ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #18 : [16] on one can separate us apart - Alvah twins

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 62



    [ on one can separate us apart ]

                    เคยได้ยินนิทานเรื่องฮันเซลกับเกรเทลไหม?
                    มันเป็นเรื่องราวของสองพี่น้อง ที่ช่วยกันปราบแม่มดร้ายลงได้ล่ะ
                    และในนิทานเรื่องนี้..ก็เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงและเด็กชายคนหนึ่ง


                    กาลครั้งหนึ่งในครอบครัวครอบครัวหนึ่ง มีคู่แฝดได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก หนึ่งคือแฝดพี่ ผู้เป็นเด็กหญิงที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ผิวพรรณเนียนนุ่ม หากก็ขาวซีดเพราะพันธุกรรมของผิวเผือก มีอาการร่างกายอ่อนแออย่างรุนแรงตั้งแต่กำเนิด และสองคือแฝดน้อง เด็กชายร่างกายแข็งแรง หัวเราะร่าเริงต้อนรับการเกิดใหม่มาสู่โลกใบนี้ หากแต่ก็น่าเสียดาย..ที่เขาเกิดมาพร้อมทั้งคำสาปที่สถิตอยู่บนใบหน้าซีกขวานั่น
                    แฝดน้องผู้เป็นเด็กชายมีใบหน้าซีกขวาที่อัปลักษณ์ ต่างจากซีกซ้ายที่งดงามไม่ต่างอะไรจากแฝดพี่ มันการผสมผสานที่ตัดกันอย่างรุนแรงจนดูน่าเกลียด เหมือนว่าเด็กน้อยได้ถูกภูติผีห่าซาตานมาเข้าสิง ขนาดผู้เป็นแม่ยังขวัญผวา ไม่กล้ารับลูกเข้ามากอดไว้เพียงแค่ได้เห็นหน้าเมื่อครั้นแรกเกิด
                    และเด็กชายคนนั้น..ก็คือตัวเขาเอง

                    เขาเกิดขึ้นมาภายในครอบครัวที่เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นกลางของประเทศ
                    ฝาแฝดคู่หนึ่งในเชื้อชาติอเมริกา เขตบ้านเรือนที่อาจจะเก่าไปบ้างแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร ทุกอย่างมันก็ดูโอเค ถึงอาจจะไม่ได้หรูหราเหมือนบ้านเรือนของพวกเศรษฐี แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดว่านั่นเป็นบ้านที่มีความสุขดี
                    เว้นก็เสียแต่ว่าเขาจะมีหน้าตาแบบนี้อยู่กับตัว
                    "ไอ้ปีศาจมันมาแล้ว! หนีเร็วทุกคน!!"
                    เพียงแค่ขยับเท้าก้าวเข้าไปเหยียบในเขตสนามเด็กเล่น เสียงร้องโวยวายก็ดังระงมทันที อีเลียสในตอนนั้นอายุเจ็ดขวบ แต่เขากลับเฉยชาเป็นอย่างมากที่ถูกทุกคนทำท่าเหมือนกับเป็นก้อนอุจจาระ หรืออาจจะเป็นเชื้อไวรัสรุนแรง ที่ถ้าถูกสัมผัสแล้วจะทำให้เป็นโรคตายในทันที
                    ไม่รู้สิ..บางทีไอ้เด็กพวกนี้อาจเป็นโรคประสาท..ไม่ก็โรคดัดจริตอะไรแบบนั้น..
                    มันกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใจให้ชินไปแล้ว เพราะตั้งแต่เด็ก อีเลียสก็มักเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่เสมอ ทั้งการถูกร้องตะโกนโวยวายใส่จากพวกเด็กวัยเดียวกัน หรือการขว้างปาก้อนหินใส่อย่างกับคนเถื่อนจากพวกเด็กอายุเยอะกว่า และสายตาแขยงกับถ้อยคำเสียดสีแบบแอบ ๆ จากพวกมนุษย์ป้าทั้งหลาย
                    เอาเป็นว่าช่างมันเหอะ สรุปง่าย ๆ แล้วกันว่าชีวิตเขาในวัยเด็กแม่งโคตรเฮงซวยเลย

