ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 58


    บทที่  1

     

                    “อีกไม่นานพวกเจ้าจะต้องเลือก“ เสียงทุ้มของอินคิวบัสหนุ่มกล่าวกับอินคิวบัส และซัคคิวบัสในอนาคตตรงหน้าเหล่านี้ “ไหนพวกเจ้าลองบอกซิ  ว่าพวกเจ้าอยากเป็นอะไรกันบ้าง “

                    ปีศาจน้อยตนหนึ่งยกมือขึ้น “ข้าอยากเป็นซัคคิวบัส  ข้าอยากสวยเหมือนท่านแม่ ” คำตอบอันไร้เดียงสาทำให้อินคิวบัสหนุ่มเผยยิ้มเอ็นดู

                    เมื่อมีผู้นำ เหล่าปีศาจที่อนาคตจะเป็นอินคิวบัส ไม่ก็ซัคคิวบัสต่างก็เริ่มยกมือขึ้นพูดบ้าง จนเหลือเพียงตนสุดท้าย

                    ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังผู้ที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้น  ใบหน้างดงามคล้ายสตรีไร้ที่ตินั้นนิ่งเรียบ  ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใด

                    “แล้วเจ้าเล่า  อาร์โรห์ “

                    “อะไรก็ได้ ” กล่าวจบเขาก็เดินจากไป  โดยไม่สนใจสายตาที่มองมา  ไม่ว่าจะริษยา หรือเหยียดหยามก็ตาม

                    เขาไม่อยากจะสนใจต่อสิ่งใดอีกแล้วในโลกปีศาจที่มีเพียงความโสมมแห่งนี้  เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่ารังเกียจเสียจนอยากออกไปจากบ่วงนี้เสียที  ผู้คนต่างเข่นฆ่ากันเอง  ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นำไปสู่การฆ่าฟัน...คนพวกนั้น...ฆ่ากันเองราวกับผักปลา...

                    ...ไม่ว่าอย่างไร  ก็ไม่มีปีศาจตนใดที่มีนิสัยรักสงบ  ทุกตนต่างต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด  ทว่าอาร์โรห์นั้นต่างออกไป  เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้อย่างสุดฝีมือ  ไม่ต้องพยายาม  และไม่เคยคิดที่จะพยายาม  ความสามารถของเขากลับยังคงอยู่ที่เดิม  ลำดับเดิม  ราวกับว่าลำดับนั้นถูกกำหนดไว้ให้เขาเพียงผู้เดียว

                    ลำดับที่สิบห้า  นั่นคือผลล่าสุดที่ปรากฏหลังจากการประลองวัดระดับจบลง  และเขาก็อยู่ในลำดับนี้ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

                    อาร์โรห์หวังชีวิตที่สงบสุข  มันเป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆที่ไม่อาจเป็นจริงสำหรับปีศาจ  อีกไม่นานเขาต้องเลือกและจะถูกจัดลำดับอีกครั้ง  ไม่ว่าจะเกลียดสักเท่าใด  เขาก็ยังคงต้องเข้าประลอง  ชีวิตอันสงบสุขนั้นห่างไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา  อาร์โรห์ไม่เคยสนใจลาภยศสรรเสริญ  ไม่สนใจผู้ที่รังเกียจตน  ใช้ชีวิตไปวันๆราวกับไม่ใช่ปีศาจ

                    “อาร์โรห์ !” เสียงเรียกทั้งกระหืดกระหอบเรียกให้นัยน์ตาสีรัตติกาลกลอกมองไปทางผู้มาใหม่

                    อินคิวบัสหนุ่มที่เป็นคนตั้งคำถามเมื่อครู่นั่นเอง ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อซึมขึ้นมาเล็กน้อย

               มีอะไร คาร์ล”  คนถูกเอ่ยชื่อปาดเหงื่อบนหน้าผาก เจ้าไม่น่าทำตัวแบบนั้นมันจะทำให้เจ้าถูกเกลียดเอานะทว่าคำตอบรับที่ได้กลับเป็นเพียงคำว่า งั้นหรอก่อนจะเริ่มเดินต่อ

                    คาร์ลเห็นดังนั้นจึงออกตัวเดินตามร่างที่สูงเพียงไหล่ของเขา หรือเจ้ายังไม่รู้ใจตัวเองกันล่ะ”  คำพูดนั้นทำให้อีกร่างชะงักกึก  คาร์ลหยุดลงข้างๆอีกฝ่าย “ใช่จริงๆสินะ” กล่าวก่อนจะยกมือขึ้นลูบเส้นไหมสีดำเงางามของ อาร์โรห์ “เอาอย่างนี้ไหม  คืนนี้เจ้าข้ามไปที่โลกมนุษย์กับข้า ลองดูซิว่าเจ้าจะถูกใจเหยื่อแบบไหน”

