คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
“อีกไม่นานพวกเจ้าจะต้องเลือก“ เสียงทุ้มของอินคิวบัสหนุ่มกล่าวกับอินคิวบัส และซัคคิวบัสในอนาคตตรงหน้าเหล่านี้ “ไหนพวกเจ้าลองบอกซิ ว่าพวกเจ้าอยากเป็นอะไรกันบ้าง “
ปีศาจน้อยตนหนึ่งยกมือขึ้น “ข้าอยากเป็นซัคคิวบัส ข้าอยากสวยเหมือนท่านแม่ ” คำตอบอันไร้เดียงสาทำให้อินคิวบัสหนุ่มเผยยิ้มเอ็นดู
เมื่อมีผู้นำ เหล่าปีศาจที่อนาคตจะเป็นอินคิวบัส ไม่ก็ซัคคิวบัสต่างก็เริ่มยกมือขึ้นพูดบ้าง จนเหลือเพียงตนสุดท้าย
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังผู้ที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้น ใบหน้างดงามคล้ายสตรีไร้ที่ตินั้นนิ่งเรียบ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใด
“แล้วเจ้าเล่า อาร์โรห์ “
“อะไรก็ได้ ” กล่าวจบเขาก็เดินจากไป โดยไม่สนใจสายตาที่มองมา ไม่ว่าจะริษยา หรือเหยียดหยามก็ตาม
เขาไม่อยากจะสนใจต่อสิ่งใดอีกแล้วในโลกปีศาจที่มีเพียงความโสมมแห่งนี้ เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่ารังเกียจเสียจนอยากออกไปจากบ่วงนี้เสียที ผู้คนต่างเข่นฆ่ากันเอง ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นำไปสู่การฆ่าฟัน...คนพวกนั้น...ฆ่ากันเองราวกับผักปลา...
...ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีปีศาจตนใดที่มีนิสัยรักสงบ ทุกตนต่างต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ทว่าอาร์โรห์นั้นต่างออกไป เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้อย่างสุดฝีมือ ไม่ต้องพยายาม และไม่เคยคิดที่จะพยายาม ความสามารถของเขากลับยังคงอยู่ที่เดิม ลำดับเดิม ราวกับว่าลำดับนั้นถูกกำหนดไว้ให้เขาเพียงผู้เดียว
ลำดับที่สิบห้า นั่นคือผลล่าสุดที่ปรากฏหลังจากการประลองวัดระดับจบลง และเขาก็อยู่ในลำดับนี้ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
อาร์โรห์หวังชีวิตที่สงบสุข มันเป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆที่ไม่อาจเป็นจริงสำหรับปีศาจ อีกไม่นานเขาต้องเลือกและจะถูกจัดลำดับอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกลียดสักเท่าใด เขาก็ยังคงต้องเข้าประลอง ชีวิตอันสงบสุขนั้นห่างไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา อาร์โรห์ไม่เคยสนใจลาภยศสรรเสริญ ไม่สนใจผู้ที่รังเกียจตน ใช้ชีวิตไปวันๆราวกับไม่ใช่ปีศาจ
“อาร์โรห์ !” เสียงเรียกทั้งกระหืดกระหอบเรียกให้นัยน์ตาสีรัตติกาลกลอกมองไปทางผู้มาใหม่
อินคิวบัสหนุ่มที่เป็นคนตั้งคำถามเมื่อครู่นั่นเอง ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อซึมขึ้นมาเล็กน้อย
“มีอะไร คาร์ล” คนถูกเอ่ยชื่อปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เจ้าไม่น่าทำตัวแบบนั้นมันจะทำให้เจ้าถูกเกลียดเอานะ” ทว่าคำตอบรับที่ได้กลับเป็นเพียงคำว่า ‘งั้นหรอ’ ก่อนจะเริ่มเดินต่อ
