คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 17
บทที่ 17
“กลับมาแล้ว!”
ลูน่าเอ่ยด้วยเสียงที่เกือบจะเรียกว่าตะโกนอย่างสดใสเช่นเคย ขณะที่อาร์โรห์เดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆแล้วกล่าวเสียงเบา
“กลับมาแล้ว...”
“ยินดีต้อนรับกลับ ลูน่า อาร์โรห์” เดลเอ่ยด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขากำลังจัดวางจานลงบนโต๊ะ และเป็นตอนนั้นเองที่คาร์ลยื่นหน้าออกมาจากส่วนครัว คิดว่าเขาคงจะเข้าไปเก็บของที่หามาได้
“กลับมาแล้วเหรอ พอดีเลย
ข้าเพิ่งไปเจอสมุนไพรพิเศษมาล่ะ”
“อะไรๆ สมุนไพรอะไรเหรอ!?”
ลูน่าเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
ในขณะที่อาร์โรห์ค่อยๆคลำมือไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วเลื่อนออกมาเพื่อที่เขาจะได้นั่งลง
“สมุนไพรช่วยบำรุงน่ะ มันทำให้พลังเวทฟื้นฟูเร็วขึ้นเป็นสามเท่าตัว โชคดีจริงๆที่โลกนี้เองก็มีเหมือนกัน”
อาร์โรห์ที่กำลังจะนั่งลงถึงกับชะงักกึก
“คิดว่ากินซักสองสามครั้งก็คงจะเห็นผลแล้วล่ะ”
คาลร์เอ่ยพลางเดินออมาพร้อมกับหม้อใบหนึ่งในมือ
แต่เมื่อเห็นท่าทีของอาร์โรห์เขาก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ
“ดีใจใช่มั้ยล่ะอาร์โรห์”
เมื่อเจอคำกระตุ้นอาร์โรห์ก็เงยหน้าขึ้นมาหาคนพูด ดวงตาสีพิสุทธิ์วาววับไปด้วยแววยินดี แม้ว่าจะยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ
แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับสื่ออารมณ์ออกมาทั้งหมด
เดลที่เห็นแบบนั้นก็หลุดขำออกมาอีกคน
มีแค่ลูน่าที่ยื่นหน้าเข้ามามองอาร์โรห์ใกล้ๆด้วยรอยยิ้ม
“ดีใจจริงๆด้วยสินะ”
“เปล่าซะหน่อย...”
อาร์โรห์บอกปัดพลางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ก็แค่คิดว่าในที่สุดข้าก็จะได้กลับมาเป็นปกติเร็วขึ้นก็แค่นั้นเอง...”
“ปากไม่ตรงกับใจเล้ย”
ลูน่าจงใจยกปลายเสียงให้สูงขึ้นจนคนโดนล้อขมวดคิ้วขณะที่ใบหน้าปรากฏสีแดงจางๆ
หลังจากนั้นเสียงหัวเราะร่วนก็ดังมากจากทั้งสามคนที่ทำเอาอาร์โรห์อายจนต้องก้มหน้างุด
“เอ้า! เอาล่ะ
สนุกกันแค่นี้ ลูน่า เดล
เข้าไปเอากับข้าวมาทีนะ
แล้วก็อาร์โรห์ เจ้าต้องกินยานี่ก่อนแล้วถึงจะกินข้าวได้”
คาร์ลเอ่ยพลางยื่นชามใส่ยาไปตรงหน้าอาร์โรห์ที่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นมือออกมารับถ้วยยาไปดื่ม
รสขมปร่าปนกลิ่นเหม็นเขียวที่แล่นเข้ามาในปากทำเอาอาร์โรห์แทบจะบ้วนตัวยาทิ้ง
แต่เมื่อคิดว่ามันจะทำให้เขาพ้นจากสภาพนี้เร็วขึ้นก็ฝืนกลืนลงไปจนสำลัก
“แค่กๆๆ”
“เอ้าๆ ระวังหน่อย”
เสียงของคาลร์ที่ใช้กล่าวฟังดูอ่อนโยนขณะที่อีกฝ่ายขยับเข้าไปช่วยลูบหลังของคนที่ตัวเล็กกว่า
“เจ้าดื่มช้าๆก็ได้นี่อาร์โรห์
ยานี่ใช่ว่าจะกินได้ง่ายๆนะ”
“ก็เพราะกินไม่ได้ง่ายๆข้าถึงต้องรีบกินไง!”
อาร์โรห์เอ่ยเสียงขุ่น
คาร์ลหัวเราะเบาๆแล้วดึงถ้วยอันว่างเปล่าออกมาจากมือของอาร์โรห์แล้วเอาไปวางลงบนโต๊ะ
“ไม่ต้องห่วงอาร์โรห์
เจ้าต้องกินมันไปเรื่อยๆทุกวันจนกว่าเจ้าจะหายดีเลยล่ะ”
อาร์โรห์ที่ได้ยินดังนั้นลอบเบ้หน้าน้อยๆ
ถ้าเขาต้องกินยาที่ขมปี๋แถมเหม็นเขียวแบบนี้ทุกวันมีหวังสักวันตัวเขาต้องมีเหงื่อออกมาเป็นกลิ่นเดียวกับยานั่นแน่ แค่คิดก็สยองแล้ว...
