ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #2 : กลรักอสุรา l บทที่๐๑ ตอน อสุราปักใจ {อัพ100%}

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 61


    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *





    ครั้นเมื่ออสุราเหยียบลงดิน มิแคล้วสิ้นความคิดหวนคร่ำครวญหา

    ในยามนี้พบเจอแก้วกานดา พระอุราเป็นปลื้มสมฤดี

    ว่าแล้วจึงเอ่ยถาม ใยทรามเชยจึงเบี่ยงหนี

    มิคำนึงถึงกันฤาคนดี ตัวพี่นี้คำนึงหาเจียนขาดใจ

     

    พี่ตามหาเจ้าแทบพลิกธรณี นางอัปสร...ไฉนเจ้าจึงหนีมานั่งหลบตาพี่อยู่ตรงนี้เล่า ?”

    แม้ยังคงรู้สึกกลัวและตกใจกับเสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่ แต่ด้วยเพราะสำเนียงที่ดูแปลกไม่เหมือนกับผู้คนปกติใช้พูดคุยกัน มันเลยทำให้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อมองหน้าค่าตาของเจ้าของคำถามดังกล่าว ก่อนต้องพบว่าเขาคือชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว ผมซอยไล่ระดับระต้นคอ ประหนึ่งเป็นหนึ่งในพวกดาราที่มาร่วมงานพิธีบวงสรวงวันนี้ก็ไม่ปาน 

    ที่ดูสะดุดตากว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายามนี้ เห็นทีจะเป็นเครื่องทรงยักษ์สีขาวตัดแดง เข้ากันดีกับประดับกายสีทองบนเนื้อตัวได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องคล้ายกับศึกษาเรื่องเครื่องแต่งกายของยักษ์มาโดยตรงนั่นแหละ

    ส่งมือมาเสียสิ...เราจักช่วย...” ไม่ใช่แค่หน้าตาของเขาเท่านั้นที่ดี แต่กริยามารยาทและความมีน้ำใจของเขาก็ดีด้วยเช่นกัน

    เมื่ออีกฝ่ายเสนอที่จะช่วยอีกทั้งยังเป็นฝ่ายส่งมือมาก่อน ฉันจึงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของคนตรงหน้า รีบส่งมือกลับไป ก่อนต้องตกใจอีกครั้ง เพราะเรี่ยวแรงที่ชายหนุ่มตรงหน้าใช้ฉุดให้กลับลุกขึ้นมายืน นั้นดูมีมหาศาลกว่าเรี่ยวแรงของคนปกติที่เคยได้พบนัก แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะแสดงมารยาทอันดีอันควรใส่เขาหรอกนะ

    ขอบคุณค่ะอ๊ะ!”

    ฟึ่บหมับ!

    ทว่า ยังไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณจนสิ้นเสียงดี จู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้ากลับทำเรื่องไม่คาดฝันขัดจากภาพลักษณ์ ฉุดกระชากฉันเข้าไปกอดไว้แน่น แบบไม่ให้คนถูกกระทำได้ตั้งสติรับมือ

    กลิ่นกายเจ้า...หอมหวานดั่งดอกสร้อยทองรุ่งอรุณมิแปรเปลี่ยน…” ซ้ำร้ายยังพ่นคำพูดแปลกๆ เข้าข่ายโรคจิตให้ได้ยิน

    ไม่รอช้า ทันทีที่สติสัมปชัญญะกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ การสะบัดตัวอย่างแรงให้หลุดออกจากอ้อมกอดของชายแปลกหน้าคือสิ่งแรกที่ฉันทำแบบไม่ต้องคิด พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะใช้มือผลักอกคนตัวใหญ่ให้ถอยห่างเพื่อเว้นระยะระหว่างเราทั้งคู่เอาไว้อีกด้วย

    ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ !?”  ฉันตะเบ็งเสียงถามชายแปลกหน้าอย่างนึกโกรธ หากแต่ขณะเดียวกันคนถูกถามกลับแสดงสีหน้าแปลกใจ ซ้ำยังย้อนถามกลับมาแบบซื่อๆ เหมือนไม่เข้าใจ

    เรากอดเจ้ามิได้หรอกรึ ?”