คาร์ลเห็นดังนั้นจึงออกตัวเดินตามร่างที่สูงเพียงไหล่ของเขา “หรือเจ้ายังไม่รู้ใจตัวเองกันล่ะ” คำพูดนั้นทำให้อีกร่างชะงักกึก คาร์ลหยุดลงข้างๆอีกฝ่าย “ใช่จริงๆสินะ” กล่าวก่อนจะยกมือขึ้นลูบเส้นไหมสีดำเงางามของ อาร์โรห์ “เอาอย่างนี้ไหม คืนนี้เจ้าข้ามไปที่โลกมนุษย์กับข้า ลองดูซิว่าเจ้าจะถูกใจเหยื่อแบบไหน”
อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเบาแล้วเดินจากไป
“ก็เอาสิ”
คาร์ลยิ้มบาง เป็นครั้งแรกที่เขาเดาอาร์โรห์ถูก ปกติอาร์โรห์จะนิ่งเงียบจนเขาเดาไม่ออก ทั้งยังไม่มีผู้ปกครองให้ปรึกษา เขาจึงไม่เคยอ่านปีศาจที่อายุน้อยกว่าออกเลยสักครั้ง เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานนี้เองว่าหากจะคุยกับอาร์โรห์ ต้องพยายามมองนัยน์ตา และใบหน้าของอีกฝ่าย อย่าได้คลาดสายตา เพราะหากมีปฏิกิริยาอะไรก็จะพลาดไปจนไม่สามารถสานต่อบทสนทนาได้
ณ โลกมนุษย์ ท้องฟ้าถูกปูทับด้วยความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า เป็นกลางดึกที่ดูจะเงียบสงัด หากในตรอกไม่มีร่องรอยของการเปิดมิติที่ค่อยๆขยายขึ้นจนมากพอจะให้คนเดินออกมา จากนั้นก็มีสิ่งที่ฉีกกฎแรงโน้มถ่วงทะยานออกมา เสียงดัง ‘ฟึบ’ ดังขึ้นพร้อมกับลมที่กรรโชคขึ้นในบริเวณเล็กๆนั้น ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนหยุดนิ่งอยู่บนอากาศ
ร่างงดงามของบุรุษในชุดแนบเนื้อเสื้อดำกลืนไปกับเส้นผมยาวสลวยสีนิลและขนปีกสีดำสนิท นัยน์ตาสีโอนิกส์ราวกับเรืองแสงเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์
งดงามสมเป็นปีศาจที่ราชาปีศาจสรรสร้าง
งดงาม...แต่กลับอันตราย
เงาสีดำได้คืบคลานเข้ามาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
ภายในบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา เขาฝันเห็นกองเลือดที่ส่งกลิ่นคาวเหม็นคลุ้ง กับร่างสองร่างที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่ท่ามกลางกองเลือดนั้น
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มสั่นระริก นัยน์ตาสีโลหิตคลอน้ำตา สองมือสั่นเทาอย่างหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้านี้
“ท...ท่านพ่อ ท่านแม่...” สองขาก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ทรุดร่างลงกับพื้นก่อนจะกรีดร้องออกมา “ม่ายยยยยยย !!!”
“ม่ายยยยยยย!!!...แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...” ดวงตาถูกเปิดขึ้นพร้อมลมหายใจที่ถี่กระชั้น รู้สึกถึงความเปียกชื้นบนใบหน้าและร่างกายจนต้องยกมือขึ้นเช็ดออก รู้สึกรำคาญเส้นผมสีน้ำตาลของตนเองที่ชื้นเหงื่อจนต้องเลื่อนมือขึ้นสูงกว่าเดิมเพื่อปัดมันออกให้พ้นจากใบหน้า ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อพบร่างของใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงมองเขาด้วยดวงตาสีนิลกลมโต เส้นผมสีเดียวกันถูกปล่อยให้สยายยาวลงมาถึงเอว ใบหน้างดงามที่คล้ายคลึงสตรี หากแต่ก็มองออกว่าเป็นบุรุษนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักด้วยความตกตะลึงกับความงามตรงหน้า