                    แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างมันจะบัดซบไปซะหมดหรอก
                    "กลับมาแล้วครับ"
                    หลังจากก้าวเท้าเข้าไปในบ้านขนาดเล็ก เขาก็เอ่ยออกมาพลางเก็บรองเท้าเข้าไปในตู้ หากยังไม่ทันที่อีเลียสจะได้ก้าวเท้าเข้าไปเหยียบพื้นบ้านดี ๆ เขาก็ได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาหา ก่อนที่ใครสักคนจะกระโดดโถมตัวกอดเขาใส่เต็มแรง จนเด็กชายถึงกับต้องหลุดร้องเหวอซะดังลั่น
                    เจ้าของเส้นผมสีขาวยาวปลายลอนน้อย ๆ ใบหน้าซุกอยู่กับไหล่เขา ได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้นว่า "ยินดีต้อนรับกลับค่ะ"
                    อีเลียสนิ่งไปเล็กน้อย หลุดยิ้มออกมาแผ่วเบา ยกมือขึ้นกอดตอบพี่สาวของเขาและพึมพำกลับไปว่า
                    "ไม่ได้ซื้อซาลาเปาครีมมาให้นะพี่สาว"
                    .....
                    เหมือนจะถูกกอดเเน่นกว่าเดิมจนชักจะเจ็บยังไม่รู้แฮะ..
                 
                    บ้านของเราน่ะมีกันอยู่สามคน มีเขา พี่สาวฝาแฝด แล้วก็แม่..แต่อันที่จริงแล้วคนสุดท้ายนั่นก็ไม่ค่อยจะอยู่บ้านสักเท่าไหร่หรอก
                    อีเลียสมักค้นพบว่าบ้านหลังน้อยนี่จะมีสมาชิกเดินวนเวียนอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งคือเขา สองคือพี่สาว สามคือเขา และสี่ก็คือพี่สาว ราวกับว่าเราอยู่กันแค่สองคนเท่านั้น แม่ไม่ค่อยกลับบ้านสักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ..อย่างน้อยหูของเขาก็พอได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านตอนเที่ยงคืนกับช่วงตีสี่ของทุก ๆ วันอยู่ล่ะนะ เพราะฉะนั้นก็สบายใจได้เลยล่ะว่าแม่ยังไม่ได้หนีไปไหนไกลหรอก
                    แต่เพราะแบบนั้น นั่นทำให้เขากับพี่สาวไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับแม่สักเท่าไหร่ อีเลียสมักทำอยู่ไม่กี่อย่าง นั่นคือไปเรียนแล้วก็กลับมาสอนหนังสือพี่สาวอย่างแอกเนส ที่มีร่างกายอ่อนแอและป่วยโรคถึงขนาดที่ว่าไปเรียนหนังสือที่โบสถ์ยังทำไม่ได้ ดังนั้นนั่นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องคอยสอนเธอยังไงล่ะ
                    ความจริงแล้วถ้าเรามีเงิน เราก็คงรักษาอาการป่วยของพี่ได้ แล้วเธอก็คงได้ไปเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ..
                    "แบบนี้ก็ดีเเล้วนี่คะ" ถึงอย่างนั้น แอกเนสกลับไม่ใส่ใจ เธอเลือกจะยิ้มออกมาอยู่เสมอในตอนที่ถามถึงเรื่องการศึกษาต่อและอาการป่วยของเธอ "ถึงจะวิ่งไม่ได้ก็เถอะ เเต่ว่าก็ได้น้องชายที่น่ารักคอยดูแลตลอดทั้งวันเลยนะคะ"
                    ..คิดในแง่บวกซะจนแอบคิดว่าดูเพ้อเจ้อเลยแฮะ..
                    "ถ้าผมไม่อยู่ด้วยขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ"
                    "ไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ" แอกเนสตอบกลับทันที เธอไม่ลังเลเลยสักนิด "น้องชายน่ะไม่ทิ้งพี่สาวหรอกนะ"
                    เพราะเธอรู้ดีน่ะสิ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัว

                    พวกเราสองคนน่ะเป็นฝาแฝดกัน
                    คนหนึ่งอัปลักษณ์ อีกคนงามดั่งสวรรค์เสก คนหนึ่งร่างกายแข็งแรง อีกคนป่วยโรคและอ่อนแรง คนหนึ่งเฉยชา ส่วนอีกคนก็อ่อนหวาน..ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังเข้าใจกันและกันได้อย่างลึกซึ้ง ต่อให้แตกต่างกันมากแค่ไหน อีเลียสและแอกเนสก็ยังเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกันเสมอ
                    อีเลียสอยู่กับแอกเนสมาโดยตลอด เราสองคนแทบไม่เคยห่างกัน เว้นแต่ตอนที่เขาออกจากบ้านไปโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ
                    อยู่ด้วยกันตลอด..จนคิดว่าจะไม่มีวันแยกจากกันแน่ ๆ

                    แต่แล้ววันหนึ่ง เรื่องราวมันก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อย ๆ..

                    "ทักทายคุณพ่อสิ"
                    เสียงของหญิงสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน จนเกือบลืมไปซะแล้วว่าเคยมีตัวตนบนโลกนี้เว้นเพียงเสียงเปิดปิดประตูนั่น อีเลียสที่เพิ่งกลับมาจากการแวะไปที่โบสถ์แถวบ้าน เขากลับพบว่ามันมีรองเท้าไม่คุ้นตาวางเอาไว้ และเมื่อเดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน ก็พบกับหญิงสาวผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้า ท่าทางอันตรายเกินกว่าเขาจะกล้าเรียกว่า 'พ่อ' ออกมาได้
                    อีเลียสหันมองรอบตัว เขาเห็นแอกเนสยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ สีหน้าดูซีดเซียวและเป็นกังวล ชัดเจนเลยว่าเธอก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้
                    แต่ว่าพวกเราสองคนน่ะ..แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านอยู่แล้ว
                    ผู้หญิงคนนั้นต่างหากล่ะที่ให้ที่อยู่อาศัยเรา แม้ว่าจะไม่ต้องการ
                    "สวัสดีครับ.." ลิ้นร้อนแลบเลียกลีบปากในขณะที่กลั้นใจพูดออกไป อีเลียสขยับเท้าเข้าไป แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อชายหนุ่มคนนั้นหยิบแก้วบนโต๊ะปาใส่เขาเต็มแรง..เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตอนถูกหินปาใส่ไม่มีผิด
                    "หน้าตาน่าเกลียดเป็นบ้า" ลมหายใจร้อนคุกรุ่นพ่นฟึดฟัด เสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างขยะแขยง "อย่ามาเข้าใกล้ฉันเชียว"
                    และในตอนนั้น อีเลียสก็ได้ตัดสินใจในทันที..ว่าเขากับพ่อเลี้ยง..คงไม่มีวันญาติดีกันได้แน่

                    อีเลียสน่ะ รู้เสมอแหละว่าลางสังหรณ์ของเขามันไม่เคยพลาดหรอก
                    นับตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามาในบ้าน อะไรหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ตัวเขาในวัยสิบห้าตัดสินใจเลิกไปโบสถ์เพื่อร่ำเรียนกับเหล่าบาทหลวงที่คอยใจดีสอนให้ เพียงเพราะเกรงกังวลเกินกว่าจะก้าวเท้าออกจากบ้าน ว่าพี่สาวนั้นอาจะได้รับอันตรายอะไรก็ได้ในตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน
                    เพราะไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเฮงซวยน่ะสิ