    ไม่รู้จักแล้วจะมากอดกันง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ คุณเป็นโรคจิตหรือไง !?” ส่วนฉันเองก็รีบว่าเขาไปแบบทันควันเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าหลังสิ้นเสียงต่อว่า ฉันจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้

    เหตุใดจึงกล่าวหาว่าเรามิรู้จักเจ้าเล่า แม่นิมมานรดี ?”

    นิมมานรดีงั้นเหรอ

    ทำไมชื่อนี้ถึงฟังดูคุ้นๆ เหมือนว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลยนะ...

    ไม่สิไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่เวลาที่ฉันต้องมาคิดอะไรแบบนี้สักหน่อย!

    ทั้งที่บอกตัวเองว่า อย่าไปนึกถึงชื่อแปลกๆ แสนไพเราะนั่น แต่ปากกลับไม่ยอมฟังความคิด ยังคงขยับบอกชายตรงหน้าออกไปอย่างหนักแน่น

    ฉันไม่ได้ชื่อนิมมานรดี!” กว่าจะนึกได้ว่า สิ่งที่ควรทำเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้คือการพาตัวเองหนีไป ก็คงเป็นในตอนที่ฉันปฏิเสธชายแปลกหน้าเบื้องจนสิ้นเสียงนั่นแหละ

    เหตุผลก็เพราะ คนฟังดันไม่แสดงสีหน้าใดหลังจากได้ยินคำปฏิเสธ กลับกันบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาดันปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ดูละมุนละไมอย่างคนใจเย็นให้เห็น และก่อนที่เขาจะเริ่มพูดจาแปลกๆออกมาให้ได้ยินอีก ฉันจึงรีบสะบัดหน้า หันหลังเดินหนีเขาทันที

    แต่ดูเหมือนการหลบหนี จะไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้ฉันทำเท่าไหร่นัก เมื่อเขาจงใจพุ่งมือเข้าคว้าแขนฉันไว้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าจะทันตั้งตัว ซ้ำร้ายยังฉวยโอกาสกระทำการเดิมซ้ำๆ ดึงฉันให้กลับเขาไปอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองเป็นหนที่สอง คล้ายกับไม่สนใจเสียงต่อว่าหรือปฏิเสธ

    เพิ่งได้พบ ได้ยลโฉมหน้าเพียงไม่กี่เพลา น้องก็คิดจักหนีพี่ไปอีกคราแล้วรึ?” ยังคงหลับหูหลับตาพูดจาภาษาโบราณแปลกๆ ออกมาไม่หยุด

    ปล่อยนะไอ้โรคจิต!”

    เราหาใช่พวกวิปลาสไม่ วอนดวงใจฟังพี่ก่อน” 

    เพราะพูดดีๆ ก็แล้ว บอกดีๆก็แล้ว พยายามแสดงกริยาท่าทางให้สมเป็นผู้หญิงเพื่อปฏิเสธและเดินหนีก็แล้ว เขายังไม่คิดจะหยุดทำบ้าๆ นี่ลงเสียที นั่นจึงทำให้เส้นความอดทนที่มีขาดผึ่งออกจากกัน

    ฟึ่บ!

    บอกให้ปล่อยไงโว๊ย!” ก่อนระเบิดอารมณ์ของตัวเองอย่างลืมตัว

    ผัวะ!