                    อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเบาแล้วเดินจากไป

                    “ก็เอาสิ”

                    คาร์ลยิ้มบาง  เป็นครั้งแรกที่เขาเดาอาร์โรห์ถูก  ปกติอาร์โรห์จะนิ่งเงียบจนเขาเดาไม่ออก  ทั้งยังไม่มีผู้ปกครองให้ปรึกษา  เขาจึงไม่เคยอ่านปีศาจที่อายุน้อยกว่าออกเลยสักครั้ง  เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานนี้เองว่าหากจะคุยกับอาร์โรห์  ต้องพยายามมองนัยน์ตา และใบหน้าของอีกฝ่าย  อย่าได้คลาดสายตา  เพราะหากมีปฏิกิริยาอะไรก็จะพลาดไปจนไม่สามารถสานต่อบทสนทนาได้

                    ณ  โลกมนุษย์  ท้องฟ้าถูกปูทับด้วยความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า  เป็นกลางดึกที่ดูจะเงียบสงัด  หากในตรอกไม่มีร่องรอยของการเปิดมิติที่ค่อยๆขยายขึ้นจนมากพอจะให้คนเดินออกมา  จากนั้นก็มีสิ่งที่ฉีกกฎแรงโน้มถ่วงทะยานออกมา  เสียงดัง ฟึบ’  ดังขึ้นพร้อมกับลมที่กรรโชคขึ้นในบริเวณเล็กๆนั้น  ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า  ก่อนหยุดนิ่งอยู่บนอากาศ

                    ร่างงดงามของบุรุษในชุดแนบเนื้อเสื้อดำกลืนไปกับเส้นผมยาวสลวยสีนิลและขนปีกสีดำสนิท  นัยน์ตาสีโอนิกส์ราวกับเรืองแสงเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์

                    งดงามสมเป็นปีศาจที่ราชาปีศาจสรรสร้าง

                    งดงาม...แต่กลับอันตราย

                    เงาสีดำได้คืบคลานเข้ามาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง

                    ภายในบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง  เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา  เขาฝันเห็นกองเลือดที่ส่งกลิ่นคาวเหม็นคลุ้ง  กับร่างสองร่างที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่ท่ามกลางกองเลือดนั้น

                    ริมฝีปากของเด็กหนุ่มสั่นระริก  นัยน์ตาสีโลหิตคลอน้ำตา  สองมือสั่นเทาอย่างหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้านี้

                    “ท...ท่านพ่อ  ท่านแม่...” สองขาก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ทรุดร่างลงกับพื้นก่อนจะกรีดร้องออกมา “ม่ายยยยยยย !!!

                    “ม่ายยยยยยย!!!...แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...” ดวงตาถูกเปิดขึ้นพร้อมลมหายใจที่ถี่กระชั้น  รู้สึกถึงความเปียกชื้นบนใบหน้าและร่างกายจนต้องยกมือขึ้นเช็ดออก  รู้สึกรำคาญเส้นผมสีน้ำตาลของตนเองที่ชื้นเหงื่อจนต้องเลื่อนมือขึ้นสูงกว่าเดิมเพื่อปัดมันออกให้พ้นจากใบหน้า  ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อพบร่างของใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงมองเขาด้วยดวงตาสีนิลกลมโต  เส้นผมสีเดียวกันถูกปล่อยให้สยายยาวลงมาถึงเอว  ใบหน้างดงามที่คล้ายคลึงสตรี  หากแต่ก็มองออกว่าเป็นบุรุษนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักด้วยความตกตะลึงกับความงามตรงหน้า

                    นัยน์ตาสีนิลหรี่ลง “ดวงตาต้องสาป ” ฝ่ามือเล็กถูกยื่นมาด้านหน้า  ลูบลงที่เปลือกตาของเด็กหนุ่มเจ้าของห้อง “เจ้ามีมันได้อย่างไรกัน ”

                    ดวงตาต้องสาป  ดวงตาที่ถูกสาปโดยราชาปีศาจ ทำให้มีสีแดงสดคล้ายโลหิต  มักเกิดในหมู่มนุษย์ที่เคยผ่านพ้นความตาย  มีพลังพิเศษแตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าบุคคลนั้นจะได้รับคำสาปจากราชาปีศาจองค์ใด

