คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 คฤหาสน์ของเทวทูตปีกหัก
อินทุอรวางดอกลั่นทมตรงหน้าภาพถ่ายสีซีดจางหน้าสถูปของเพื่อนรักอย่างอาลัย
ท่ามกลางลมแล้งยามสาย ใบไม้แห้งเกลื่อนกลาด สถูปเก่าๆ สิบหลังตั้งเบียดเสียดกันในสุสานอันเงียบและวังเวง กระทั่งนกกายังไม่กล้าจับกลุ่มสร้างรัง เสียงสายลมลอดผ่านทิวไม้ไร้ใบละม้ายเสียงก่นเศร้าของดวงวิญญาณ
อินทุอรเหงาจับใจ เพื่อนรักผู้หลับใหลในสุสานแห่งนี้คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“ไม่ได้มาเยี่ยมเสียนาน ยุวพา เธอคงคิดถึงฉันแย่” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ กับสถูปตรงหน้า
เถ้ากระดูกในสถูปหลังนี้ คือเพื่อนรักคนหนึ่งของเธอ ภาพขาวดำซีดจางด้วยกาลเวลาซึ่งแปะอยู่หน้าเจดีย์เก่าๆ หลังเล็ก เป็นรูปถ่ายของสาวออฟฟิศร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์
“ฉันมีข่าวดีจะมาบอก เธอต้องชอบแน่ๆ” ใบหน้าขาวปานหิมะของอินทุอรโดดเด่น ท่ามกลางความแห้งแล้งไร้ชีวิตของสถานที่ หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวพลิ้วไหว แสงตะวันอ่อนยามสายทำให้รอยกายของเธอขับละอองรัศมีบางเบา มองคล้ายเทพธิดามานั่งปลดปลงอารมณ์ลำพังกับดวงวิญญาณ “จำได้ไหมว่าฉันมีแฟนเพลงลึกลับคนหนึ่ง คนที่เธอเคยเรียกเขาว่า คุณกุหลาบขาว โอ...เพื่อนรัก ตอนนี้เขากำลังจะตาย” ลมพัดมาวูบหนึ่งเสมือนได้ยินเสียงหัวเราะของเหล่าวิญญาณรอบกาย
ดวงตาของอินทุอรเปล่งประกายวูบวาบนึกถึงเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมา คำเชื้อเชิญของชายชรามีอำนาจเหนือหญิงสาว เขาเล่าถึงความหลงใหลที่เศรษฐีมีต่อบทเพลงของเธอ ใครคนนั้นชอบแววตาของอินทุอรที่เต้นระบำได้ตามจังหวะดนตรี เขารักท่วงท่าที่นิ้วเรียวยาวพรมไปตามเส้นสาย และคลั่งไคล้ท่วงทำนองของเสียงเพลงที่บีบเค้นและบาดลึกจนอยากหยุดลมหายใจ อินทุอรเคยปรารถนาจะพบเพื่อตอบแทนเขาสักครั้ง...และวันนี้เธอได้โอกาสนั้นแล้ว
