ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #113 : Have Yourself A Merry Little Christmas

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 67


    Have Yourself A Merry Little Christmas
    Inspiration: P2 (Film, 2007)
    Playlist: Naniwa Danshi – Poppin' Hoppin' Lovin'












    .

    ฮานะ คาฮานากล้าพนันเลยว่าประชากรเกินกว่าครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องยกให้วันที่ยี่สิบห้าธันวาคมของทุกปีเป็นเทศกาลแห่งความสุข หากปีนี้ฮานะต้องขอยกให้เป็น วันแห่งความทุกข์เฉพาะกิจ ขนาดที่ตัวเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเผชิญเคราะห์ซ้ำกรรมซัดได้มากขนาดนี้!

    เริ่มจากการอยู่ทำงานที่คั่งค้างต่ออีกนิดหน่อยล่วงเวลา ซึ่งก็สามารถเคลียร์งานได้หมดจดไปแล้วตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ก่อนค่อยเตรียมตัวเก็บข้าวของแล้วหิ้วท้องไปกินพอร์เช็ตต้า (แสนอร่อย) กับเค้กคริสต์มาส (จัดหนักจัดเต็มสตรอว์เบอร์รี่ของโปรด) ฝีมือคุณแม่ครัวหัวป่าก์คนเก่งซะให้เต็มคราบ แต่พอได้เห็นหญิงสาวเจ้าของโต๊ะถัดไปข้างหน้าสองแถวนั่งตัวสั่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ลองเขม้นมองดูก็แทบจะอ่านที่เจ้าหล่อนพิมพ์ไม่รู้เรื่องเลยสักประโยค เช่นเดียวกับที่เมื่อลองเงี่ยหูฟังก็จะได้ยินเสียงกระซิกๆ ฮานะจึงอดสงสารแล้วปรี่เข้าไปถามไถ่ไม่ได้ คำพูดของเจ้าหล่อนจับใจความได้ยากพอๆ กับตัวอักษรบนหน้าจอเพราะแรงสะอื้น ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆ ถึงรู้ว่าหล่อนมีเดตกับชายคนรักในคืนวันคริสต์มาส แต่หัวหน้ากลับกระหน่ำโอทีเข้ามาให้หล่อนโดยไม่สนใจฟังคำทัดทาน และตอนนี้ชีวิตของหล่อนก็กำลังหมิ่นเหม่อยู่ระหว่างการถูกแฟนทิ้งหรือถูกบริษัทเขี่ยทิ้ง ไม่ว่าทางไหนก็เลวร้ายพอกัน ฮานะจึงไม่ลังเลที่จะรับงานกองพะเนินของสาวอายุน้อยกว่ามาทำแทน ในเมื่อถึงต่อให้เป็นคืนเทศกาลแสนพิเศษ สิ่งที่พิเศษสำหรับเธอก็เห็นจะมีแต่มื้ออาหารอลังการกว่าธรรมดา ธรรมเนียมการแลกของขวัญที่ก็ไม่ได้หวือหวาอะไร และการได้เจอหน้าพี่สาวกับหลานสาวตัวน้อยเท่านั้น อีกประการหนึ่งที่สำคัญกว่าคือเอริก้าเองก็เคยให้ความช่วยเหลือเธอที่เข้าทำงานทีหลังทั้งในแบบรูปธรรมและนามธรรมมาแล้วตั้งมาก การช่วยกอบกู้ความรักให้หล่อนแค่นี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แม้เอริก้าที่พร่ำคำขอบคุณไม่หยุดปากจะไม่คิดเช่นนั้นก็ตาม

    เมื่อไหร่ที่มีใครลุกขึ้นเก็บข้าวของและตะโกนบอกกล่าวแก่ชาวโอทีในแผนกว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาส!” ฮานะก็จะลุกขึ้นตอบกลับด้วยประโยคเดียวกันพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้อย่างเริงร่า กว่าที่จะทันได้รู้สึกตัวว่าความเงียบงันเข้าครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งแผนกอย่างหมดจด ก็คือตอนที่เธอพิมพ์งานบรรทัดสุดท้ายจนเสร็จเรียบร้อย เอนหลังยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจไปมา ก่อนลุกขึ้นหันมองรอบตัวให้เป็นอันต้องงุนงงเพียงเท่านั้น

    เวลาที่ปรากฏอยู่มุมล่างบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะปิดเครื่องไปแสดงให้เห็นว่าเธอสายจากนัดตอนหนึ่งทุ่มครึ่งมากว่าสองชั่วโมงแล้ว น่าประทับใจดีที่คนในบ้านไม่มีใครกริ๊งกร๊างมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบให้ได้ชื่นใจเลยสักคน อาจเพราะว่าทั้งพ่อ แม่ และพี่สาวต่างก็อยากให้เธอมีเดตในคืนวันคริสต์มาสหลังครองตัวเป็นโสดมานานกว่าสี่ปีจะแย่อยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องมาทำตัวเป็นยัยเด็กทึนทึก คอยกินอาหารฉลองเทศกาลอย่างตะกละตะกลาม พล่ามบ่นเรื่องคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ไคลแมกซ์ตลอดสามปีที่ผ่านมาก็หนีไม่พ้นแฟนเก่าเฮงซวยของพี่สาวที่ทิ้งไปมีเมียใหม่อย่างน่ารำคาญใจสิ้นดี

    แต่ดูเหมือนแค่นั้นคงยังไม่หนำใจ เธอถึงได้ต้องบังเอิญมาติดแหง็กอยู่ในลิฟต์กับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าสุดๆ อย่างอีตาชุนสุเกะ มิจิเอดะ ลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัทอย่างช่วยไม่ได้

