ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #19 : [17] you drive my mind insane - Dolores Tristana

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 63



    [ you drive my mind insane ]


                "ดูเด็กคนนั้นสิ น่ารักมาก ๆ เลยเนอะ"

                เสียงของใครสักคนดังขึ้น ดวงตาจ้องมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังยื่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน มือข้างหนึ่งของเธอถูกจับเอาไว้แน่นโดยคน ๆ หนึ่ง หญิงสาววัยราวประมาณยี่สิบห้าปี ใบหน้าสะสวย สวมใส่เสื้อโค้ทตัวยาวสีน้ำตาลที่เข้ากันได้ดีกับเดรสตัวน้อยสีเดียวกันบนร่างกายของเด็กน้อยคนนั้น

                ไม่ต้องบอกก็คงรู้ ว่าพวกเธอเป็นแม่ลูกกัน, ไหนจะใบหน้าที่พอมีเค้าเเววของกันเเละกันนั่นอีก

                แต่ว่า..อ่า จะให้พูดยังไงดีล่ะ? ประมาณว่ามีอะไรสักอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่ล่ะมั้ง?

                นั่นคือความคิดที่ดังอยู่ภายในใจของใครหลาย ๆ คน จริงอยู่หญิงสาวคนนั้นกับเด็กน้อยดูคล้ายกันมาก แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้รู้สึกว่าพวกเธอนั้นขาดความสัมพันธ์บางอย่าง..หรืออาจเพราะตอนที่ดวงตาคู่นั้นหลุบมองเด็กน้อย มันดูเย็นชาเกินกว่าจะเป็นแววตาของมารดาที่ใช้มองลูกของตนได้ล่ะมั้ง?

                "อยากได้อะไรอีกรึเปล่า" เธอถามลูกของเธอ เด็กคนนั้นเพิ่งพาเธอเดินออกมาจากร้านเครื่องดนตรี และเลือกไวโอลินตัวหนึ่งออกมา ซึ่งนั่นก็คงมากพอแล้ว เธอถึงส่ายหน้าไปมาจนเส้นผมสีฟ้าหม่นสะบัดพลิ้วไปทั่ว

                "หนูอยากกลับบ้าน" ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกายเล็กน้อย มันดูแฝงแววคาดหวังเอาไว้ "วันนี้เเม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันได้ไหมคะ?"

                ตอนนั้นเองที่หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับนิ่งสงบ เหมือนกับว่ามีคำตอบในใจมาแต่แรก

                "ขอแม่ดูก่อนนะ"

                เหมือนกับเด็กน้อยที่ยกยิ้มเศร้า ๆ ออกมา คล้ายกับเธอเองก็รู้ดีอยู่เเล้วว่าการอดูก่อนนั้นจะกลายเป็นคำตอบแบบใดขึ้นมาได้..


                สำหรับเด็กอายุเจ็ดปี พวกเขามีเรื่องให้รู้สึกอึดอัดมากที่สุดคือเรื่องไหน?

                ถ้าเป็นโดโลเรส..เธอคงบอกว่าการนั่งนับเข็มนาฬิกาเป็นสุดยอดเรื่องอึดอัดที่ว่านั่น

                ดวงตากลมโตจ้องมองหน้าปัดนาฬิกานิ่ง เห็นเข็มวินาทีเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ส่วนเข็มสั้นก็ใกล้เกี่ยวพาดลงไปบนเลขสี่ทุกที ๆ เด็กน้อยใจเต้นระรัว รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนชักหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง กระทั่งมันเคลื่อนไปบรรจบตรงเป้าหมายของเธอ โดโลเรสก็รีบดีดตัวลุกขึ้น เเล้ววิ่งแจ๋นไปยังหน้าประตูบ้าน ชะเง้อคอมองไปยังรั้วสีเทาอ่อนทันที

                ทว่าก็ยังคงไม่เห็นแสงใดส่องกระทบลงมา ทุกอย่างยังคงเงียบสงัด ส่วนใจของเธอจากที่พองโต ก็เหี่ยวแฟ่บลงมาทันที