ไม่รู้ว่าความคิดชวนจิตตกนี้แวบเข้ามาในหัวตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่มันคงจะแสดงออกมาทางสีหน้าของเขาด้วยคาลร์ถึงได้ส่งเสียงหัวเราไม่หยุดแบบนี้
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรพิเรนทร์ๆหรือเปล่าหรอกนะ แต่ถ้าอยากหายล่ะก็พยายามกินหน่อย ข้าเชื่อว่าผลที่ออกมาจะต้องน่าพอใจแน่ๆ”
แม้จะเอ่ยคำพูดที่ฟังดูมีเหตุผลและสาระออกมา
แต่อาร์โรห์กลับรู้สึกว่าคำพูดนั้นเกิดไม่น่าเชื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น คงจะเพราะว่าเสียงของคาร์ลที่ใช้พูดมันเต็มไปด้วยแววขบขันที่ปิดไม่มิดละมั้ง
และแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นในเช้าของวันต่อมาจนได้...
อาร์โรห์ที่ลืมตาขึ้นมาพบแสงสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
นัยน์ตาที่เริ่มปรากฏสีเทาจางๆกระจ่างใสมองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น ห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ แม้จะมีกลิ่นอายเก่าไปบ้างแต่ที่นี่ก็ถือได้ว่าไม่เลวแล้วสำหรับคนที่ไม่มีเงินอย่างพวกเขา
เด็กหนุ่มดันตัวลุกขึ้นนั่ง
ร่างกายที่เคยหนักอึ้งตลอดกว่าสองอาทิตย์มานี้ดูเหมือนจะเบาขึ้นเล็กน้อย
รู้สึกได้ว่าตนเองขยับร่างกายที่เคยฝืดเฝื่อนเหมือนเครื่องจักรขาดน้ำมันหล่อลื่นได้ดีขึ้นราวกับว่าโดนหยดน้ำมันหล่อลื่นลงตามข้อต่อ
ก๊อกๆ
“อาร์โรห์ เจ้าตื่นหรือยัง ข้าเข้าไปนะ”
เสียงที่ดังเข้ามาจากนอกห้องเรียกให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองบานประตูที่ค่อยๆเปิดอ้าออก ร่างที่ปรากฏอยู่นอกกรอบประตูคือร่างของคาร์ลที่อยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดา พอเห็นแบบนั้นแล้วอาร์โรห์ก็รู้สึกว่ามันดูน่าตลกแปลกๆจนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
อินคิวบัสหนุ่มชะงักเมื่ออยู่ๆก็ได้เห็นอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น และคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รอให้คาร์ลต้องสงสัยอยู่นาน
เขาลุกขึ้นและเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ชุดใหม่เจ้าดูดีจังนะ”
พูดจบก็ใช้นิ้วชี้จิ้มลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย “เสื้อสีตุ่นๆคอกว้างๆกับกางเกงสามส่วนเก่าๆ?
ใครช่างสรรหาดีจริง”
“เจ้าก็มีเสื้อผ้าไม่ต่างจาก...เดี๋ยวนะ...”
เป็นตอนนั้นเองที่คาร์ลเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “เจ้ามองเห็นข้า...?”
อาร์โรห์เลิกคิ้วข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้ง
“ยาของเจ้าใช้ได้ดีจริงๆนั่นล่ะ
เห็นผลทันใจมากเลย”
สิ่งที่กล่าวออกมาไม่ได้ทำให้คาร์ลรู้สึกดีไปกว่ารอยยิ้มสดใสที่อาร์โรห์แทบไม่เคยทำให้เห็น
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ ถ้าลูน่ากับเดลรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ”
คาร์ลเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะยื่นมือมาทางอาร์โรห์ “ มาเถอะ เราไปหาพวกเขากัน”
“อื้อ”
อาร์โรห์พยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือออกไปจับกับฝ่ามือที่ยื่นมาให้ จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้อง ลงบันไดสู่ชั้นล่างที่สองพี่น้องรีการ์ดกำลังรออยู่
อาร์โรห์แกล้งทำเป็นยังคงมองไม่เห็นโดยมีคาร์ลเป็นแนวร่วมทำท่าราวกับช่วยพยุงเขาอยู่
ครั้งนี้เป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆที่แม้ทั้งสองจะไม่ได้นัดแนะกันเอาไว้แต่ก็กลับรับมุขอีกฝ่ายได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องมองตากันเลยด้วยซ้ำ
“อรุณสวัสดิ์อาร์โรห์ คาร์ล”
ลูน่าที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเอ่ยทักทาย
ขณะที่เดลยื่นหน้าออกมาจากในครัว
แล้วคิ้วของเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
“อาร์โรห์ ข้าได้กลิ่นไอพลังเวทลอยออกมาจากตัวเจ้าด้วย”
“หือ? จริงเหรอพี่!?
งั้นก็แปลว่าอาร์โรห์ฟื้นตัวเร็วขึ้นจริงๆน่ะสิ!”
“คงงั้นมั้ง” เดลยักไหล่แล้วหดหัวกลับเข้าไปในครัวต่อ
ลูน่าที่ได้ยินคำตอบของพี่ชายตนเองหันมาหาอาร์โรห์ก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงร่างของอาร์โรห์ให้มานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆตนเองโดยมีคาร์ลตามลงมานั่งถัดไปอีก
“เป็นยังไงบ้างเนี่ย??
เจ้ามองเห็นหรือยัง??”
“อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ...”
อาร์โรห์ทำสีหน้ายุ่งยากใจ
เขายังอยากแกล้งคนต่อไปอีกสักพัก
เพราะงั้นขออีกสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง?
เดี๋ยวพอบอกก็ไม่มีอะไรสนุกๆให้ได้เห็นแล้วนี่นะ
“อะไรของเจ้าเนี่ย...”
ลูน่าเบ้หน้าเล็กๆ “ยังมองไม่เห็นจริงๆน่ะเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงนะ...”
อาร์โรห์เอ่ยขณะที่เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อเห็นท่าทีผิดหวังของลูน่า
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะสนุกต่ออีกหน่อยนี่นา หรือว่าเขาจะเล่นมากเกินไปจริงๆ?