    เป็นความผิดของเธอเองที่พอประตูลิฟต์เปิดปุ๊บก็จะเดินดุ่มเข้าไปโดยไม่ได้สนใจมองรอบด้าน ก็ใครมันจะไปคิดว่าดึกดื่นป่านนี้ นอกจากยามและพนักงานระดับล่างเหมือนอย่างเธอที่หน้าดำคร่ำเครียดอยู่ทำโอทีในวันเทศกาลอีกจำนวนน้อยนิดแล้ว จะดันมาเจอะเข้าให้กับ ลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัท ที่ควรจะได้ไปฉลองเทศกาลกับครอบครัว หรือใครก็แล้วแต่เถอะน่ะ!  ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดีเสียด้วยซ้ำไป เพราะขาที่ก้าวเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วจะให้ตีเนียนชักกลับออกมาก็รู้สึกเสียหน้ากระไร เลยต้องเลยตามเลย ทำทีเป็นส่งยิ้มให้ประสาลูกน้องควบตำแหน่งไม่สลักสำคัญต่างๆ อีกมากมาย ที่แม้จะได้รับเพียงสีหน้านิ่งสนิทฮานะก็หาได้แคร์ไม่ เพียงแตะปลายนิ้วไปยังชั้นลานจอดรถที่อยู่ต่ำกว่าปุ่มที่มีไฟส่องสว่างก่อนแล้วจึงพาตัวเองถอยไปอยู่ให้ห่างยังอีกมุมหนึ่ง

    แค่หายใจร่วมอากาศเดียวกันกับคนที่ไม่ชอบหน้าในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่กี่วินาทีคงไม่ทำลายค่ำคืนวันคริสต์มาสอันแสนสุขของเธอหรอก ทั้งที่ฮานะน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเซนส์ของตัวเองมันเคยเชื่อถือได้ที่ไหน ทันทีที่รู้สึกถึงอาการกระตุกวูบ ให้ร่างที่ยืนคอเชิดบนรองเท้าส้นสูงสามนิ้วเป็นต้องซวนเซ โชคดีที่เอื้อมมือไปยันผนังไว้ได้ก่อนที่จะล้มคว่ำไม่เป็นท่า แต่เป็นตอนที่ไฟดับในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้นต่างหากที่ทำให้เธอเผลอหลุดปากร้องออกมา แม้ไฟสำรองจะคืนความสว่างวาบให้กลับมาเป็นปกติแทบจะทันทีก็ตาม

    สติของฮานะยังคงกระเจิดกระเจิงอยู่ เนื่องจากไม่เคยพบเจอสถานการณ์แบบนี้เลยไม่รู้ว่าควรต้องทำเช่นไร ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มที่สบถออกมา หากก็ขยับตัวไปกดปุ่มฉุกเฉิน กรอกเสียงใส่ลำโพงลงไปอย่างหัวเสียว่า “เฮ้! มีใครอยู่ไหม!”

    ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมาก็มีเพียงความเงียบสงัด

    “หายหัวไปไหนกันหมดวะ!

    “เอ่อ ยามอาจจะกำลังตรวจตราอาคารอยู่ก็ได้ รออีกเดี๋ยวเขาก็มามั้ง” เธอพยายามจะผ่อนสถานการณ์ให้เบาลงกว่าเสียงเกือบตะโกนนั่น ทั้งที่คิดว่ารู้นิสัยของผู้ชายคนนี้ดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ก็ยังอดสะดุ้งเฮือกไปกับสายตาคาดโทษที่ส่งมาไม่ได้

    “สักเดี๋ยวของเธอ เราอาจจะตายกันอยู่ในนี้แล้วก็ได้!” อารมณ์ของเขายังคงต่อเนื่อง “อีกอย่าง ฉันไม่อยากจะตายกับคนอย่างเธอหรอก!

    แม้ในใจของฮานะจะกำลังดิ้นเร่ากับคำพูดของชุนสุเกะจนอยากจะตะโกนใส่หน้าไปเหมือนกันว่า “ฉันคิดว่าไม่อยากจะตายกับคนอย่างนายก่อนต่างหาก!” กระนั้นเธอก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา ทีแรกคิดว่าจะทำเป็นฉีกยิ้มกว้างๆ เพื่อตอกย้ำความไม่แคร์ แต่ขืนทำแบบนั้นหลังจากเพิ่งถูกด่ามาหยกๆ ก็คงจะดูเหมือนตัวตลกให้เขาได้หัวเราะเยาะมากกว่า จึงเพียงกระแอมไอเสียทีหนึ่งเป็นการแก้เก้อ แล้วถอยหลังไปพิงชิดกำแพงลิฟต์ด้วยมาดที่ยังคงรักษาเอาไว้ได้

    ชุนสุเกะยังคงไม่ลดละที่จะโวยใส่ลำโพง เช่นเดียวกับฮานะที่ก็ไม่กระดิกตัวทำอะไรเหมือนกันนอกจากยืนมองอย่างเลื่อนลอย ใช่ว่าเธอจะไม่ตระหนก แต่อย่างไรก็ยังมั่นใจว่าเดี๋ยวยามก็ต้องรู้แล้วรีบกุลีกุจอมาช่วยพวกเขา หรือที่เธอหมายถึง ลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัท เหมือนไฟลนก้นจนได้นั่นแหละ

    “เธอน่ะ เอามือถือมา”

    “เอ๊ะ?”

    “มือถือ เอามาเร็วๆ!” ครั้นเห็นเธอยังงุนงงอยู่เขาจึงเอ่ยย้ำอีกครั้ง แน่นอนว่าอย่างหัวเสียไม่เปลี่ยน ทันทีที่รู้สึกตัว ฮานะก็จะรีบพยักหน้า ล้วงลงไปหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสะพายข้างอย่างว่าไม่ง่าย ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะขอมันไปโทร.หาใคร หรือว่าเขาจะให้เธอโทร.ไปหายามแทนที่จะมัวหวังอะไรลมๆ แล้งๆ กับปุ่มฉุกเฉินตรงนี้กัน พอคิดแล้วก็เลยโพล่งขึ้นไปว่า “แต่ฉันไม่มีเบอร์ของยามหรอกนะ” ซึ่งจะได้รับสายตาประหลาดๆ ตอบกลับมา

    “ฉันจะให้เธอโทร.เข้าบริษัทต่างหาก”