    ไม่ต้องรอให้ใครได้เตรียมตัว หรือมีคำพูดคำจาใดเพื่ออธิบาย หมัดเน้นๆ ในแบบที่ผู้หญิงพึงจะมี ก็พุ่งเข้าซัดใส่หน้าของคนตัวใหญ่ไปแบบไม่ยั้งน้ำหนัก จนใบหน้าหล่อเหลาเหลียวไปตามแรง ซึ่งการกระทำดังกล่าวมาพร้อมคำพูดประโยคไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไปหากแต่เต็มไปด้วยความโมโหของฉันเอง

    ไปตายซะไอ้โรคจิต!”


    -อสุรา กล่าว-

    เราได้กลิ่นหอมหวานของดอกสร้อยทองมาจากพื้นที่บริเวณนี้

    เราจำกลิ่นหอมของดอกสร้อยบนเนื้อนวลได้ต่อให้จะผ่านช่วงเพลามาเป็นพัน เป็นหมื่นปี และที่มาของกลิ่นหอมจนเรามิอาจหักห้ามใจให้หลงเสน่ห์นั่นก็มาจากตรงนี้

    กลิ่นของแม่นิมมานรดีดวงใจเรา...

    ไปตายซะไอ้โรคจิต!” 

    เสียงหวานบ่งบอกความแก่นแก้วของผู้เป็นเจ้าของหมัดมือหนักๆ ทำเราชะงักลงเล็กน้อย ข้างแก้มหาได้รู้สึกเจ็บปวดต่อการกระทำรวดเร็วเฉกเช่นนักรบหญิงไม่ หากแต่การกระทำดังกล่าวกลับบอกให้เรารับรู้ได้ชัดว่า แม่หญิงเบื้อง ดูไม่ค่อยเปรมปรีดิ์ต่อการได้พบกันของเราเท่าไหร่นัก ซ้ำยังสะบัดใบหน้าสวยเกรี้ยวกราด ย่างกรายหนีไปแบบไม่รอให้เราพร่ำบอกความนัย

    ตึง!!

    ทว่า เราก็ไม่อาจมองอรชรซึ่งดูหัวเสีย ก้าวหันหลังเดินจากไปได้นานนัก เมื่อเพลาเดียวกัน ดันเกิดแรงสั่นสะเทือนของผืนพสุธาขึ้นพร้อมเสียงดังอึงคะนึง นั่นเลยทำให้เราจำต้องละสายตาไปจากอดีตหญิงคนรักในภพชาติเก่า เหลียวมองไปยังต้นกำเนิดเสียงโดยทันควัน

    แม้นไม่มีผู้ใดกล่าวบอกถึงสาเหตุและที่มา เราก็พอล่วงรู้ได้ว่าเสียงอึกทึกดังกล่าวเกิดขึ้นจากเหตุอันใด ด้วยประการฉะนั้น เราจึงไม่ชักช้าร่ำไร รีบรุดพาตนเองไปยังจุดเกิดเหตุโดยเร็วพลัน แม้นลึกๆ เรานั้นจักอยากตามปุถุชนหญิงตนนั้นไปสักเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยเพราะเราล่วงรู้ว่าต้นเหตุของเสียงสนั่นนั้นเกิดจากน้ำมือพี่ชายของเราเป็นแน่ หากต้องเลือกระหว่างดวงใจกับสายเลือด

    เราคงต้องเลือกพี่ชายเราเป็นลำดับแรก...

    คุณเมรีมายืนทำอะไรตรงนี้คะ ช่างแต่งหน้ารอกันแย่แล้ว!” 

    หลังใช้อิทธิฤทธิ์นำพาตนไปถึงยังที่เกิดเหตุ ที่คอยท่าเราอยู่ตรงนั้นคือเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เจ้าของใบหน้างดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ขณะถูกนารีชนแดนมนุษย์พาตัวออกไปจากเขตอุโบสถสถาน โดยไม่ใกล้หรือไกล จากจุดที่สตรีชนถูกพาออกไป มีร่างสูงใหญ่ของพระเชษฐาคู่บุญของเรากำลังยืนถลึงตาจ้องนางอยู่ราวกับเห็นเป็นอริ

