ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 17

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 58


    บทที่ 17

     

    “กลับมาแล้ว!” ลูน่าเอ่ยด้วยเสียงที่เกือบจะเรียกว่าตะโกนอย่างสดใสเช่นเคย  ขณะที่อาร์โรห์เดินเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆแล้วกล่าวเสียงเบา

    “กลับมาแล้ว...”

    “ยินดีต้อนรับกลับ ลูน่า  อาร์โรห์” เดลเอ่ยด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขากำลังจัดวางจานลงบนโต๊ะ  และเป็นตอนนั้นเองที่คาร์ลยื่นหน้าออกมาจากส่วนครัว  คิดว่าเขาคงจะเข้าไปเก็บของที่หามาได้

    “กลับมาแล้วเหรอ  พอดีเลย  ข้าเพิ่งไปเจอสมุนไพรพิเศษมาล่ะ”

    “อะไรๆ สมุนไพรอะไรเหรอ!?” ลูน่าเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น  ในขณะที่อาร์โรห์ค่อยๆคลำมือไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วเลื่อนออกมาเพื่อที่เขาจะได้นั่งลง

    “สมุนไพรช่วยบำรุงน่ะ  มันทำให้พลังเวทฟื้นฟูเร็วขึ้นเป็นสามเท่าตัว  โชคดีจริงๆที่โลกนี้เองก็มีเหมือนกัน”

    อาร์โรห์ที่กำลังจะนั่งลงถึงกับชะงักกึก

    “คิดว่ากินซักสองสามครั้งก็คงจะเห็นผลแล้วล่ะ” คาลร์เอ่ยพลางเดินออมาพร้อมกับหม้อใบหนึ่งในมือ  แต่เมื่อเห็นท่าทีของอาร์โรห์เขาก็เลิกคิ้วขึ้น  ก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ

    “ดีใจใช่มั้ยล่ะอาร์โรห์”

    เมื่อเจอคำกระตุ้นอาร์โรห์ก็เงยหน้าขึ้นมาหาคนพูด  ดวงตาสีพิสุทธิ์วาววับไปด้วยแววยินดี  แม้ว่าจะยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบ  แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับสื่ออารมณ์ออกมาทั้งหมด

    เดลที่เห็นแบบนั้นก็หลุดขำออกมาอีกคน  มีแค่ลูน่าที่ยื่นหน้าเข้ามามองอาร์โรห์ใกล้ๆด้วยรอยยิ้ม

    “ดีใจจริงๆด้วยสินะ”

    “เปล่าซะหน่อย...” อาร์โรห์บอกปัดพลางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง “ก็แค่คิดว่าในที่สุดข้าก็จะได้กลับมาเป็นปกติเร็วขึ้นก็แค่นั้นเอง...”

    “ปากไม่ตรงกับใจเล้ย” ลูน่าจงใจยกปลายเสียงให้สูงขึ้นจนคนโดนล้อขมวดคิ้วขณะที่ใบหน้าปรากฏสีแดงจางๆ

    หลังจากนั้นเสียงหัวเราะร่วนก็ดังมากจากทั้งสามคนที่ทำเอาอาร์โรห์อายจนต้องก้มหน้างุด

    “เอ้า! เอาล่ะ สนุกกันแค่นี้  ลูน่า  เดล  เข้าไปเอากับข้าวมาทีนะ  แล้วก็อาร์โรห์  เจ้าต้องกินยานี่ก่อนแล้วถึงจะกินข้าวได้” คาร์ลเอ่ยพลางยื่นชามใส่ยาไปตรงหน้าอาร์โรห์ที่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นมือออกมารับถ้วยยาไปดื่ม

    รสขมปร่าปนกลิ่นเหม็นเขียวที่แล่นเข้ามาในปากทำเอาอาร์โรห์แทบจะบ้วนตัวยาทิ้ง  แต่เมื่อคิดว่ามันจะทำให้เขาพ้นจากสภาพนี้เร็วขึ้นก็ฝืนกลืนลงไปจนสำลัก

