินหรืออะไรก็ช่าง มันทำเอาเธอลืมซะสนิทใจเลยว่าตอนนี้โลกของเราก็มีการสื่อสารทางไกลอย่างอีเมลล์หรือการโทรกันอยู่นี่นา

    "ยัยบ๊องนี่ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ให้ตายสิ" ไทกะบ่นพลางขมวดคิ้วใส่เธอ ก่อนที่เขาจะโดนทัตสึยะดุเข้าให้ไปหนึ่งยก

    "ไว้จะติดต่อไปบ่อย ๆ นะ ฮารุมิ" 

    รอยยิ้มของเทวดาถูกส่งมาให้ — ว่าแล้วว่าพี่ทัตสึยะน่ะดีกว่าเจ้าไทกะจริง ๆ นั่นแหละ

    "ทำหน้าเเบบนั้นหมายความว่าไงฟะ!?"

    "ชิ..." ดันมารู้ดีอีก ไอ้บ้านี่ก็ 

    "ยังจะมาชิอีก!!"


    หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกัน ฮารุมิย้ายบ้านออกไปในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เธอดูมีความสุขดีตอนที่ได้รับสายโทรศัพท์จากสถานที่ไกล แม้กระทั่งตอนที่เถียงทะเลาะผ่านสัญญาณโทรศัพท์กับไทกะ ฮารุมิก็ยังแอบลอบยิ้มไปด้วย เป็นภาพที่แม้แต่คนเป็นแม่เองก็ยังแปลกใจมากเลยล่ะ

    เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หลังจากวันนั้น กับชีวิตม.ต้นของเธอที่ยังคงเหมือนเดิม ฮารุมิก็ยังเป็นฮารุมิ ที่ยังไม่มีเพื่อนคบเพราะหน้าดุ ๆ กับปากที่ไวเกินคาดนี่ ซึ่งตอนที่เธอเล่าให้ไทกะฟังว่าวันนี้ก็โดนอีกฝ่ายเมินอีกแล้ว ฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาว่า "ไม่แปลกใจ" เล่นเอาฮารุมิถึงกับว้ากลั่น พวกเราทะเลาะกันอีกเเล้ว, เป็นการแลกเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่เหมือนจะตีกันเป็นหลักซะมากกว่าล่ะนะ

    "ไงต่อนะ? นี่นายทะเลาะกับพี่ทัตสึยะเเล้วก็หนีกลับญี่ปุ่นอะนะ?" เด็กสาววัยสิบสี่ถามเสียงสูง เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งเเทบไม่ทันเลยทีเดียว

    [เเล้วจะให้ฉันทำยังไงได้เล่า..ฉันไม่อยากเลิกเป็นพี่น้องกับทัตสึยะนี่]

    ฮารุมิถึงกับอยากยกขาก่ายหน้าผากทันทีกับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าให้เธอฟัง เด็กสาวถอนหายใจเฮือก แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงนี้ทัตสึยะเองก็ไม่ติดต่อมาเลยเหมือนกัน..ดูท่าปัญหาของสองคนนั้นจะวุ่นวายกว่าที่เธอคิดแฮะ..

    [แล้วนี่เธอเป็นไงบ้างล่ะ? ไอ้เจ้าคนที่เล่าให้ฟังคราวก่อนน่ะ]

    รอยยิ้มน้อย ๆ ยกขึ้นมาประดับใบหน้าทันทีที่ได้ยินคำนั้น ฮารุมิยืดอกอวดทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเธอหรอก "จีบติดเรียบร้อยเเล้ว" แล้วสักพักเธอก็เริ่มเอะใจ แว้ดเข้าให้ไปหนึ่งทีว่า "ห้ามเรียกนอร์แมนว่าไอ้นะ!"

    [รู้สึกตัวช้าไปมั้งเธอเนี่ย..]