“เขาคงจะเป็นชายชราที่น่าสงสาร เป็นเศรษฐีไร้ญาติ และกำลังตายบนกองเงินกองทอง โดยไม่มีลูกหลานนั่งจับมือ...” หรือบางทีอาจจะสาสมแล้ว ตอนยังหนุ่มเขาอาจจะเย็นชืด ไม่เห็นค่าคนรอบกาย สุดท้ายจึงไม่มีใครร่วมฟูมฟายข้างเตียงสักคน “เขาจ้างฉันด้วยเงินสามแสน...และยังยินดีให้มากกว่านั้น ถ้านั่นทำให้เขาได้ยินเสียงเพลงของฉันก่อนตาย...โธ่ เพื่อนรัก ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน”
อินทุอรถอนหายใจ เสียงปรบมือจากคนนับหมื่นคงไร้ค่า หากปล่อยให้ใครคนเดียวหมดสิ้นความสุข เพราะไม่ได้ฟังเสียงเพลงของเธอ
เศรษฐีอนาถาเหลือห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเพียงหนึ่งเดือน จึงปรารถนาให้อินทุอรเล่นไวโอลินทุกเช้า-ค่ำและก่อนเข้านอน เพื่อขับกล่อมร่างของเขาที่จวนเจียนจะสิ้นลมหายใจ
“นี่ก็ได้เวลาแล้ว สักพักจะมีรถลีมูซีนคันหรูมารับ อวยพรให้ด้วยนะเพื่อนรัก แล้วฉันจะกลับมาเยี่ยมเธออีก” ตะวันยามสายลอยอ้อยอิ่ง หญิงสาวลุกขึ้นยืน ทิ้งเพียงดอกลั่นทมสีขาวนวลไว้หน้ารูปภาพสีซีดจาง
อาจเป็นเพราะสายลมวูบหนึ่งที่พัดมา ทำให้ต้นไม้ไหวเอน เสียงใบไม้ร่วงเกรียวกราว ละม้ายเสียงกระซิบฉุดรั้ง ลั่นทมที่อินทุอรวางไว้ ปลิวคว้างแล้วร่วงหล่นลงตรงหน้าสถูปเจดีย์เก่าแก่สีขาวที่ตั้งข้างกัน หญิงสาวก้มเก็บลั่นทม สายตาสะดุดกับภาพถ่ายขาวดำของสตรีงามสง่าหน้าสถูปหลังหนึ่งซึ่งเธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง
โอ...ไม่เคยพบหญิงสาวที่สวยประหลาดแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
อินทุอรอุทานในใจ หญิงในภาพถ่ายสวมชุดสีดำยาวกรอมเท้า เผยทรวดทรงของร่างแบบบางปานจะปลิวคว้างเพียงลมต้องผ่าน เธอนั่งบนเก้าอี้ไม้โยก มีฉากหลังเป็นฝ้าบุผนังลวดลายเถาไม้แบบที่นิยมในบ้านเก่าแก่ยุคก่อน
หญิงสาวในภาพทำให้นึกใจหาย เธอทั้งเปราะบางละม้ายตุ๊กตาแก้วซึ่งเต็มไปด้วยรอยร้าว อาจแหลกสลายได้ เพียงแค่จับต้องเบาๆ ดูที่ดวงตาสิ ช่างหม่นเศร้าเป็นสีหมอก ราวกับมองเห็นแต่ฤดูมรสุมอันมืดมัวชั่วชีวิต เป็นดั่งดอกกุหลาบสีซีดไร้หนาม ซ่อนตัวในพงพุ่มไม้อย่างหวาดกลัว
เป็นความงามอันน่าสลดหดหู่เหลือเกิน กระทั่งสถูปของเธอยังไม่ปรากฏชื่อ ไม่มีวันเดือนปีเกิด ไร้วันที่มรณะ
อาจเป็นเพราะอุปาทาน อินทุอรรู้สึกเสมือนว่าความเจ็บปวด ความทรมานจากดวงตาสีหมอกของสตรีในภาพถ่ายกำลังซึมลึกลงไปในเนื้อหัวใจ สลักเป็นรอยย้ำให้รู้สึกปวดร้อนเหลือเกิน!