“ยังไม่เห็นจริงๆน่ะเหรอ...”
ลูน่ายิ่งเบ้หน้าหนักขึ้นกว่าเดิม
ใบหน้าน่ารักของเด็กสาวเริ่มเหยเกเหมือนจะร้องไห้ ขนาดคาร์ลที่เห็นก็ยังต้องเลิกคิ้วขึ้น
ด้วยไม่นึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
“เอ่อ...”
“ยังไม่เห็นจริงๆน่ะเหรออาร์โรห์...”
เสียงของลูน่าเริ่มสั่นมากขึ้นจนแม้แต่คนที่อยู่ในห้องครัวยังต้องยื่นหน้าออกมามองเหตุการณ์
“ค...คือว่า...”
“อาร์โรห์...”
เสียงสั่นเครือพร้อมกับนัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกที่ช้อนขึ้นมองเรียกเหงื่อเย็นๆให้ไหลออกมาตามใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มอินคิวบัสอย่างช่วยไม่ได้
และการถูกดวงตาของลูน่าจ้องนานๆก็ไม่ได้เป็นผลดีกับเขาเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วอาร์โรห์ก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเสียเอง
“ก็ได้ ข้ามองเห็นแล้ว”
เสียงของเด็กหนุ่มอินคิวบัสเอ่ยออกมาเบาๆ
ยอมแพ้กับสายตาของลูน่าอย่างสิ้นเชิง และก็เป็นตอนนั้นเองที่เด็กสาวลุกขึ้นท้าวเอวพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างผู้ชนะจนอาร์โรห์ต้องเงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆกับคาร์ล ส่วนเดลที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหดหน้ากลับเข้าไปในครัวต่อ ส่วนหลังจากนั้น...
อย่าให้พูดถึงมันเลยดีกว่า...
“ข้าไม่ควรคิดว่าเจ้าเป็นเด็กสาวเรียบร้อยสินะ ลูน่า...”
อาร์โรห์ถอนหายใจใส่จานอาหารตรงหน้าก่อนจะตักอาหารเข้าปากไปอีกคำหนึ่ง
“ข้าออกจะเป็นเด็สาวบอบบางร่างเล็กและเรียบร้อยนะ”
พูดจบลูน่าก็หัวเราะหึๆอย่างเจ้าเล่ห์สวนทางกับคำพูดที่เพิ่งจะกล่าวออกไปอย่างที่หักล้างกันจนเกลี้ยง
แถมยังช่วยเสริมคำพูดของอาร์โรห์ให้มีความเชื่อถือมากขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เจ้าก็ไม่มีเตือนกันเลยเดล”
อาร์โรห์หันไปคาดโทษคนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด
ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงยักไหล่รับเท่านั้น
“แต่ดีขึ้นก็ดีแล้วนี่
ที่เหลือก็แค่รอให้พลังเวทของเจ้ากลับคืนมาให้หมดแล้วไปจัดการเฮคเตอร์ให้จบเรื่องไป”
คาร์ลเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่เรื่องนี้ถูกฝังลงในส่วนที่ลึกที่สุดของสมองไปชั่วคราวเพื่อที่จะได้สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติชนได้อย่างไม่เกิดพิรุธ
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีเรื่องกับมนุษย์บางคนอยู่นี่นะ...
“ข้าจะพยายาม”
อาร์โรห์เอ่ยเสียงเบา
แต่นั่นกลับเรียกให้คาร์ลหันกลับมามองร่างของคนพูดแล้วเคาะหัวอีกฝ่ายเบาๆ
“จะพยายามอะไรล่ะ เจ้าแค่รักษาตัวให้ดี อย่าบาดเจ็บหนักๆมาอีกก็พอแล้ว”
“พี่คาร์ล...”
คำเรียกนั้นทำให้รอยยิ้มของคาร์ลกว้างมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ใช่ คาร์ลน่ะไม่รู้ตัว แต่อีกสามคนน่ะเห็นเต็มๆ โดยเฉพาะอาร์โรห์ เขารู้สึกว่าเขาควรจะเลิกใช้คำนี้ในการเรียกอีกฝ่าย เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเจอรอยยิ้มที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายบ่อยๆแน่ๆ
เขาบอกเลยว่าเขาอาจจะรับไม่ไหวและเผลอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ้าได้...
“ฝึกข้า...?”
เดลเอ่ยพลางชี้มาที่ตนเองด้วยสีหน้างงๆ
“ใช่” คาร์ลพยักหน้าเบาๆ
“ไม่ใช่แค่เจ้า ลูน่าก็ต้องฝึกเหมือนกัน”
“ทำไมอยู่ๆถึงมาฝึกเอาตอนนี้ล่ะ?”
ลูน่าเอ่ยถามบ้างด้วยความสงสัย
แน่นอนว่าเธอต้องเคยฝึก
และค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตนเองอยู่ไม่น้อย แต่ที่เธอสงสัยคือ
ทำไมเดินทางกันมาตั้งนานไม่เห็นจะมีใครยกประเด็นนี้มาพูดกันเลยสักครั้ง แล้วอยู่ๆก็มาบอกว่าจะมาฝึกให้
การที่เธอถามออกไปก็เรียกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์
คาร์ลยิ้มรับคำถามนั้น
“เตรียม ‘บุก’ ไงล่ะ”
“หา?”
ลูน่าส่งเสียงอย่างไม่เข้าใจในขณะที่เดลขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาพอจะเข้าใจเจตนาที่จะมานั่งฝึกเอาตอนนี้แล้ว นัยน์ตาสีแดงต้องสาปกลอกไปมองอาร์โรห์ที่หันมาเผยยิ้มบางๆให้
“เจ้าคิดจะไปต่อสู้กับเฮกเตอร์อีกงั้นเหรอ?”