                โดโลเรสในวัยเจ็ดปีเดินย่ำต๊อกกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม กอดตุ๊กตากระต่ายตัวโตเอาไว้ เเละเริ่มจ้องนาฬิกาอีกครั้งแม้ว่าตาของเธอจะใกล้ปิดแล้วก็ตาม

                "อ้าว" เสียงของใครสักคนดังขึ้น ไหล่เธอไหวสะดุ้งเบา ๆ ไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เพราะกลัวจะถูกดุซะมากกว่า.. "ทำไมยังไม่นอนอีกคะเนี่ย? หนูโดโลโรส" นั่นไงล่ะ..ไม่ทันขาดคำเลยเชียว เด็กน้อยทำตาตก สีหน้าดูเลิ่กลั่กขึ้นมาทันทีเมื่อถูกพี่เลี้ยงประจำตัวดุเข้าให้

                "รอคุณแม่ค่ะ.." เธอตอบกลับเสียงเบาหวิว ไม่กล้าสบตาคนอายุมากกว่าสักเท่าไหร่ ท่าทีหงอยเศร้าไม่น้อย

                "แต่นี่มันดึกมากแล้วนะคะ ไม่รีบไปนอนเดี๋ยวก็ป่วยเอาหรอกค่ะ"

                โดโลเรสนั่งเงียบ คอตกลงมาคล้ายกับจะยอมรับ เธอนั่งอยู่เเบบนั้นสักพัก แต่สุดท้ายก็ผงกศีรษะรับจำใจ แล้วกระโดดลงมาจากเก้าอี้ ได้แต่เดินต๊อกแต๊กกลับไปยังห้องนอนของเธอ ท่าทางน่าสงสารแบบนั้นทำเอาพี่เลี้ยงสาวอดใจอ่อนไม่ได้ ลูบศีรษะเด็กน้อยป้อย ๆ เอ่ยกล่าวปลอบเสียว่า

                "อย่าเศร้าไปเลยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เจอคุณแม่เองนั่นแหละเนอะ"

                รอยยิ้มบางยกแย้มตอบรับ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่หม่นแสงลง เรื่องนั้นน่ะ..เธอรู้ดีอยู่แล้วล่ะ

                ก็แค่อยากจะเห็นหน้าแม่ก่อนเข้านอนบ้างนี่นา..


                โดโลเรสเติบโตขึ้นมาภายในบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับทะเลสาปที่สวยที่สุดภายในเมือง

                บ้านของโดโลเรสนั้นไม่ถึงกับว่าเป็นเศรษฐีมากเงินทอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอนั้นจะยากจนอะไร คงต้องกล่าวว่ามีกินมีใช้นั่นแหละ..เด็กน้อยเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ดี เจอคนดี ๆ และได้รับการสั่งสอนอย่างครบถ้วน ไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไรไปเลย เว้นเพียงแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น

                หนึ่งคือเธอไม่มีพ่อ..หรืออาจจะบอกว่ามี แค่ว่าโดโลเรสไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย และไม่รู้อีกด้วยว่าชื่อของเขาคืออะไร ญาติของเธอพูดกันว่าแม่พลาดท้องตอนอายุยี่สิบ เธอไม่ยอมบอกว่าพ่อของเด็กในท้องเป็นใครและลาออกมาหาทางเลี้ยงดูเธอด้วยตนเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงรักแม่ของเธอมาก 

                ส่วนเรื่องที่สอง..นั่นก็คือแม่ของเธอ ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้กันสักเท่าไหร่

                มันเป็นเรื่องปกติรึเปล่านะ? ที่คนเป็นแม่มักจะทุ่มเทเวลาไปกับการงาน ถึงขนาดกลับบ้านดึกดื่นมืดค่ำอยู่ทุกวันอย่างนี้