รถลีมูซีนสีดำเคลื่อนผ่านซุ้มเหล็กดัดทะมึน รูปสลักเทวทูตกางปีกยืนตระหง่านต้อนรับอยู่บนเสาหินทั้งสองข้าง
บานประตูรั้วเปิดออกเป็นสองข้าง สีดำของเหล็กดัดเป็นลวดลายนกไนติงเกลตัวกระจ้อยกำลังโอบกอดเถากุหลาบหนามคม อินทุอรเบิกตามองออกไปด้านนอก แมกไม้ครึ้มแกว่งกวัดใบทาบเงาลงบนกระจกรถ ตลอดสองข้างทาง มีซากปรักหักพังของเหล่าเทวทูตจากสวนสวรรค์ยืนต้อนรับเรียงราย บ้างบรรเลงไวโอลินเคลิ้มฝัน บ้างคลอขลุ่ยปิโกโร่พลางเหม่อลอย บ้างโอบกอดพิณฮาร์ปแล้วยิ้มหวาน ตะไคร่น้ำจับเกาะตามรูปสลัก คราบสีดำปรากฏตรงร่องแก้มของนางฟ้า มองเผินๆ คลับคล้ายเหล่าเทวทูตกำลังร่ำไห้
หญิงสาวแหงนหน้ามองฟ้าขมุกขมัว สถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนที่ถูกลืม แม้กระทั่งดวงตะวันยังเร่รบหลังเงาเมฆ คฤหาสน์หลังนี้อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เป็นดินแดนลับแลท่ามกลางพื้นที่มหาศาลซึ่งรกร้าง ไร้บ้านเรือน ไม่มีผู้คนสัญจร และปราศจากสัญญาณการติดต่อใดๆ
อินทุอรชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตากลมใสของเด็กชายคนหนึ่ง เขายืนแอบอยู่ตรงแนวรั้วเหล็กดัด ใบหน้ามอมแมม เสื้อผ้าหมองหม่นจนดูไม่ออกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสีอะไร เด็กชายเฝ้ามองอยู่นานแล้ววิ่งหายลับไป
“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์เทวทูตครับ” เสียงแหบพร่าของคนขับรถทำให้อินทุอรหลุดจากภวังค์สงสัย เขาคือชายชราลึกลับผู้ขอให้เธอมาที่นี่ “นายท่านเคยไปเยือนเวนิส และหลงรักรูปสลักเหล่านี้ จึงสั่งทำเสียเต็มอุทยาน แต่กลับไม่มีเวลาดูแลรักษา ที่นี่จึงกลายเป็นสุสานของเหล่าเทวทูตในที่สุด” ดวงตาสีเหล็กของเขาฉายความเย็นชาจนขนลุก
อินทุอรก้าวลงจากรถเมื่อชายชราเปิดประตูให้ หญิงสาวเดินมาหยุดยืนหน้าบ่อน้ำพุร้างหน้าบันไดหินอ่อนทางเข้าคฤหาสน์ ซึ่งบัดนี้ถูกเถาไม้เลาะเลื้อยยึดครองเป็นที่อยู่อาศัยเสียแล้ว ร่องรอยของความรุ่งโรจน์แห่งอดีตหลบเร้นในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหินปูทางเดินที่เขียนลายประณีต โคมไฟเหล็กดัด กระจกสีตามมุกประตูหน้าต่าง หรือ รูปเสลาสลักของเหล่าเทวทูตสีเทาที่อิงแอบอยู่ทั่วทุกมุม
“ที่นี่คือบ้านของท่านเศรษฐีจริงๆ หรือคะ” อินทุอรไม่แน่ใจนัก ที่นี่ดูละม้ายปราสาทร้างมากกว่าจะเป็นที่พำนักอาศัย เธอเหยียบเท้าไปตามพื้นซึ่งเกลื่อนกลาดด้วยเศษใบไม้แห้ง ความเงียบกลืนกินทุกสรรพสิ่งจนขนลุกชูชัน