เดลเอ่ยถามขึ้นจนลูน่าที่ได้ยินรบสะบัดหน้าไปทางอาร์โรห์ทันที
“เจ้าจะบ้าเหรอ!?
คราวที่แล้วเจ้าเกือบตายมานะ!!”
“ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา...”
อาร์โรห์ถอนใจ “ถึงพวกเราจะอยู่แบบนี้ต่อไปก็ใช่ว่าเฮคเตอร์จะไม่ตามล่าพวกเราต่อ
หมอนั่นน่ะทำทุกวิถีทางได้เพื่อที่จะฆ่าข้า...เข้าใจหรือเปล่า?”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไป สุดท้ายแล้วคาร์ลก็เอ่ยขึ้นมา
“เอาล่ะ
ยังไงซะก็ถือซะว่าฝึกไปเพื่อป้องกันตัวก็แล้วกัน
เดลเจ้ามาฝึกกับข้า ส่วนลูน้านก็แยกย้าย...เจ้าคงไหวนะอาร์โรห์?”
อาร์โรห์พยักหน้ารับเบาๆ
“เอาล่ะ งั้นก็แยกย้าย
อีกสิบนาทีต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับการฝึกนะ”
คาร์ลกล่าวตัดบทจนไม่มีใครสามารถแย้งได้
สุดท้ายลูน่าก็เดินบ่นกระปอดกระแปดกลับขึ้นไปบนห้อง
ส่วนเดลก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อจัดการเก็บงานที่เหลือให้หมด
เหลือเพียงคาร์ลกับอาร์โรห์ที่หันมายักไหล่ให้กันแล้วต่างฝ่ายต่างก็ออกไปเตรียมบทเรียน
คิดว่าพวกเขาทั้งสี่คนคงจะต้องเหนื่อยกันอีกหน่อย อย่างน้อยก็จนกว่าร่างกายของอาร์โรห์จะพร้อมล่ะ
สิบนาทีผ่านไปไวราวกับเพียงชั่วพริบตา ทั้งสี่คนเดินออกมาจากบ้านสู่ทุ่งหญ้าที่ห่างออกมาจากตัวบ้านอีกระยะหนึ่ง จากนั้นคาร์ลและเดลก็ขอตัวแยกไป
“เอาล่ะ”
อาร์โรห์สูดหายใจเข้าทีหนึ่งแล้วจึงหันมามองลูน่า “ไม่ต้องเกรงใจนะ ใช้วิชาดาบของเจ้าออกมาให้เต็มที่เลย”
“เอ๋?”
ลูน่าส่งเสียงออกมาด้วยความงุนงง “ด...เดี๋ยวๆๆๆ
เจ้าจะให้ข้าใช้ดาบโจมตีเจ้า??”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“พูดเล่นใช่ไหม เดี๋ยวเจ้าก็ได้เลือดหรอก”
“ก็ถึงได้บอกไงว่าไม่ต้องห่วง”
“หา?”
“เอาเถอะน่า เร็วๆเข้า
พวกเรามีเวลาในการฝึกไม่มากหรอกนะ
ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ขีดจำกัดความสามารถของเจ้าก่อน”
“เอางั้นเหรอ?”
“อื้อ”
ลูน่านิ่งไปครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ
สุดท้ายแล้วเธอก็ถอนหายใจพลางชักดาบออกมาจากฝักแล้วกระชับแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง
อาร์โรห์ที่เห็นดังนั้นก็กดมุมปากลงเป็นรอยยิ้มบางๆ
หากแต่เขาก็ยังคงยืนนิ่งรอให้ลูน่าเป็นฝ่ายบุกเข้ามาก่อน
เด็กสาวชาวมนุษย์ตั้งท่าเตรียมบุกเข้าใส่
เธอรอให้อาร์โรห์ดึงดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา
แต่หลังจากผ่านไปหลายนาทีเธอก็ยังไม่เห็นว่าอาร์โรห์จะขยับทำอะไรนอกจากยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ เห็นแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อย เพราะสำหรับนักดาบแล้ว การที่คู่ต่อสู้ไม่แม้แต่จะชักอาวุธหรือตั้งท่าเตรียมสู้ก็ไม่ต่างไปจากการดูหมิ่นในฝีมือและชั้นเชิงของตนเองเลย
เห็นดังนั้นแล้วเธอก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ
ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่อาร์โรห์ด้วยความเร็วที่ถือว่าเร็วมากแล้วสำหรับมนุษย์ที่ไม่มีเวทในการช่วยในด้านความเร็ว
แต่มันก็ยังช้าเกินไปสำหรับอาร์โรห์ที่เน้นการใช้ความเร็วเป็นหลัก ถึงจะไม่ถึงกับกลายเป็นภาพสโลวโมชั่น
แต่มันก็ช้ามากพอให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของเธออย่างชัดเจน
เด็กหนุ่มขยับยิ้มกว้างขึ้นแล้วก้าวเท้าขยับไปทางด้านข้างสองสามก้าว
เพียงแค่นั้นร่างของลูน่าที่พุ่งถลาเข้ามาหาเขาก็พลาดเป้าไม่สามารถเบี่ยงวิถีของตนเองให้มาหาอาร์โรห์ได้
ต้องวิ่งไปอีกหลายก้าวกว่าจะสามารถชะลอฝีเท้าของตนเองให้ช้าลงเพื่อนเปลี่ยนทางเข้าหาอาร์โรห์
แต่นั่นกลับทำให้เธอพบว่าเธอช้ากว่าอาร์โรห์ไปหลายก้าว
เพราะเขาเข้าประชิดตัวเธอได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!!!
“เฮ้ย!!!”
