คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Trust
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
พระอาทิตย์ทอแสงอบอุ่นส่องสอดผ่านหน้าต่างกระจกและกระทบบนโต๊ะไม้ที่ถูกทาทับด้วยสีน้ำเงินเข้ม
ทุกอย่างดูสดใส ไร้ความอึมครึมและหมองหม่น บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นเช่นนี้มานานแล้วเท่าที่บิลจำความได้
และเขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้คือเจ้าของน้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่พึ่งกล่าวอรุณสวัสดิ์ยามเช้าต่อเขาไปเมื่อครู่นี้
โดโลเรสมีท่าทีงก
ๆ เงิ่น ๆ เล็กน้อยตอนที่นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอาหาร เธอกวาดตามองไปรอบ ๆ
อย่างสนใจใคร่รู้
ความไม่คุ้นชินต่อสถานที่แปลกถิ่นยังคงมีอยู่ชัดเจนนับตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงกริยาหวาดกลัวแต่อย่างใด
โดโลเรสในตอนนี้แตกต่างจากโดโลเรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
“กินสิ”
บิลกล่าวเมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่กล้าแตะต้องเบคอนกับไข่ดาวที่เขาทำไว้ให้
เธอส่งยิ้มให้เขาครู่หนึ่งอย่างเขินอายก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารสักที บิลแสร้งให้ความสนใจกับหนังสือพิมพ์ประจำวันอาทิตย์ในมือ
แต่สายตาของเขากลับลอบจดจ้องทุกกริยาการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้า
ย้อนกลับไปในวันนั้น
โดโลเรสตื่นขึ้นมาหลังจากการสิ้นสติอย่างยาวนานโดยที่จดจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลยสักอย่าง
ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว เธอคิดว่าตัวเองตอนนี้เป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบเอ็ดปีเท่านั้น
เสมือนว่าเธอได้สูญเสียความทรงจำในช่วงระยะเวลาห้าปีหลังจากนั้นไปจนหมดสิ้น
บิลไม่ได้เชื่อคำพูดของเธอเสียหมด
บางทีนี่อาจจะเป็นแผนที่เธอตั้งใจปั่นหัวเขาเพื่อที่จะได้หลบหนีไปอีกก็ได้ แต่เขาไม่สามารถพิสูจน์ทฤษฏีนี้ได้ด้วยตัวเอง
เรื่องเกี่ยวกับทางสมองมีเพียงหมอเท่านั้นที่รู้
แต่การพาโดโลเรสไปโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป
หากเธอโกหกเรื่องความจำเสื่อมจริง ๆ
เธออาจจะใช้โอกาสช่วงที่อยู่โรงพยาบาลแอบหลบหนีหรือแจ้งเรื่องแก่ผู้อื่นก็ได้
ในเมื่อไม่อาจยืนยันข้อเท็จจริงได้
เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะตามน้ำไปก่อน บิลเริ่มสร้างเรื่องโกหกขึ้น เขาบอกโดโลเรสไปว่าจริง
ๆ แล้วเขาเป็นสามีของเธอเอง และเธอในเวลานี้ก็มีอายุถึงยี่สิบเอ็ดปีแล้วไม่ใช่สิบเอ็ดปีอย่างที่เข้าใจ
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เธอสูญเสียความจำบางส่วนไปก็เป็นเพราะเธอเผลอสะดุดตกบันไดหัวกระแทกพื้นตอนกำลังลงไปในชั้นใต้ดิน
นั่นเป็นคำโกหกทที่โคตรจะงี่เง่า แต่โดโลเรสก็ดูเหมือนจะเชื่ออย่างสนิทใจ
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยาแบบปลอม
ๆ ของเขาและเธอ
บิลจับสังเกตโดโลเรสตลอดเวลา
พยายามเฝ้ามองหาข้อผิดพลาดจากการกระทำของเธอ เพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องความจำเสื่อมของอีกฝ่ายเป็นเรื่องหลอกลวง
แต่ตลอดเวลาที่เขาเฝ้าดูเธอเขาไม่อาจหาสิ่งใดผิดปกติจากผู้หญิงคนนี้ได้เลย
หากนี้เป็นการแสดงก็นับว่าเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
แต่จะเป็นไปได้หรือที่เด็กสาวอายุสิบหกจะสามารถเสแสร้งเป็นเด็กอายุสิบเอ็ดปีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยได้แนบเนียนขนาดนี้?