    หน้าของฮานะร้อนเห่อขึ้นมาเล็กน้อย “นั่นก็ไม่มีหรอก” เธอบอก เพื่อเป็นการกลบเกลื่อนเลยทำเป็นย้อนถามกลับไปว่า “แล้วมือถือของนายที่ไม่เคยให้อยู่ห่างตัวเลยไปไหนซะล่ะ?พร้อมการจิกกัดน้อยๆ อย่างอดปากไม่อยู่

    ด้วยเพราะอ่านอารมณ์ที่อยู่ในนั้นออก เขาจึงกระแทกน้ำเสียงไปโดยเลือกไม่ตอบคำถามของเธอก่อนหน้านั้น “ถ้าอย่างนั้นก็โทร.หาใครสักคนที่ติดต่อบริษัทนี้ได้!” ฮานะจึงร้องฮึเบาๆ ก้มหน้าลงเลื่อนปลายนิ้วสไลด์หารายชื่ออย่างไม่มีลังเล ก่อนยกมันขึ้นแนบหู โดยพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่มองหน้าคนออกคำสั่งเมื่อทักทายปลายสายว่า “อ๊ะ ไทกะ! ฉันคงไม่ได้ขัดจังหวะเดตวันคริสต์มาสของนายกับพอร์เชียหรอกใช่ไหม?”

    “ไม่นี่ ว่าไง?

    “คืออย่างนี้นะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บริษัทแล้วเผอิญติดอยู่ในลิฟต์...”

    พูดยังไม่ทันจะจบดี คนปลายสายก็จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นซะจนฮานะต้องยกมันออกห่างจากใบหู

    “โคตรจะฮาเลย!

    “ไม่ตลกนะไทกะ! ตอนนี้ฉัน...” แต่ก็กลับถูกขัดขึ้นมาอีกด้วยเสียงหัวเราะแบบเดิมๆ จนฮานะหาทางลงให้กับคำพูดของตัวเองไม่ถูก ไม่รู้ว่าชุนสุเกะรำคาญใจกับเสียงที่ได้ยินลอดออกมาจากคนไกลหรือความอึกอักจากคนใกล้มากกว่า แต่เขาก็ฉวยคว้ามันมาจากเธอแล้วกรอกเสียงที่ใกล้เคียงกับตะคอกลงไปว่า “พี่ชาย หุบปาก! แล้วโทร.บอกพวกยามให้มาจัดการเดี๋ยวนี้!

    ไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสายอยู่ครู่หนึ่งหลังคำถามที่ว่า “ชุนสุเกะ นั่นนายติดอยู่กับฮานะเหรอ?” ก็จะตามมาด้วยการระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นที่ทำให้ลิฟต์แทบสะเทือน ทั้งที่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้แต่ก็ทำให้ฮานะรู้สึกอับอายขึ้นมา ในเมื่อไทกะรู้ดีว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าชุนสุเกะมากแค่ไหน หรือแม้แต่ว่าชุนสุเกะรู้สึกขุ่นเคืองใจเธอมากเพียงไร สถานการณ์ระหว่างคนสองคนในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องชวนหัวสำหรับไทกะสุดๆ ถ้ารู้ว่าอีตานี่จะแย่งมือถือไปคุยเองแบบนี้ เธอสาบานเลยว่าจะยอมโทร.ไปรบกวนเดตของเอริก้าที่หล่อนต้องยอมเต็มใจช่วยแน่ยังดีซะกว่า

    “หยุดได้แล้วน่าไทกะ”

    เป็นน้ำเสียงเอ็ดอึงจากหญิงสาวคู่เดตของเขาที่แว่วเข้ามาแทน หล่อนมีชื่อที่ไพเราะเช่นเดียวกับใบหน้าว่าพอร์เชีย ลงลึกไปกว่านั้นก็คืออดีตคู่หมั้นของชุนสุเกะที่ถอนหมั้นไปหาไทกะ หรือพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองหลังรู้จักกันได้เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น

    “ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง เธอกับคุณฮานะก็ช่วยอดทนไปก่อนนะ”

    พอร์เชียยังคงสนทนากับชุนสุเกะด้วยคำพูดที่ฮานะได้ยินแค่แว่วๆ ถึงแม้ว่าจะทำหูผึ่งแค่ไหน กระทั่งคำพูดกลั้วหัวเราะของชายหนุ่มที่ทะลุผ่ากลางปล้องขึ้นมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ๋วก่อนสายจะถูกตัดไปว่า “สุขสันต์วันคริสต์มาสทั้งสองคน!” ก็จะทำให้ ทั้งสองคนที่ว่าเป็นต้องทำหน้าเซ็งขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    สุขสันต์กะผีสิ!

     

    แค่ไม่กี่นาทีหลังจากวางสาย ยามของบริษัทก็จะรีบส่งเสียงผ่านลำโพงของลิฟต์เข้ามาให้ฮานะที่กำลังยืนเหม่ออยู่ได้สะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกระลอก พอร์เชียก็เป็นคนแบบนี้ หล่อนมีวินัยและจัดการทุกอย่างอย่างมีแบบแผนให้ตามที่รับปากไว้ได้จริงเสมอ ฮานะยอมรับเลยว่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ชุนสุเกะซึ่งแสดงท่าทีหัวเสียมาตั้งแต่วินาทีแรกจะแค่บอกให้พี่ชายรีบแก้ไขปัญหานี้เร็วๆ โดยไม่ได้ด่าทอหรือส่งสบถไปตามสายอย่างที่คิดไว้ ถึงอารมณ์กรุ่นๆ จะยังคงคั่งค้างอยู่ก็ตาม อาจเพราะการพูดคุยกับพอร์เชียช่วยทำให้เขาเย็นลงขึ้นได้เหมือนเอาน้ำแข็งเข้าลูบ นี่สินะพลังแห่งรัก เธอพยายามกลั้นหัวเราะกับความคิดของตัวเอง กระนั้นก็กลั้นรอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ไม่อยู่

    ก่อนที่ชุนสุเกะจะโพล่งคำถามขึ้นมาให้เธอเผลอตัวสะดุ้งเฮือก

    “แล้วเธอไม่ไปฉลองคริสต์มาสกับใครเขาหรือไง? ถึงได้อยู่ทำงานจนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้”

    “ก็...กำลังจะไปนี่แหละ” เธอเลือกตอบคำถามข้อแรกเพียงข้อเดียวโดยไม่คลายความสงสัยในข้อหลัง อย่างกับจะไม่รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจใคร่อยากรู้เรื่องชีวิตของเธอนักหรอก ทั้งที่ในตอนแรกเธอคิดว่าไม่อยากจะเสวนากับเขา แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มต้นเปิดปากขึ้นมาก่อนอย่างน่าอัศจรรย์ จึงอดคันปากยุกยิกไม่ได้

    “แล้วนายทำไมถึงได้อยู่ดึกแบบนี้ล่ะชุนสุเกะ ไม่มีนัดที่ไหนเหรอ?”