                    เดทฮีล  ราชาปีศาจผู้ครองนรก  ซาจีส  ราชาปีศาจผู้ควบคุมไฟ   ชาฮาล  ราชาปีศาจผู้ควบคุมความมืด และรีเชล  ราชาปีศาจผู้ควบคุมน้ำแข็ง

                    ชาฮาล  คือผู้สร้างอินคิวบัส และซัคคิวบัส  เป็นราชาปีศาจที่ทะนงตนมากที่สุดในราชาปีศาจทั้งสี่  เป็นราชาปีศาจองค์เดียวท่ามารถฉีกกฎของมิติได้

                    ซาจีส  ผู้มีความทะเยอทะยานมากที่สุด  เป็นผู้สร้างมังกร  เผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่าทะเยอทะยานที่สุด

                    รีเชล  ราชาปีศาจผู้ขึ้นชื่อว่าเย็นชาที่สุด  ผู้สร้างปีศาจใต้ท้องทะเลทั้งหมด

                    และสุดท้าย เดทฮีล  ผู้สร้างแวมไพร์  มนุษย์หมาป่า และโลกปีศาจ  ขึ้นชื่อในด้านความโหดเหี้ยม  และมีพลังแข็งแกร่งที่สุด

                    ราชาปีศาจทั้งสี่ล้วนมีใบหน้าที่งดงามอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ  มีเพียงเหล่าทวยเทพเท่านั้นที่จะสามารถนำมาเปรียบเทียบได้

                    ทั้งนี้ดวงตาต้องสาปที่ได้รับมาก็จะขึ้นอยู่กับว่าได้รับมาจากราชาปีศาจองค์ใด

                    เดทฮีล  มอบดวงตาต้องสาปที่มีพลังเวทกล้าแกร่ง  สามารถวิเคราะห์ และลอกเลียนแบบเวท  ก่อนจะนำไปใช้ในการต่อสู้  เป็นประเภทที่หาได้ยากที่สุด  มีเพียงหนึ่งในร้อยที่จะได้รับ

                    ซาจีส  มอบดวงตาต้องสาปที่สามารถควบคุมเพลิง  เป็นพลังทำลายล้างที่น่าหวาดกลัว และกินพื้นที่ในบริเวณกว้าง  เผาทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

                    ชาฮาล  ผู้มอบดวงตาแห่งการกลืนกิน  ดวงตาที่สามารถกลืนกินได้ทุกสิ่ง  ทำให้ทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่าได้ในพริบตา

                    และส่วนดวงตาที่รีเชลเป็นผู้มอบให้นั้นจะสามารถควบคุม  น้ำ  น้ำแข็ง  สายลม และสายฟ้าได้  แช่แข็งทุกสรรพสิ่ง  เผาทำลายให้วอดวาย  ซัดโถมด้วยความหนักหน่วง  นั่นคือนิยามสั้นๆที่ถูกใช้ในการบรรยาย

                    สิ่งเดียวที่เหมือนกันของดวงตาต้องสาปคือ  จะเปลี่ยนให้นัยน์ตาของผู้ถูกสาปมีสีแดงดั่งโลหิต  เมื่อใดที่มีสิ่งใดมากระทบต่อจิตใจ  ผู้ถูกสาปจะคุ้มคลั่ง  ไม่อาจควบคุมตนเองได้  เรียกร้องแต่การฆ่าฟันจนกว่าจะพอใจ

                    เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง  กำลังจะเอ่ยปาก  ทว่าก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้องของเขาโดยไม่ได้รับเชิญ

                    “แล้วเจ้าเล่า  เป็นใคร?”

                    คนแปลกหน้าเผยยิ้มที่เด็กหนุ่มขอลงความเห็นว่างดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา “ข้าน่ะหรือ ? ก็ปีศาจที่จะมาช่วงชิงความฝันของเจ้าอย่างไรเล่า”

                    เขาขอเปลี่ยนความคิดใหม่...นั่นมันรอยยิ้มปีศาจชัดๆ!