ลูน่าทันได้เพียงแค่ร้องออกมาอย่างตระหนกก่อนจะหลับตาปี๋พร้อมกับหดคอจนคางแทบจะชิดกับลำคอตามสัญชาตญาณเมื่อพบว่าอาร์โรห์เงื้อมือที่ถูกกระชับนิ้วเข้าหากันจนเรียงตัวคล้ายกับมีดขึ้นและขยับสร้างกระแสลมแหวกอากาศเข้ามาหาเธอราวกับจะใช้มือข้างนั้นกระซวกแทงเข้าใส่
ฟึบ!!!
“...”
ขณะที่ลูน่าคิดว่าเธอคงจะได้แผลแล้วแน่ๆอยู่นั้นเธอก็สังเกตได้ว่าลมที่เกิดจากการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนั้นหยุดลงตรงหน้าเธอ ดวงตาสีมรกตจึงค่อยๆขยับเปิดขึ้นข้างหนึ่ง
และสิ่งที่เธอเห็นก็คือมือข้างหนึ่งที่หยุดอยู่ตรงหน้าเธอห่างออกไปเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร
เมื่อลูน่าเห็นว่ามือข้างนั้นยังเข้าไม่ถึงตัวเธอเธอก็เปิดตาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมๆกับถอนหายใจที่ไม่รู้ว่าเผลอกลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมาพลางยกมือขึ้นลูบอกตัวเอง
“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเจ้ามีจุดอ่อนที่ไหนบ้าง งานนี้คงต้องฝึกกันหนักหน่อยนะลูน่า” เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามคล้ายเด็กสาวตรงหน้าเผยยิ้มแล้วดึงมือกลับไปพร้อมๆกับกลับมายืนในท่าปกติอีกครั้ง
“อือ...” ลูน่าพยักหน้ารับคำพูดนั้น
“แต่เจ้านี่สุดยอดจริงๆ
ขนาดไม่มีเวทมนตร์คอยช่วยยังเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้น แถมยังอ่านจุดอ่อนข้าออกตั้งแต่ข้าก้าวเท้าแล้วแบบนี้ เจ้าทำได้ยังไงน่ะอาร์โรห์?”
“ใครว่าเข้าอ่านเจ้าออกตั้งแต่ก้าวเท้า?”
คนถูกเอ่ยชมเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย
“อ้าว
ก็เจ้าหลบดาบข้าได้แถมยังขยับเข้ามาประชิดทันทีเลยนี่นา”
คำอธิบายนั้นยิ่งทำให้อาร์โรห์ทำหน้างงเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็หลุดขำพรืดอย่างไม่อาจห้ามได้
ถึงคราวลูน่าทำหน้างงบ้างแล้ว
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆอาร์โรห์ถึงหัวเราะออกมา
และยิ่งไม่เข้าใจว่าที่เธอพูดมามันมีอะไรให้หัวเราะกัน?
“ขอโทษนะลูน่า ข้าว่าเจ้ากำลังเข้าใจผิดอยู่นะ”
อาร์โรห์เอ่ยทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ “ข้าก็แค่หลบการโจมตีของเจ้าด้วยวิธีพื้นๆเพื่อลองเชิงว่าเจ้าจะตามข้ามาได้หรือเปล่า
พอเห็นว่าเจ้าขยับเลยข้าไประยะหนึ่งถึงได้มั้นใจว่าเจ้าเบี่ยงมาหาข้าไม่ได้เลยเข้าประชิดตัว ไม่ได้ประชิดตัวเจ้าทันทีเสียหน่อย”
“...”
โอเค เธอยอมรับก็ได้ว่าเธอมันกาก...
ในขณะเดียวกัน เดลและคาร์ลที่แยกมาอีกทางก็เริ่มฝึกกันแล้วด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกับพวกอาร์โรห์มากเท่าไหร่นัก คือการประลองที่ไม่ว่าจะยืนมอง นั่งมอง
นอนมอง ตะแคงมอง
กลับหัวมองยังไงคาร์ลก็ชนะแน่ๆด้วยการประลองเวท
และสำหรับเดลที่ปกติมักจะใช้ได้แค่เวทพื้นฐานอย่างเวทลูกไฟ เวทดินที่สร้างโล่ดินอันแสนเปราะบาง และเวทลมที่ใช้พัดฝุ่นเพื่อสร้างม่านพรางตาพื้นๆที่ขอให้เจอคนที่มีพื้นฐานเวทสูงหน่อยก็ทำให้หายไปได้โดยไม่เปลืองแรงแล้ว ก็ถือได้ว่าการที่จะชนะนั้นไม่มีทางเลย เราพแค่ป้องกันตัวก็หืดขึ้นคอแล้ว
คาร์ลมองเดลที่นำเวทพื้นฐานมาใช้อย่างไร้หลักการแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
เอาแค่จะควบคุมให้พลังเวทเสถียรยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป...
“เอาล่ะ เดลพอแล้ว” คาร์ลเอ่ยพลางถอนหายใจ
“ข้าคงต้องสอนเจ้าตั้งแต่พื้นฐานการควบคุมพลังเวทเลยละมั้งเนี่ย...”
“ฮะๆๆ...” เดลหัวเราะแห้งๆรับคำพูดนั้น
“ก่อนอื่นเลย ข้าจะให้เจ้าฝึกด้วยไอ้นี่”
ว่าจบก็แบมือออกมาตรงหน้าพลางรวบรวมพลังเวท
ต่อมาน้ำบริสุทธิ์ที่ค่อยๆปรากฏออกมาจากพื้นและพุ่งเข้าหามือของคาร์ล และเพียงไม่นาน บอลน้ำลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
“”เอาล่ะ เอามือของเจ้ามาทาบบนบอลน้ำลูกนี้ แล้วใช้พลังเวทของเจ้าประคองให้มันคงรูป”
“แค่นั้นเหรอ?”