                "วันนี้ก็กลับดึกเหมือนเดิมเหรอคะ" เสียงใสกรอกใส่ลงไปในหูโทรศัพท์ โดโลเรสยืนนิ่งรับฟังคำบอกกล่าวของผู้เป็นมารดาอยู่เงียบ ๆ ใบหน้าเธอดูเศร้าสร้อย แต่ไม่นานก็ดูจะกล้ำกลืนหายไป แล้วกลายเป็นเสียงที่ดูร่าเริงมากขึ้น "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แนนซี่ก็อยู่กับหนูทั้งคนนะ"

                ได้แต่โกหกไปเหมือนกับทุกที เพราะกลัวว่าแม่จะรู้สึกไม่ดีที่เธอไปวอแว..

                เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดวางหูโทรศัพท์ลงที่เดิม ตอนนั้นเริ่มจะนึกสงสัยขึ้นมา ว่าทำไมเเม่ถึงได้ยุ่งอยู่ตลอดเลยนะ? เธอน่ะ อยากให้เเม่กลับบ้านไว ๆ แล้วมานั่งกินข้าวด้วยกันบ้างนี่นา ไม่ใช่เอาแต่ทำงานจนดึกดื่น สี่ทุ่มเเล้วก็ยังไม่กลับมาแบบนี้น่ะ

                แต่เอาเถอะ — แค่ไม่ได้เจอหน้ากันบ่อย ๆ ไม่ค่อยได้กินข้าวด้วยกันสักเท่าไหร่ แค่นั้นเอง..มันไม่เป็นอะไรหรอก ก็เพราะว่าแม่กำลังทำเพื่อเธออยู่นี่นา

                ใช่..ไม่เป็นไร ทุกอย่างมันยังไม่เป็นไร

                เพราะตราบใดที่แม่ยังอยู่กับเธอ, ทุกอย่างย่อมไม่เป็นไรอยู่เเล้ว


                แต่อันที่จริง..โดโลเรสเองก็รู้สึกแปลก ๆ กับตัวของผู้เป็นแม่มาได้สักพักแล้ว..

                อาจเพราะเมื่อก่อนเธอเด็กเกินไปรึเปล่านะ เธอถึงได้ไม่สังเกตเลย หรือว่าเป็นเพราะชินชากับมันมากเกินไปกันแน่ โดโลเรสถึงได้คิดไปว่าการถูกผู้เป็นแม่มองด้วยสายตาว่างเปล่าขนาดนั้นอยู่ตลอดเวลา มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับแม่ลูกธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง

                และแน่นอนว่ามันไม่ปกติ, ไม่เลยแม้แต่น้อย เพราะคงไม่มีแม่ที่ไหนมองลูกสาวที่บาดเจ็บจากการตกบันไดด้วยสีหน้าเรียบสนิท คงไม่มีแม่ที่ไหนหรอกที่ทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย และไม่แม้แต่จะรับรู้ด้วยซ้ำเวลาที่ลูกของเธอป่วยหนักจนแทบช็อค

                "ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น ว่ามอลลอรี่น่ะเป็นแม่ที่แย่ขนาดไหน"

                ญาติของเธอสักคนพูดเอาไว้แบบนั้น และทุกคนก็พากันเห็นด้วย พวกเขาบอกกันว่า แม้มอลลอรี่จะหาเงินมาได้เป็นกอบเป็นกำ ซื้อเสื้อผ้า อาหาร ของเล่น หรือพาเธอเข้าโรงเรียนดี ๆ ได้แล้วอย่างไร สุดท้ายเธอก็เป็นแค่เเม่ที่มักทิ้งลูกสาวไว้ในบ้านกับพี่เลี้ยงที่ไหนก็ไม่รู้แค่สองคน และไม่เคยใส่ใจลูกของเธอเลย ถึงขนาดจำอาหารโปรดของโดโลเรสไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

                'น่าสงสาร' ทุกคนบอกว่าเธอเป็นแบบนั้น แต่โดโลเรสก็เพียงแค่ยิ้ม และพูดกลับไปเพียงแค่ว่า "แม่ของหนูน่ะดีที่สุดในโลกแล้วล่ะค่ะ"

                มันน่าเศร้า..ที่เธอต้องโกหก เพื่อปฏิเสธคำกล่าวว่าพวกนั้นต่อมารดาของเธอ

                และมันน่าเศร้า..ที่เธอทำทั้งหมดนั้นลงไป เพราะเธอรักหญิงสาวคนนั้นมากเสียจนโกรธเธอไม่ลงเลยสักครั้ง..