    เขาตวัดสายตาเย็นเยียบมาให้แทนคำตอบที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก

    ฮานะไม่น่าลืมไปเลยว่าเขาเคยเป็นคู่หมั้นของชุนสุเกะมาตั้งสองปี ก่อนไทกะจะกลับมาจากการระหกระเหินไปเรื่อยเปื่อยหลังเรียนจบไฮสคูล ปลายทางสุดท้ายคือซิซิลีที่ได้พบกับคนรู้จักอย่างเธอ ฮานะก็จำไม่ได้แน่ชัดว่าไปคุยกันอีท่าไหนถึงตกลงปลงใจเดินทางกลับมาที่นิวยอร์กด้วยกันได้ ท่ามกลางความดีใจอย่างเหลือแสนของบิดาและมารดาที่ลูกชายคนโตซึ่งห่างหายไปนานได้หวนคืน ทว่าไม่ใช่กับน้องชายซึ่งไม่ดีใจกับการพบหน้าพี่ชายที่เหินห่างเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ซ้ำร้ายที่สุดคือเมื่อพอร์เชียได้พบ...ตกหลุมรัก...กับไทกะ ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด เธอดันถลาเข้าไปตรงกลางที่หมายถึงเอนเอียงไปทางไทกะ ความรู้สึกที่เหมือนถูกทรยศหักหลังจากคนที่อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน ทำให้ชุนสุเกะตั้งแง่กับเธอนับตั้งแต่นั้น ขณะที่ฮานะเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า เธอคิดว่าชุนสุเกะช่างงี่เง่าสิ้นดี ในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับพอร์เชียไม่ได้เริ่มต้นชึ้นจากความรักนอกจากเหตุผลทางธุรกิจ ต่อให้มองมาจากซิซิลีก็คงเห็นว่าหล่อนไม่ได้มีใจให้กับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว! ก็ไม่แปลกหรอก ใครจะไปตกหลุมรักผู้ชายงี่เง่า คอยแต่อิจฉาพี่ชายได้ลง!

    “ไทกะมีดีกว่าฉันตรงไหน?”

    ฮานะที่กำลังค่อนแคะเขาในใจอยู่เพลินๆ เป็นต้องร้อง “ฮะ!” ออกมาเสียงหลง

    “ช่วยตอบมาตรงๆ ด้วย ในเมื่อเธอรู้จักทั้งฉันทั้งไทกะดีอยู่แล้ว”

    “ก็แค่เผินๆ” และในที่นี้ก็หมายถึงเขา ไม่ใช่พี่ชายที่อย่างน้อยก็สามารถใช้มากกว่าคำว่า รู้จักได้ “คนอื่นต่างหากที่น่าจะรู้จักพวกนายดีมากกว่า”

    “คิดว่าฉันจะไม่เคยถามพอร์เชียเหรอ?” เขาหยัน ส่วนเธอย้อน “ถ้าอย่างนั้นพอร์เชียบอกว่าอะไรล่ะ?”

    คำตอบนั้นแปรสภาพเป็นเสียงหัวเราะ แน่นอนว่าด้วยเจตนาแบบที่สมกับเป็นตัวเขานั่นแหละ

    “เป็นคนของไทกะแล้วทำตัวยิ่งใหญ่เหลือเกินนะ”

    “ฉันไม่ใช่คนของใครทั้งนั้นแหละ!” ฮานะชักจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างแล้ว “แต่ถ้าเป็นพ่อของนายก็ไม่แน่ เขาใหญ่ที่สุดในบริษัทแล้วนี่”

    “ระวังปากไว้เถอะ เมื่อไหร่ที่คนๆ นั้นเป็นฉันเธอไม่มีทางได้อยู่ทำตัวแบบนี้หรอก”

    อาจต้องเป็นนายต่างหาก” เธอแก้ และได้รับสายตาขุ่นๆ จับจ้องมองมาแทบจะทันที

    “คนที่เอาแต่ร่อนเร่ไปเรื่อยอย่างนั้นจะทำอะไรได้ ฉันต่างหากที่อยู่กับงานนี้มาทั้งชีวิต”

    ให้ฮานะอดรนทนไม่ไหวในที่สุด

    “ฉันจะไม่ขอพูดก็แล้วกันว่าไทกะมีดีกว่านายตรงไหน แต่รู้ไว้ซะนะว่าข้อเสียของนายน่ะมีเป็นพะเรอเกวียนเลย ไอ้ท่าทางยโสแบบนี้ช่วยลดๆ ซะบ้างเถอะ”

    “เมื่อก่อนไม่เห็นจะปากเก่งแบบนี้”

    “ว้าว แปลกใจนะเนี่ยที่นายยังจำฉันตอนเด็กๆ ได้” ฮานะไม่ปิดบังการกระแนะกระแหน “ถามจริงๆ เถอะชุนสุเกะ นายจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ทำไมนักหนา ทีไทกะยังไม่เห็นสนใจจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับนายเลย”