นัยน์ตาสีนิลหรี่ลง “ดวงตาต้องสาป ” ฝ่ามือเล็กถูกยื่นมาด้านหน้า ลูบลงที่เปลือกตาของเด็กหนุ่มเจ้าของห้อง “เจ้ามีมันได้อย่างไรกัน ”
ดวงตาต้องสาป ดวงตาที่ถูกสาปโดยราชาปีศาจ ทำให้มีสีแดงสดคล้ายโลหิต มักเกิดในหมู่มนุษย์ที่เคยผ่านพ้นความตาย มีพลังพิเศษแตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าบุคคลนั้นจะได้รับคำสาปจากราชาปีศาจองค์ใด
เดทฮีล ราชาปีศาจผู้ครองนรก ซาจีส ราชาปีศาจผู้ควบคุมไฟ ชาฮาล ราชาปีศาจผู้ควบคุมความมืด และรีเชล ราชาปีศาจผู้ควบคุมน้ำแข็ง
ชาฮาล คือผู้สร้างอินคิวบัส และซัคคิวบัส เป็นราชาปีศาจที่ทะนงตนมากที่สุดในราชาปีศาจทั้งสี่ เป็นราชาปีศาจองค์เดียวท่ามารถฉีกกฎของมิติได้
ซาจีส ผู้มีความทะเยอทะยานมากที่สุด เป็นผู้สร้างมังกร เผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่าทะเยอทะยานที่สุด
รีเชล ราชาปีศาจผู้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาที่สุด ผู้สร้างปีศาจใต้ท้องทะเลทั้งหมด
และสุดท้าย เดทฮีล ผู้สร้างแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า และโลกปีศาจ ขึ้นชื่อในด้านความโหดเหี้ยม และมีพลังแข็งแกร่งที่สุด
ราชาปีศาจทั้งสี่ล้วนมีใบหน้าที่งดงามอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ มีเพียงเหล่าทวยเทพเท่านั้นที่จะสามารถนำมาเปรียบเทียบได้
ทั้งนี้ดวงตาต้องสาปที่ได้รับมาก็จะขึ้นอยู่กับว่าได้รับมาจากราชาปีศาจองค์ใด
เดทฮีล มอบดวงตาต้องสาปที่มีพลังเวทกล้าแกร่ง สามารถวิเคราะห์ และลอกเลียนแบบเวท ก่อนจะนำไปใช้ในการต่อสู้ เป็นประเภทที่หาได้ยากที่สุด มีเพียงหนึ่งในร้อยที่จะได้รับ
ซาจีส มอบดวงตาต้องสาปที่สามารถควบคุมเพลิง เป็นพลังทำลายล้างที่น่าหวาดกลัว และกินพื้นที่ในบริเวณกว้าง เผาทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
ชาฮาล ผู้มอบดวงตาแห่งการกลืนกิน ดวงตาที่สามารถกลืนกินได้ทุกสิ่ง ทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่าได้ในพริบตา
และส่วนดวงตาที่รีเชลเป็นผู้มอบให้นั้นจะสามารถควบคุม น้ำ น้ำแข็ง สายลม และสายฟ้าได้ แช่แข็งทุกสรรพสิ่ง เผาทำลายให้วอดวาย ซัดโถมด้วยความหนักหน่วง นั่นคือนิยามสั้นๆที่ถูกใช้ในการบรรยาย
สิ่งเดียวที่เหมือนกันของดวงตาต้องสาปคือ จะเปลี่ยนให้นัยน์ตาของผู้ถูกสาปมีสีแดงดั่งโลหิต เมื่อใดที่มีสิ่งใดมากระทบต่อจิตใจ ผู้ถูกสาปจะคุ้มคลั่ง ไม่อาจควบคุมตนเองได้ เรียกร้องแต่การฆ่าฟันจนกว่าจะพอใจ
เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้องของเขาโดยไม่ได้รับเชิญ
“แล้วเจ้าเล่า เป็นใคร?”
คนแปลกหน้าเผยยิ้มที่เด็กหนุ่มขอลงความเห็นว่างดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา “ข้าน่ะหรือ ? ก็ปีศาจที่จะมาช่วงชิงความฝันของเจ้าอย่างไรเล่า”
เขาขอเปลี่ยนความคิดใหม่...นั่นมันรอยยิ้มปีศาจชัดๆ!