                    "นั่นแผลอะไรน่ะ"
                    ไหล่เล็กสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเอ่ยทักจากด้านหลัง แอกเนสหันมามองเขาก่อนรีบซ่อนท่อนแขนสองข้างที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีม่วงอมน้ำตาลแดงประหลาดอย่างรวดเร็ว แต่เพราะผิวของเธอมันขาวมาก เขาถึงมองเห็นทันทีเพียงแค่เหลือบตามองเลยน่ะสิ
                    "ไม่มีอะไรหรอก" รอยยิ้มบางยกยิ้มมาประดับใบหน้า ยังคงสมบูรณ์แบบเหมือนกับทุกที
                    อีเลียสหรี่ตาลง เขารู้..รู้ดีอยู่แล้วพี่สาวน่ะกำลังโกหก
                    เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เอื้อมมือไปรั้งให้อีกฝ่ายยอมปล่อยท่อนแขนกลับมาวางไว้บนหน้าตัก แรก ๆ แอกเนสก็รั้นนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมแต่โดยดี เขาถึงได้เห็นเต็มตาสักที ว่านั่นมันเป็นรอยอะไรกันแน่
                    "บุหรี่.." ริมฝีปากพึมพำ ในขณะที่มือก็เผลอกำแน่นไม่รู้ตัว อีเลียสลุกพรวดขึ้นมาทันทีในเวลาต่อมา แต่ก็ถูกกระชากตัวเอาไว้
                    "ไม่ได้! อย่าไปยุ่งกับเขานะ!"
                    พี่สาวพุ่งตัวกอดเขาเอาไว้ ปลายนิ้วสั่นระริกพยายามกำเหนี่ยวรอบแขน แต่เพราะเธอซูบผอมลงไปมาก จากวันนั้นก็แค่สี่เดือนเท่านั้นเอง แต่หน้าตากลับอิดโรย น้ำหนักลดลงฮวบฮาบจนเห็นกระดูกนูนชัด ใบหน้าก็ตอบลงจนเริ่มหมดความสวย ไหนจะรอยจี้บุหรี่บนแขนนั่นอีก
                    อีเลียสรู้ว่ามันเป็นฝีมือของไอ้เวรนั่น
                    "อย่าไปนะอีเลียส.."
                    เหมือนกับที่พี่สาวเขารู้ตัว และพยายามปิดบังเขามาตลอดเวลานี้
                    เสียงสะอื้นดังเบา ๆ จากเด็กสาวคนนั้น เธอกอดเขาไว้แน่น เรี่ยวแรงน้อยนิดแค่สะบัดทีเดียวก็หลุดแล้ว แต่เขาจะทำอย่างนั้นได้ยังไง? เขาจะทำให้เธอเจ็บ หรือปล่อยพี่สาวของเขาที่กลัวเสียจนตัวสั่นไปหมดคนนี้ไว้เพียงลำพังได้ยังไงกันล่ะ..?
                    "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่"
                    "......"
                    "มันทำบ้าอะไรกับพี่? ไอ้สารเลวนั่นมันทำอะไร?"
                    เขาพร่ำถาม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอก็ไม่ยอมตอบกลับมาเลย ไม่นานนักแอกเนสก็ถอยตัวออกจากอ้อมกอดของเขา..และยกยิ้มขึ้นมา
                    มันเป็นรอยยิ้มที่แค่เห็น อีเลียสก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกมีดแหลมนั้นกรีดซ้ำลงไปในใจจนเจ็บระบมไปหมด

                    เขาพยายามที่จะถามแอกเนสอยู่อีกหลายครั้ง ว่าพ่อบุญธรรมนั้นทำอะไรกับเธอกันแน่
                    นอกจากรอยบาดแผลบนร่างกายที่เห็นได้ชัดอย่างการถูกตีหรือต่อย ไม่ก็การถูกบุหรี่จี้ที่แขน ก็เป็นร่างกายนั้นที่เริ่มซูบผอมลงไปเรื่อย ๆ แอกเนสน่ะ แต่เดิมก็มีร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว พอเธอต้องเจอกับความกดดันมากมาย บวกกับอาการบาดเจ็บทางร่างกายที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างดี ก็เริ่มที่จะแย่ลงเข้าไปอีก..
                    สุดท้ายอาการป่วยของเธอก็กำเริบหนัก
                    และเขาเห็นพี่สาวนอนหอบหายใจรวยรินอยู่บนเตียงนอนด้วยสภาพที่เหมือนกับกระดูกศพหุ้มหนัง