    “ก็แล้วทำไมหมอนั่นต้องสนด้วย? ในเมื่อใครๆ ก็เรียกหาแต่ไทกะ ใช่สิ...ไทกะ พี่ชายตัวอย่างที่ใครๆ ก็รัก” ในน้ำเสียงไม่ปิดบังแววเย้ยหยัน ขนาดเธอที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับไทกะฟังแล้วก็ยังรู้สึกขุ่นข้องใจ แต่เมื่อได้มองเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาที่ปรากฏขึ้นชั่วแว่บหนึ่ง ริมฝีปากที่กำลังจะขยับเป็นคำพูดก็มีอันต้องหุบกลับลงไป

    อาจเพราะว่าแต่ไหนแต่ไร ครอบครัวคาฮานาที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่สาวและเธอต่างไม่เคยมีการแบ่งแยกหรือเทความรักไปให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเสียจนอีกคนรู้สึกว่าขาด ฮานะเติบโตมาแบบเด็กธรรมดาทั่วไป ทั้งเรื่องการเรียนหรือการใช้ชีวิตก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับกลางๆ ไม่เคยต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้การยอมรับ ไม่เคยถูกเปรียบเทียบความสำเร็จหรือล้มเหลวใดๆ กับพี่สาวที่เหนือกว่าเธอในหลายๆ อย่าง สองพี่น้องบ้านคาฮานาเติบโตมาด้วยความรักใคร่ต่อกันอย่างแท้จริง ขณะที่เรื่องของชุนสุเกะนั้นแทบจะเหมือนกับหนังคนละม้วน เท่าที่เธอรู้ พี่ชายและแม่ต่างก็รักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นพ่อต่างหากที่กลับปลูกความไม่เท่าเทียมกันเอาไว้และสิ่งนั้นก็ฝังอยู่ในหัวของเขามาจวบถึงปัจจุบัน ถึงต่อให้จะพยายามแค่ไหน ทำทุกอย่างดีกว่าไทกะมากเท่าไหร่ พ่อของเขาก็ไม่เคยคิดว่ามันดีพอ

    เธอรู้ หากไม่เคยได้ตระหนัก เพราะการแสดงออกในทางที่งี่เง่าตลอดมาของเขา จึงไม่เคยได้มองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในนั้นเลย ถึงตอนนี้ชุนสุเกะจะพูดคุยกับพอร์เชียได้อย่างเป็นปกติแล้ว แต่ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีก่อนเมื่อต้องสูญเสียผู้หญิงคนเดียวที่เคยคิดว่าเข้าใจไป คงเป็นอะไรที่ทำใจได้ยากน่าดู

    และทันทีที่คิดถึงเหตุผลทั้งหมดนั้นขึ้นมา ฮานะก็กลับควานหาคำพูดใดๆ ไม่เจอ ปกติก็ปลอบใจคนไม่เก่งอยู่แล้ว ยิ่งกับคนประเภทโลกหมุนรอบตัวเองด้วยอีก หัวสมองของเธอมึนตื้อไปหมดจากการสรรหาถ้อยคำนับร้อยพันที่ดีที่สุดสำหรับชุนสุเกะ แล้วจึงตัดสินใจได้ว่า...ช่างปะไรเถอะ!

    “แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะเกลียดนายหรอกนะ”

    นั่นเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจริงที่สุดของเธอ ถึงอาจจะไม่ใช่ประโยคที่ดีที่สุดสำหรับเขา ฮานะยอมรับว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าเขาเพราะความหมั่นไส้ เอือมระอา หรืออะไรก็ตามแต่ กระนั้นก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่รุนแรงอย่างความเกลียดเลยสักครั้ง

    ฮานะไม่ทันได้เห็นสีหน้าของเขาที่หันมา เมื่อมือถือของเธอจะแผดเสียงลั่นอยู่ในกระเป๋าสะพาย ท่วงทำนองเพลง จิงเกิลเบลล์ ที่เธอตั้งเป็นริงโทนให้เข้ากับช่วงเทศกาลที่โปรดปรานที่สุดในรอบปี เห็นทีว่าจะเป็นสิ่งเดียวที่สุขสันต์ในค่ำคืนนี้ ทำให้คนขี้ตกใจได้สะดุ้งโหยงขึ้นมาอีกหนและอีกหน จะมาจากเหตุการณ์ใดเธอก็ระบุเจาะจงลงไปไม่ได้แน่ แต่ปลายนิ้วเรียวก็จะรีบลนลานหยิบมันขึ้นมากดรับสายของมารดาที่ติดต่อมาจนได้อย่างรวดเร็ว

    “ฮานะ ตกลงลูกจะมาหรือไม่มา? ทำไมถึงไม่ยอมโทร.บอกเรา?”

    “หนูสิรอแม่โทร.มาทั้งคืน!

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ” ฮานะจินตนาการภาพแม่กำลังสั่นศีรษะให้กับนิสัยเสียๆ ของลูกสาวคนเล็กได้อย่างชัดเจน จนต้องหลุดหัวเราะพรืดออกมา “ถ้าจะมาก็รีบมาเร็วๆ เข้าเถอะ ซากุระทิ้งยัยหนูไว้แล้วชิ่งไปเดตตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนี้แกเบื่อเล่นเกมแล้วถามหาลูกใหญ่เลย”

    “ถามหาหนูหรือของขวัญคริสต์มาสกันแน่?” เธอแกล้งถามด้วยรอยยิ้มติดตลกอย่างรู้ทัน “ตอนนี้หนูยังอยู่ที่ทำงาน แต่ถ้าเสร็จเมื่อไหร่แล้วจะรีบบึ่งไปเลย แม่อย่าเพิ่งให้ไอริสหลับไปก่อนนะคะ” โดยไม่ยอมพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แม่ต้องเป็นห่วง หรืออาจจะหัวเราะขำ (แนวโน้มน่าจะเป็นอย่างหลัง) เหมือนชายหนุ่มคนก่อนหน้าที่ชวนให้เจ็บช้ำใจมากพอแล้วแต่ประการใด

    “สงสัยยัยหนูคงได้ถ่างตารอกันทั้งคืน”