                    “แต่ว่านะ” คำกล่าวนั้นทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมามองปีศาจตรงหน้าอีกครั้ง “ข้าคิดว่าข้าไม่อยากได้ความฝันของเจ้าแล้วล่ะ” กล่าวจบก็ยันกายลุกขึ้นยืน “ข้ามีนามว่าอาร์โรห์  เลอร์จิล  ยินดีที่ได้รู้จัก  เดล  รีการ์ด”

                    เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ารู้ชื่อข้าได้อย่างไร  เจ้าปีศาจ”

                    อาร์โรห์คลี่ยิ้มงดงามน่าลุ่มหลง  นัยน์ตาสีนิลกาลจ้องมองนัยน์ตาสีชาดคู่นั้น  ราวกับจะอ่านแววตาของคู่สนทนา “ข้าคือปีศาจแห่งความฝัน  ข้าเห็นฝันของเจ้า และน้องสาวเจ้า  นางแนะนำตัวกับข้า  ทั้งยังแนะนำเจ้าด้วย  ความฝันของนางก็สมเป็นเด็กผู้หญิงดีนะ เดล ” ราวกับต้องการหยอกล้อ  อาร์โรห์ จึงได้เน้นย้ำนามอีกฝ่ายอีกครั้ง  นัยน์ตาสีรัตติกาลไหวระริกไปด้วยแววสนุกสนานที่ได้แกล้งเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ตรงหน้า  ที่ในตอนนี้อ้าปากค้าง

                    แม้อาร์โรห์จะไม่อาจอ่านความคิดของเดลได้  แต่จากสีหน้าก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาทั้งตระหนก และไม่อยากเชื่อถึงเพียงใด

                    ปีศาจแห่งความฝันอยากหัวเราะ  ทว่าเสียงตะโกนเรียกของคาร์ลก็ทำให้เขาต้องหันไปมองนอกหน้าต่าง  แม้จะยังไม่เห็นตัวเจ้าของเสียง  หากแต่อาร์โรห์รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายกำลังใกล้เข้ามา

                    “ข้าต้องไปแล้ว” ปีศาจกล่าวพลางหันกายกลับมา  ก่อนเผยยิ้มบางที่แลดูอ่อนโยนอย่างที่ไม่น่าจะมีปีศาจตนใดทำได้ “แต่คืนพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่  แล้วพบกัน  เดล  รีการ์ด” กล่าวจบเขาก็ปีนขึ้นกรอบหน้าต่าง  ก่อนสยายปีกสีดำสนิทของเขาจนส่งเสียงดัง ฟึบเป็นเหตุให้ขนปีกสีนิลร่วงลงมาสู่พื้นห้องหลายเส้น  มีเส้นหนึ่งที่ราวกับจงใจ  มันค่อยๆร่วงลงสู่ตักของเด็กหนุ่มที่จ้องมองปีกที่ถูกสยายออกนั้นตาไม่กระพริบด้วยความตกตะลึง

                    อาร์โรห์ยิ้มขันก่อนกระโดดออกไปทางหน้าต่าง  ปีกของเขาขยับเพียงครั้งเดียวก็ส่งให้เขาโจนทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าสีนิล  ที่แม้จะมืดสักเพียงใดก็ยังไม่อาจบดบังความงดงามของปีกคู่นั้นได้

                    เดลรู้สึกตัวก็เมื่อนั้นนั่นเอง  เขารีบลงจากเตียง  มือเผลอคว้าขนปีกบนตักติดมือมาโดยไม่รู้ตัวก่อนจะก้าวมาทางหน้าต่างที่ร่างของปีศาจเพิ่งจากไปเมื่อครู่  จากนั้นก็ตะโกนออกไปสุดเสียงด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ “ไม่ต้องกลับมาแล้ว!!!

                    ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า  แต่เดลคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของอาร์โรห์ลอยมาตามสายลม  ราวกับสนุกสนานหนักหนากับปฏิกิริยาของเขา

                    เด็กหนุ่มถอนหายใจพรืดอย่างไม่ใคร่ชอบใจนักก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นขนปีกสีนิลในมือ  ขนปีกนั้นงดงามเช่นเดียวกับเจ้าของ  แม้จะมีสีดำสนิท  แต่เมื่อกระทบแสงจันทร์กลับส่องประกายระยิบระยับน่าจับตา  เหมาะที่จะนำไปทำเป็นเครื่องประดับเสียนี่กระไร

                    และแล้วเดลก็ต้องชะงักกับความคิดนั้นของตนเอง  ก้มลงมองขนปีกที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นอีกกว่าสิบเส้น  ก่อนตัดสินใจเก็บขนปีกเหล่านั้น

                    นี่ก็ผ่านมาสามคืนแล้ว  อาร์โรห์ยังคงแวะเวียนมาหาเดลทุกคืน  แต่คืนนี้กลับเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งรอการมาของปีศาจ

                    อาร์โรห์เข้ามาทางหน้าต่างเช่นทุกคืน  หลังจากหุบปีกลงเขาก็ส่งยิ้มทักทายเจ้าของห้องเช่นเคย “น่าแปลกจริงที่วันนี้เจ้าเป็นฝ่ายนั่งรอข้า”

