คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The Reason Why I Kill Myself
ช่วงเวลาในรั้วโรงเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็วและน่าเบื่อ
รู้ตัวอีกทีวันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์เสียแล้ว แสงแดดในยามบ่ายแก่ ๆ ของวันอาทิตย์ให้ความอบอุ่นได้อย่างพอดิบพอดีในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โดโลเรสรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นแต่อย่างใดกับการต้องออกจากบ้านมาเดินฝ่าฝูงชนมากมาย
และไหนจะรถราที่เบียดเสียดอยู่เต็มถนนแข่งกันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้โลกร้อนขึ้นอีกต่างหาก
ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าพิสมัยเลยสักนิดเดียว
เพราะเธอไม่เคยชื่นชอบสถานที่ ๆ
มีคนเยอะ ๆ เลยแม้แต่น้อย
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเกลียดมากเท่าไรก็จะยิ่งต้องพบเจอมากขึ้นเท่านั้น คิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินหลบหลีกเหล่าบรรดาฝูงชนอย่างว่องไวแล้วเลี้ยวเข้าไปในตรอกซอยกลางเมืองอันเป็นทางลัด
ก่อนที่ขาจะมาหยุดลงตรงหน้าคลินิกเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ ๆ
เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ก็แน่ล่ะ เธอเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งหนึ่งปีนี่น่า จะไม่ให้คุ้นเคยได้ยังไงกัน
ถึงแม้ว่าจะผ่านการรักษามานานจนได้รับการยอมรับจากคุณหมอไอเบิร์ตให้กลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติได้แล้วก็ตาม แต่โดโลเรสก็ยังคงต้องมาที่สถานบำบัดจิตทุกวันอาทิตย์เพื่อเข้าร่วมกลุ่มจิตเวชบำบัดร่วมกับผู้ป่วยทางจิตคนอื่น ๆ ซึ่งคุณหมอไอเบิร์ตก็ให้เหตุผลว่าการรักษาอาการทางจิตร่วมกับคนอื่นจัดเป็นวิธีรักษาที่ดีสำหรับคนที่ปฏิเสธการเข้าสังคมอย่างเธอ แต่เด็กสาวกลับคิดว่าการที่อีกฝ่ายบังคับเธอให้มาเจอทุกวันอาทิตย์ก็เพียงแค่อยากจะตรวจเช็คให้แน่ใจว่าเธอจะไม่คิดฆ่าตัวตายอีกเป็นครั้งที่สองเท่านั้นแหละ
“โดโลเรส วินสตันค่ะ”
เมื่อมาถึงคลินิกเธอก็ตรงดิ่งไปยังเคาเตอร์พร้อมแจ้งชื่อกับพนักงานสาวผิวสีหน้าเคาเตอร์ที่กำลังง่วนอยู่กับการทาเล็บของตัวเอง หล่อนจึงต้องละมือออกจากขวดยาทาเล็บสีชมพูหวานแววอย่างเสียไม่ได้แล้วหันไปหยิบปากกามาเขียนขยุกขยิกบนกระดาษด้วยท่าทีทุลักทุเลเนื่องจากเล็บยังไม่แห้งสนิท ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มแบบฝืนสุดฤทธิ์มาให้ ซึ่งโดโลเรสก็เดาได้ทันทีจากสายตาคู่นั้นว่าเจ้าตัวคงอยากจะถลกหนังหัวเธอที่บังอาจเข้ามาขัดจังหวะเวลาทาเล็บไม่น้อย แต่ด้วยหน้าที่บริการหล่อนจึงทำได้แค่ยิ้มให้เท่านั้น
“เชิญเข้าไปรอด้านในได้เลยค่ะ”
พนักงานคนนั้นผายมือไปที่ประตูห้องด้านในและหันกลับไปสนใจเล็บของตัวเองต่อ
โดโลเรสจึงเปิดประตูเข้าไปทันทีอย่างไม่รีรอ เธอพบว่าภายในห้องตอนนี้มีคนอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น
และส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ดูมีอายุกันทั้งนั้น พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกวางเรียงเป็นวงกลม
หนึ่งในนั้นพยายามส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอ แต่เด็กสาวก็เมินรอยยิ้มนั้นแทบจะในทันทีก่อนจะตรงเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ไกลจากผู้คนที่สุดอย่างเงียบ
ๆ
รออยู่สักพักก็มีคนทยอยเข้ามากันเรื่อย ๆ จากห้องที่เงียบเหงาจึงเริ่มเสียงพูดคุยขึ้นมาบ้าง แต่โดโลเรสก็ไม่คิดจะเข้าร่วมวงสนทนากับคนอื่นด้วยแต่อย่างใด เธอเพียงแค่นั่งมองนาฬิกาอันใหญ่บนผนังอย่างเบื่อหน่ายและเฝ้าภาวนาให้วันนี้หมดไปเร็ว ๆ สักที
น่าเบื่อชะมัด...