“แต่ว่านะ” คำกล่าวนั้นทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมามองปีศาจตรงหน้าอีกครั้ง “ข้าคิดว่าข้าไม่อยากได้ความฝันของเจ้าแล้วล่ะ” กล่าวจบก็ยันกายลุกขึ้นยืน “ข้ามีนามว่าอาร์โรห์ เลอร์จิล ยินดีที่ได้รู้จัก เดล รีการ์ด”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ารู้ชื่อข้าได้อย่างไร เจ้าปีศาจ”
อาร์โรห์คลี่ยิ้มงดงามน่าลุ่มหลง นัยน์ตาสีนิลกาลจ้องมองนัยน์ตาสีชาดคู่นั้น ราวกับจะอ่านแววตาของคู่สนทนา “ข้าคือปีศาจแห่งความฝัน ข้าเห็นฝันของเจ้า และน้องสาวเจ้า นางแนะนำตัวกับข้า ทั้งยังแนะนำเจ้าด้วย ความฝันของนางก็สมเป็นเด็กผู้หญิงดีนะ ‘เดล’ ” ราวกับต้องการหยอกล้อ อาร์โรห์ จึงได้เน้นย้ำนามอีกฝ่ายอีกครั้ง นัยน์ตาสีรัตติกาลไหวระริกไปด้วยแววสนุกสนานที่ได้แกล้งเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ตรงหน้า ที่ในตอนนี้อ้าปากค้าง
แม้อาร์โรห์จะไม่อาจอ่านความคิดของเดลได้ แต่จากสีหน้าก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาทั้งตระหนก และไม่อยากเชื่อถึงเพียงใด
ปีศาจแห่งความฝันอยากหัวเราะ ทว่าเสียงตะโกนเรียกของคาร์ลก็ทำให้เขาต้องหันไปมองนอกหน้าต่าง แม้จะยังไม่เห็นตัวเจ้าของเสียง หากแต่อาร์โรห์รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายกำลังใกล้เข้ามา
“ข้าต้องไปแล้ว” ปีศาจกล่าวพลางหันกายกลับมา ก่อนเผยยิ้มบางที่แลดูอ่อนโยนอย่างที่ไม่น่าจะมีปีศาจตนใดทำได้ “แต่คืนพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ แล้วพบกัน เดล รีการ์ด” กล่าวจบเขาก็ปีนขึ้นกรอบหน้าต่าง ก่อนสยายปีกสีดำสนิทของเขาจนส่งเสียงดัง ‘ฟึบ’ เป็นเหตุให้ขนปีกสีนิลร่วงลงมาสู่พื้นห้องหลายเส้น มีเส้นหนึ่งที่ราวกับจงใจ มันค่อยๆร่วงลงสู่ตักของเด็กหนุ่มที่จ้องมองปีกที่ถูกสยายออกนั้นตาไม่กระพริบด้วยความตกตะลึง
อาร์โรห์ยิ้มขันก่อนกระโดดออกไปทางหน้าต่าง ปีกของเขาขยับเพียงครั้งเดียวก็ส่งให้เขาโจนทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าสีนิล ที่แม้จะมืดสักเพียงใดก็ยังไม่อาจบดบังความงดงามของปีกคู่นั้นได้
เดลรู้สึกตัวก็เมื่อนั้นนั่นเอง เขารีบลงจากเตียง มือเผลอคว้าขนปีกบนตักติดมือมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะก้าวมาทางหน้าต่างที่ร่างของปีศาจเพิ่งจากไปเมื่อครู่ จากนั้นก็ตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ “ไม่ต้องกลับมาแล้ว!!!”
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เดลคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของอาร์โรห์ลอยมาตามสายลม ราวกับสนุกสนานหนักหนากับปฏิกิริยาของเขา
เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดอย่างไม่ใคร่ชอบใจนักก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นขนปีกสีนิลในมือ ขนปีกนั้นงดงามเช่นเดียวกับเจ้าของ แม้จะมีสีดำสนิท แต่เมื่อกระทบแสงจันทร์กลับส่องประกายระยิบระยับน่าจับตา เหมาะที่จะนำไปทำเป็นเครื่องประดับเสียนี่กระไร
และแล้วเดลก็ต้องชะงักกับความคิดนั้นของตนเอง ก้มลงมองขนปีกที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นอีกกว่าสิบเส้น ก่อนตัดสินใจเก็บขนปีกเหล่านั้น
นี่ก็ผ่านมาสามคืนแล้ว อาร์โรห์ยังคงแวะเวียนมาหาเดลทุกคืน แต่คืนนี้กลับเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งรอการมาของปีศาจ