คำถามนั้นส่งให้คาร์ลฉีกยิ้มที่ทำให้เดลต้องผงะไปด้วยสีหน้าแหยๆ
“มันก็ ‘แค่นั้น’ แหละ”
“...”
เดลที่เจอคำพูดนั้นเกิดรู้สึกว่าไอ้ที่คนตรงหน้าจะให้เขาทำนี่คงไม่ใช่เรื่องง่ายแวจริงๆ
แต่คาร์ลก็ยื่นมือข้างที่มีบอลน้ำลอยอยู่เหนือฝ่ามือเข้ามาใกล้เขาเป็นเชิงว่าให้ลองทำดู
สุดท้ายแล้วเขาก็ยื่นมือไปรับบอลน้ำลูกนั้นมาโดยที่คาร์ลยังไม่ละมือออกไป
“เอาล่ะ
ทีนี้เจ้าปล่อยพลังเวทของเจ้าออกมาคลุมบอลน้ำลูกนี้เอาไว้ พอข้าปล่อยมัน
หวังว่ามันจะยังคงรูปให้เห็นได้สักสี่หรือห้าวินาทีนะ”
“อ...อือ...”
เดลรับคำด้วยสภาพไม่เต็มเสียง
เขาทำตามที่คาร์ลบอกอย่างระมัดระวัง
ค่อยๆปล่อยพลังเวทเข้าคลุมบอลน้ำลูกนั้นไว้ ทว่า
เมื่อคาร์ลดึงมือออกไป
บอลน้ำลูกนั้นก็ร่วงลงบนฝ่ามือของเขาแตกกระจายกลับเป็นสายน้ำไหลลงสู่ผืนดินโดยที่เขาทำได้แต่มองตาปริบๆ
“อ...เอ่อ...คาร์ล...เมื่อกี้นี้ทำไมมัน...”
เดลได้แต่ยืนนิ่งมองน้ำที่ไหลลงสู่ดินผ่านง่ามนิ้วของเขาอย่างงุนงง
“ง่ายๆ เจ้าปล่อยพลังเวทออกมาคุลมรับบอลน้ำน้อยเกินไป”
คาร์ลเอ่ยพลางเริ่มรวบรวมบอลน้ำขึ้นมาใหม่
“และข้าก็คิดว่าเจ้าคงสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงอ่านกลไกเวทของข้าไม่ได้”
“เอ่อ...เรื่องนั้นข้าเองก็ข้องใจเหมือนกัน ทั้งอาร์โรห์แล้วก็เจ้า ข้าอ่านเวทของพวกเจ้าไม่ออกเลย”
“นั่นก็เพราะปีศาจอย่างพวกข้าจะมีกลไกเวทที่ต่างจากมนุษย์”
คาร์ลเอ่ยพลางเหลือบตามามองเดล “กลไกเวทของปีศาจคือความมืด ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับดวงตาต้องสาปมา แต่ยังไงเนื้อแท้เจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ กลไกเวทของเจ้าจะเป็นไปตามธาตุทั้งสี่ที่มีในโลก ดิน
น้ำ ลม ไฟ
ส่วนดวงตาต้องสาปก็มีหน้าที่แค่เปิดขุมพลังเวทในตัวเจ้าขึ้นมาและให้เจ้ามารถอ่านเวทที่เจ้าสามารถใช้ได้เท่านั้น”
“แปลว่าข้าจะอ่านเวทได้เฉพาะของสิ่งที่มีกลไกเวทเป็นดิน น้ำ
ลมหรือไฟเท่านั้นเหรอ?”
“ใช่” คาร์ลพยักหน้ารับ
“เพราะฉะนั้นต่อให้เจ้าเจอเทพเจ้าก็อ่านเวทของพวกเขาไม่ออกหรอก นอกจากว่าเจ้าจะมีประสบการณ์มากพอเท่านั้นแหละ”
“แบบนี้นี่เอง...”
เดลเอ่ยพลางยกมือขึ้นมากุมคางอย่างทำความเข้าใจ
“และเพื่อให้เจ้าชินกับเวทของปีศาจข้าถึงต้องคอยเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้า
แต่ก่อนอื่นข้าจะไม่สู้กับคนที่รู้เวทแค่งูๆปลาๆแบบเจ้าแน่ เพราะฉะนั้นฝึกซะ เจ้าต้องคงรูปบอลน้ำให้ได้ภายในสามวัน”
ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านมาจนตกเย็น เดลและลูน่าอยู่ในสภาพที่แทบจะคลานกันกลับมาบ้าน
แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เป็นคนฝึกให้อย่างคาร์ลและอาร์โรห์ก็ดูจะไม่ได้เสียแรงอะไรมากเลย
ก็แน่นอนล่ะ คนหนึ่งมีหน้าที่คอยมองและติ
อีกคนมีหน้าที่บอกวิธีและคอยรวบรวมบอลน้ำให้ ถ้าสองคนนี้เหนื่อยก็คงแปลกแล้ว
“อาร์โรห์โหดร้ายชะมัดเลย วันนี้หมอนั่นเล่นไปจับไก่มาจากไหนไม่รู้มาปิ้งกินกันหน้าตาเฉยโดยที่แบ่งให้ข้าเป็นข้าวกลางวันแค่น่องไก่น่องเดียวเองอ่ะ...”
ลูน่าเอ่ยพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยมีเดลนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพลางทิ้งน้ำหนักลงบนพนักเก้าอี้จนหน้าแหงนขึ้นมองเพดาน ถึงจะไม่พูดอะไร แต่จากท่าทางหมดสภาพดูก็รู้ว่าเดลเองก็แทบจะลากเท้าเดินกลับเข้ามาบ้านเหมือนกัน
ขณะที่สองพี่น้องรีการ์ดนั่งพัก
คาร์ลและอาร์โรห์ก็มานั่งปรึกษากันที่อีกมุมหนึ่ง
“เป็นไงบ้างล่ะวันนี้?”