    เห็นแววตาและสีหน้าบึ้งตึงของพี่ชายเพียงเท่านั้น เราก็พอคาดคะเนเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ทันที

    ยามนี้ไอ้ยักษ์กุมภัณฑ์รูปโฉมเปลี่ยน ดูสวยราวกับนางสวรรค์ น้องจำรูปเดิมของมันแทบมิได้...” เราเอ่ยขึ้นบอกผู้เป็นพี่ชาย โดยยังคงจดจ่อสายตาไปยังเรือนนารีชนซึ่งถูกพาตัวออกห่างไปไกลมากขึ้น “เห็นทีแล้ว ไอ้กุมภัณฑ์ มันคงจำชาติภพเดิมทีของมันมิได้ แล้วต่อแต่นี้ไป...ท่านพี่จักทำอย่างไรต่อไปเล่า?”

    เอ่ยจบ เราจึงเหลือบมองเสี้ยวหน้าผู้พี่เล็กน้อย หากแต่นั้นเป็นจังหวะเดียวกับผู้เป็นพี่ชายเบือนสายตาทอดมองกลับไปยังร่างอริในรูปโฉมใหม่ แล้วกล่าวตอบ

    พี่มิมีวันเสียคำสัตย์ที่ประกาศไว้ต่อหน้าพระอิศวรบนศิวโลกเป็นแน่แท้ น้องจงเชื่อคำพี่เถิด หากดอกธนูยังมิปักกลางอุราไอ้ยักษ์อัปรีย์ศึกครานี้..พี่จะมิมีวันหยุด !”

    น้ำเสียงของพี่ชายเราในยามนี้ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ไม่ต่างไปจากสายตา ยามใช้มองศัตรูเบื้องหน้า ซึ่งนั่นบอกได้ชัดว่า ยามนี้ซึ่งถือเป็นฤกษ์มงคลของทวิภพ เราสองพี่น้องลุล่วงในสิ่งต้องประสงค์ หลังรอทวิภพเปิดมาเนินนาน

    มงคลฤกษ์เช่นนี้ แล้วตัวน้องเล่า...ต้องตาสิ่งที่ปรารถนาแล้วรึ?” ยิ่งได้ยินคำถามของพี่ชายกล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยแล้ว เช่นนั้นเราก็อดแย้มยิ้มด้วยความปิติไม่ได้ และคิดว่าท่านพี่อสุเรนทร์เองก็น่าจะล่วงรู้ด้วยสติปัญญาของตัวท่านพี่เอง ว่าคำตอบที่ผู้พี่ประสงค์สดับฟังนั้นจะออกมาเป็นเช่นไร...

    อันตัวเรานั้นมีนามว่า อสุรา เป็นอนุชาคู่บุญเพียงองค์เดียวของ ท้าวอสุเรนทร์ เจ้าเมืองนครยักษ์ในแดนสรวง

    ด้วยเพราะยามนี้เป็นฤกษ์มงคลอันดี เราและผู้พี่จึงได้มีโอกาสลงมาเยือนแดนมนุษย์อีกครา นับจากเกิดสงครามเมื่อหลายชั่วหมื่นยามก่อน แดนสรวงและนครยักษ์ จึงตัดแดนมนุษย์ออกจากการปกครองภูมิภพ

    เหตุที่สองภพต้องตัดแดนมนุษย์ออกห่างก็คงเพราะ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้อำนาจหรือพละกำลังใดจะเทียบเคียงกับเหล่ายักษาและเทวดาตนอื่นได้ เพื่อกันการสูญเสียเฉกเช่นโศกนาฏกรรมที่ผ่านพ้นมา พระผู้เป็นใหญ่ในแดนสรวงจึงบันดาลให้เหล่ามนุษย์มีชีวิตในที่ของตน หาจักต้องขึ้นมายุ่งเกี่ยวกันเหมือนก่อนไม่