โดโลเรสไม่เคยเชื่อในเรื่องการบำบัดแนวนี้สักเท่าไรนัก เธอมองว่ามันเป็นเพียงการพูดคุยปลอบใจกันเองแบบโง่ ๆ ของพวกขี้แพ้เท่านั้น(แน่นอนว่าเธอเองก็เป็นคนขี้แพ้) และโดโลเรสมองไม่เห็นประโยชน์ของมันเลยสักนิดเดียว นี่ถ้าหากไม่ได้รับปากกับแม่เอาไว้ เธอก็คงไม่คิดจะพาตัวเองออกมาจากบ้านมานั่งอยู่ในห้องเน่า ๆ ที่มีแต่กลิ่นฉุนอับและคนแก่ ๆ ที่มีปัญหาทางจิตแบบนี้หรอก
“สวัสดี เธอชื่ออะไรเหรอ?”
เสียงที่ดังมาจากด้านหน้าทำให้เด็กสาววัยรุ่นเพียงคนเดียวในห้องต้องหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะพบว่าคนที่เอ่ยปากทักเธอเป็นชายหนุ่มร่างอ้วนท่าทางขี้อาย ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะมีอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนักและไม่คิดอยากสนทนาผูกมิตรกับใครก็ตามในห้องนี้ แต่โดโลเรสก็ยังมีมารยาทหลงเหลืออยู่เล็กน้อยที่จะไม่ชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายซะก่อน
“ฉัน...ชื่อโดโลเรส”
“โดโลเรสเหรอ? ไม่ค่อยเจอคนชื่อนี้เลย”
โดโลเรสพยักหน้าเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดอีกฝ่ายเท่าไรนัก ไม่แปลกหรอกที่ไม่ค่อยมีคนใช้ชื่อนี้เท่าไร ขนาดตัวเธอเองยังไม่ชอบชื่อของตัวเองสักเท่าไรนักเลย เพราะโดโลเรสในภาษาละตินแปลว่าความโศกเศร้าเสียใจ บางครั้งเธอเองก็แอบคิดว่าชื่อนี้เหมือนเป็นคำนิยามให้กับชีวิตที่ทรมานและหดหู่ของเธออย่างไรอย่างนั้น
“ฉันชื่อพอล” ชายร่างอ้วนคนนั้นยิ้มกว้าง “เธอยังดูเด็กอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาเข้าบำบัดด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นความขุ่นเคืองก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้โดโลเรสต้องขมวดคิ้ว ความจริงเธอเองก็ไม่ได้อารมณ์ดีอยู่แล้ว พอมาเจอคำถามที่ลุกล้ำความเป็นส่วนตัวอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นมัวหนักเข้าไปอีก เด็กสาวพ่นลมหายใจระบายความหงุดหงิดก่อนจะหันไปตอบกลับอีกฝ่ายด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“แล้วไง? มีกฎข้อไหนห้ามเด็กไม่ให้เข้ามาบำบัดจิตเหรอ หรือคุณคิดว่าผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์มีปัญหาชีวิตอย่างนั้นเหรอคะ”