    “หนูไปทันน่า! ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงแน่นอน ยังไงก็เหลือของกินไว้ให้หนูเยอะๆ แล้วก็ฝากบอกไอริสด้วยว่าอย่ากินสตรอว์เบอร์รี่บนหน้าเค้กหมดเป็นอันขาด! ไม่อย่างนั้นของขวัญคริสต์มาสตัวโตๆ ได้กลายเป็นซากท้ายรถแน่ แค่นี้นะคะ”

    เมื่อคิดว่าตัวเองสื่อสารสิ่งที่ต้องการครบถ้วนแล้วก็จะรีบกดตัดสายทิ้งไปด้วยความเร็วแสง ด้วยรู้ดีว่าต้องไม่พ้นโดนล้อเลียนเรื่องนิสัยงกของกินแม้แต่กับหลานสาวตัวน้อยน่ารัก แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ จะเป็นชายหนุ่มที่เปลี่ยนไปยืนกอดอกพิงผนังข้างกันกับเธอนี้เอง

    “อ้อ เธอจะกลับไปฉลองกับครอบครัว

    “อื้อ แล้ว...” โชคดีที่ฮานะยั้งปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน หลังเพิ่งจำได้ว่าไทกะบอกเรื่องการเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศแถบยุโรป รวดเลยฉลองคริสต์มาสด้วยกันที่นั่นเสียเลยของพ่อกับแม่ นั่นจึงเป็นโอกาสให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับพอร์เชียตามลำพัง

    ฮานะซึ่งไม่เคยสนใจเรื่องราวไม่ว่าจะเล็กใหญ่ของชุนสุเกะมาก่อนถึงเพิ่งจะได้เข้าใจ เขาไม่มีใครให้ร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขด้วยเลยแม้แต่คนเดียว ถึงจะทำตัวเป็นมนุษย์ไม่สนโลกแค่ไหน แต่ใครก็ตามที่มีความรู้สึกน้อยใจคนอื่นได้ย่อมต้องโหยหาการยอมรับจากใครสักคนทั้งนั้น ฮานะเชื่ออย่างเต็มหัวใจเลยว่าที่ชุนสุเกะพยายามมากขนาดนี้ก็เพื่อต้องการการยอมรับจากพ่อมากที่สุด พิลึกดีเหมือนกันที่ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่เพียงเท่านี้ หลังจากได้มาลองคิดใคร่ครวญดู มันก็สามารถทำให้เธอเริ่มเห็นอกเห็นใจคุณชายเอาแต่ใจขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็...นิดหนึ่ง

    ในตอนที่เปิดกระเป๋าหย่อนมือถือเก็บกลับลงไป เลยทำทีเป็นหยิบกล่องช็อกโกแลตที่เหลือจากการเอามาแจกจ่ายให้เพื่อนพี่น้องร่วมแผนกในกระเป๋าขึ้นมา แกะชิ้นหนึ่งให้ตัวเอง แล้วยื่นอีกชิ้นให้เขาเหมือนกับว่าเลยตามเลย

    เขามองหน้าเธอที่ยื่นมันมาให้ หรืออาจเห็นควรเรียกว่าเสือกไส

    “ฉันยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่บ่าย จะให้กินคนเดียวไม่แบ่งนายก็กระไรอยู่ เพราะงั้นก็ เอ้า ฉันให้”

    และเมื่อเขารับมันไปอย่างง่ายดาย ฮานะจึงค่อยหายใจได้โล่งขึ้น ขณะแกะช็อกโกแลตก้อนกลมโยนเข้าปากไป

    ทั้งอย่างนั้น เขากลับไม่ขยับตัวทำอะไรสักอย่างนอกจากมองดูช็อกโกแลตในมือตัวเอง คนที่เหลือบมองก็เลยชักหวั่น หรือบางทีเขาจะมองว่าเป็นการดูถูกกันนะ? ถึงนั่นจะดูเป็นเรื่องที่งี่เง่าเอามาก แต่ทุกคนที่รู้จักชุนสุเกะ มิจิเอดะย่อมรู้ดีว่าสามารถมองหาความงี่เง่าได้เป็นล้านๆ อย่างจากเขา

    “แต่ถ้านายไม่ชอบ...”

    “เงียบเถอะ” คำพูดคำจาอาจชวนให้ขัดหู ทั้งอย่างนั้น ฮานะกลับแน่ใจว่าเห็นเขากำลังยิ้ม และเป็นครั้งแรกที่มันคือรอยยิ้ม...ไม่ใช่เยาะ

    ฮานะชักจะไม่แน่ใจแล้วว่ามันคือความรู้สึกที่ดีขึ้นแค่...นิดหนึ่ง อย่างที่สะกดจิตตัวเองมาตั้งแต่แรกหรือเปล่า? แต่ฮานะหมายเลขสองที่กำลังบินวนเวียนอยู่ริมใบหูข้างหนึ่งก็กลับตะคอกใส่หูแบบไม่เกรงใจเลยว่า “ยอมรับกับตัวเองซะเถอะ!” เธอจะโทษว่าเป็นเพราะความลนลานที่ถูกยัยหมายเลขสองตะคอกใส่หู ถึงได้โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เอ่อ ถ้าคืนนี้นายไม่มีนัดกับใคร อยากไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวฉันไหม?” และเมื่อเขาขยับทั้งลำตัวและใบหน้ากับหัวคิ้วที่พุ่งชนกันมายังองศาทิศทางของเธอ สติที่มีน้อยนิดอยู่แล้วก็จะยิ่งหลุดลอยไปกันใหญ่ ฮานะรู้ดีว่าเธอจะต้องทำอะไรที่เป็นการอับอายตัวเองมากไปกว่านี้ในอีกเพียงเสี้ยววินาทีแน่ๆ โชคดีที่จังหวะนั้นจะถูกขัดขึ้นจากประตูลิฟต์ที่เปิดอ้าออก เป็นยามของบริษัทและช่างซ่อมที่จะรีบกุลีกุจอเข้ามาขอโทษขอโพยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เธอหมายถึงต่อลูกชายคนเล็กของเจ้าของบริษัทเป็นส่วนใหญ่

    “ขอโทษที่ทำให้ลำบากด้วยนะครับ”