                ผู้คนทุกคนบนโลกมักมีข้อยกเว้นสำหรับใครงบางคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เลวร้ายแค่ไหน หรือโหดร้ายเท่าใด ก็มีแค่เขาเท่านั้นที่จะให้อภัยได้เสมอ สำหรับโดโลเรส คน ๆ นั้นก็คือแม่ของเธอเอง เพราะไม่ว่ามอลลอรี่จะใจร้ายกับเธอแค่ไหน ก็ยังเป็นโดโลเรสอยู่ดีที่รักมอลลอรี่มากที่สุดในโลก

                ก็แค่คิดว่าถ้าเธอเป็นเด็กดีของเเม่ ถ้าเชื่อฟัง ไม่งอแงหรือทำตัวมีปัญหา สักวันหนึ่งแม่ก็คงจะรักเธอมากขึ้นสักนิดเอง

                อดทนรออีกสักหน่อย..ให้ความรักงอกเงยกว่านี้อีกนิดเถอะนะ..


                เมื่อเวลาเริ่มผ่านไปเรื่อย ๆ ชีวิตของเธอยังคงเหมือนเดิม จนกระทั่งตอนนี้อายุสิบสี่แล้ว

                เป็นชีวิตธรรมดาที่เริ่มมีผู้คนรายล้อมมากขึ้น เพื่อนมิตรมากมายคอยรักใคร่เอ็นดู หากแม่ก็ยังเย็นชากับเธอไม่เคยเปลี่ยนไป..จนมันเริ่มทำให้เธอรู้สึกชินชา ไม่อยากรับรู้อะไร และเลือกปิดตาไปข้างหนึ่งเพื่อเมินเฉยความใจร้ายนั้น เลือกรักเธอต่อไปเหมือนกับคนโง่สักคนหนึ่ง

                สำหรับโดโลเรสในตอนนี้เเล้ว บางทีเธอคงเลิกคาดหวังที่จะได้รับรอยยิ้มอบอุ่นจากแม่ไปแล้ว

                สิ่งเดียวที่หวัง ก็คงเป็นเรื่องการทำให้คนที่ไม่รักกันเลยคนนี้ ยังอยู่กับเธอต่อไปเรื่อย ๆ ก็แค่นั้น

                'ตราบใดที่มีแม่ ทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร'

                ใช้ชีวิตต่อไป ท่องประโยคเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา วนเวียนอยู่ในหัวทั้งเเบบนั้น เธอเมินเฉยต่อทุก ๆ อย่าง คำกล่าวนินทาของพวกเพื่อนข้างบ้าน ความสงสารจากญาติบางคนที่เริ่มไถ่ถามว่าเธอต้องการไปอยู่กับพวกเขาแทนรึเปล่า เมินเฉยมันไปเสียจนหมด..และมันทำให้เธอเผลอมองข้ามอะไรบางอย่างไป

                บางอย่างที่เคยจ้องมองมาตลอด บางอย่างที่งดงาม หากแต่ยังคงด้านชา..

                "ขอโทษที พอดีว่าฉันมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย.."