    “แค่กๆๆ”

    “เอ้าๆ ระวังหน่อย” เสียงของคาลร์ที่ใช้กล่าวฟังดูอ่อนโยนขณะที่อีกฝ่ายขยับเข้าไปช่วยลูบหลังของคนที่ตัวเล็กกว่า “เจ้าดื่มช้าๆก็ได้นี่อาร์โรห์  ยานี่ใช่ว่าจะกินได้ง่ายๆนะ”

    “ก็เพราะกินไม่ได้ง่ายๆข้าถึงต้องรีบกินไง!” อาร์โรห์เอ่ยเสียงขุ่น

    คาร์ลหัวเราะเบาๆแล้วดึงถ้วยอันว่างเปล่าออกมาจากมือของอาร์โรห์แล้วเอาไปวางลงบนโต๊ะ

    “ไม่ต้องห่วงอาร์โรห์  เจ้าต้องกินมันไปเรื่อยๆทุกวันจนกว่าเจ้าจะหายดีเลยล่ะ”

    อาร์โรห์ที่ได้ยินดังนั้นลอบเบ้หน้าน้อยๆ  ถ้าเขาต้องกินยาที่ขมปี๋แถมเหม็นเขียวแบบนี้ทุกวันมีหวังสักวันตัวเขาต้องมีเหงื่อออกมาเป็นกลิ่นเดียวกับยานั่นแน่  แค่คิดก็สยองแล้ว...

    ไม่รู้ว่าความคิดชวนจิตตกนี้แวบเข้ามาในหัวตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่มันคงจะแสดงออกมาทางสีหน้าของเขาด้วยคาลร์ถึงได้ส่งเสียงหัวเราไม่หยุดแบบนี้

    “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรพิเรนทร์ๆหรือเปล่าหรอกนะ  แต่ถ้าอยากหายล่ะก็พยายามกินหน่อย  ข้าเชื่อว่าผลที่ออกมาจะต้องน่าพอใจแน่ๆ” แม้จะเอ่ยคำพูดที่ฟังดูมีเหตุผลและสาระออกมา  แต่อาร์โรห์กลับรู้สึกว่าคำพูดนั้นเกิดไม่น่าเชื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น  คงจะเพราะว่าเสียงของคาร์ลที่ใช้พูดมันเต็มไปด้วยแววขบขันที่ปิดไม่มิดละมั้ง

    และแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นในเช้าของวันต่อมาจนได้...

    อาร์โรห์ที่ลืมตาขึ้นมาพบแสงสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง  นัยน์ตาที่เริ่มปรากฏสีเทาจางๆกระจ่างใสมองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น  ห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นห้องที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้  แม้จะมีกลิ่นอายเก่าไปบ้างแต่ที่นี่ก็ถือได้ว่าไม่เลวแล้วสำหรับคนที่ไม่มีเงินอย่างพวกเขา

    เด็กหนุ่มดันตัวลุกขึ้นนั่ง  ร่างกายที่เคยหนักอึ้งตลอดกว่าสองอาทิตย์มานี้ดูเหมือนจะเบาขึ้นเล็กน้อย  รู้สึกได้ว่าตนเองขยับร่างกายที่เคยฝืดเฝื่อนเหมือนเครื่องจักรขาดน้ำมันหล่อลื่นได้ดีขึ้นราวกับว่าโดนหยดน้ำมันหล่อลื่นลงตามข้อต่อ