อาร์โรห์เข้ามาทางหน้าต่างเช่นทุกคืน หลังจากหุบปีกลงเขาก็ส่งยิ้มทักทายเจ้าของห้องเช่นเคย “น่าแปลกจริงที่วันนี้เจ้าเป็นฝ่ายนั่งรอข้า”
เดลทำเพียงเหลือบมอง “งั้นหรือ ?” กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นตรงเข้ามาหาอาร์โรห์ ติดอะไรบางอย่างลงบนเสื้อของอีกฝ่าย เมื่อถอยออกมา อาร์โรห์ก็ก้มลงมองก่อนเลิกคิ้วโก่งสวยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่อยากยอมรับหรอกนะว่าขนปีกของเจ้าทำให้ข้าหาเงินมาได้มากกว่าเมื่อก่อน” เด็กหนุ่มกล่าวเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “และเพื่อขอบคุณ ข้าเลยคัดชิ้นที่ดีที่สุดมาให้เจ้า”
อาร์โรห์กระพริบตาอย่างงงงวยก่อนก้มลงมองเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้รับมาอย่างพินิจพิเคราะห์
สิ่งที่เด่นที่สุดในเครื่องประดับชิ้นนี้คือขนปีกสีดำที่สามารถส่องประกายระยิบระยับ ด้านข้างเป็นขนปีกสีขาวเรียบๆประกบสองด้านของขนปีกสีดำ ไล่ลงมาคืออัญมณีสีขาวสะอาดราวดูดซับแสงจันทร์เข้ามาไว้ในตัวของมัน สุดท้ายคือลวดลายอ่อนช้อยที่มีสีทอง ไม่อาจระบุได้ว่าใช้สิ่งใดมาเป็นวัสดุในการทำ แต่เมื่อนำมาประกอบกันมันกลับแลดูเข้ากันและสวยงามอย่างน่าประหลาด
อาร์โรห์ยกมือขึ้นลูบเครื่องประดับชิ้นใหม่เบาๆ สัมผัสได้ถึงพลังเวทบางเบาที่แผ่ออกจากอัญมณีสีขาวสะอาดตรงหน้า เขารู้แทบจะในทันทีว่าอัญมณีเม็ดนี้ถูกบรรจุพลังเวทไว้ ทั้งยังดูดซับแสงจันทร์จนสามารถเปล่งแสงในแบบเดียวกับของดวงจันทร์ออกมาได้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นขนปีกของเขาคงไม่อาจเปล่งประกายงดงามได้เช่นนี้
คิ้วสีดำโก่งสวยถูกยกขึ้นเป็นการเลิกคิ้ว ดวงตาสีนิลถูกกลอกขึ้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนเผยยิ้ม...
...ยิ้มที่แตกต่างจากยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้เขครั้งแรก ยิ้มที่ออกมาจากใจ...
“ขอบใจนะ เดล”
เพียงแค่นั้นก็สามารถเรียกริ้วสีแดงให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม อาจเพราะนอกจากน้องสาวแล้วเขาก็ไม่เคยได้รับคำขอบคุณใดๆจากผู้อื่นเลย เพียงเพราะว่า...เขามีดวงตาต้องสาป...
“อ้าว แล้วเจ้าจะหน้าแดงทำไมล่ะนั่น?” อาร์โรห์ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย มุมปากค่อยๆถูกยกยิ้มขัน อยู่ๆก็นึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เดลเบือนใบหน้าหนี คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างไม่ใคร่จะชอบใจที่ถูกล้อเลียนโดยปีศาจตรงหน้า แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงมีสีแดงจางๆปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรือความอายก็ตาม มันก็ทำให้อาร์โรห์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างขำขันกับท่าทีนั้นของเด็กหนุ่ม
คนถูกหัวเราะเหลือบดวงตามองปีศาจตรงหน้า ทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่คล้ายจะข่มขู่ว่าให้เลิกหัวเราะเยาะเขาเสียที ทว่าปฏิกิริยานั้นกลับยิ่งทำให้อาร์โรห์ขำมากกว่าเก่า ปีศาจแห่งความฝันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไหว เขาหัวเราะจนปวดท้องแต่นั่นก็ยังไม่อาจทำให้เขาหยุดเสียงหัวเราะของตนเองได้
ผ่านมานานมากกว่าเขาจะสามารถหยุดตนเองไม่ให้หัวเราะไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นบางทีเขาอาจขาดใจตายเพราะการหัวเราะ...เป็นการตายที่ช่างน่าภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน...ซะที่ไหนล่ะ!
อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางถอนหายใจเฮือก ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่หางตา...ไม่เคยได้หัวเราะเต็มอิ่มขนาดนี้เลยจริงๆ และบางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาหัวเราะต่อหน้าคนอื่น เพราะเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเผ่าพันธุ์เดียวกัน เขาก็มักจะนิ่งเงียบอยู่เสมอ อีกทั้งอินคิวบัสซัคคิวบัสรุ่นเยาว์ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ย่างกรายออกนอกเขตแดนการปกครองของเผ่าพันธุ์ ด้วยเพราะอันตรายจากภายนอกที่ห้อมล้อม อีกทั้งอัตราการเกิดของอินคิวบัสและซัคคิวบัสนั้นมีน้อยเสียจนไม่อาจเสียเด็กไปได้แม้แต่คนเดียว
ส่วนในกรณีของเขานั้นต้องยกความดีความชอบให้แก่คาร์ล ที่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนเขาจึงได้รับอนุญาตให้ออกมาจากเขตแดนได้
เดลหย่อนก้นลงนั่งข้างๆอาร์โรห์ นัยน์ตาต้องสาปจ้องมองเสี้ยวหน้าของปีศาจที่เขาพอจะเรียกได้ว่าเพื่อนอย่างไม่วางตา ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายดูแปลกๆอย่างไรชอบกล
“หือ ? มีอะไรเหรอ ?” อาร์โรห์ที่เห็นเดลเอาแต่จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบหันมาถามยิ้มๆ
“เจ้ามีเรื่องอะไรรึเปล่า ? วันนี้เจ้าดูแปลกๆ ไปอย่างไรชอบกล”
หลังจากประโยคนั้นจบลง รอยยิ้มของอาร์โรห์ก็ดูแข็งค้างจนไม่น่ามอง สุดท้ายเจ้าตัวจึงหุบยิ้มลงก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา...สุดท้ายก็ปิดไม่มิด...
“หลังจากนี้ข้าคงไม่ได้มาที่โลกมนุษย์อีก จนกว่าพิธีมุลเลห์ *จะจบลง” *พิธีมุลเลห์ คือพิธีฉลองพระจันทร์ในคืนที่สว่างที่สุดในช่วงต้นปี ส่วนมากจะอยู่ในช่วงเดือนที่สองของปี *
“ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น?”
ครั้งนี้อาร์โรห์ไม่ตอบดังที่แล้วๆมา เขาทำเพียงเผยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเหยียดหลังตรงเต็มความสูง “พบกันครั้งหน้า ข้าคงไม่ได้มาในสภาพเช่นนี้” กล่าวจบเขาก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง กระพือปีกบินขึ้นสู่ฟากฟ้ายามราตรี
เดลนิ่งไปด้วยยังตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ทัน รู้ตัวอีกทีร่างของอาร์โรห์ก็หายไปเสียแล้ว
“จะกลับแล้วหรือ ?” คาร์ลกล่าวถามเมื่อเห็นร่างของอาร์โรห์บินกลับมาที่จุดนัดพบก่อนเวลา ต่างจากครั้งก่อนๆที่ต้องให้เขาไปตามเสียทุกครั้ง
อาร์โรห์นิ่งเงียบไม่ตอบคำ ทำเพียงเหลือบดวงตาสีนิลมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชาเช่นที่เคยทำกับผู้ร่วมเผ่าพันธุ์ตนอื่นๆ จนทุกคนต่างพากันเขม่น และไม่ชอบขี้หน้าเขาขึ้นทุกที
พวกเขารอจนทุกคนมากันจนครบ มิติก็ถูกฉีกออกอีกครั้ง ปีศาจแห่งความฝันเริ่มเข้าไปในรอยแยกมิตินั้นทีละตน จนเหลือเพียงอาร์โรห์กับคาร์ลเพียงสองตน
อาร์โรห์อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองยังทิศที่บ้านของเดลตั้งอยู่ ในส่วนลึกของจิตใจอดคาดหวังไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะเห็นเขาเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งบ้างหรือเปล่า อาจเพราะสิ่งที่ปกติอีกฝ่ายมักจะแสดงต่อเขามักจะเป็นสิ่งที่คล้ายความเกลียดชัง อีกทั้งแม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยเรียกกันสักครั้ง มีเพียงฝ่ายเขาที่เรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม โดยหวังเพียงว่ามันจะช่วยลดช่องว่าระหว่างกันลงได้บ้างก็เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า แม้อาร์โรห์จะไม่เคยคบใครเป็นเพื่อน แต่ในครั้งนี้เขาดูจะจริงจังกับการหาเพื่อนมนุษย์สักคน ถึงแม้มนุษย์จะมีบางส่วนที่โหยหาการฆ่าฟัน หากแต่ก็มีบางส่วนที่รักความสงบสุข และเกลียดสงครามที่จะพรากคนที่ตนรักไป...จิตใจของมนุษย์นั้น...อ่อนแอ...แต่กระนั้น...ก็กลับอ่อนโยนและน่าหลงใหลสำหรับเขา