                    เดลทำเพียงเหลือบมอง “งั้นหรือ ?” กล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นตรงเข้ามาหาอาร์โรห์  ติดอะไรบางอย่างลงบนเสื้อของอีกฝ่าย  เมื่อถอยออกมา  อาร์โรห์ก็ก้มลงมองก่อนเลิกคิ้วโก่งสวยขึ้นด้วยความประหลาดใจ

                    “ข้าไม่อยากยอมรับหรอกนะว่าขนปีกของเจ้าทำให้ข้าหาเงินมาได้มากกว่าเมื่อก่อน” เด็กหนุ่มกล่าวเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “และเพื่อขอบคุณ  ข้าเลยคัดชิ้นที่ดีที่สุดมาให้เจ้า”

                    อาร์โรห์กระพริบตาอย่างงงงวยก่อนก้มลงมองเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้รับมาอย่างพินิจพิเคราะห์

                    สิ่งที่เด่นที่สุดในเครื่องประดับชิ้นนี้คือขนปีกสีดำที่สามารถส่องประกายระยิบระยับ  ด้านข้างเป็นขนปีกสีขาวเรียบๆประกบสองด้านของขนปีกสีดำ  ไล่ลงมาคืออัญมณีสีขาวสะอาดราวดูดซับแสงจันทร์เข้ามาไว้ในตัวของมัน  สุดท้ายคือลวดลายอ่อนช้อยที่มีสีทอง  ไม่อาจระบุได้ว่าใช้สิ่งใดมาเป็นวัสดุในการทำ  แต่เมื่อนำมาประกอบกันมันกลับแลดูเข้ากันและสวยงามอย่างน่าประหลาด

                    อาร์โรห์ยกมือขึ้นลูบเครื่องประดับชิ้นใหม่เบาๆ  สัมผัสได้ถึงพลังเวทบางเบาที่แผ่ออกจากอัญมณีสีขาวสะอาดตรงหน้า  เขารู้แทบจะในทันทีว่าอัญมณีเม็ดนี้ถูกบรรจุพลังเวทไว้  ทั้งยังดูดซับแสงจันทร์จนสามารถเปล่งแสงในแบบเดียวกับของดวงจันทร์ออกมาได้ตลอดเวลา  ไม่เช่นนั้นขนปีกของเขาคงไม่อาจเปล่งประกายงดงามได้เช่นนี้

                    คิ้วสีดำโก่งสวยถูกยกขึ้นเป็นการเลิกคิ้ว  ดวงตาสีนิลถูกกลอกขึ้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนเผยยิ้ม...

                    ...ยิ้มที่แตกต่างจากยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้เขครั้งแรก  ยิ้มที่ออกมาจากใจ...

                    “ขอบใจนะ  เดล”

                    เพียงแค่นั้นก็สามารถเรียกริ้วสีแดงให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม  อาจเพราะนอกจากน้องสาวแล้วเขาก็ไม่เคยได้รับคำขอบคุณใดๆจากผู้อื่นเลย  เพียงเพราะว่า...เขามีดวงตาต้องสาป...

                    “อ้าว  แล้วเจ้าจะหน้าแดงทำไมล่ะนั่น?” อาร์โรห์ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย  มุมปากค่อยๆถูกยกยิ้มขัน  อยู่ๆก็นึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                    เดลเบือนใบหน้าหนี  คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างไม่ใคร่จะชอบใจที่ถูกล้อเลียนโดยปีศาจตรงหน้า  แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงมีสีแดงจางๆปรากฏอยู่  ไม่ว่าจะด้วยความโกรธหรือความอายก็ตาม  มันก็ทำให้อาร์โรห์ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างขำขันกับท่าทีนั้นของเด็กหนุ่ม

                    คนถูกหัวเราะเหลือบดวงตามองปีศาจตรงหน้า  ทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่คล้ายจะข่มขู่ว่าให้เลิกหัวเราะเยาะเขาเสียที  ทว่าปฏิกิริยานั้นกลับยิ่งทำให้อาร์โรห์ขำมากกว่าเก่า  ปีศาจแห่งความฝันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไหว  เขาหัวเราะจนปวดท้องแต่นั่นก็ยังไม่อาจทำให้เขาหยุดเสียงหัวเราะของตนเองได้

    ผ่านมานานมากกว่าเขาจะสามารถหยุดตนเองไม่ให้หัวเราะไปมากกว่านี้  ไม่เช่นนั้นบางทีเขาอาจขาดใจตายเพราะการหัวเราะ...เป็นการตายที่ช่างน่าภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน...ซะที่ไหนล่ะ!

    อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางถอนหายใจเฮือก  ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำที่หางตา...ไม่เคยได้หัวเราะเต็มอิ่มขนาดนี้เลยจริงๆ  และบางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาหัวเราะต่อหน้าคนอื่น  เพราะเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเผ่าพันธุ์เดียวกัน  เขาก็มักจะนิ่งเงียบอยู่เสมอ  อีกทั้งอินคิวบัสซัคคิวบัสรุ่นเยาว์ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ย่างกรายออกนอกเขตแดนการปกครองของเผ่าพันธุ์  ด้วยเพราะอันตรายจากภายนอกที่ห้อมล้อม  อีกทั้งอัตราการเกิดของอินคิวบัสและซัคคิวบัสนั้นมีน้อยเสียจนไม่อาจเสียเด็กไปได้แม้แต่คนเดียว

    ส่วนในกรณีของเขานั้นต้องยกความดีความชอบให้แก่คาร์ล  ที่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนเขาจึงได้รับอนุญาตให้ออกมาจากเขตแดนได้

    เดลหย่อนก้นลงนั่งข้างๆอาร์โรห์  นัยน์ตาต้องสาปจ้องมองเสี้ยวหน้าของปีศาจที่เขาพอจะเรียกได้ว่าเพื่อนอย่างไม่วางตา  ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า  แต่รู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายดูแปลกๆอย่างไรชอบกล

    “หือ ? มีอะไรเหรอ ?” อาร์โรห์ที่เห็นเดลเอาแต่จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบหันมาถามยิ้มๆ

    “เจ้ามีเรื่องอะไรรึเปล่า ? วันนี้เจ้าดูแปลกๆ ไปอย่างไรชอบกล”

    หลังจากประโยคนั้นจบลง  รอยยิ้มของอาร์โรห์ก็ดูแข็งค้างจนไม่น่ามอง  สุดท้ายเจ้าตัวจึงหุบยิ้มลงก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา...สุดท้ายก็ปิดไม่มิด...

    “หลังจากนี้ข้าคงไม่ได้มาที่โลกมนุษย์อีก  จนกว่าพิธีมุลเลห์ *จะจบลง”    *พิธีมุลเลห์ คือพิธีฉลองพระจันทร์ในคืนที่สว่างที่สุดในช่วงต้นปี  ส่วนมากจะอยู่ในช่วงเดือนที่สองของปี *

    “ทำไมล่ะ  เกิดอะไรขึ้น?”

    ครั้งนี้อาร์โรห์ไม่ตอบดังที่แล้วๆมา  เขาทำเพียงเผยยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเหยียดหลังตรงเต็มความสูง  “พบกันครั้งหน้า  ข้าคงไม่ได้มาในสภาพเช่นนี้” กล่าวจบเขาก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง  กระพือปีกบินขึ้นสู่ฟากฟ้ายามราตรี

    เดลนิ่งไปด้วยยังตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ทัน  รู้ตัวอีกทีร่างของอาร์โรห์ก็หายไปเสียแล้ว

    “จะกลับแล้วหรือ ?” คาร์ลกล่าวถามเมื่อเห็นร่างของอาร์โรห์บินกลับมาที่จุดนัดพบก่อนเวลา  ต่างจากครั้งก่อนๆที่ต้องให้เขาไปตามเสียทุกครั้ง

    อาร์โรห์นิ่งเงียบไม่ตอบคำ  ทำเพียงเหลือบดวงตาสีนิลมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชาเช่นที่เคยทำกับผู้ร่วมเผ่าพันธุ์ตนอื่นๆ  จนทุกคนต่างพากันเขม่น และไม่ชอบขี้หน้าเขาขึ้นทุกที

    พวกเขารอจนทุกคนมากันจนครบ  มิติก็ถูกฉีกออกอีกครั้ง  ปีศาจแห่งความฝันเริ่มเข้าไปในรอยแยกมิตินั้นทีละตน จนเหลือเพียงอาร์โรห์กับคาร์ลเพียงสองตน

    อาร์โรห์อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองยังทิศที่บ้านของเดลตั้งอยู่  ในส่วนลึกของจิตใจอดคาดหวังไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะเห็นเขาเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งบ้างหรือเปล่า  อาจเพราะสิ่งที่ปกติอีกฝ่ายมักจะแสดงต่อเขามักจะเป็นสิ่งที่คล้ายความเกลียดชัง  อีกทั้งแม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยเรียกกันสักครั้ง  มีเพียงฝ่ายเขาที่เรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม  โดยหวังเพียงว่ามันจะช่วยลดช่องว่าระหว่างกันลงได้บ้างก็เท่านั้น