                    เพล้ง!
                    ขวดเหล้าถูกฟาดลงกับโต๊ะ ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาไปลากตัวออกมาจากห้องในตอนตีสอง ช่วงเวลาที่ไอ้เวรสารเลวนั่นมันหายหัวไป อีเลียสบังคับให้มารดาหุบปากให้สนิท อย่าได้คิดแหกปากรบกวนพี่สาวของเขา ใช้ปลายแหลมจากปากขวดฉลามชี้เข้าใส่หน้าอีกฝ่าย
                    "พูดออกมา"
                    น้ำเสียงเย็นเฉียบกล่าวทีละคำชัดถ้อยชัดคำ ราวกับว่าไม่ใช่เสียงของเด็กอายุสิบห้า
                    และถ้าคนตรงหน้าเขายังคิดปิดปากเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรเลยที่มันเป็นประโยคกับเรื่องนี้..ที่ต่อไปที่ขวดมันจะฟาดลงไปหา ก็คือลำคอของหล่อนเองนั่นแหละ..
                    "แม่ขอโทษ.."
                    เพราะหวาดกลัว สิ่งที่พยายามเก็บงำเอาไว้ถึงเริ่มหลุดเล็ดรอดออกมา
                    แม่ไม่ได้ให้ผู้ชายคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน เพราะหล่อนต้องการจะแต่งงานใหม่กับคน ๆ นั้น
                    "แม่ติดหนี้เขา" เสียงสะอื้นของหญิงวัยกลางดังอยู่ต่อหน้าเขา "แต่แม่ไม่มีเงินแล้ว ไม่มีอะไรเลย..ที่มีก็แค่พวกเธอสองคนเท่านั้น"
                    หรือก็คือในอีกความหมายที่ว่า 'ช่วยยกชีวิตนั่นคืนมาเพื่อชดใช้หนี้ให้ฉันทีเถอะนะ'
                    เพียงแค่นั้นก็เข้าใจทุกอย่าง ร่างของเขาชาวาบไปหมด อีเลียสได้แต่นั่งนิ่งอยู่ต่อหน้าแม่บังเกิดเกล้า สัมผัสเสียงร้องไห้ที่น่าสังเวชนั่น ซึมซับความน่าขยะแขยง ความเห็นแก่ตัว ความสกปรกที่มากมายและอัปลักษณ์เสียยิ่งกว่าใบหน้าของเขา

                    มนุษย์เราน่ะ มันโสโครก
                    ต่ำช้า เลวทราม ดีแต่คิดเรื่องสารเลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                    "..รู้บ้างไหมว่าพี่สาวผมต้องทรมานขนาดไหน?"
                    "แม่ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ --- กรี๊ด!!"