“อาร์โรห์ ไปกันได้แล้วนะ” คาร์ลกล่าวเรียก ทำให้อาร์โรห์หันกายกลับมาเดินเข้าสู่รอยแยกมิตินั้นโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีก
คาร์ลเหลือบมองทิศทางที่อาร์โรห์มองไปด้วยสายตาว่างเปล่าที่แตกต่างจากเวลาปกติ ก่อนหันกายก้าวเข้าสู่รอยแยกมิตินั้น
เมื่อปราศจากผู้ฉีกกฎมิติเหลืออยู่ รอบด้านก็ราวกับจะบิดตัวเป็นเกลียว บิดให้รอยแยกของมิติปิดสนิท จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ค่ำคืนอันเงียบสงัดอีกครั้ง...
วันเวลาที่ผ่านไปเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย อาร์โรห์มองออกไปนอกหน้าต่าง...ผ่านมาสองอาทิตย์กว่าแล้วที่ไม่ได้ออกไปจากเมือง เขารู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในกรง ไร้อิสรเสรี ยิ่งได้มองไปบนท้องฟ้าของโลกปีศาจที่มืดมิดอยู่ตลอดเวลาโดยไร้แสงดาวมันก็ยิ่งทำให้เขาคิดถึงโลกมนุษย์
เขารักที่จะบินไปใต้แสงดาวนับล้านๆดวง รับลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้า ยิ่งบินสูงก็ยิ่งราวกับจะสามารถไปถึงดวงดาว สามารถเอื้อมมือไปเก็บแสงดาวมาไว้ในมือ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งความหวังที่จะได้มีชีวิตสงบสุข
อาร์โรห์ถอนหายใจเฮือก...ทำไมมันช่างน่าเบื่อขนาดนี้นะ... อดไม่ได้ที่จะหยิบเอาเข็มกลัดขึ้นมามอง อัญมณีที่แผ่แสงจันทร์ออกมาจางๆนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึงท้องฟ้าของโลกมนุษย์
แต่จะว่าไป ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้คิดเรื่องของตนเองเลย แล้วสรุปว่าเขาควรจะเลือกเป็นอินคิวบัสหรือซัคคิวบัสดีนะ??
หากเลือกเป็นซัคคิวบัส เขาอาจเผลอทำอันตรายเดลโดยไม่รู้ตัว แต่หากเลือกเป็นอินคิวบัส เขาอาจไม่สามารถทำร้ายเดลได้ในรูปแบบพลังของอินคิวบัส หากแต่เวทของเขาก็ยังสามารถทำร้ายอีกฝ่ายให้ถึงตาย...ไม่สิ เดลมีดวงตาต้องสาป อย่างมากก็เพียงบาดเจ็บ...ใช่ เขาต้องเชื่อในตัวเดล และต้องเชื่อในพลังของเดลว่าจะสามารถหยุดเขาได้หากเขาขาดสติเผลอทำร้ายน้องสาวของอีกฝ่ายขึ้นมา
ก๊อกๆๆ
เสียงประตูไม้ที่ถูกเคาะทำให้อาร์โรห์ต้องหันไปมอง
ที่บานประตูซึ่งถูกเปิดอ้าไว้ปรากฏร่างของอินคิวบัสหนุ่มตนหนึ่งซึ่งอาร์โรห์ไม่คุ้นหน้า ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองมายังเขานั้นกลับเต็มไปด้วยแววรังเกียจ
“เตรียมตัวได้แล้วเจ้าคนนอกคอก” เสียงที่อีกฝ่ายใช้กล่าวนั้นไม่แม้กระทั่งจะปิดบังอารมณ์ที่กรุ่นไปด้วยความโกรธ “เสร็จแล้วก็ไปที่วิหารชาฮาล พิธีจะเริ่มแล้ว” กล่าวจบอีกฝ่ายก็หันกายเดินจากไป โดยที่ยังไม่วายพึมพำเบาๆ
“เจ้าคาร์ลนั่นดันโยนชิ้นเนื้อที่น่ารังเกียจมาให้ข้าตามเสียได้”
อาร์โรห์มองประตูที่กลับมาไร้ผู้คนอีกครั้ง...จริงสินะ ความคิดของเขามันน่ารังเกียจในสายตาของปีศาจด้วยกัน แต่สาเหตุที่เขาคิดเช่นนี้ก็เพียงเพราะว่าสงครามและการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์นั้น...พรากมารดาของเขาไป...