    "อะไรเล่า ก็นายพูดเหมือนเรื่องธรรมดาขนาดนั้นอะ"

    [ไม่ คือฉันก็ธรรมดาของฉันอยู่เเล้วไหม เธอนั่นแหละ คลั่งรักอะไรขนาดนั้นห๊ะ]

    ใช่..ฮารุมิเป็นพวกคลั่งรัก

    คลั่งเอาซะมาก ๆ เลยด้วยล่ะ..


    เรื่องของเรื่องเริ่มต้นด้วยการที่ฮารุมิไปสมัครเข้าคลับเเฟชั่นโชว์ของโรงเรียนเข้า

    เรื่องหนึ่งที่คิดมานานมากแล้ว นั่นคือตัวเธออยากเป็นดีไซเนอร์ ฮารุมิไม่ใช่คนที่เก่งอะไรนัก เว้นก็แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เธอทั้งชอบและอยากพยายามกับมัน ในตอนที่เริ่มปลง ๆ กับเรื่องเพื่อนแล้ว เธอเลยตัดสินใจหันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองชอบซะแทน ประจวบเหมาะกับที่โรงเรียนใหม่ของเธอค่อนข้างหลากหลายในวิชาการเรียน เธอถึงได้กระโจนเข้าใส่คลับแฟชั่นโชว์ทันทีแบบไม่คิดชีวิต..แล้วก็เจอเขาที่นั่น นอร์แมน เบคเกอร์

    ปกติเเล้วคลับน่ะมักจะให้พวกนักเรียนจับคู่กัน คนนึงเป็นฝ่ายออกแบบเเละตัดชุด ส่วนอีกคนเป็นฝ่ายนายแบบนางแบบ ซึ่งเธอที่เห็นนอร์แมนในครั้งแรก ก็พุ่งเข้าไปหาเขาด้วยสายตามุ่งมั่นคาดหวังอยากให้เขามาเป็นนายแบบของเธอสุดใจทันที

    อย่ามองแบบนั้น..ไม่ได้วิ่งเข้าไปหาเพราะหล่อ ตอนนั้นมองด้วยอินเนอร์คนหุ่นดีตัวสูง ดูใส่อะไรก็ขึ้นเลยอยากได้มาเป็นแบบต่างหากเล่า TT

    แต่พอมองย้อนกลับไป ฮารุมิก็คิดขอบคุณความใจกล้าของตัวเองเหมือนกันนะ แล้วเธอก็ขอบคุณความใจดีของนอร์แมนด้วย เขาเป็นผู้ชายที่สุภาพแล้วช่างเทคแคร์เอาซะมาก ๆ ตอนที่เราทำงานด้วยกันก็ช่วยให้คำแนะนำได้ดี แถมยังช่วยดูแลฮารุมิด้วยอีกทาง การได้ทำงานด้วยกันบ่อย ๆ ก็ทำให้เรารู้สึกดีต่อกันมากขึ้นด้วย..จะว่าไงดี มันดูเหมือนกับว่ามีหลายอย่างที่ทำให้เราดึงดูดเข้าหากันเลยล่ะ

    แล้วตอนนั้นเอง ที่เธอบอกเขาไปว่า "ฉันชอบนายน่ะ" ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขายื่นดอกไม้มาให้กับเธอพอดิบพอดี

    นิยายรัก..ใช่, โคตรหวาเลี่ยนเลยด้วย

    แต่ก็เพราะมันเหมือนกับนิยายรักจนเกินไปนั่นแหละ..ฮารุมิถึงได้ลืมนึกไป ว่าตอนนี้เธอน่ะอยู่ในโลกของความเป็นจริงนะ..


    ฮารุมิน่ะเข้ากันได้ดีกับนอร์แมนแทบทุกอย่างเลยนะ

    เราเข้ากันได้ดีมาก..ยกเว้นแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยตกลงกันได้เลย...