บิลวางหนังสือพิมพ์ลงและยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
รสสัมผัสอันขมปร่ากระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า โดโลเรสจ้องมองท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนจะหยิบถ้วยกาแฟของตนขึ้นมาลิ้มรสบ้าง
และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของมันก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับเบ้หน้า
นี่เป็นความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งที่บิลได้ค้นพบในตอนโดโลเรสคนก่อนและโดโลเรสคนใหม่
โดโลเรสที่เขารู้จักก่อนหน้านี้เป็นผู้หญิงที่อ่านง่ายก็จริงแต่เธอไม่ได้แสดงอารมณ์ชัดเจนอะไรนัก
ตรงกันข้ามเธอค่อนข้างกลัวกับการแสดงออกทางความรู้สึกมากเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนที่ต่อต้านตัวเองตลอด
แต่โดโลเรสในปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้น เธอค่อนข้างมีความเป็นเด็กสูง ดูผ่อนคลาย ไร้เดียงสา
และแสดงออกทุกอย่างที่ตัวเองรู้สึกโดยไม่ปิดบัง
“เธอควรจะเติมนมสักหน่อยนะ”
เขาประหลาดใจอยู่นิดหน่อยกับน้ำเสียงที่อ่อนโยนผิดคาดของตัวเองยามเอ่ยกับอีกฝ่าย
อาจเพราะความเป็นเด็กที่เธอแสดงออกมาทำให้การปฏิบัติต่อเธอนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมด้วย
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงกินอะไรที่ขมขนาดนี้ลงไปได้” เธอบ่นงึมงำแต่ก็ดังพอให้เขาได้ยิน และประโยคนั้นก็ทำให้เขายิ้มเล็ก ๆ อย่างนึกขบขำ
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะชอบกาแฟ”
“แล้วทำไมคุณถึงชอบกาแฟล่ะค่ะ”
“คงเพราะความเคยชินมากกว่า” เขาจิบกาแฟอีกรอบ
มันเริ่มเย็นลงไปไม่น้อยแต่สัมผัสก็ยังอบอุ่นอยู่ “ชีวิตนี้มีแต่เรื่องขม
ๆ ทั้งนั้น แค่กาแฟแก้วเดียวคงไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไรนักหรอก”
โดโลเรสเงียบ
สีหน้าออกไปทางไม่เข้าใจแต่ก็ไม่คิดถามอะไรต่อ บทสนทนาจึงคล้ายว่าจะจบลงกลาย ๆ บิลจึงละความสนใจจากตัวเธอและถ้วยกาแฟไปในที่สุด
เขาล้วงเอาซองบุหรี่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
คีบมันออกมาตัวหนึ่งในปากแล้วเปิดไฟแช็กจุดติดปลายม้วนกระดาษห่อยาสูบสำเร็จรูปอย่างชาญชำนาญ
ปล่อยกลุ่มควันสีขาวให้ลอยตัวอ่อยอิ่งบนอากาศในห้องครัวดุจม่านหมอกในยามย่ำรุ่ง
“แค่ก” เสียงไอเล็ก ๆ ทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
เขาเหล่มองไปที่ฝั่งตรงข้ามแล้วเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าย่นหน้าและจ้องเขาเขม็ง บิลชะงักเพราะเธอทำให้เขานึกถึงสมัยก่อนช่วงที่รู้จักกันใหม่
ๆ เขาจำได้ว่าวันนั้นเธอเดินเข้ามาหาเขาตอนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องกลุ่มบำบัดจิตพอดี
และแน่นอนว่าแววตาของโดโลเรสยามนี้แทบจะไม่ต่างจากตอนนั้นเลยสักนิด
โอ้
เขาลืมไปเลยเชียวว่าเธอไม่ชอบบุหรี่
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มขบขำผุดขึ้นมาบนใบหน้า
บิลตัดสินใจเอ่ยถามเธอด้วยประโยคเดียวกับที่เคยถามในคราวนั้น
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? เหม็นหรือไง”
“ใช่ค่ะ”
นี่คือความแตกต่างอีกครั้งที่เขาได้พบ
เธอไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยความจริงด้วยการโกหกอย่างเช่นวันนั้นสักนิด
คำตอบอันตรงไปตรงมาทำให้เด็กหนุ่มต้องหลุดหัวเราะออกมาจนได้ เขาดับบุหรี่ในมือลงทันทีทันใด และรับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้แตกต่างไปจากคนก่อนหน้านี้ที่เขาเคยรู้จักมาก่อนชัดเจน
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนเกินไปนัก เพราะเขาค่อนข้างจะชอบลุคใหม่ของเธอเลยทีเดียว
แต่เขาจะสามารถเชื่อในสิ่งที่เห็นได้จริง
ๆ งั้นเหรอ?