“ใครๆ คิดว่าเขาวิกลจริต เขาชอบเรียกตัวเองว่า เศรษฐีผู้มีหัวใจที่แตกสลาย เอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยร่อยรอยอดีต ไม่พบปะเสวนากับใคร ไม่มีสังคม รายการโทรทัศน์เดียวที่ดูก็คือรายการบรรเลงเพลงคลาสสิค รายชื่อคนเดียวในโลกที่พูดด้วยในเวลานี้คือผม แต่อีกไม่กี่นาทีต่อไป มันจะมีรายชื่อของคุณปรากฏด้วย” ชายชรานิรนามเหลียวมาบอกอินทุอร ดวงตาสีเหล็กของเขาเย็นชาไม่ต่างจากดวงตาของเหล่ารูปสลักไร้ชีวิตที่มีอยู่ทั่วคฤหาสน์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาดูต่างจากรูปปั้นก็คือร่องรอยความหม่นหมองซึ่งซ่อนเร้น
“คุณเป็นญาติกับเขาหรือคะ ?” หญิงสาวแอบมองริ้วรอยเหี่ยวย่นและผมสีขาวแซมเทาเรียบแปล้ของอีกฝ่าย เขาแต่งตัวด้วยชุดสูทประณีตสีเทา รองเท้าหนังสีดำเป็นมันวาวเสียจนสะท้อนเห็นเมฆรูปทรงพิลึกพิลั่นในยามนี้
“ผมเป็นคนรับใช้ไร้นามผู้ซื่อสัตย์ต่างหากล่ะ” เขาเหลียวมายิ้มให้เธอเป็นครั้งแรก ขณะยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของอินทุอรลงจากรถ อาจจะเป็นเพราะแสงรำไรของตะวันอ่อนที่เล็ดลอดมาสาดแสงรอบกาย ทำให้เธอรู้สึกว่าดวงตาของชายชราอ่อนโยนลง ชวนให้นึกถึงผู้เฒ่าใจดีที่ยังแข็งแรง
อินทุอรลากกระเป๋าและแบกสัมภาระของตัวเองขึ้นบันไดเข้าคฤหาสน์ พลางแหงนมองความยิ่งใหญ่ทะมึนของเคหะสถานที่ยืนข่ม แสงตะวันกระทบจิตรกรรมบนกระจกสีจากหน้าต่างส่องสะท้อนลวดลายตำนานปรัมปราชวนพิศวง คฤหาสน์หลังนี้สร้างด้วยอิฐและปูนทาสีเขียวหม่นทั้งหลัง ประดับด้วยแผ่นไม้ฉลุลวดลายเถาวัลย์ตามแนวชายคาและระเบียงด้วยศิลปะประณีตบรรจงของตะวันออก สอดรับกับประติมากรรมปูนปั้นอันละเอียดอ่อนของตะวันตกตามขอบคิ้วประตูหน้าต่าง ก่อเป็นสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส[1] อันสง่างาม
เพียงชั่ววินาทีที่ยืนประจันหน้ากับคฤหาสน์ อินทุอรรู้สึกประหนึ่งอยู่ต่อหน้าความยิ่งใหญ่ที่กดเธอให้ต่ำต้อย ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้อง คลับคล้ายเห็นคราบเลือดและรอยน้ำตาอาบไล้ไปตามเนื้อไม้ผุกร่อน ดุจกับมีดวงตาเข้มงวดจ้องมองเธอจากทุกมุม
รองเท้าส้นสูงของหญิงสาวกระทบก้องไปตามพื้นกระเบื้องเมื่อเดินเข้ามาในห้องโถง รู้สึกเย็นเฉียบและอับชื้น ราวกับเดินภายในถ้ำ ดูเหมือนแสงที่ลอดจากประตูไม้สลักบานใหญ่จะเป็นแสงสว่างหลักให้พอมองเห็นภายใน
ปัง!