คำพูดของเธอกลายเป็นการตัดบทสนทนาครั้งนี้ให้จบลงไปทันที เพราะชายคนนั้นถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แต่ก่อนที่อะไร ๆ จะแย่ไปมากกว่านี้ ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวก็เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน บรรยากาศอันอัดอึดจึงกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง โดโลเรสเบนความสนใจไปยังบุคคลที่เข้ามาใหม่ซึ่งกำลังแจกรอยยิ้มเป็นมิตรให้กับบรรดาคนไข้ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างหน้าสุด
ผู้ชายคนนั้นก็คือคุณหมอไอเบิร์ตนั่นแหละ
หมอไอเบิร์ตเป็นชายอายุสี่สิบต้น ๆ ยังถือว่าไม่แก่เท่าไร แต่กลับเริ่มมีผมหงอกขึ้นแซมเล็กน้อยท่ามกลางเส้นผมสีดำสนิทบ้างแล้ว ใบหน้าก็มีริ้วรอยยับย่นเยอะแยะอันเกิดจากการชอบยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตาสีฟ้าสว่างมักส่องประกายความเชื่อมั่นอันเจิดจ้า เขามีบุคลิกดี ไม่ว่าจะเดินหรือจะนั่งแผ่นหลังของเขาก็จะตรงแน่วอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้น้ำเสียงของเขายังไพเราะนุ่มนวลราวกับเสียงของบาทหลวงในโบถส์หรือทูตสวรรค์ก็ไม่ปาน คุณสมบัติเช่นนี้จึงทำให้เขากลายเป็นที่นิยมสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตอยู่ไม่น้อย
โดโลเรสยอมรับว่าหมอไอเบิร์ตเป็นหมอที่ดีคนหนึ่ง
แต่เธอก็ไม่ค่อยชอบเขาเท่าไรนัก เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับเธอไม่ชอบเซบาสเตียนนั่นแหละ เธอไม่ชอบบุคลิกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอยู่ตลอดเวลาของจิตแพทย์คนนี้
ซึ่งต่างจากเธอที่เอาแต่วิตกกับทุกเรื่องและไม่เคยมั่นใจกับอะไรสักอย่างในชีวิต
ถ้าเทียบกันแล้วหมอไอเบิร์ตกับเธอก็เหมือนด้านที่ตรงข้ามกันสุดขั้วนั่นแหละ
บางทีอาจเป็นเพราะมนุษย์เรามักจะหมั่นไส้คนที่ตรงข้ามกับตัวเองล่ะมั้ง?
“ก่อนอื่นคงต้องกล่าวสวัสดีเสียก่อน ผมยินดีจริง ๆ ที่ได้เจอกับทุกคนในวันนี้” ผู้เป็นแพทย์เพียงคนเดียวในห้องหยิบเอกสารในมือขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้ว “ไม่สิ ดูเหมือนคนจะยังไม่ครบนะ”
เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ทุกสายตาในห้องจึงหันไปมองที่ผู้เข้ามาใหม่เป็นตาเดียว เช่นเดียวกับโดโลเรสที่ต้องเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ...
ผู้ชายคนนั้น..เจ้าเด็กน่ากลัว ๆ ที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเธอนี่น่า?