คาร์ลเอ่ยถามยิ้มๆขณะที่อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งลงบนโซฟา
อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองคนถามแล้วยักไหล่
“ก็พอได้นะ”
“หือ?”
“วันนี้ข้าให้ลูน่าฝึกความเร็ว
ถึงจะเป็นแค่การดีดหินใส่แต่พอมากๆเข้าประสาทสัมผัสของลูน่าก็ทื่อลง แถมร่างกายยังล้าเร็วมาก ถ้าอยู่ในสนามรบคงทนได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง”
“ทางข้าดูจะแย่กว่าแหะ หมอนั่นยังควบคุมพลังให้คงรูปของน้ำไม่ได้เลย”
เมื่อประโยคนั้นจบลงทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ในเวลาที่จำกัดและกระชั้นเข้ามาทุกทีแบบนี้
การมานั่งฝึกทั้งสองคนดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยิ่งมีความกดดันจากการตามล่าพวกเขาที่ดูจะเข้าใกล้มาทุกทีแบบที่ราวกับจะหาพวกเขาเจอภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้นั้นก็ยิ่งทำให้เป็นกังวล
“คิดว่าเราจะฝึกสองคนนั้นทันก่อนที่จะโดนหาเจอไหม?”
อาร์โรห์อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ด้วยสีหน้ากังวล
“ถ้าหากไม่ทันล่ะก็...ข้าคิดว่าควรจะแยกกับพวกเขาดีกว่า”
“ถ้าถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อน...”
คาร์ลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นในตอนท้ายจนอาร์โรห์ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
ถึงได้เห็นว่าคาร์ลกำลังส่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังมาให้เขา แต่ในนัยน์ตาสีเงินคู่นั้นกลับปรากฏแววห่วงปนกังวลออกมาจางๆ
“คาร์ล?”
“เจ้าจะไม่ไปคนเดียว ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ตกลงไหม?”
“แต่ว่าเฮคเตอร์แค้นข้าแค่คนเดียวนะ...”
“แล้วการที่เจ้าไปคิดว่าจะสามารถตัดคนอื่นรอบข้างออกจากปัญหาได้หรือไง?”
คำถามนั้นทำให้อาร์โรห์ชะงักไป
และคงจะถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับมานั่งคิดอีกครั้ง...
...นั่นสินะ
การที่เขาจากไปคนเดียวยังไงก็ไม่มีทางที่จะตัดคาร์ล เดล
หรือลูน่าออกไปจากปัญหาได้อยู่ดี
ในเมื่อเฮคเตอร์เคยประกาศออกมาแล้วว่าจะทำลายคนที่อยู่รอบข้างเขารวมทั้งตัวเขาด้วย
แล้วการที่เขาจากไปแบบนั้นบางทีอาจเป็นการทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นไปอีก หากเขาอยู่ด้วยก็เท่ากับว่ากำลังของพวกเขาสี่คนจะมากขึ้นและอาจมีสิทธิ์ที่จะชนะมากขึ้น...
“มันก็จริงของเจ้า คาร์ล”
“ใช่มั้ยล่ะ
เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องหนีไปจากพวกเราแล้ว เข้าใจนะ”
“อื้อ”
อาร์โรห์เอ่ยตอบรับก่อนจะเผยยิ้มบางๆ
คาร์ลยิ้มตอบ อย่างน้อยคำตอบที่ได้มาก็น่าพึงพอใจแล้ว
สำหรับอาร์โรห์ที่มักจะแบกรับอะไรไว้คนเดียวตลอด ไม่ง่ายเลยที่จะยอมเปิดใจให้ใครจนเชื่อใจกัน
และอย่างน้อยการที่อาร์โรห์ยอมฟังเขาและคิดตามก็ถือได้ว่าอย่างน้อยอาร์โรห์ก็ยังเปิดใจรับฟังเขา
“เอาล่ะ!
ข้าจะขอพูดอะไรสักหน่อยนะ!”
คาร์ลที่ได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจแล้วหันไปทางสองพี่น้องที่กำลังนั่งหมดสภาพอยู่ที่โต๊ะ เป็นเหตุให้เดลต้องหันมามองเขา
ส่วนลูน่านั้นรีบเด้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรงมองคาร์ลด้วยดวงตาพราวระยับ
“พวกเราไม่ต้องฝึกแบบวันนี้แล้วใช่ไหม!!!?”
“ใช่”
คาร์ลพูดพลางพยักหน้ายิ้มๆจนลูน่าแทบจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น ขณะที่เดลก็เผยยิ้มเบาใจออกมา ทว่าคำพูดต่อมาของคาร์ลก็ทำให้รอยยิ้มของสองพี่น้องแข็งค้างราวกับกลายเป็นหิน
“เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะให้พวกเจ้ากินแค่อาหารเช้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้าน แล้วกลับมาที่นี่อีกครั้งตอนดึก
และพวกเจ้าทั้งสองคนต้องผ่านหนึ่งบทเรียนให้ได้ภายในสองวัน”
“อะไรนะ!!!?”
“เอ๋!!!!!?”
สองพี่น้องส่งเสียงตระหนกออกมาเสียงดังพร้อมกับเบิกตาขึ้นกว้างยิ่งกว่าไข่นกกระจอกเทศ
โหดร้าย! โหดร้ายมาก!! ทำไมพวกเขาต้องมาฝึกหามรุ่งหามค่ำด้วยเนี่ย!!?