ประตูปิดกระทบกันสนิทแนบแน่น คล้ายเสียงผนึกโลงศพที่ก้องกังวาน กลิ่นเลือดและคาวความตายโชยมา
ด้านหน้าของอินทุอรคือบันไดที่โค้งตัวจากระเบียงเหล็กดัดสีขาวด้านซ้ายและขวาของห้องโถง มาประจันหน้ากันที่กึ่งกลางของห้อง หญิงสาวแหงนหน้ามองเหนือเพดาน เห็นโซ่ใหญ่กว่าตัวเธอสี่เส้นขึงโคมไฟเหล็กหล่อสีดำทะมึนให้ลอยสูงเหนือศีรษะ ดวงตาของเจ้าแมงมุมที่ทอหยากไย่เกาะตามแนวโซ่ส่องประกายวับแวมจ้องมา
เครื่องเรือนต่างๆ ภายในห้องนี้ล้วนเป็นของเก่าแก่รูปทรงคร่ำครึและหายาก ทั้งเปียโนไม้หลังใหญ่ โต๊ะอาหารตัวยาวสิบแปดที่นั่ง พรมสีแดงเลือดนกฟุ้งฝุ่น เชิงเทียนเหล็กสีดำขึงขังขนาดยักษ์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับถูกฉาบทาด้วยละอองฝุ่นหนาเตอะ ละม้ายเป็นเพียงเศษซากของอดีตที่กำลังหลับใหล
“เชิญทางนี้ครับคุณผู้หญิง” ชายชราผู้รับใช้ค้อมตัวอย่างมีพิธีรีตอง เขานำเธอขึ้นบันไดปูพรม เดินไปตามแนวโถงทางเดินเงียบเชียบ ซึ่งมีโคมไฟแอบตามซอกเสาเป็นระยะคอยให้แสงสลัว เสียงบรรเลงไวโอลินดังมาแผ่วๆ จากหลังประตูไม้โอ๊คสีเขียวเข้ม
“นายท่านรอคุณอยู่ในห้องนี้แล้ว เชิญครับ” ชายชราก้าวถอยหลังเพื่อหลีกทางให้หญิงสาวเข้าไปก่อน อินทุอรแตะบานประตูให้เปิดออกอย่างเบามือ กลิ่นหอมเย็นๆ และเสียงเพลงรักล่องลอยออกมา
“คุณไม่เข้าไปด้วยกันหรือคะ ?” ดวงตากลมใสเหลียวถามเขา ชั่ววูบนั้นสองสายตาประสานกัน ชายชรานิรนามชะงักงันครู่หนึ่ง ริมฝีปากชองเขาขยับคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วกลับเก็บงำ เขาค้อมศีรษะลงต่ำหลบสายตาเร้นตัวในเงาสลัว แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ผมจะนำสัมภาระไปไว้ในห้องพักให้คุณ แล้วจัดเตรียมมื้อเย็นของวันนี้ นายท่านจะต้อนรับคุณเอง” เขาทำท่าจะเดินจากไปแต่อินทุอรฉุดรั้ง
“จะไม่กรุณาบอกชื่อของคุณให้ฉันทราบหน่อยหรือคะ”
“ผมเป็นบุคคลไร้นาม” เขายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มแค่เพียงริมฝีปาก แต่ดวงตากลับเย็นชืดไร้ความรู้สึกจนยากจะคาดเดาอารมณ์ หญิงสาวไม่ทันถามอะไรเพิ่มเติม ชายชราก็ค้อมตัวแล้วเดินหันหลังหายลับไปในเงามืดเสียแล้ว
อินทุอรหวังจะได้พบชายชราผู้นอนอ่อนแรงบนเตียง เฝ้ามองแสงขมุกขมัวจากฝ้ากระจกอย่างหงอยเหงา
แต่เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามา กลิ่นกุหลาบขาวเจือจางล่องมาปะทะจมูก และเสียงเพลงแสนหวานเฉกเช่นคำกระซิบบอกรักอ่อนโยนจับตรึงโสตประสาทของเธอให้นิ่งงัน
ภายในเป็นห้องนั่งเล่นขนาดกว้างขวาง ม่านขาวโปร่งบางโอบล้อมทั้งห้องไว้ประหนึ่งเป็นแดนวิมานท่ามกลางกลุ่มเมฆขาว ช่อแจกันประดับดอกกุหลาบขาวแอบเร้นอยู่ตามมุมห้อง ดุจดังเจ้าหญิงที่หลบซ่อนตัวอย่างเอียงอาย ตรงกลางห้องมีเก้าอี้นอนตัวยาวสีหิมะตั้งอยู่ ใต้โคมไฟคริสตัลซึ่งระย้าย้อยอยู่เหนือเพดาน