                วันหนึ่งตอนที่กำลังเดินกลับบ้าน อยู่ดี ๆ ใครบางคนก็เอ่ยรั้งเธอเอาไว้ เขาเป็นชายหนุ่มที่เธอเห็นผ่านตาบ่อย ๆ ในทีวี มีเส้นผมและสีตาเช่นเดียวกับเธอ ตอนแรก ชายหนุ่มเหมือนแค่เข้าสุ่มถามหาไปเรื่อย แต่กลับดันโชคดีเกินคาด มิหนำซ้ำเขายังทำหน้าตกใจเสียจนน่าฉงนอีกด้วยตอนที่ได้สบตากับเธอเข้า

                "อะ เอ่อ.." ริมฝีปากที่อ้าค้างทั้งยังหุบไม่สนิท พยายามควานหาคำพูดอยู่สักพักใหญ่ "คือ..หนูรู้จัก มอลลอรี่ ทริสทาน่า..รึเปล่าเหรอ?" เป็นคำถามที่น้ำเสียงดูจะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่นัก

                โดโลเรสกะพริบตาเบา ๆ แต่ก็ยกยิ้มบางขึ้นตอบรับ เธอผงกศีรษะรับทันที "รู้จักค่ะ นั่นคุณแม่หนูเอง"

                และคราวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาทำสีหน้าตกใจมาก ๆ หากไม่นานก็ดูจะเปลี่ยนเป็นแววหมองเศร้ามากซะจนทำให้รู้สึกไม่เข้าใจและเป็นกังวล โดโลเรสถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เขาขอให้เธอพาเขาไปหาเเม่เสียแทน เมื่อเธอถามไถ่ถึงความสัมพันธ์ เขาก็นิ่งไปครู่ขณะหนึ่ง

                "..เพื่อนเก่าน่ะ" รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ยกขึ้นมาประดับอย่างเงียบงัน "เป็นเพื่อนที่..ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วล่ะ"


                โดโลเรสนั้นเผลอมองข้ามบางสิ่งในตัวของเเม่ไป

                และเธอไม่เคยรู้ตัวเลย..จนกระทั่งถึงวันที่เธอพาผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นไปหากับเเม่

                ในทุก ๆ วัน ดวงตาสีเทาหม่นของแม่มักว่างเปล่าอยู่เสมอ รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็จืดชืด ใบหน้าสะสวยหากว่าไม่มีสิ่งใดปรากฏอยู่เลย อย่างกับว่าเธอนั้นได้ตายไปแล้วทั้งที่ยังมีชีวิต..ไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกทุกข์ ไม่รู้สึกเศร้า..เว้นเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น

                วินาทีที่ชายหนุ่มคนนั้นก้าวเท้าลงมาจากตัวรถ ปรากฏตัวต่อหน้าเเม่ของเธอ ท่านก็ดูเหมือนกับว่าช็อคเสียจนพูดอะไรไม่ออก 

                "อาซาเอล..?" เว้นก็เพียงแต่ชื่อของเขาเท่านั้น

                เจ้าของชื่อ 'อาซาเอล' ยกยิ้มรับ เขาไม่ได้พูดอะไรเลย..ก็แค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่ เฝ้ามองหญิงสาวที่รีบเดินเข้าไปกอดเขาไว้แน่น เสมือนกับกลัวว่านั่นจะเป็นแค่ความฝัน แล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาทั้งที่กำลังยิ้มกว้าง เมื่อพบว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง

                "มารับฉันเเล้วใช่ไหม..เธอมารับฉันให้ไปอยู่ด้วยเเล้วใช่ไหม?"

                ตอนนั้นเอง ที่โดโลเรสรู้สึกใจหายวาบไปหมด

                เธอรู้สึกสับสน ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ทั้งเรื่องที่แม่กำลังพูดอยู่นั่นก็ดี หรือท่าทีที่เธอไม่เคยเห็นก็ด้วย..โดโลเรสจ้องมองรอยยิ้มนั้น มองดวงตาเป็นประกายคาดหวังซึ่งมอลลอรี่ใช้จ้องมองผู้ชายซึ่งเธอโอบกอดเอาไว้แน่น

                มันเป็นรู้สึกลึก ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่..ว่าเธอรู้สึกเสียใจ ที่แม่ไม่เคยยิ้มให้เธอแบบนั้นบ้างเลย

                แต่ในขณะเดียวกัน — ก็ยินดีที่แม่จะสามารถยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเหมือนกับคนอื่นเขาได้บ้าง..