...............................
คุณสามารถให้ความไว้วางใจกับใครสักคนได้ไหม?
โดยเฉพาะกับคนที่เคยหักหลังคุณมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บิลไม่ได้กักขังโดโลเรสไว้ในห้องใต้ดินอีกต่อไปแล้ว เขาให้เธอมาอยู่ข้างบนบ้าน ให้เด็กสาวได้สัมผัสกับแสงสว่างจากโลกภายนอกที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานเมื่อครั้งยังเป็นโดโลเรสก่อนหน้านี้ และเขาเองก็ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเมื่อก่อนเช่นกัน
เด็กหนุ่มรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อย
เพราะเมื่อคุณปล่อยนกออกจากกรง มันก็อาจจะบินหนีออกไปตอนไหนก็ได้ มนุษย์คาดเดาสิ่งในที่นกคิดไม่ได้หรอก
ฉะนั้นจึงไม่มีเจ้าของคนไหนจะโง่พอที่จะเปิดโอกาสหลบหนีแก่นกของตน
เขารู้เรื่องนี้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะทำมันลงไปอยู่ดี
แน่นอนว่าสิ่งที่บิลทำไปทั้งหมดนั้นไม่ใช่ด้วยความไว้วางใจอยู่แล้ว
วันนี้เขาบอกกับเธอว่าจะไปซื้อของข้างนอก
ถามเธอว่าอยากจะได้อะไรเป็นพิเศษไหม
และเขาก็ออกไปจากบ้านโดยทิ้งเธอไว้ที่นั่นเพียงลำพัง
เขาล็อกประตูหน้าไว้แต่ไม่ได้ล็อกประตูหลังและไม่ได้ล็อกหน้าต่างสักบาน
มันจึงเป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะหาทางออกไปจากบ้านหลังนี้ถ้าหากว่าเธอต้องการเช่นนั้น
ก็อย่างที่บอก
มนุษย์คาดเดาสิ่งในที่นกคิดไม่ได้หรอก
แต่เราสามารถสามารถคาดเดาได้จากการกระทำของมันว่ามันต้องการสิ่งใดกันแน่ และบิลก็เลือกใช้สิ่งนี้แหละในการพิสูจน์เธอ
มีกับดักสัตว์หลายอันที่ถูกวางซุกซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้และป่ารอบ
ๆ บ้าน ถ้าหากโดโลเรสต้องการจะหนี ก็ไม่มีทางที่เธอจะไปได้ไกลกว่านั้น สิ่งที่เด็กหนุ่มทำก็แค่แสร้งปล่อยให้เธอได้ลิ้มรสอิสรภาพชั่วคราวก่อนที่ความเจ็บปวดแท้จริงจะมาเยือน
เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสักทีว่าโดโลเรสก็เป็นนังตอแหลจอมโกหกที่หวังจะหลอกลวงเขาอีกครั้ง
และเขาก็ไม่มีทางจะตกหลุมพรางอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน
แม้ว่าแผนการจะค่อนข้างรัดกุมในระดับหนึ่งแต่บิลก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
ถึงอย่างนั้นแผนย่อมเป็นแผน บิลอดทนใช้เวลาเลือกซื้อของต่าง
ๆ อยู่นานเป็นชั่วโมงก่อนจะเดินทางกลับ ท้องฟ้าย่ำเย็นคล้อยค่ำนำพาให้ทุกอย่างดูมืดลงไปหมด
เด็กหนุ่มไม่ได้เข้าไปในบ้านทันที เขาเลือกที่จะวางของที่ซื้อมาไว้หน้าบ้าน
เดินไปหยิบไฟฉายที่โรงเก็บของ ก่อนจะเดินสำรวจไปตามที่ ๆ