เธอปราดมองหนังสือสองสามเล่มบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเก้าอี้นอน เป็นตำราหลากหลายภาษา ทั้งตำนานปรัมปราภาษาอังกฤษ เรื่องราวของรถจากเยอรมัน ประวัติศิลปินแห่งแดนดินอิตาลี และสถานที่ท่องเที่ยวในสเปน บ่งบอกว่าเจ้าของห้องแตกฉานความรู้หลากหลายด้าน
อินทุอรค้นพบว่า ‘เขา’ ไม่ได้แก่ชราอย่างที่คิด เมื่อดวงตางามแลเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางม่านสีขาวราวกลุ่มหมอก เส้นผมของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ นัยน์ตาเป็นสีสีน้ำตาลอ่อนละมุนซึ่งฉายประกายล้ำลึก
“คุณคือ คุณเทวกร เจ้าของกุหลาบสีขาว ยินดีที่เห็นว่าคุณดูแข็งแรงดีค่ะ ฉันชื่ออินทุอร” หญิงสาวแนะนำตัวอย่างฉะฉาน ไม่อาจละสายตาจากชายตรงหน้าได้เลยแม้เพียงเสี้ยววินาที เสมือนมีมนต์ขลังฉุดรั้งสายตาเธอไว้ ใบหน้าชายหนุ่มคมสัน เสลาสลักปานรูปสลักหินอ่อนของมิเกลันเจโล แลดูสง่างามประหนึ่งเจ้าชายผู้เดินออกมาจากเทพนิยายของแอนเดอร์สัน
“อินทุอร...ผมรู้จักคุณฝ่ายเดียวมาตลอด ขอโทษที่ต้อนรับคุณในห้องแคบๆ นี้” ริมฝีปากบางเฉียบของเขาเปี่ยมรอยยิ้มอ่อนเยาว์อย่างคนอารมณ์ดี “ผมเป็นเศรษฐีตกอับ ไม่มีเงินจะจ้างคนงานหรือแม่บ้านมาทำความสะอาดคฤหาสน์ตกทอดของบรรพบุรุษ มันอาจจะดูทรุดโทรมบ้าง แต่ผมก็ชอบมันนะ”
เขาพูดไปยิ้มไป สองมือกุลีกุจอรินน้ำเปล่าจากเหยือกแก้วส่งให้ แล้วเชิญเธอนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวสะอาด อินทุอรไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริงหรือเล่นมุกตลก เธอกำลังนิ่งงันปานถูกสาป เมื่อประจันหน้ากับชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมดุจเจ้าชายในภาพวาด ทุกอิริยาบถของเขาแฝงด้วยความอ่อนโยน ทั้งยามเดิน ยามนั่ง และยามยิ้ม แม้กระทั่ง ยามรินน้ำ มือเรียวแบบศิลปินคู่นั้นจะประคองแก้วอย่างทะนุถนอม ราวกับกังวลว่าแก้วบอบบางจะแตกช้ำเอาได้
ดวงตาของเขาเปี่ยมเสน่ห์ อ่อนโยนและสว่างไสว แต่ชั่วขณะกลับดูดำมืดและลึกลับยากหยั่งถึง เธอรู้เพียงว่าเขาชื่อ เทวกร เป็นเศรษฐีหนุ่มที่สืบเชื้อสายจากตระกูลคหบดีเก่าแก่ ไม่ได้มีบทบาทให้เห็นตามหน้าข่าวเท่าใด เขาครอบครองคฤหาสน์หลังงามบนที่ดินมหาศาล เก็บตัวอย่างเงียบงันหลุดพ้นจากสังคมชั้นสูง เพื่อนๆ หลายคนทัดทานไม่ให้เธอรับงานจากบุคคลที่มีประวัติเป็นปริศนาเช่นนี้ แต่อินทุอรไม่สนใจ คิดแต่เพียงว่า นักดนตรีมีหน้าที่ให้ความสุข และหญิงสาวไม่ควรปล่อยให้ใครก็ตามที่ปรารถนาจะฟังเสียงเพลงของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายต้องผิดหวัง
โดยเฉพาะถ้าใครคนนั้นคือเขา...เศรษฐีหนุ่มผู้สันโดษ