                น่าเสียดาย, ที่ความสุขพวกนั้น มันอยู่ได้เพียงแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง

                อาซาเอลค่อย ๆ ผลักไหล่หญิงสาวที่กอดเขาไว้แน่นออก ดวงตาคู่นั้นฉายประกายแววบางอย่าง และมันทำให้รอยยิ้มของมอลลอรี่แข็งค้าง ก่อนจะค่อย ๆ หุบลงอย่างเชื่องช้า เมื่อชายหนุ่มปลดมือของเธอทิ้งไป

                "..ขอโทษนะ"

                ถ้อยคำขอโทษอันไร้ซึ่งที่มาที่ไป หากกลับแหลมคมเสียยิ่งกว่าคมมีด..


                แม่ไม่เคยมีแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข ทุก ๆ วัน มันจะตายด้านอยู่เสมอ

                แต่มันก็ไม่เคยมืดลงได้มากขนาดนี้เหมือนกัน


                "ผมกำลังย้ายไปอิตาลี"

                "..เเล้วจะไม่กลับมาอีกเลยเหรอ?"

                "อืม คิดว่าจะใช้ชีวิตใหม่ที่นั่นเลยน่ะ"

                ประโยคสนทนาดังตอบโต้กันไปมา ระหว่างหญิงสาวคู่หนึ่งที่ดูรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง ทว่ากลับมีระยะห่างต่อกันที่ลึกมากเสียจนมองไม่เห็นก้นเหว และโดโลเรสรู้ดีว่าการกระทำของเธอในตอนนี้เป็นการกระทำที่แย่มาก ถึงอย่างนั้นเธอก็ห้ามตัวเองไม่ให้มายืนแอบฟังพวกเขาอยู่ตรงนี้ไม่ได้จริง ๆ

                มอลลอรี่นั่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง แผ่นหลังเหยียดตรง ดูนิ่งสงบเป็นอย่างมาก โดโลเรสไม่เห็นว่ามารดาทำสีหน้าเช่นไรอยู่ แต่มองจากสายตาเป็นกังวลระคนเศร้าสร้อยของผู้ชายที่ชื่ออาซาเอลเเล้ว บรรยากาศข้างในนั้นมันคงไม่ดีสักเท่าไหร่

                "ฉันถามได้รึเปล่า" อยู่ ๆ มอลลอรี่ก็พูดขึ้นมา น้ำเสียงของเธอเบาหวิว "เธอกำลังจะเเต่งงานใช่ไหม?"

                ชายหนุ่มเงียบไป เขาไม่กล้าพูดมันออกมา แต่สุดท้าย..ก็ค่อย ๆ ผงกศีรษะรับเเผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง

                "เด็กคนนั้น..เธอเลี้ยงเขามาอย่างดีเลยสินะ"

                มอลลอรี่ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ ก็เพียงแค่หัวเราะเบา ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง "เหมือนกับดอกลาเวนเดอร์ไง" พึมพำคล้ายกับว่านั่นคือรำพึงกับตนเองเสียมากกว่า "ทั้งสง่างาม ไร้เดียงสา และมีแต่ความสงบสุข"

                "...."

                "เป็นลูกสาวในอุดมคติเหมือนอย่างที่เธอเคยคิดไว้ไง"

                โดโลเรสเฝ้ามองสถานากรณ์ต่าง ๆ อยู่เพียงเเค่เท่านั้น เธอรีบผละออกมาซะก่อน เพราะอาซาเอลเริ่มจะเอะใจสังเกตเห็นช่องว่างเล็ก ๆ ตรงระหว่างประตูขึ้นมา เด็กสาวนั้นกลัวว่าจะถูกจับได้เเละถูกผู้เป็นแม่โกรธเคือง เธอจึงรีบหนีขึ้นไปบนห้อง นั่งรอเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้นจนกว่าผู้ชายคนนั้นจะไป

                ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร..และไม่อยากรู้ด้วยว่าสิ่งที่เธอคิดขึ้นมาในหัวนี้ มันจะถูกต้องรึเปล่า

                เด็กสาวเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะเธอเอาไว้ ยกขาขึ้นกอดเข่าเเน่น ข่มตาลงสักชั่วอึดใจ หวังว่าถ้าตื่นขึ้นมาเเล้ว บรรยากาศน่าอึดอัดพวกนี้จะหายไป และแววตาของแม่จะสว่างขึ้นมากกว่านี้อีกสักนิด..