    เขาเรียกมันว่า "ความหึงหวงไม่เข้าเรื่องของเธอ" ส่วนฮารุมิก็เรียกมันว่า "ความไม่รู้อะไรเลยของเขา"

    และสองเรื่องนั้น..มีต้นเหตุมาจากผู้หญิงที่ชื่อว่าเจสสิก้า, คนเดียวกับที่ชอบโผล่มาเกาะแกะแฟนของเธอตลอดเวลาคนนั้นนั่นแหละ


    นอร์แมนน่ะเป็นคนป๊อป เขามีเพื่อนอยู่เยอะแยะไปหมด ฮารุมิเองก็ไม่เคยขัดตอนที่เขาอยากจะมีเวลาว่างกับเพื่อน ๆ บ้าง เธอไม่คิดกักตัวเขาไว้กับตัวเองตลอดเวลา เว้นแค่กับผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น — อ่า เจสสิก้านะ เจสสิก้า..เธอคิดจริง ๆ น่ะเหรอว่าฮารุมิจะโง่ถึงขนาดดูไม่ออกเลยว่าการกระทำของเธอมันหมายความว่ายังไงน่ะ? กับไอ้การที่ชอบเข้ามาแทรกตอนที่เธอคุยกับนอร์แมน หรือพยายามทำให้เขาผิดนัดเธอตลอดเวลานั่นก็ด้วย

    ในตอนแรก ฮารุมิพยายามใจเย็น เธอรู้ว่าเจสสิก้าคิดอะไร แต่เธอก็เชื่อใจแฟนของเธอที่บอกว่ามันจะไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอนเหมือนกัน แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งทำตัวได้ใจ มากซะจนฮารุมิทนไม่ไหวไปเสียหลายต่อหลายครั้ง

    ครั้งแรกเธอสองคนมีปากเสียงกันนิดหน่อย ครั้งที่สองฮารุมิเองก็เกือบจะได้ตบหล่อนเข้าให้จริง ๆ

    จนครั้งที่สามนั่นแหละ ที่เธอเหวี่ยงยัยนั่นตกสระน้ำไปเลยเพราะหล่อนดันพุ่งเข้าไปจูบนอร์แมนด้วยเหตุผลโง่ ๆ ว่าเมาน่ะ

    ขอโทษเถอะนะ วันเกิดนอร์แมนน่ะไม่มีแอลกอฮอล์สักอย่าง เเล้วนี่หล่อนเอาอะไรมาเมา? น้ำผลไม้เหรอ?

    แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ..ทำไมนะทำไม..ทำไมนอร์แมนถึงได้ไม่ยอมรู้สึกตัวสักทีนะ ว่าเพื่อนสาวของเขาน่ะมันมารยาขนาดไหน ขนาดวันนั้นที่เหตุการณ์มันชัดขนาดนั้น เขาก็ยังโวยวายกับเธอว่าเธอทำเกินไป บอกต่าง ๆ นานาว่าถ้าเจสสิก้าเป็นอะไรไปล่ะ แล้วจะทำยังไง

    "ก็ช่างมันสิ" เธอตอบไปแบบนั้น เพราะเธอโกรธ โกรธมาก ๆ จริง ๆ

    คงเพราะแบบนั้น นอร์แมนถึงได้คิดว่าระหว่างเรามันไม่สามารถไปต่อกันได้เเล้ว..

    เขาบอกกับเธอว่าไม่เคยคิดว่าฮารุมิจะเป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยคิดว่าเธอใจร้ายถึงขนาดมองคน ๆ หนึ่งเป็นอะไรไปได้ คำพูดนั้นทำเอาฮารุมิตัวชา เธอไม่ได้อยากจะโวยวายที่เขาว่าเธอแบบนั้น..ก็แค่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองบ้าแค่ไหนที่เผลอหลุดคำพูดที่ใจร้ายถึงขนาดนั้นออกไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมนอร์แมนถึงได้ไม่ให้โอกาสเธอเลยล่ะ..?

    หรือเพราะอันที่จริงเขาก็ทนเธอไม่ไหวมาตั้งนานแล้วกันนะ..