“อินทุอร ตอนผมอยู่ที่อังกฤษ ผมเห็นคุณครั้งแรกในจอโทรทัศน์ เป็นเด็กหญิงมหัศจรรย์ที่ใช้ผ้าดำคาดปิดตา แล้วเล่นไวโอลินได้จับใจคนดูทั้งฮอลล์” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้มละมุน อินอุทรไม่เคยเห็นผู้ชายคนใดในโลกที่มีรอยยิ้มอ่อนนุ่มถึงเพียงนี้
“นั่นมันสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นฉันอายุสิบสี่ขวบ” อินทุอรรำพึง ดวงตาของเธอจับใบหน้ามีชีวิตชีวาของเขา ในคฤหาสน์มืดหมองเสมือนดินแดนแห่งอนธการหนาวเหน็บ มีเขาเพียงคนเดียวที่เป็นดังดวงตะวันของที่นี่
“เมื่อเห็นคุณครั้งแรก ผมบอกกับตัวเองว่าจะต้องหาทางพบคุณให้ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่นักดนตรีเนื้อหอมกลับไม่เคยว่างเลย” เสียงของเขาเศร้าลง และใบหน้าที่อ่อนโยนเฉกเช่นตะวันยามเช้าก็หม่นหมอง หัวใจของเธอหล่นวูบ
“แต่ตอนนี้ฉันยืนต่อหน้าคุณแล้ว” หญิงสาวยิ้มปลอบโยน เฝ้ามองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนประดุจลูกวอลนัท เห็นวี่แววของความสุขแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของเขา
“มันคือความฝันที่วิเศษที่สุด คุณคือนางฟ้าท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ในหน้าจอโทรทัศน์ แต่เวลานี้คุณเหมือนความฝัน” เสียงของเขาขรึมลง ดวงตาที่สดใสกลับฉายความเย็นเยือกและยากคาดเดา “คุณชอบไวโอลินที่ผมมอบให้ไหม ?”
“มันคงมีจิตวิญญาณฝังอยู่ มันเข้ากับฉันได้ดีเหมือนเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาแสนนาน”
“ผมดีใจที่คุณชอบ” เขาหัวเราะ ดวงตาแพรวพราว อินทุอรนึกสงสัยว่าชายผู้นี้มีอายุเท่าไหร่กัน รอยยิ้มของเขาในบางขณะดูไร้เดียงสา ละม้ายหนุ่มน้อยวัยเยาว์ แต่บางครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลับเปล่งประกายล้ำลึกจนยากหยั่งถึง มีริ้วรอยบางอย่างในนัยน์ตาคล้ายว่าผ่านวันเวลามากว่าชั่วอายุคน
“คุณไม่เหมือนคนที่กำลังป่วยหนักเลยนะคะ”
เขาดูเปี่ยมชีวิต ดวงตาแวววาวเต็มไปด้วยความฝันมากมาย ไม่เหมือนคนที่กำลังเดินมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อนึกถึงคำครหาที่ว่าเขาวิกลจริต อินทุอรกลับสลดใจ มันช่างเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายกาจเกินจริง เขาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาเท่านั้นเอง
“คนรับใช้บอกว่าคุณอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”
เศรษฐีชะงักไปกับคำพูดของอินทุอร เขาไม่ได้ตอบอะไรเธอนอกจากยิ้ม...ยิ้มอย่างไร้ความหมาย ยิ้มที่เธอมองเห็นร่องรอยวูบไหวของความบอบช้ำซ่อนอยู่
[1] ชิโนโปรตุกีส (Sino-Portuguese) คือ รูปแบบของสถาปัตยกรรมในยุคสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตก ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกและตะวันตก สามารถพบเห็นในประเทศแถบแหลมมลายู สำหรับในประเทศไทย พบได้ใน จ.ปัตตานี ภูเก็ต เป็นต้น
ความคิดเห็น