    ถึงกระนั้น ผู้เรืองฤทธาบนแดนสรวง ไม่ว่าจะเหล่าเทพยาดาหรือยักษายักษี ก็ใช่จะเมินเฉยและไร้การเหลียวแลต่อปุถุชนแดนมนุษย์แต่อย่างใด ทั้งสองภพยังคอยสอดส่องดูแลความเป็นอยู่ของมนุษย์ในดินแดนของตนอยู่เสมอ คอยปกปักษ์รักษา และช่วยเกื้อกูลกันอยู่ห่างๆ ตลอดกาลเวลาเนิ่นนานที่พ้นผ่านมา

    การมาเยือนแดนมนุษย์ในครานี้จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีของเรากับพระพี่ชายก็ว่าได้...

    (เทพยดาในรอบจักรวาลทั้งหลาย จงมาประชุมกันในสถานที่นี้...) แต่แล้วไม่นานนัก ความเงียบภายนอกของอุโบสถสถานก็เกิดมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น หากเราเข้าใจไม่ผิด ดูท่าว่านั่นจะเป็นเสียงเรียกของเหล่าพวกพราหมณ์

    ท่านพี่...ท่านพี่ยลเสียงเรียกของพวกพราหมณ์เหมือนน้องหรือไม่?” ได้ยินเช่นนั้นเราจึงอดหันไปถามความเห็นของพี่ชายไม่ได้ ทว่า ยังไม่ทันที่ท่านพี่อสุเรนทร์จะเอ่ยถ้อยคำใดตอบกลับมา ขณะที่เสียงเรียกของเหล่าพราหมณ์ดังอยู่นั้น เราก็ได้ยินเสียงอื่นแทรกเข้ามาด้วยเช่นกัน

    ท่านอสุราเจ้าขา วันนี้ฉันเจอคนโรคจิตด้วยค่ะ แต่ฉันก็ตั้นหน้ามันไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ’ เสียงหวานของนารีที่เรามักได้ยินบ่อยยามอยู่บนนครยักษ์ ซึ่งมันคือเสียงหวานเดียวกับปุถุชนหญิง อดีตดวงใจที่เราเพิ่งยลหน้าเมื่อครู่เสียด้วยสิ ถ้าเป็นไปได้ท่านอสุราเจ้าขา..ช่วยปกป้องนังทับทิมคนนี้ด้วยนะคะ ขอให้อย่าได้พบพานคนโรคจิตแบบวันนี้อีกเลย สาธุ!’

    ทับทิมรึ เหตุใดชื่อเสียงเรียงนามชาติภพนี้จึงไพเราะนักเล่า แม่นิมมานรดี...

    (ข้าพเจ้าขออัญเชิญหมู่เทพยดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ในฉกามาพจรสวรรค์ อีกทั้งคนธรรพ์ ครุฑ นาคา อีกทั้งเทพเจ้าซึ่งสิงสถิตอยู่ในสถานที่ใดๆ อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์เรืองไกรศรแดนสรวงนครยักษา...) ด้วยเพราะเสียงเรียกของพวกพราหมณ์ดูท่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ นั่นจึงทำให้เราต้องเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งหลังเสียงหวานของนารีชนในความคิดเงียบลง

    พวกมนุษย์...กำลังอัญเชิญท่านพี่งั้นรึ ด้วยเหตุใดกันเล่า?” หากแต่การเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น กลับทำให้ผู้เป็นพี่ชาย รีบเร่งย่ำฝีเท้าเดินออกไปตามเสียงเรียก เราเองจะปล่อยให้พี่ชายออกเดินเพียงลำพัง เห็นทีก็คงไม่ได้ ฉะนั้นแล้วเราจึงเร่งก้าวเท้าตามหลังไปแบบติดๆ