                    เสียงกรีดร้องนั่นมันทั้งแสบแก้วหู และน่ารำคาญ
                    อีเลียสจ้องมองหยดของเหลวสีแดงที่ไหลซึมไปตามขวดเหล้าปากฉลามในมือเขา จ้องมองมารดาที่ลงไปนอนดีดดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เพราะถูกเขาฟาดขวดเหล้าใส่ใบหน้านั้นอย่างไม่ออมมือ คมแหลมของมันกรีดผ่านเนื้อ ตัดผ่านเยื่อดวงตา แต่ทั้งหมดนั่น มันก็ไม่ได้สาสมเลยสักนิด
                    ผู้ชายสารเลวคนนั้นน่ะมีนิสัยที่ชื่นชอบทำร้ายร่างกายเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวย
                    และการที่แม่พาเขามาที่นี่ ก็เพราะว่าต้องการจะใช้ตัวแอกเนสแลกเปลี่ยนเป็นการใช้หนีที่ติดค้างอยู่ในตอนนี้
                    ความรู้สึกโกรธเดือดพล่านไปทั่วทั้งอก อีเลียสนึกอยากจะกรีดผิวหน้านั่นให้แหลกเสียจนไม่มีพื้นที่ว่างใด ๆ อีก แต่ตอนที่เขาเงื้อมือขึ้น ศีรษะกลับถูกกระแทกอย่างแรง โลกหมุนเปลี่ยนทิศ ร่างถูกเหวี่ยงกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะไม้เต็มแรง
                    "นังตัวไหนที่ ลอเรียร์ อัลวาห์ ห๊ะ" ผู้ชายรูปร่างใหญ่โตพร้อมกับพรรคพวกอีกสามคนก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน กวาดตามองหาคนที่กำลังตามหาอย่างรวดเร็ว "ผัวแกมันให้มาเก็บหนี้กับแกว่ะ เพราะฉะนั้นก็รีบ ๆ จ่ายมาได้แล้ว"
                    "ไม่..ไม่..สามีฉันตายไปแล้ว..เขาตายไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว!!"
                    หญิงสาวกรีดร้อง ก่อนจะยิ่งกรีดร้องหนักเข้าไปใหญ่เมื่อถูกกระชากเส้นผมขึ้นมา อีเลียสกะพริบตาเพื่อขับไล่ความมึนงง เขามองสถานการณ์ทุกอย่างอย่างสับสนอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะตระหนักได้ทันทีว่าเขาต้องรีบออกไปจากที่นี่
                    "ไอ้เด็กนี่คือลูกชายมันรึเปล่าวะ?" แต่แล้วกลับมีใครสักคนมายืนขวางทางเขาเอาไว้จนแทบมิด
                    "ก็คงใช่ แต่หน้าตาแม่งน่าเกลียดชิบหาย เอามันมัดขาถ่วงน้ำไปกับแม่มันนั่นแหละ อยู่ไปก็รกโลก"
                    เสียงมากมายอื้ออึงอยู่ในหัว อีเลียสแทบจับใจความมันไม่ได้เลย เขารู้สึกเจ็บไปหมด ทั้งหน้า และศีรษะ เด็กหนุ่มถูกกระชากตัวขึ้นมา แต่ในตอนที่เขากำลังถูกอีกฝ่ายซัดหมัดเข้าใส่หน้า มันก็กลับมีใครสักคนปรากฏตัวขึ้น วิ่งเข้ามาใส่เรา แล้วใช้แจกันในมือนั่นฟาดใส่ศีรษะโล้นของคนที่กระชากคอเสื้อเขาอยู่เต็มแรง จนอีกฝ่ายต้องกรีดร้องเสียงดังลั่น สะบัดมือเหวี่ยงร่างเขาทิ้งทันที
                    แผ่นหลังของอีเลียสกระแทกเข้ากับช่วงตัวของใครสักคน พวกเขาเกือบล้มคว่ำลงไปทั้งคู่ แต่อีกฝ่ายก็พยายามลากเขาออกมาจากจุดนั้น ใช้ช่วงทีชุลมุนไปหมด พากันกอดประคองวิ่งหนีออกมาจากบ้านที่ไม่มีวันเป็นบ้านหลังเดิมอีกต่อไป
                    แอกเนสเป็นคนที่มาช่วยเขาเอาไว้
                    แม้ว่าเธอกำลังป่วย และทรมานจากโรคร้ายจนแทบจะตายทั้งเป็นอยู่แล้วก็ตาม