แถมยังจะให้ฝึกหนักแบบอัดไม่มียั้งอีก
พวกเขาไม่ตายก่อนเรอะ!!!? บางทีสมองอาจจะระเบิด มือบิด
ขาเป๋ไปเลยก็ได้!!!
อาร์โรห์มองท่าทีของสองคนที่ราวกับจะไปลุยทัวร์นรกสักรอบแล้วก็ได้แต่รู้สึกขำ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงพยายามกดริมฝีปากไม่ให้เผลอเผยอขึ้นมา ก็ถ้ามันเผยอขึ้นมาจริงๆสองคนนั้นคงเสียหน้าแย่
คาร์ลมองท่าทางของสองคนนั้นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ก็รู้ว่ามันออกจะมากไปหน่อย แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด
นี่เป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้ทั้งสองคนฝึกได้มากที่สุด จะมานั่งเอ้อระเหยลอยชายสอนกันสบายๆไม่ได้อีกแล้ว
อีกอย่าง
ก็ใช่ว่าพวกเขาอยากจะตะลุยสอนขนาดนี้เสียเมื่อไหร่...
“งั้นไม่ต้องพูดมาก วันนี้กลับไปพักผ่อนซะ พรุ่งนี้ต้องลุยกันอีกทั้งวันนะ”
คาร์ลเอ่ยเป็นเชิงไล่ พลางโบกมือเบาๆเหมือนจะบอกว่า
‘กลับไปที่ห้องของพวกเจ้าได้แล้ว’
ลูน่าเบ้หน้าแล้วลุกขึ้นเดินกระแทกเท้ากะจะเดินมันขึ้นข้างบนไปทั้งแบบนั้น
แต่เนื่องด้วยวันนี้ใช้ขามาหนักจนปวดกล้ามเนื้อขาไปหมด เดินกระแทกเท้าได้อยู่แค่สองสามก้าวก็เลิกเพราะอาการปวดดันลามขึ้นมาจนถึงต้นขาเสียอย่างนั้น
เดลเองก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนรับคำแล้วเดินตามลูน่าไปติดๆด้วยไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปพักด้วยนะคาร์ล”
อาร์โรห์เอ่ยพลางตบไหล่คนตัวสูงกว่าเบาๆ “อย่าโหมนักนะ”
“เจ้าก็ด้วย อาร์โรห์”
คาร์ลเอ่ยพลางเหลือบตามามองอย่างนึกเป็นห่วง
แต่ก็ได้รอยยิ้มเล็กๆตอบกลับมาพร้อมกับแรงตบลงบนไหล่เบาๆ ก่อนที่ร่างสีสะอาดนั้นจะเดินหายลับไปทางบันได
คาร์ลถอนหายใจเบาๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
_____________________________________________________________________________________________________
ตอนนี้ยาวกว่าปกติเกือบเท่าตัวเลยค่ะ สิบสองหน้าเวิร์ด...
ตั้งแต่ไม่นั่งนับหน้าตอนนึงก็ยาวมาเป็นหางว่าว ทั้งๆที่ตอนแรกกำหนดว่าหนึ่งตอนประมาณเจ็ดหน้าแท้ๆ...
แถมตอนก็หมดสต๊อกแล้วค่ะ...#อ่อก กำลังพยายามนั่งปั่นบทที่ 18 อยู่นะคะ!
แต่สงสัยคงต้องขอเวลาแต่งมากกว่าเดิม (ถึงปกติจะมาอัพช้าอยู่แล้วก็เถอะ)
ตั้งแต่ตรงนี้ไปจะเหลืออีกประมาณสองสามฉากใหญ่ก็จบภาคแล้วค่ะ
พูดเหมือนเหลือน้อย แต่พอชีวิตเริ่มสงบสุขก็เริ่มปั่นไม่ออก เหอๆๆ //ท่าทางไรท์จะไม่อยากให้อาร์โรห์สงบสุขเท่าไหร่
ประมาณสองสามตอนต่อจากนี้ถือว่าให้อาร์โรห์พักก็แล้วกันค่ะ...//นั่งจิ้มคีย์บอร์ดอย่างตันๆ
แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมีปัญหาให้ต้องคิดอีกค่ะ แต่ถือว่าค่อนข้างเบาสมองแล้วหลังจากที่ดราม่า เจ็บปวด เลือดสาดกันมาติดๆกันสอง (หรือสาม?) ตอน หุๆๆ
อาร์โรห์เอ๋ย ใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่แล้วเจ้าจะต้องออกไปต่อสู้อีกครั้ง!!!(?)
^
^
^
อิไรท์เล่นไร?
แถมพรุ่งนี้ถึงวันที่หนึ่งไรท์ก็สอบแกะแพะ---- แค่กๆๆ ขออภัย แกทแพทค่ะ
สงสัยจะไม่ได้แตะนิยายอีกซักพัก แค่คืนนี้ยังแอบมาอัพเลย...
สำหรับงานหนังสือ สอยมาเจ็ดเล่มแต่เสียไปเกือบพัน... เอาเถอะ ยังไงก็ดีกว่าซื้อเล่มละสองร้อยล่ะน่า!
ช่วงนี้เรียนหนักมาก เรียนทุกวัน แถมสอบอีก เฮ้อ... (ท่าทางเหมือนไรท์เก็บกดจนต้องมาระบายในนี้ ฟฟฟฟ)
สำหรับคนที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ต้องขอบคุณมากค่ะ //โค้งงามๆให้ที
สำหรับคนที่อ่านเดวิลและตามเดวิลของไรท์ จนถึง ณ บัดนี้ก็เพิ่งจะปั่นตอนที่สิบเอ็ดไปเกือบหน้าเอง //มองรีดทุกคน ว่าแต่ในนี้มีคนอ่านเดวิลมั้ยนี่?
ความคิดเห็น