ณ วิหารชาฮาล
อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองวิหารที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแร่ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งยิ่งกว่าเพชร ตัววิหารมีลักษณะเป็นสีดำมันเงา สูงเสียดฟ้า ด้านหน้าวิหารปรากฏรูปปั้นของราชาปีศาจชาฮาลที่สร้างขึ้นจากแร่ชนิดเดียวกันกับตัววิหาร
เขานิ่งยืนมองรูปปั้นนั้นครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปภายในตัววิหาร ที่นั่นเขาได้พบกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกับเขาซึ่งมีอยู่เพียงไม่ถึงสิบตน และทุกตนต่างก็มองมายังเขาด้วยสายตาที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม...เผลอๆอาจมีที่รู้สึกรังเกียจขึ้นมากกว่าเดิมปะปนอยู่ด้วย ทว่าสำหรับอาร์โรห์ไม่ว่าจะเป็นสายตาเช่นไร หากมาจากผู้ที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญมันก็ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆต่อเขาได้
“ข้าคิดว่าเท่านี้คงมากันพร้อมแล้วกระมัง” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในวิหารโล่งๆแห่งนี้ ก่อนที่จะปรากฏร่างร่างหนึ่งในชุดคลุมยาวสีดำ ใบหน้าที่ดูจะกร้านโลกมามากทว่าก็ยังคงดูอ่อนเยาว์เช่นเดียวกับผู้ร่วมเผ่าพันธุ์ตนอื่นๆนั้นปรากฏรอยยิ้มบางเบาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ นัยน์ตาสีเงินกลอกมองเหล่าผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอนาคตของเผ่าพันธุ์ทุกตนรอบหนึ่งจึงได้กล่าวต่อ
“จากวันนี้ไปอีกสองวัน พวกเจ้าทุกตนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ และข้าขอย้ำว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามก้าวออกจากวิหาร ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจรับประกันชีวิตของพวกเจ้าได้” กล่าวจบรอยยิ้มที่ไร้ความหมายในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเหี้ยมที่ทำให้ทุกๆคนในที่นั้นเย็นสันหลังวาบ ทว่ารอยยิ้มนั้นก็กลับมาเป็นเช่นเดิมอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมาราวกับว่ารอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อครู่นั้นไม่เคยผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นก็ขอให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันตามสบาย ระหว่างนั้นก็ตัดสินใจให้ได้ว่าพวกเจ้าจะเลือกอนาคตเช่นไร เพราะหากเลือกแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก” กล่าวจบอีกฝ่ายก็หายไป ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน...
________________________________________________________
จบไปสำหรับตอนแรกค่ะ
แต่งเดวิลยังไม่จบก็มาเปิดเรื่องใหม่ แลดูหาเรื่องมาก ฮ่าๆๆ
แต่ไม่ค้องห่วงค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เก่ากว่าเดวิลที่นั่งโด้สดเยอะเลย เพราะงั้น
เก่ากว่า = แต่งก่อน
หมายความว่าเรื่องนี้แต่งก่อนแล้วไงล่ะ!
สัญญาว่าจะไม่ทิ้งทั้งสองเรื่องไปไหนแน่นอนค่ะ แต่บางครั้งก็ต้องขอเวลาทำใจ (เอ๊ะ?)
ยังไงก็ฝากอินคิวบัสไว้ในอ้อมอกทุกท่านอีกเรื่องด้วยนะคะ!
ความคิดเห็น