    (เทพยาดาฟ้าดิน อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์และหมู่ยักษาล้นบารมี เมื่อมาถึงแล้วจงรับเครื่องเซ่น ทั้งของคาวและของหวาน หมากพลู น้ำชาและน้ำจัณฑ์...) ตลอดที่เท้าย่างก้าวตามหลังพี่ชาย เราได้ยินเสียงของพราหมณ์เรียกดังอยู่เป็นระยะ รวมถึงเสียงของหญิงสาวตนเดิม

    ท่านอสุราเจ้าขา ช่วยดลบันดาลให้นังทับทิมคนนี้มีงานประจำสักทีเถอะเจ้าค่ะ ถ้าได้งานเมื่อไหร่ฉันจะถวายน้ำแดงขวดใหญ่ให้ท่านเซ่นจนเปรมไปเลย สาธุ!’

    น้ำแดงรึ?

    เหตุใดจึงคิดว่าเราปรารถนาอยากจิบน้ำแดงเล่าแม่นิมมานรดี?

    ในเมื่อเรานั้นไซร้ หาได้รู้จักน้ำแดงไม่?

    พอครวญคิดตามเสียงที่ได้ยิน เราก็เผลอนึกขบขันอย่างเสียไม่ได้ กระนั้นแล้ว เรายังคงอยู่ในกริยาสำรวม เมื่อเท้าซึ่งก้าวตามหลังพี่ชายมานั้น มุ่งสู่พื้นที่ลานกว้างหน้าพุทธองค์ปูนปั้นขนาดมโหฬาร พร้อมด้วยสำรับกับข้าวกับปลาวางเรียงรายตระการตา

    ด้วยเพราะในยามนี้ เสียงเรียกของเหล่าพราหมณ์นั้นได้อัญเชิญผู้เป็นพี่ชาย สถานะของเราในยามนี้จึงเป็นผู้ติดตาม และสามารถจับต้องได้เพียงแต่ข้าวของที่พี่ชายเราสัมผัสจับต้องได้แต่เพียงเท่านั้น

    น้ำจัณฑ์คือ สิ่งแรกที่ท่านพี่อสุเรนทร์หยิบขึ้นจิบ ขณะนั่งรับชมการร่ายรำของนารีชนซึ่งดูงดงามไม่ต่างจากนางสวรรค์บนแดนสรวงหรือนครยักษ์ พลอยให้เราต้องหยิบจับจอกน้ำจัณฑ์ไว้ในมือด้วยเช่นกัน แม้นลึกๆ เราอยากเคี้ยวหมากพลูตรงหน้าขณะรับชมการร่ายรำตรงหน้ามากเพียงใดก็ตาม

    สายตาเรายามนี้ พึงพินิจและยลโฉมของเหล่านางรำแดนมนุษย์ ขณะเดียวกันหูก็ยังพยายามเงี่ยฟังเสียงอื่น เช่นเสียงหวานที่มักเอ่ยของสรรพสิ่งต่างๆ นานา จากเรา ทว่า เพลานั้นเอง สิ่งที่เราหมายจะได้ยินกลับต้องมีอันคลาดเคลื่อน เมื่อสายตาดันเล็งเห็นนางรำตนสุดท้าย ท่ามกลางหมูมวลนารีชนตนอื่นๆ กำลังร่ายรำด้วยลีลาอ่อนช้อยจนสะกดทุกสายตา

    ท่านพี่...ท่านเห็นเหมือนน้องหรือไม่?” เรากล่าวถามอย่างนึกอัศจรรย์ใจกับรูปโฉมซึ่งดูงดงามเหนือกว่านารีชนตนอื่นๆ อย่างโดดเด่น และอดคิดแทนผู้พี่ไม่ได้ว่าท่านพี่เองก็คงรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ต่างกัน “นางสวรรค์ตนนี้...มิใช่ไอ้กุมภัณฑ์หรอกรึ?”