    เห็นได้ชัดว่า  แม้อาร์โรห์จะไม่เคยคบใครเป็นเพื่อน  แต่ในครั้งนี้เขาดูจะจริงจังกับการหาเพื่อนมนุษย์สักคน  ถึงแม้มนุษย์จะมีบางส่วนที่โหยหาการฆ่าฟัน  หากแต่ก็มีบางส่วนที่รักความสงบสุข  และเกลียดสงครามที่จะพรากคนที่ตนรักไป...จิตใจของมนุษย์นั้น...อ่อนแอ...แต่กระนั้น...ก็กลับอ่อนโยนและน่าหลงใหลสำหรับเขา

    “อาร์โรห์  ไปกันได้แล้วนะ” คาร์ลกล่าวเรียก  ทำให้อาร์โรห์หันกายกลับมาเดินเข้าสู่รอยแยกมิตินั้นโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีก

    คาร์ลเหลือบมองทิศทางที่อาร์โรห์มองไปด้วยสายตาว่างเปล่าที่แตกต่างจากเวลาปกติ  ก่อนหันกายก้าวเข้าสู่รอยแยกมิตินั้น

    เมื่อปราศจากผู้ฉีกกฎมิติเหลืออยู่  รอบด้านก็ราวกับจะบิดตัวเป็นเกลียว  บิดให้รอยแยกของมิติปิดสนิท  จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ค่ำคืนอันเงียบสงัดอีกครั้ง...

     

    วันเวลาที่ผ่านไปเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย  อาร์โรห์มองออกไปนอกหน้าต่าง...ผ่านมาสองอาทิตย์กว่าแล้วที่ไม่ได้ออกไปจากเมือง  เขารู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในกรง  ไร้อิสรเสรี  ยิ่งได้มองไปบนท้องฟ้าของโลกปีศาจที่มืดมิดอยู่ตลอดเวลาโดยไร้แสงดาวมันก็ยิ่งทำให้เขาคิดถึงโลกมนุษย์

    เขารักที่จะบินไปใต้แสงดาวนับล้านๆดวง  รับลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้า  ยิ่งบินสูงก็ยิ่งราวกับจะสามารถไปถึงดวงดาว  สามารถเอื้อมมือไปเก็บแสงดาวมาไว้ในมือ  แต่เมื่ออยู่ที่นี่  ไม่มีอะไรเลย  ไม่มีแม้กระทั่งความหวังที่จะได้มีชีวิตสงบสุข

    อาร์โรห์ถอนหายใจเฮือก...ทำไมมันช่างน่าเบื่อขนาดนี้นะ... อดไม่ได้ที่จะหยิบเอาเข็มกลัดขึ้นมามอง  อัญมณีที่แผ่แสงจันทร์ออกมาจางๆนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึงท้องฟ้าของโลกมนุษย์

    แต่จะว่าไป  ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้คิดเรื่องของตนเองเลย  แล้วสรุปว่าเขาควรจะเลือกเป็นอินคิวบัสหรือซัคคิวบัสดีนะ??

    หากเลือกเป็นซัคคิวบัส  เขาอาจเผลอทำอันตรายเดลโดยไม่รู้ตัว  แต่หากเลือกเป็นอินคิวบัส  เขาอาจไม่สามารถทำร้ายเดลได้ในรูปแบบพลังของอินคิวบัส  หากแต่เวทของเขาก็ยังสามารถทำร้ายอีกฝ่ายให้ถึงตาย...ไม่สิ  เดลมีดวงตาต้องสาป  อย่างมากก็เพียงบาดเจ็บ...ใช่  เขาต้องเชื่อในตัวเดล  และต้องเชื่อในพลังของเดลว่าจะสามารถหยุดเขาได้หากเขาขาดสติเผลอทำร้ายน้องสาวของอีกฝ่ายขึ้นมา

    ก๊อกๆๆ

    เสียงประตูไม้ที่ถูกเคาะทำให้อาร์โรห์ต้องหันไปมอง

    ที่บานประตูซึ่งถูกเปิดอ้าไว้ปรากฏร่างของอินคิวบัสหนุ่มตนหนึ่งซึ่งอาร์โรห์ไม่คุ้นหน้า  ทว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองมายังเขานั้นกลับเต็มไปด้วยแววรังเกียจ