                    
                    ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าสองคู่ย่ำไปตามทาง โชคร้ายเหลือเกินที่วันนี้หิมะเพิ่งหยุดตกไปได้ไม่เท่าไหร่ มันหนาวยะเยือก รู้สึกแสบไปหมดทั้งฝ่าเท้าแล้วด้วย
                    อีเลียสเดินต่อไปอีกแค่ได้ไม่กี่ก้าว เพราะคนที่ช่วยประคองเขามาตลอดล้มลงไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มหลุดร้องอุทานเสียงดังลั่น ตะเกียตะกายเข้าไปหาร่างของพี่สาวที่นอนคว่ำหน้าหอบหายใจหนักอยู่บนพื้นหิมะอย่างไว
                    "พี่..พี่..ได้โปรด..อย่าเพิ่งนะ อย่าเพิ่งหลับเด็ดขาด.."
                    เสียงของเขาสั่น พยายามประคองร่างที่เกือบจะไร้สติเต็มทนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด รั้งเธอเข้ามาและพยายามมอบความอบอุ่นให้ หวังว่ามันจะช่วยให้ไหล่เล็กนี้สั่นเทาน้อยลงกว่าเดิมได้บ้าง
                    "พระเจ้า.."
                    หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาของเขา
                    รู้สึกทรมาน รู้สึกเจ็บปวด และขยะแขยงในชื่อที่เผลอหลุดเรียกออกมา
                    
                    อีเลียสเคยนึกสงสัยมาตลอด ว่าทำไมถึงเป็นเขากับพี่ที่ต้องเจ็บปวด
                    ทำไมการที่เราเพียงแค่เกิดมา ถึงทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานเจียนตายกันถึงเพียงนี้
                    ไม่ได้มีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนใครเขา ไม่มีอาหารและน้ำอร่อย ๆ ไม่มีโอกาสได้ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนสถานศึกษาใหญ่ ๆ ไม่มีแม้แต่โอกาสจะรักษาโรคป่วยไข้ของพี่สาวเลยด้วยซ้ำ
                    เพราะเราปราศจากเงินทองงั้นหรือ? เราจึงถูกสาปให้เจ็บปวด..

                    ใบหน้านี้ที่หากมีเงินล่ะก็ ก็คงเปลี่ยนมันให้กลับเป็นปกติได้ในพิรบตา
                    โรคร้ายนี้ที่หากมีเงินล่ะก็ ก็คงรักษามันไปได้ไม่ยาก
                    หนี้สินนี้ที่หากมีเงินล่ะก็ ก็คงใช้คืนไปให้ได้อย่างง่ายดาย

                    "ถ้าหากว่ามีเงินล่ะก็.."


                    "อ่า ถูกแล้ว ถ้ามีเงินทองเหล่านั้นก็ทำได้ทุก ๆ อย่าง.."
                    ในตอนที่สติของพวกเขากำลังพร่าเลือนเต็ม อีเลียสได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น ไม่รู้ว่าอยู่ตรงหน้าหรือปรากฏตัวอยู่ที่ใด ดวงตาของเขามันพร่ามัวเกินไป..แต่ริมฝีปากนั้นก็รั้นตอบกลับไปโดยไม่สนสิ่งใดเสียเลย
                    "ฉันต้องการเงินทอง"
                    "ฉันไม่อยากยากจน"
                    ลมหายใจผ่อนเข้าออกหนักขึ้น ฝ่ามือของพวกเราสองคู่กอบกุมกำแน่นจนแทบกลายเป็นจิกรั้ง
                    สาปแช่งโชคชะตา ด่าทอเทพเจ้าที่ทักสานสายทางเดินอันบัดซบนี้ขึ้นมา

                    "พวกเราไม่อยากทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว"

                    ขอแค่ให้ได้เงินทองเหล่านั้นมา ก็จะมีความสุข
                    ดังนั้นเเล้วเป็นพระเจ้าหรือปีศาจห่าเหวอะไรก็ช่าง จะเอาวิญญาณหรืออะไรไปก็ตาม
                    ช่วยแลกทั้งหมดนั่น..กับความสุขที่เราทั้งสองได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบทีเถอะ..


    ____________________TBC?____________________
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×