    (หวังว่าท่านท้าวอสุเรนทร์จะอิ่มเอมกับการแสดงของนางรำและกับข้าวกับปลาที่กองถ่ายทุกคนมอบให้ หากท่านเปรมปรีกับสำรับและการแสดงแล้ว ท่านจงช่วยบันดาลทุกอย่างให้แคล้วคาด ปลอดภัย ดำเนินไปในทิศทางที่ดีด้วยเถิด...สาธุ สาธุ สาธุ!) แต่เหมือนว่าเราจะเล็งการผิดพลาด เพราะสิ้นเสียงร้องขอจากพวกพราหมณ์ เสียงโทสะเกรี้ยวกราดของพี่ชายคู่บารมีก็ตะคอกกร้าวออกมาทันที

    กูมิกิน!!!!”

    เพล้ง! โครม!!

    โทสะซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ส่งผลให้ผู้เป็นพี่ชายแสดงกริยามาดร้าย พังทำลายข้าวของตรงหน้าจนล้มระเนระนาด ไม่คำนึงนึกเสียดายสำรับกับข้าวกับปลาที่ถูกเหล่าปุถุชนจัดเตรียมไว้ให้อย่างประณีต อีกทั้งยังบันดาลลมฟ้า ลมฝนห่าใหญ่ ให้พัดคลื่นเข้าใส่ลานกว้างราวกับหมายจะบอกเหล่าปุถุชนแดนมนุษย์ว่าท่านพี่ไม่ต้องประสงค์และไม่พึงพอใจต่อทุกสิ่งที่เพิ่งได้รับ

    เนื่องด้วยเราคือผู้น้อง สิ่งที่ผู้เป็นพี่พึ่งปรารถนาจะทำ จึงเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าไปขัดได้ ทำได้เพียงมองภาพวิบัติฉิบหายของงานเฉลิมฉลองเบื้องหน้า ขณะยกน้ำจัณฑ์ในมือขึ้นจิบฆ่าเวลาไปพลางแต่เพียงเท่านั้น

    แท้จริงแล้ว...ตัวเรากับท่านพี่อสุเรนทร์ มีข้อแตกต่างกันอยู่หลายประการนัก ประการแรกเห็นทีจะเป็นเรื่องอารมณ์ ด้วยว่าตัวเรานั้นมีจิตใจร่มเย็นกว่าผู้พี่หลายเท่านัก ทำให้ไม่ค่อยแสดงความเกรี้ยวกราดต่อผู้ใดเฉกเช่นที่ท่านพี่อสุเรนทร์กระทำ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าเราจะกล่าวหาว่ากริยาดังกล่าวของพี่ชาย เป็นเรื่องไม่ดีเสียที่ไหน

    ตรงกันข้าม เรากลับเข้าใจอารมณ์ประการดังกล่าวของพี่ชายยิ่งกว่าผู้ใด การเป็นผู้นำ ปกครองนครหาใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายเสียที่ไหน หากไม่ดุดัน หนักแน่น หรือสามารถกำราบ สยบหมู่มวลยักษา ยักษีตนอื่นได้ ยามนี้ทั่วพระนครคงจะฉิบหายวายวอดไม่ต่างไปจากลานกว้างงานฉลองในแดนมนุษย์ยามนี้ดอก...

    ประการที่สอง สิ่งซึ่งทำให้เรากับพระพี่ชายต่างกัน เห็นทีจะเป็นอำนาจ 

    ท่านพี่อสุเรนทร์ คือยักษ์เพียงตนเดียวซึ่งถืออำนาจเหนือหมู่มวลยักษาทุกตนในภพ อิทธิฤทธิ์เทียบเท่ากับเหล่าเทพยดาบนสวรรค์หากแต่เป็นรองจากท่านผู้เป็นใหญ่ในแดนสรวง ส่วนเราและยักษี ยักษาตนอื่นทำได้เพียงร่ายเวท สำแดงเดชเหาะเหินเดินอากาศและเรียกอาวุธคู่กายยามคับขันหรือยามจำเป็นได้แต่เพียงเท่านั้น 

    ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาคือสิ่งที่เรากับผู้เป็นพี่ชายต่างกัน...