                จะมองเธอด้วยสายตาเย็นชาก็ได้ จะเมินเฉยเธอก็ไม่เป็นไร

                แต่ได้โปรด..อย่าให้มันกลายเป็นสายตาที่เหมือนกับว่าโลกของคุณกำลังจะพังทลายลงมาเลยนะคะ..


                โดโลเรสตื่นขึ้นมาอีกครั้งในกลางดึกคืนนั้น เพราะเสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังลั่น

                ดวงตาสะลึมสะลือ แต่เมื่อเห็นว่าใครกันที่โทรมาหา เธอก็รีบกดรับสายทันที ไม่สนแม้ว่านี่จะเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งเเล้วก็ตาม

                "มีอะไรเหรอคะแม่" เด็กสาวเอ่ยเสียงงัวเงีย เผลอลืมนึกไปซะสนิท ว่าทำไมแม่ที่อยู่บ้านเดียวกันถึงต้องโทรมาหาเธอด้วยนะ..?

                [.....]

                จนกระทั่งเริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรสักอย่างที่ผิดปกติ โดโลเรสเริ่มได้ยินเสียงบางอย่างแทรกเข้ามาเรื่อย ๆ มันเป็นเสียงคลื่นน้ำ..สาดซัดเข้ามาเหมือนกับว่าปลายสายนั้นกำลังยืนอยู่ที่ชายหาดยามกลางคืนไม่มีผิด

                "แม่คะ..แม่ไปทำอะไรที่ทะเลน่ะ"

                ผู้หญิงคนนั้น, แม่ของเธอเกลียดทะเลที่สุด

                เพราะว่าว่ายน้ำไม่เป็น และเธอก็เคยพูดเอาไว้ ว่าเพราะแบบนั้นเเหละ..ถึงทำให้มอลลอรี่ได้เจอกับพ่อของโดโลเรส

                [โดโลเรส] อยู่ ๆ หญิงสาวก็พูดขึ้น ไม่สนใจจะตอบคำถามที่เธอเคยถามเอาไว้ [ลูกเคยสงสัยบ้างรึเปล่า ว่าแม่หายไปไหนอยู่ทุก ๆ คืน]

                ริมฝีปากนั้นปิดสนิท มันหนักกว่าที่เธอคิดไว้..โดโลเรสไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงในตอนนี้ เธอรู้สึกลนลานตอนที่รู้ว่าเเม่ไปอยู่ในที่ที่อันตรายแบบนั้น เด็กสาวนั่งไม่ติดที่ แต่ก็พยายามเอ่ยตอบกลับไปด้วยเสียงที่เค้นออกมาจากคอ "..เพราะว่าแม่งานยุ่ง.."

                [เปล่า] แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ มอลลอรี่ก็แทรกกลับ [แม่ไม่ได้งานยุ่ง..ไม่ได้มีเรื่องที่ต้องทำเลย]

                "....." โดโลเรสเงียบเสียง รับฟังถ้อยคำที่ออกมาจากปลายเสียง และเริ่มจับสัมผัสความสั่นภายในนั้นได้มากขึ้นทีละนิด..ทีละนิด

                [แม่ไม่อยากกลับบ้าน..ไม่อยาก..กลับไปเจอหน้าลูก] มอลลอรี่กล่าวเสียงแหบพร่า สะดุดเป็นห่วง ๆ [เพราะทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่เหมือนกันกับเขาคนนั้น..มันก็ทำให้แม่ฝันอยู่ตลอด..เป็นฝันที่ทำให้โลกนี้ที่ไม่มีเขากลายเป็นฝันร้ายของจริง..]