“อ้าว! มาพอดีเลย” พูดเสร็จจิตแพทย์หนุ่มก็ผายมือไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู “ผมขอแนะนำเพื่อนใหม่ให้ทุกคนได้รู้จัก บิล ฮันเตอร์ เขาเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดที่จะเข้าร่วมกลุ่มบำบัดจิตกับพวกเราด้วย”
ทุกคนในห้องพร้อมใจกันปรบมือ ยกเว้นก็เพียงแต่เด็กสาววัยรุ่นที่นั่งอยู่ท้ายสุดซึ่งกำลังประสาทจะกินกับภาพตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่าภายในห้องนี้มีคนอยู่เยอะแยะ เธอคงจะกรีดร้องแล้ววิ่งหนีออกไปจากที่นี่แล้ว
โดโลเรสต้องการให้การรักษาอาการทางจิตของตัวเองเป็นความลับขั้นสุดยอดที่คนในโรงเรียนจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด ลองคิดดูสิถ้าหากมีใครสักคนมาพบว่าเธอเป็นโรคจิตและเคยฆ่าตัวตายมาก่อน คนพวกนั้นคงได้ล้อเลียนว่าเธอเป็นอีโรคประสาท และเธอก็จะกลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจโดยอัตโนมัติ นั่นเท่ากับว่าสามารถเปลี่ยนชีวิตในรั้งโรงเรียนของเธอให้กลายเป็นนรกได้อย่างง่ายดายเลย
แต่ดูตอนนี้สิ! ไอ้คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเธอดันโผล่มาอยู่ที่นี่ซะได้
“นายอยู่โรงเรียนเดียวกับโดโลเรสใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปนั่งข้างเธอก็แล้วกัน ฉันอยากให้พวกเธอทั้งคู่เป็นเพื่อนกันไว้นะ”
เสียงพูดของหมอไอเบิร์ตทำให้โดโลเรสกลับมาได้สติอีกครั้ง
เธอจึงแอบสบถด่าคุณหมออยู่ในใจกับความจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามานั่งข้าง
ๆ เขายังคงใส่ชุดดำเหมือนกับที่เจอกันครั้งแรก
ใบหน้าเรียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
เขาไม่ได้ปรายตามองมาที่เธอเลยด้วยซ้ำ
ทำเหมือนกับว่าเธอไม่ได้มีตัวตนที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าปฏิกิริยาอันเฉยเมยของเขาทำให้เด็กสาวแปลกใจเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่อีกฝ่ายไม่สนใจเธออย่างที่คิดเอาไว้
มาคิดดูอีกทีแล้ว หมอนี่ก็ดูไม่ใช่คนปากมากอะไร
คงไม่น่าปากโป้งเล่าเรื่องเธอให้ใครคนอื่นฟัง อีกอย่างเขาเองก็มาที่นี่เพื่อรักษาอาการทางจิตเหมือนกันกับเธอ
ถ้าหากเขาจะเปิดโปงเธอก็เท่ากับเปิดโปงตัวเองไปด้วยนั่นแหละ
บางทีเธออาจจะกังวลมากไปเองก็ได้ โดโลเรสคิดปลอบใจตัวเองก่อนจะหันไปทางอื่น
พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ความสนใจกับคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
................................
“วันนี้ไปหาหมอมาเป็นยังไงบ้างลูก”
โดโลเรสถอดรองเท้าคู่เก่าของตัวเองแล้วโยนไว้บนชั้นวางรองเท้าที่ทำจากไม้อัดราคาถูกก่อนจะหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยปากทักเธอเมื่อสักครู่ เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
“ก็ดีค่ะ”
“ไม่มีอะไรอยากจะเล่าให้แม่ฟังจริง ๆ เหรอ”
“ไม่ค่ะ”
เด็กสาวจบบทสนทนาอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นสอง ท่าทางแบบนี้อาจดูเป็นกิริยาที่ก้าวร้าวไปสักหน่อยสำหรับครอบครัวอื่น แต่มันกลับเป็นเรื่องปกติของครอบครัวเธอไปแล้วเพราะโดโลเรสไม่ได้สนิทสนมกับแม่เท่าไรนัก(แม้ว่าตลอดมาเธอจะใช้ชีวิตอยู่กับแม่แค่สองคนก็ตาม) และตั้งแต่ที่เธอกลับมาจากการเข้ารับการรักษาอาการทางจิต ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยิ่งห่างเหินมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มมาจากที่แม่ตั้งท้องเธอตอนที่ตัวเองยังเรียนอยู่แค่ไฮสคูลเท่านั้น แน่นอนว่าพ่อของเธอไม่คิดจะรับผิดชอบ เขาชิ่งหนีทันทีที่รู้ว่าแม่ท้อง แม่เลยต้องกลายเป็นซิงเกอร์มัมเลี้ยงลูกสาวคนเดียว และเพราะความที่แม่ยังเป็นวัยรุ่น วัยที่สมควรจะได้ท่องเที่ยวสนุก ๆ มากกว่ามานั่งเลี้ยงเด็กทารกที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากแหกปากร้องไห้น่ารำคาญตอนดึก ๆ ทุกวัน ความเครียดที่สะสมทำให้แม่กลายเป็นพวกโมโหร้าย หล่อนมักจะระบายความโกรธที่มีทั้งหมดใส่เธอเสมอมาตั้งแต่ยังเล็ก และทุกอย่างที่แม่เคยทำกับเธอก็กลายเป็นรอยแผลเป็นอันเลวร้ายที่ฝังลึกอยู่ในใจของโดโลเรสมาจนถึงปัจจุบันนี้
แม่เองก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอคิดฆ่าตัวตาย...