    “ไม่เลยค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ”

    ฮานะรีบชิงกล่าวขอบคุณ โดยไม่มีช่องว่างให้ชุนสุเกะหรือใครได้พูดอะไร ไม่ใช่สำหรับการช่วยเหลือเพียงเท่านั้น หากยังหมายรวมไปถึงการช่วยไม่ให้เธอพูดพล่ามอะไรยืดยาวมากไปกว่านี้จนหาทางลงไม่ได้อีกด้วย เธอรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่ประหม่า อาการแบบนี้จะหลุดออกมาทุกที นั่นเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากยอมรับกับตัวเองว่ากำลังประหม่าต่อหน้าคนอย่างชุนสุเกะจริงๆ

    เขาไม่ได้ต่อว่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพนักงานอย่างที่ต่างหวาดหวั่นกันให้ชวนได้ตะลึง ขณะที่ฮานะเองก็ไม่มีเวลาจะมาตกตะลึงเพราะเธอกำลังหน้าม้านแบบสุดๆ จนอยากจะกระโดดพุ่งหลาวออกนอกอาคารสูงมันเสียเดี๋ยวนั้น! เพราะมัวแต่รีบก้าวขาฉับๆ ออกมาก่อน ถึงไม่ทันรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่ชั้นปลายทาง ไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำจนยามต้องตะโกนร้องเรียกเธอ เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็ชี้มือไปยังลิฟต์ตัวข้างๆ

    “คุณใช้ลิฟต์ตัวนี้ได้นะครับ”

    เมื่อแหงนมองเลขชั้นเธอจึงรีบเดินก้มหน้างุดๆ กลับมา ผู้ช่วยเหลือต่างอมยิ้มกับท่าทีของเธอ แม้ช่วยไม่ได้ แต่หญิงสาวก็จำต้องก้าวกลับเข้าไปในลิฟต์อีกตัวหนึ่งข้างผู้โดยสารรายเดิมอีกครั้ง

    “สุขสันต์วันคริสต์มาสนะครับ”

    “สุขสันต์วันคริสต์มาสเช่นกันค่ะ” เธอเป็นคนเดียวที่ตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงเบาหวิวที่ไม่ได้สื่ออารมณ์เช่นนั้นเลยเพียงน้อย

    ความเงียบงันกลับมาในลิฟต์ที่ตัวเลขค่อยๆ เปลี่ยนและเลื่อนลงไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ฮานะแหงนมองมันจนคอแทบจะหัก เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นคนข้างๆ ให้ได้อับอายตัวเองขึ้นมา

    กระทั่งประตูลิฟต์เปิดอ้าออกพร้อมกับตัวเลขสว่างวาบของชั้นปลายทาง ฮานะรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองจ้องมาจากคนที่อยู่เยื้องหลังไปหน่อยแบบที่ไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน เธอกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างฝืดเคืองในตอนที่เห็นแผ่นหลังของเขาเดินออกไปโดยไร้คำพูด เขาต้องคิดว่ามันก็แค่คำชักชวนเลื่อนลอยที่ไม่มีทางจะเป็นเรื่องจริง ยิ่งเมื่อมาจากคนที่ตั้งตัวเป็นเหมือนกับศัตรูอยู่นานด้วยอีก แต่เธอควรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วปล่อยให้คนที่ยิ้มออกมาได้จากใจจริงแค่เพราะช็อกโกแลตของเหลือชิ้นเดียวต้องกลับบ้านไปอยู่ลำพังในช่วงเทศกาลคริสต์มาสจริงๆ แน่หรือ?

    ทันใดนั้นเอง เธอก็คิดถึงคำพูดของไทกะซึ่งไม่เคยนึกใส่ใจมาก่อนได้ว่า “เห็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ชุนสุเกะเป็นคนน่าสงสารนะ” และคนใจคอหยามเหยียดแบบเธอจะพูดอะไรได้นอกจาก “ใช่ น่าสงสารจนน่าสมเพชเลย” เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนที่บานประตูเหล็กจะปิดฉับเข้าหากัน เธอก็ตัดสินใจเลื่อนปลายนิ้วไปที่ปุ่มเปิดประตูแล้วกระโจนออกไป เป็นเพราะเสียงส้นรองเท้าเคาะพื้นอย่างแรงนั้นเองที่จะทำให้ชุนสุเกะหยุดฝีก้าว มีจังหวะลังเลนิดหนึ่ง แล้วจึงหันกลับมา

    “นายต้องชอบเค้กคริสต์มาสฝีมือแม่ฉันแน่”