ได้วางกับดักเอาไว้ตั้งแต่แรก
มาดูกันสิว่าจะมีเหยื่อมาติดกับดักบ้างหรือไม่
ท้องฟ้าที่ค่อย
ๆ มืดลงทำให้เสียเวลาในการสังเกตละระมัดระวังต่อกับดักมากสักหน่อย
เขาไล่ดูไปทีละจุดอย่างใจเย็น
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาตกใจแทบตายเมื่อพบเลือดสาดกระเด็นไปทั่วหย่อมหญ้า
แต่สิ่งที่อยู่ในกับดักไม่ใช่โดโลเรสอย่างที่คิด แต่เป็นแค่กระต่ายป่าตัวเล็ก ๆ
ต่างหาก เด็กหนุ่มใช้เท้าเขี่ยร่างของมัน
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับปราศจากสัญญาณของชีวิตสิ้นเชิง
และบิลก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาน่าจะเอามันมาทำอาหารได้สักมื้อ
อาจจะเป็นสตูเนื้อกระต่าย หรือพายเนื้อกระต่าย
เขาไม่เคยกินเนื้อกระต่ายป่ามาก่อนแต่มันคงจะน่าอร่อยไม่หยอก
กว่าจะตามดูจนครบทุกจุด
ท้องฟ้าก็มืดลงไปหมดแล้ว
บิลถอนหายใจเมื่อไม่พบว่าโดโลเรสติดกับดักอยู่ข้างนอกอย่างที่คิดเอาไว้
ไม่รู้ว่าเป็นด้วยความโล่งใจหรือความดีใจมากกว่ากัน แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่เขานั้นคิดผิด
เพราะลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้สิ่งที่คิดนั้นเกิดจริง
ๆ ขึ้นหรอก
อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้หลอกลวงเขา
นั่นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา
เมื่อแน่ใจว่าเสร็จธุระหมดแล้วคนตัวสูงจึงตรงกลับไปที่บ้านอีกครั้งโดยแสร้งทำตัวประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บิลในตอนนี้นั้นอารมณ์ดีขึ้นมามากโข เขาจัดการหอบเอาข้าวของเข้ามาข้างในบ้านก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดไฟให้สว่างแล้วตะโกนเรียกชื่อเธอ
“โดโลเรส”
ไม่มีเสียงขานรับอย่างที่ควรจะเป็น
ความเงียบเชียบภายในบ้านทำให้เด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้ว ‘นี่มันเงียบเกินไป’ เขาคิดก่อนจะกวาดตาไปรอบ ๆ
เพื่อมองหาเธอ
และทันใดนั้นบิลก็พึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้เข้ายามค่ำไปได้สักพักแล้วแท้ ๆ
แต่ไฟในบ้านกลับไม่ได้ถูกเปิดเลยจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเปิดมันเองเมื่อเข้ามาในบ้าน
ความผิดแปลกนี้ทำให้บิลเริ่มประติดประต่อทุกอย่างในใจ เขาเบิกตากว้างเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่โดโลเรสอาจจะหนีรอดออกไปได้ บางทีเธอคงออกไปข้างนอกแล้วเห็นกระต่ายป่าน่าสงสารที่ตายคากับดัก เธอจึงรู้ว่าบริเวณนี้มีกับดักซ่อนอยู่ และอาจใช้โอกาสนี้หลบหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย
“บ้าเอ๊ย!”