    ก๊อกๆ

    “อาร์โรห์  เจ้าตื่นหรือยัง  ข้าเข้าไปนะ” เสียงที่ดังเข้ามาจากนอกห้องเรียกให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองบานประตูที่ค่อยๆเปิดอ้าออก  ร่างที่ปรากฏอยู่นอกกรอบประตูคือร่างของคาร์ลที่อยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดา  พอเห็นแบบนั้นแล้วอาร์โรห์ก็รู้สึกว่ามันดูน่าตลกแปลกๆจนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    อินคิวบัสหนุ่มชะงักเมื่ออยู่ๆก็ได้เห็นอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น  และคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รอให้คาร์ลต้องสงสัยอยู่นาน  เขาลุกขึ้นและเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาด้วยฝีเท้าที่มั่นคงพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

    “ชุดใหม่เจ้าดูดีจังนะ” พูดจบก็ใช้นิ้วชี้จิ้มลงบนหน้าอกของอีกฝ่าย “เสื้อสีตุ่นๆคอกว้างๆกับกางเกงสามส่วนเก่าๆ? ใครช่างสรรหาดีจริง”

    “เจ้าก็มีเสื้อผ้าไม่ต่างจาก...เดี๋ยวนะ...” เป็นตอนนั้นเองที่คาร์ลเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “เจ้ามองเห็นข้า...?”

    อาร์โรห์เลิกคิ้วข้างหนึ่ง  จากนั้นเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้ง

    “ยาของเจ้าใช้ได้ดีจริงๆนั่นล่ะ เห็นผลทันใจมากเลย” สิ่งที่กล่าวออกมาไม่ได้ทำให้คาร์ลรู้สึกดีไปกว่ารอยยิ้มสดใสที่อาร์โรห์แทบไม่เคยทำให้เห็น

    “งั้นก็ดีแล้วล่ะ  ถ้าลูน่ากับเดลรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ” คาร์ลเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะยื่นมือมาทางอาร์โรห์ “ มาเถอะ  เราไปหาพวกเขากัน”

    “อื้อ” อาร์โรห์พยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือออกไปจับกับฝ่ามือที่ยื่นมาให้  จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้อง  ลงบันไดสู่ชั้นล่างที่สองพี่น้องรีการ์ดกำลังรออยู่

    อาร์โรห์แกล้งทำเป็นยังคงมองไม่เห็นโดยมีคาร์ลเป็นแนวร่วมทำท่าราวกับช่วยพยุงเขาอยู่  ครั้งนี้เป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆที่แม้ทั้งสองจะไม่ได้นัดแนะกันเอาไว้แต่ก็กลับรับมุขอีกฝ่ายได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องมองตากันเลยด้วยซ้ำ

    “อรุณสวัสดิ์อาร์โรห์  คาร์ล” ลูน่าที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเอ่ยทักทาย  ขณะที่เดลยื่นหน้าออกมาจากในครัว  แล้วคิ้วของเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย

    “อาร์โรห์  ข้าได้กลิ่นไอพลังเวทลอยออกมาจากตัวเจ้าด้วย”

    “หือ? จริงเหรอพี่!? งั้นก็แปลว่าอาร์โรห์ฟื้นตัวเร็วขึ้นจริงๆน่ะสิ!

    “คงงั้นมั้ง” เดลยักไหล่แล้วหดหัวกลับเข้าไปในครัวต่อ  ลูน่าที่ได้ยินคำตอบของพี่ชายตนเองหันมาหาอาร์โรห์ก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงร่างของอาร์โรห์ให้มานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆตนเองโดยมีคาร์ลตามลงมานั่งถัดไปอีก

    “เป็นยังไงบ้างเนี่ย?? เจ้ามองเห็นหรือยัง??”

    “อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ...” อาร์โรห์ทำสีหน้ายุ่งยากใจ  เขายังอยากแกล้งคนต่อไปอีกสักพัก  เพราะงั้นขออีกสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง?  เดี๋ยวพอบอกก็ไม่มีอะไรสนุกๆให้ได้เห็นแล้วนี่นะ

    “อะไรของเจ้าเนี่ย...” ลูน่าเบ้หน้าเล็กๆ “ยังมองไม่เห็นจริงๆน่ะเหรอ?”