แต่หลังจากที่โดโลเรสออกจากสถานบำบัดจิตแล้ว
แม่ก็เริ่มทำดีกับเธอมากขึ้น โดโลเรสคิดว่าแม่ของเธอกำลังรู้สึกผิดที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นแบบนี้
แต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว เธอไม่อาจให้อภัยแม่ตัวเองได้อีกถึงแม้ว่าเรื่องจะผ่านไปแล้วก็ตาม
โดโลเรสยอมรับว่าเมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ เธอเกลียดแม่ของตัวเองมาก
แต่นานวันเข้าความเกลียดมันก็กลายเป็นความรู้สึกเฉย ๆ ขึ้นมาแทน
ตอนนี้สำหรับเธอแล้วแม่ก็เป็นเหมือนแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งในชีวิตเท่านั้น
ความทรงจำที่โหดร้ายวัยเด็กเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง โดโลเรสคิดอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งถ้าหากเธอมีครอบครัวและมีลูก เธอจะไม่เลี้ยงลูกแบบเดียวกับที่แม่เคยเลี้ยงเธอมาเด็ดขาด เธอจะเลี้ยงลูกตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะทำได้ เพราะเธอไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องเผชิญความเลวร้ายเหมือนกับที่เธอเคยเจออีกแล้ว
เด็กน้อยก็เหมือนกับผ้าขาว บริสุทธิ์และไร้เดียงสา พวกเขาจึงไม่สมควรต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ อะไรทั้งนั้น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งเล็กน้อย โดโลเรสสบถเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูอย่างไม่สบอารมณ์ เธอพ่นลมหายใจออกมาเมื่อเห็นผู้เป็นแม่กำลังยืนอยู่หน้าห้องตอนนี้
“มีอะไรเหรอ?”
“แม่ทำอาหารเย็นเสร็จแล้วนะ วันนี้มีของโปรดลูกด้วย..”
“หนูไม่หิว”
โดโลเรสโพล่งออกไปทันทีโดยไม่รอให้แม่ตัวเองพูดจบ ก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยการปิดประตูห้องนอนแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนอนสีฟ้าเก่า ๆ ขนาดสามฟุตของตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน การใช้เวลาหลายชั่วโมงที่น่าเบื่อในสถานบำบัดจิตวันนี้ดูดพลังชีวิตเธอไปได้เยอะเลยทีเดียว ไอ้การบำบัดบ้าบอนี่ไม่เห็นจะดีเลยสักนิด แค่คิดว่าหลังจากนี้จะต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้ทุกอาทิตย์ก็รู้สึกปวดหัวจะแย่แล้ว
จู่ ๆ โดโลเรสก็นึกถึงใบหน้านิ่งเฉยของชายที่นั่งอยู่ข้าง
ๆ เธอในกลุ่มบำบัดจิตวันนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
เอาแต่นั่งมองคนอื่นเงียบ ๆ อย่างเดียวเท่านั้น
เธอจึงไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากนักนอกจากว่าเขาชื่อบิลเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเล็กน้อย โดโลเรสคิดว่าผู้ชายคนนั้นดูแปลก ๆ ยังไงชอบกล เหมือนมีรังสีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากเข้าใกล้ยังไงไม่รู้ แต่ยังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ในเมื่ออยู่โรงเรียนเดียวกันแถมยังต้องมาร่วมคลาสบำบัดจิตด้วยกันอีกต่างหาก
แต่ช่างมันเถอะ ตราบใดที่เขายังไม่ได้มายุ่งอะไรกับเธอ เธอก็จะไม่ไปยุ่งอะไรกับเขาเช่นกัน
___________________
ความคิดเห็น