    "จบกันเเค่นี้เถอะนะ"

    แหวนคู่ที่เราซื้อด้วยกัน เขาคืนมันให้เธอ แล้วจากวันนั้น..ก็ไม่เคยยอมคุยกับฮารุมิอีกเลย


    ในวันแรกหลังจากที่เลิกกัน ฮารุมิรู้สึกเหมือนกับมีบางส่วนในใจมันโหวงไป..แต่ก็แค่นั้นแหละ ฮารุมิคิดว่ามันจะไม่เป็นอะไร เดี๋ยวสักพักความรู้สึกพวกนั้นก็คงหายไปเอง เด็กสาวหยิบกระเป๋าเงิน ออกไปซื้อของ ช็อปปิ้ง กินขนมเค้กอร่อย ๆ นั่งรถเล่นตอนเที่ยวสุดท้ายช่วงดึก บอกกับตัวเองว่าเราก็ทำตัวเหมือนเคยได้ คงไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก

    แต่พอผ่านไปได้อีกสี่วัน ก็ชักรู้สึกว่าหลาย ๆ อย่างมันเอื่อยเฉื่อยไปหมด

    ไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลย ไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งนั้น

    ฝนก็ไม่ได้ตกลงมาแท้ ๆ นะ..ทำไมถึงได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้นะ..?


    ฝ่ามือยกขึ้นเชื่องช้า เห็นเรียวนิ้วยาวสวยซึ่งมีแหวนสองวงสวมอยู่บนนั้น หากแหวนวงที่สวมอยู่บนนิ้วโป้งข้างซ้ายนั้นกลับดูไม่เข้ารูปเข้ารอยเอาเสียเหลือเกิน ฮารุมิยกมืออีกค้างแตะเเหวนวงนั้น นึกสงสัยว่าตนเผลอหยิบเเหวนที่ทิ้งลงถังขยะไปนั่นกลับมาใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ..?

    'เราจะตามหาความรักของเราได้จากที่ไหนบ้างนะ?'

    แวบหนึ่งเธอนึกไปถึงหนังสือภาพเล่มนั้น..เล่มเดียวกับที่เธอเคยเปิดอ่านเมื่อสมัยเด็ก ๆ ตอนที่อายุสิบสอง

    เหมือนว่าเธอจะได้คำตอบของคำถามนั้นมาเมื่อสักประมาณหลายเดือนก่อนหน้านี้..


    'ฉันชอบรอยยิ้มของเธอจัง'

    'อย่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งสิ แบบนั้นน่ะเดี๋ยวคนเขาก็หนีหมดหรอก'

    'ถ้าทุกคนได้รู้จักเฮสเทียเเบบที่ฉันรู้จักบ้างก็ดีสิน้า..พวกเขาจะได้รู้ไงว่าเธอเป็นเด็กที่น่ารักขนาดนี้'


    ความรักของเธอ..ในที่สุดก็หาเจอแล้วเเท้ ๆ..

    แต่สุดท้ายก็ยังทำหล่นหายไป..ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ตลอดไป


    ดวงตาหลับพริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกล้าเกินกว่าจะขยับเนื้อตัว ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตัดผ่านความมืดในตอนนั้นเอง ปลายนิ้วควานหามันทั้งที่ดวงตาของเธอยังปิดสนิท ได้แต่กดรับสายไปทั้งที่ไม่ได้มองชื่อคนที่โทรมาเลยด้วยซ้ำ

    "ใครคะ..?"

    [ฮารุมิ] เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นผ่านความมืด ใครสักคนที่ปลายสายนั่นคงตกใจน่าดูตอนนี้ [ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นน่ะ เป็นอะไรไป]

    ดวงตาสีชมพูเพทายลืมขึ้นมองเพดานห้องเชื่องช้า "ไทกะเหรอ.." เธอพึมพำออกมาเบา ๆ ค่อย ๆ ขยับตัวเปลี่ยนไปนอนตะแคงข้างแล้วหลับตาลงอีกครั้งในตอนที่โทรศัพท์มือถือยังคงแนบอยู่กับหูเธอไม่ขยับไปไหน

    "คือว่านะ..เหมือนว่าฉันจะทำพลาดไปอีกแล้วล่ะ"

    [....]