                หลายครั้งที่โดโลเรสตั้งคำถาม ว่าทำไมแม่ของเธอไม่ค่อยกลับบ้านเอาซะเลย

                แต่มันช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ..ที่วันนี้เธอได้รับคำตอบนั้นแล้ว แต่กลับไม่อยากจะรับฟังมันเอาเสียเลย..

                "แม่คะ.." จนสุดท้าย เธอก็เริ่มหาเสียงตัวเองเจอได้อีกครั้ง โดโลเรสรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตาของเธอในทุกครั้งที่พยายามเรียกเธอคนนั้น หากแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลย เว้นแค่คำครวญคราง ทั้งพร่ำเพ้อหารักเก่า และกล่าวด่าทอตนเองซ้ำไปซ้ำมา

                "ตอนนี้..อยู่ที่ไหนเหรอคะ?" เด็กสาวกลั้นก้อนสะอื้น กุมมือถือทั้งที่เธอสั่นระริกไปทั่วทั้งตัว "บอกหนูหน่อยได้ไหม? นะ? จะได้ไปรับแม่กลับมากินของอร่อย ๆ กันไงคะ"

                [แม่มันเป็นแม่ที่แย่ เป็นแม่ที่เลวที่สุด]

                "ใครว่ากัน แม่หนูน่ะเก่งที่สุดเเล้วนะคะ"

                เพราะที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้รักกันเลย..เธอก็ยังคงดูแลเด็กน้อยคนนี้อย่างดีที่สุดเสมอ

                "เป็นคุณแม่ที่สวยกว่าใคร ๆ เป็นคุณแม่ที่แสนเก่งกาจ เป็นคุณแม่ที่หนูรักที่สุด..."

                ไม่มีใครแทนที่คุณได้อีกเเล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

                "เพราะงั้นได้โปรด.."

                ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ไม่ว่าทุกข์ใจแค่ไหน ทุกอย่างก็จะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน

                "อย่าทิ้งหนู..ไว้คนเดียวนะคะ"

                ขอแค่เราสองคนอยู่ด้วยกันล่ะก็..

                มือน้อยสั่นระริกกอบกุมมือถือแน่นเสียจนมุมเหลี่ยมของมันกดทับลงมาทำให้รู้สึกเจ็บ แม้หลังมือจะแสบร้อนจากการจิกปลายเล็บลงไป ต่อให้จะทรมานหายใจแทบไม่ออกจากหยดน้ำตาที่ตีตื้นรื้นขึ้นมา โดโลเรสก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ยังคงสวดภาวนาซ้ำ ๆ ให้หญิงสาวคนนั้นรับฟังเธอบ้าง

                หากแต่มันก็ช่างแสนน่าเศร้าเหลือเกิน..ที่เสียงของเธอมันไม่เคยถูกส่งไปถึงมอลลอรี่เลย

                [..ขอโทษนะ]

                แล้วโลกทั้งใบ — ก็เงียบสงัดจนกระทั่งไร้เสียง

                ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ริมฝีปากอ้าออกหากไม่อาจเปล่งเสียงใด ๆ ไม่แม้แต่จะสามารถสูดหายใจเข้าไปได้ เด็กสาวห่อตัวเข้าหากัน ทำได้เพียงทิ้งตัวลงให้น้ำตาลไหลกลิ้งลงมาจากดวงตาคู่สวย ไม่เหลือเรี่ยวแรงกระทั่งวิ่งออกไป เพื่อตามหาเธอคนนั้นอีกเลยด้วยซ้ำ..


                "ผู้หญิงคนนั้นเคยเป็นทุก ๆ อย่างของฉัน

                เป็นทั้งเเสงสว่าง..และรักแรกที่งดงามที่สุด

                แต่แล้วเธอก็หายไป..เหมือนอย่างที่นายเองก็หนีหายไปจากฉันเช่นกัน"


    ___TBC??___



    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×