    คำตอบทุกอย่างอยู่ในรอยยิ้มนั้นเอง












    2023年06月06日
    _______________
     คิดว่าสักวันยังไงก็จะเอาฟิคเรื่องนี้มาลงอยู่ดีถึงจะไม่ได้ชอบมาก มึงก็ด่า สังคมก็ซ้ำเติม U_U แต่เสียดายความยาว 5k ที่สมัยแต่งฟิคเกมถือเป็นเรื่องปกติ พอมาสายญี่ปุ่นมีแต่ห้าร้อยนิ ก็เผอิญที่วันนี้เป็นวันเลขสวย (กูทำได้! กูไม่ลงฟิควันที่ฮารุดันฉายแล้วได้!) แล้วก็บังเอิญที่นานิวะปล่อยเอ็มวีใหม่ จากที่เคยแปลงเป็นไทโชไทก็เลยวกกลับมาหามิจิ ฮ่าๆๆ / เหตุผลที่ตอนแรกเลือกไทโชเพราะจำได้ว่าเรื่องนี้คือฉากนิวยอร์ก (เขียนอยู่บรรทัดเดียว) พอทชพูดในแมกฯว่าอยากไปกูเลยวี้ดว้ายโอเคหนุ่ม ถึงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ก็ฝืนๆ ไปก่อนเดี๋ยวอ่อนเอง ส่วนไทกะเพราะมึงคงจำได้ว่ากูเคยฝันถึงเค้าตอนทำงานเรื่องไวท์โลตัสที่ฉากเป็นซิซิลี ละเรื่องนี้กูเลือกซิซิลีเพราะอควาแมน (ถึงได้เป็นพี่น้องกันเนี่ย) แต่ทีนี้พอเอ็มวีนานิวะมาแล้วเคียวเฮมิจิหล่อมาก กูเลยไม่ไหว ไม่ทน เพราะเอาจริงเรื่องนี้บทไทโชมันคือมิจิตั้งแต่แรกแล้วเว้ย! สาบานต่อหน้าไฟคริสต์มาส เพราะช่วงนึงกูเคยคิดพล็อตให้สองคนนี้เป็นพี่น้องกันเยอะแบบมากๆ แนวบริษัทก็มา เพลงเลิฟเรนกับคิสออฟไลฟ์เนี่ย แต่แต่งไม่ออก สุดท้ายก็บ่ได้แต่งสักเรื่อง orz ละเพราะเราพูดกันตลอดว่าหน้าตาท่าทางลุคเลิคมาเวย์หล่อรวยผู้ดีเจ้าชายเหมือนกัน แถมยังสีชมพูเหมือนกัน เล่นกีตาร์เหมือนกันอีก! แต่ก็ยังขอยืนยันว่ากูยังเมนเคียวเฮสุดเพราะกูต้องสายเกมเมอร์บ่สู แต่บุรบาปที่มิจิดันมาเป็นเพื่อนสนิทมากของไทโช ไทกะก็รุ่นพี่คนสนิท ละมึงก็รู้ว่ากูแต่งฟิคโดยอิงจากคนรอบตัวเมน เพราะฉะนั้นมันก็จะวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่ไปไหนอีกนานเลย 55555 แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายแคสต์กลับมาลงตัวที่ไทกะมิจิแบบนี้แหละนะ
     เชื่อว่าคำถามแรกสุดคือในลิฟต์มันคุยโทรศัพท์ได้จริงเหรอวะ แต่สาบานว่าช่วงที่แต่ง (หลายปีก่อน) เคยดูหนังเรื่องนึงแล้วมันคุยในลิฟต์จริงๆ! กูถึงขั้นไปเสิร์ชคำถามมาให้แน่ใจ ก็สรุปว่าเทคโนโลยีเซลลูลาร์ทุกวันนี้สามารถทำให้คุยได้แล้ว เพราะงั้นถ้าตีเป็นปีนี้ก็ไม่น่าจะจกตาหรอก มั้ง / ส่วน P2 นี่เหมือนตอนนั้นจะเปิดเจอที่ไหนสักช่อง น่าจะทรูแหละมั้งเพราะโมโนไม่เคยฉาย แล้วพล็อตก็แว่บมาเลยตอนนางเอกเข้าลิฟต์ บ้าบอ สมัยโน้นกูจะใสอะไรเบอร์นั้น ดูหนังแนวนั้นดันได้พล็อตแนวนี้ ถ้าเป็นสมัยนี้บทพระเอกกูก็รปภ.นั่นแหละ หนีกันไล่ฆ่ากันเดี๋ยวสุดท้ายก็ได้กันเด็ดๆ / เอาไปเอามากูรู้ละว่าทำไมฟิคสมัยนั้นถึงยาวจัง ก็ดูเอาว่าเวิ่นเว้ออะไรเบอร์นั้น ขนาดปรับๆ ตบๆ ไปบางส่วน (น้อย) แล้วยังยาวอยู่เลยเนี่ย แต่ก็ไม่อยากลบทิ้งหมดเพราะอย่างน้อยมันก็คือตัวกูช่วงนึง...ที่ได้ตายไปแล้ว U_U เห้อออ สมัยโน้นขนาดแค่แต่งฉากยืนคุยกันในลิฟต์กูยังว่าได้ฟีลฝรั่งเลย หรือมึงว่าไง กูไม่ว่าไร แต่ก็สมละที่เราคุยกันว่าทุกวันนี้ทำไมแต่งฟิคฉากฝรั่งพล็อตคนธรรมดาอะไรแนวนี้ไม่ได้อีกเลยวะ มันบ่คือ
     ทำให้รำลึกได้ว่าที่จริงแล้วกูแทบไม่มีเพลงคริสต์มาสที่ชอบเลย เพลงหน้าหนาวก็ด้วย ทั้งที่เป็นฤดูที่ชอบที่สุด รักเทศกาลคริสต์มาสที่สุด งง (ส่วนเพลงซัมเมอร์ขอให้บอกค่าพี่สาว เจเคพ้อพกูมีหมด >_<) ไหนๆ ก็ไม่มีเพลงที่ถูกใจ ละนานิวะก็ปล่อยเพลงเครื่องเป่ามาแล้ว (ขอเข้าก๊วนบรอดเวย์นิวยอร์กด้วยได้ไหมงับ) งั้นก็หยิบมาใช้ประกอบฟิคไปเลย day1 วู้วว! ว่าไปแอบนึกถึงฟีลอาราชิอยู่นะ หรือมึงว่าไง กูไม่ว่าไร / ตั้งชื่อนางเอกไปเรื่อยเพราะนึกไม่ออก หานามสกุลฮาวายแล้วเจออันนี้เลยว่างั้นก็ตั้งชื่อให้อ่านเหมือนกันไปเลย เริ่ดไม่เริ่ดไปคิดเอา ส่วนชื่อพอร์เชียเอามาจากไวท์โลตัส 2 แต่ไม่ใช่คนที่ชอบหรอกเพราะที่จริงก็ไม่ชอบผู้หญิงสักคน -_- แต่คนนี้ดูเป็นผู้เป็นคนสุดละในเรื่อง สวัสดี
     อย่างที่รู้กันว่าไฟแต่งฟิคจะไม่ค่อยมาถ้าไม่มีงาน เพราะงั้นก็ทนๆ ปล่อยให้กูเอาฟิคเก่ามาลง ไม่ก็หยิบฟิคสมัยพระเจ้าเหามาแปลงไปพลางๆ ก่อนนะ กูก็เบื่อ กูก็เปื่อย U_U

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×