    "เพราะว่าเป็นเด็กนิสัยไม่ดีน่ะ.."

    เป็นคนที่ใจร้าย..เเล้วก็ไม่เข้าใจอะไรเลยเองตั้งแต่แรก

    "ฉันน่ะ  — ไม่เหมาะที่จะมีอยู่ข้าง ๆ เลยใช่รึเปล่านะ?"

    น้ำเสียงของเธอสั่นขึ้นมา ประโยคสุดท้ายที่ฟังแทบไม่รู้เรื่องเพราะเสียงสะอื้นที่ดังแทรกขึ้น เด็กสาวนอนขดคู้ตัวเข้าหาตัวเอง ความรู้สึกตลอดหลายวันที่กักเก็บมาตลอดใต้คำว่าไม่เป็นไรนั้นเหมือนจะพังทลายลงจนหมดเเล้ว ฮารุมิเจ็บมาก..และไทกะก็คงรู้เรื่องนั้นดีที่สุด

    [ฉันไม่รู้นะว่าใครที่ทำให้เธอคิดแบบนั้น] เธอได้ยินเสียงเขาพูดขึ้นมา เป็นเสียงที่ทำให้มักสงบใจลงได้ [แต่ว่า..ฮารุมิก็มีฉันกับทัตสึยะอยู่ไม่ใช่เหรอ?]

    "....."

    [ถ้าเกิดว่าตรงนั้นมันไม่สบายใจ ก็มาหาฉันที่นี่ดีไหม?]

    ฮารุมิเงียบไปในตอนที่ได้ยินเเบบนั้น ถึงเเม้น้ำตาจะยังคงไหลออกมาไม่ยอมหยุดในตอนนี้ รอยยิ้มก็ยังอดยกขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินถ้อยคำที่แฝงความเป็นห่วงเอาไว้จากคนอีกฝากปลายสายโทรศัพท์ สุดท้ายเธอก็หัวเราะออกไป แม้ว่ามันจะเป็นเสียงหัวเราะที่ฝืดเคืองมากเลยก็ตามทีเถอะ

    "อะไรอะ..ทำอย่างกับตัวเองอยู่บ้านข้าง ๆ ฉันงั้นเเหละ"

    [เออว่ะ..]

    "ไทกะเอ๊ยไทกะ.."

    ทำตัวเป็นเจ้าบ้าไปได้..แต่ว่า  — เรื่องที่บอกมานั่นก็ไม่ใช่ว่าจะงี่เง่าไปซะทีเดียวหรอมั้ง..

    เพราะถ้าไปจากที่นี่ ก็คงไม่มีโอกาสให้เจอกับนอร์แมนอีก..ถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงจะลืมเขาง่ายขึ้นได้รึเปล่าน่ะ..?

    "ไทกะ"

    [หือ?]

    "เดี๋ยวจะไปหานะ"

    ได้ยินเหมือนกับเสียงร้องเอ๊ะอุทานออกมาเบา ๆ จากปลายสาย เหมือนกับว่าอึ้งไปชั่วจังหวะหนึ่งกับการตัดสินใจที่ฉับไวแบบนั้น เเต่ถึงอย่างนั้น ไทกะก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย เขาเเค่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วก็พูดประโยคที่ทำให้เธออดจะหัวเราะออกมาไม่ได้เลยว่า

    [ถึงมาก็ไม่มีกระดาษทิชชู่แจกฟรีหรอกนะโว้ย]

    รู้เเล้วน่า..ไอ้เจ้าบ้าไทกะ

    หลังจากนี้จะไม่ร้องไห้แล้วล่ะ อย่างน้อย..ก็จะไม่ฟูมฟายไปมากกว่านี้เเล้ว

    เพราะสำหรับเธอกับผู้ชายที่ชื่อว่า นอร์แมน เบคเกอร์ คนนั้น — มันคงก้าวไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วล่ะ...


    __TBC?__

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×