    ท่านอสุราเจ้าขา วันนี้มันเป็นวันอะไรของนังทับทิมคะ ทำไมถึงได้พบเจอแต่เรื่องซวยๆแบบนี้ล่ะ!’ อีกคราที่หูเราได้ยินเสียงบอกกล่าวของแม่ทับทิมดังแทรกเสียงพังทำลายข้าวของเบื้องหน้า จำต้องหลับตา วางจอกน้ำจัณฑ์ในมือซึ่งยังจิบไม่หมดดีลง เพื่อเงี่ยหูฟัง

    แต่เหมือนเวรและกรรมจะบดบัง เพราะยามตั้งสติ เพ่งจิตเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ เสียงดังกล่าวกลับขาดหายไปเสียอย่างงั้น

    เรียกหาเราอีกสิ แม่ทับทิม...

    ทับทิม!” ทว่า ในคราวนี้ เราคงจะตั้งมั่นมากเกินไปเสียหน่อย  จึงพลอยให้เสียงที่ได้ยินแทรกเข้ามานั้นหาใช่เสียงของสตรีอย่างที่ควรเป็นไม่

    ด้วยความตกใจ เราจึงลืมตาขึ้น ก่อนพบว่ายามนี้ ตัวเรานั้นหาได้อยู่กลางลานกว้างเคียงข้างพี่ชายอีกต่อไป แต่กลับเป็นอัครสถานซึ่งดูคล้ายคลึงกัน ซ้ำร้ายยังหนาแน่นไปด้วยปุถุชนไม่ต่างไปจากลานกว้างแม้แต่นิด

     “ฉันบอกว่า อย่าตามมาไง!” เสียงหวานของสตรีแสนคุ้นหู ทำสายตาเราเหลียวไปทางเจ้าของเสียงโดยพลัน จนได้พบเข้ากับดวงใจเจ้าของเสียงในความคิดที่เรารอคอยจะพบยลโฉมหน้า

    ไม่ตามได้ไงอ่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอ ?” ซ้ำร้ายก็คือดวงใจที่เราตามหานั้น ยามนี้ดันอยู่กับบุรุษอื่น

    พอทีแดน ฉันไม่มีเรื่องจะคุยด้วย อะ!” มิหนำซ้ำยังใกล้ชิดกันถึงขั้นถึงเนื้อถึงตัว หาได้รู้จักวางตัว ทิ้งระยะห่างต่อกันไม่

    “อุตส่าห์กันทั้งที ยังไงก็ต้องคุย!” 

    บุรุษแปลกหน้าแต่งกายผิดแผกแปลกตา กำลังใช้กำลังฉุดดึงแขนดวงใจเราอย่างถือวิสาสะ ภาพที่เห็นเบื้องหน้า เริ่มจะทำให้เรารู้สึกฉุนกึกขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ก่อนจะทันได้สำแดงเดชที่พอจะมีติดตัวเพื่อขัดขวาง จู่ๆกลางอุรากลับต้องรู้สึกเสียดเจ็บ เมื่อบุรุษตรงหน้ากล่าวขึ้น 

    เราเคยรักกันไม่ใช่เหรอทับทิม อยู่คุยด้วยกันแป๊บหนึ่งมันจะตายหรือไง !?”


    Talk1 ต้องบอกก่อนว่า เรื่องของท่านอสุราจะเฉลยปมบางอย่างซึ่งไม่ได้เฉลยไว้ในเล่มของพี่ชายด้วยนะ แต่ถึงไม่อ่านเรื่องของท่าวอสุเรนทร์ ก็ไม่มีทางอ่านเรื่องนี้งงอยู่ดี ฮ่าๆ  
    Talk2 เอ้า ท่านไม่รู้จักน้ำแดงนะทับทิม 555
    Talk3 เรื่องนี้ต้องมียักษ์ดราม่าแน่ๆ

    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

       
    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า

       

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×