    “เตรียมตัวได้แล้วเจ้าคนนอกคอก” เสียงที่อีกฝ่ายใช้กล่าวนั้นไม่แม้กระทั่งจะปิดบังอารมณ์ที่กรุ่นไปด้วยความโกรธ “เสร็จแล้วก็ไปที่วิหารชาฮาล  พิธีจะเริ่มแล้ว”  กล่าวจบอีกฝ่ายก็หันกายเดินจากไป  โดยที่ยังไม่วายพึมพำเบาๆ

    “เจ้าคาร์ลนั่นดันโยนชิ้นเนื้อที่น่ารังเกียจมาให้ข้าตามเสียได้”

    อาร์โรห์มองประตูที่กลับมาไร้ผู้คนอีกครั้ง...จริงสินะ  ความคิดของเขามันน่ารังเกียจในสายตาของปีศาจด้วยกัน  แต่สาเหตุที่เขาคิดเช่นนี้ก็เพียงเพราะว่าสงครามและการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์นั้น...พรากมารดาของเขาไป...

    ณ  วิหารชาฮาล

    อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองวิหารที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแร่ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งยิ่งกว่าเพชร  ตัววิหารมีลักษณะเป็นสีดำมันเงา  สูงเสียดฟ้า   ด้านหน้าวิหารปรากฏรูปปั้นของราชาปีศาจชาฮาลที่สร้างขึ้นจากแร่ชนิดเดียวกันกับตัววิหาร

    เขานิ่งยืนมองรูปปั้นนั้นครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปภายในตัววิหาร  ที่นั่นเขาได้พบกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกับเขาซึ่งมีอยู่เพียงไม่ถึงสิบตน  และทุกตนต่างก็มองมายังเขาด้วยสายตาที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม...เผลอๆอาจมีที่รู้สึกรังเกียจขึ้นมากกว่าเดิมปะปนอยู่ด้วย  ทว่าสำหรับอาร์โรห์ไม่ว่าจะเป็นสายตาเช่นไร  หากมาจากผู้ที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญมันก็ไม่อาจส่งผลกระทบใดๆต่อเขาได้

    “ข้าคิดว่าเท่านี้คงมากันพร้อมแล้วกระมัง” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในวิหารโล่งๆแห่งนี้  ก่อนที่จะปรากฏร่างร่างหนึ่งในชุดคลุมยาวสีดำ  ใบหน้าที่ดูจะกร้านโลกมามากทว่าก็ยังคงดูอ่อนเยาว์เช่นเดียวกับผู้ร่วมเผ่าพันธุ์ตนอื่นๆนั้นปรากฏรอยยิ้มบางเบาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ  นัยน์ตาสีเงินกลอกมองเหล่าผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอนาคตของเผ่าพันธุ์ทุกตนรอบหนึ่งจึงได้กล่าวต่อ

    “จากวันนี้ไปอีกสองวัน  พวกเจ้าทุกตนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่  และข้าขอย้ำว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามก้าวออกจากวิหาร  ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจรับประกันชีวิตของพวกเจ้าได้” กล่าวจบรอยยิ้มที่ไร้ความหมายในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเหี้ยมที่ทำให้ทุกๆคนในที่นั้นเย็นสันหลังวาบ  ทว่ารอยยิ้มนั้นก็กลับมาเป็นเช่นเดิมอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมาราวกับว่ารอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อครู่นั้นไม่เคยผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

    “เช่นนั้นก็ขอให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันตามสบาย  ระหว่างนั้นก็ตัดสินใจให้ได้ว่าพวกเจ้าจะเลือกอนาคตเช่นไร  เพราะหากเลือกแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก”  กล่าวจบอีกฝ่ายก็หายไป  ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน...

     

    ________________________________________________________
    จบไปสำหรับตอนแรกค่ะ
    แต่งเดวิลยังไม่จบก็มาเปิดเรื่องใหม่ แลดูหาเรื่องมาก ฮ่าๆๆ
    แต่ไม่ค้องห่วงค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เก่ากว่าเดวิลที่นั่งโด้สดเยอะเลย  เพราะงั้น
    เก่ากว่า = แต่งก่อน
    หมายความว่าเรื่องนี้แต่งก่อนแล้วไงล่ะ!
    สัญญาว่าจะไม่ทิ้งทั้งสองเรื่องไปไหนแน่นอนค่ะ  แต่บางครั้งก็ต้องขอเวลาทำใจ (เอ๊ะ?)
    ยังไงก็ฝากอินคิวบัสไว้ในอ้อมอกทุกท่านอีกเรื่องด้วยนะคะ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×