เขาสบถ
โยนข้าวของในมือทิ้งก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอกอีกครั้ง
แต่ก็ไม่อาจไปได้ไกลเพราะมีกับดักอีกมากที่วางไว้รอบบ้าน
บิลทำได้เพียงแค่มองไปในป่าอันมืดมิดอย่างสิ้นหวัง
หากเธอหนีออกไปเธอคงจะไปได้ไกลแล้ว แต่เขามั่นใจว่าเธอคงจะไม่สามารถออกจากป่าไปได้ในตอนนี้
ความมืดน่าจะต้องทำให้เธอหลงทางเป็นแน่
คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงระงับความหงุดหงิดในใจตัวเองลงแล้วกลับบ้านไปอีกครั้ง
หวังจะเตรียมปืนลูกซองและไฟฉายไปสักกระบอก
บางทีคงจะถึงเวลาที่เขาต้องยิงปีกนกของตัวเองทิ้งซะบ้าง มันจะได้ไม่คิดบิลเถลไถลบินหนีออกไปอีก
บิลเดินดุ่ม
ๆ เข้ามาข้างในบ้าน เตรียมไปคว้าปืนที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องนอนของเขาเอง แต่ก่อนที่อะไร
ๆ จะแย่ไปมากกว่านี้ ในช่วงเวลาที่ต้องเดินผ่านทางห้องรับแขก
เขาก็ต้องหยุดฝีเท้าของตัวเองแทบจะในทันทีเมื่อเห็นบางสิ่งที่อยู่ตรงนั้น บางสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเจออย่างง่ายดายเช่นนี้ด้วยซ้ำ
เป็นโดโลเรสนั่นเอง
คนที่เขาคิดว่าหายตัวไปในป่า
แท้จริงแล้วยามนี้กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาสีม่วงนั่นเอง
มือข้างหนึ่งจับนิยายเล่มหนาเอาไว้แนบอก ส่วนอีกข้างก็หย่อนไปที่พื้น
ผมปรกหน้ากระจัดกระจายไร้ระเบียบ บิลจ้องมองดูเธอเงียบ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะหลับลึกมากจนไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใดแม้แต่เสียงเรียกของเขาก็ตาม
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้บ้านนั้นดูเงียบผิดปกติ
และไฟก็ไม่ถูกเปิดอย่างที่ควรจะเป็น
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะเมื่อสิ่งที่เขาคิดไว้ล้วนผิดคาดไปเสียหมด
เขาทั้งดีใจและก็รู้สึกผิดในเวลาเดียวกันที่หวาดระแวงและคิดร้ายต่อเธอมากจนเกินไปทั้งที่ความเป็นจริงนั้นไม่ได้มีอะไรเลย
โดโลเรสไม่ได้หักหลังเขา เธอไม่ได้พยายามที่จะหนีเลยสักนิด
เธอเพียงแค่อ่านนิยายและเฝ้ารอเขากลับบ้านจนเผลอหลับไปเท่านั้น เธอคือคนบริสุทธิ์ไม่ใช่นังตอแหลจอมโกหกอย่างที่เขาเข้าใจ
น่าละอายเสียจริงที่เขาตั้งแง่กับเธอมากมายขนาดนี้
แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่าเธอสูญเสียความทรงจำไปจริง
ๆ เพราะถ้าเธอจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้คง
ไม่มีทางที่เธอจะมานอนหลับอย่างสบายอยู่ในบ้านเขาอย่างเช่นตอนนี้แน่นอน บิลมั่นใจว่าเธอจะต้องทำร้ายจิตใจเขาด้วยดิ้นรนที่หาทางจะหนีออกไปเหมือนกับตอนนั้น
แต่เธอก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน และไม่มีอะไรจะทำให้เขาดีใจไปมากกว่าเห็นเธอนอนหลับอยู่ตรงนี้แล้ว
บิลค่อย
ๆ อุ้มร่างเล็กกว่าขึ้นมาจากโซฟาก่อนจะพาเข้าไปในห้องนอน แล้วบรรจงวางอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังเพราะไม่อยากให้เธอต้องสะดุ้งตื่น
เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเธอก่อนจะจ้องไปที่ใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหลอย่างคิดคำนึง
นี่อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เธอความจำเสื่อมไปจริง
ๆ บางทีพระเจ้าอาจกำลังมอบโอกาสที่สองให้กับเขาเพื่อแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดให้มันถูกต้องสักที ไม่มีความเกลียดชัง การทะเลาะเบาะแว้ง
และความหวาดระแวงต่อกันอีก ต่อจากนี้จะมีเพียงเขาและเธอที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป โดยไม่มีสิ่งใดอื่นมาแทรกกลางได้อีกแล้ว
นี่คือการเริ่มต้นใหม่
และมันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?
_______________________
ความคิดเห็น