    “ก็ไม่เชิงนะ...” อาร์โรห์เอ่ยขณะที่เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อเห็นท่าทีผิดหวังของลูน่า  แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะสนุกต่ออีกหน่อยนี่นา  หรือว่าเขาจะเล่นมากเกินไปจริงๆ?

    “ยังไม่เห็นจริงๆน่ะเหรอ...” ลูน่ายิ่งเบ้หน้าหนักขึ้นกว่าเดิม  ใบหน้าน่ารักของเด็กสาวเริ่มเหยเกเหมือนจะร้องไห้  ขนาดคาร์ลที่เห็นก็ยังต้องเลิกคิ้วขึ้น  ด้วยไม่นึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก

    “เอ่อ...”

    “ยังไม่เห็นจริงๆน่ะเหรออาร์โรห์...” เสียงของลูน่าเริ่มสั่นมากขึ้นจนแม้แต่คนที่อยู่ในห้องครัวยังต้องยื่นหน้าออกมามองเหตุการณ์

    “ค...คือว่า...”

    “อาร์โรห์...” เสียงสั่นเครือพร้อมกับนัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกที่ช้อนขึ้นมองเรียกเหงื่อเย็นๆให้ไหลออกมาตามใบหน้าสวยของเด็กหนุ่มอินคิวบัสอย่างช่วยไม่ได้  และการถูกดวงตาของลูน่าจ้องนานๆก็ไม่ได้เป็นผลดีกับเขาเลยแม้แต่น้อย  สุดท้ายแล้วอาร์โรห์ก็เป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเสียเอง

    “ก็ได้  ข้ามองเห็นแล้ว” เสียงของเด็กหนุ่มอินคิวบัสเอ่ยออกมาเบาๆ  ยอมแพ้กับสายตาของลูน่าอย่างสิ้นเชิง  และก็เป็นตอนนั้นเองที่เด็กสาวลุกขึ้นท้าวเอวพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างผู้ชนะจนอาร์โรห์ต้องเงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆกับคาร์ล  ส่วนเดลที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหดหน้ากลับเข้าไปในครัวต่อ  ส่วนหลังจากนั้น...

    อย่าให้พูดถึงมันเลยดีกว่า...

     

    “ข้าไม่ควรคิดว่าเจ้าเป็นเด็กสาวเรียบร้อยสินะ  ลูน่า...” อาร์โรห์ถอนหายใจใส่จานอาหารตรงหน้าก่อนจะตักอาหารเข้าปากไปอีกคำหนึ่ง

    “ข้าออกจะเป็นเด็สาวบอบบางร่างเล็กและเรียบร้อยนะ” พูดจบลูน่าก็หัวเราะหึๆอย่างเจ้าเล่ห์สวนทางกับคำพูดที่เพิ่งจะกล่าวออกไปอย่างที่หักล้างกันจนเกลี้ยง  แถมยังช่วยเสริมคำพูดของอาร์โรห์ให้มีความเชื่อถือมากขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    “เจ้าก็ไม่มีเตือนกันเลยเดล” อาร์โรห์หันไปคาดโทษคนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด  ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงยักไหล่รับเท่านั้น

    “แต่ดีขึ้นก็ดีแล้วนี่  ที่เหลือก็แค่รอให้พลังเวทของเจ้ากลับคืนมาให้หมดแล้วไปจัดการเฮคเตอร์ให้จบเรื่องไป” คาร์ลเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่เรื่องนี้ถูกฝังลงในส่วนที่ลึกที่สุดของสมองไปชั่วคราวเพื่อที่จะได้สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติชนได้อย่างไม่เกิดพิรุธ  เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีเรื่องกับมนุษย์บางคนอยู่นี่นะ...

    “ข้าจะพยายาม” อาร์โรห์เอ่ยเสียงเบา  แต่นั่นกลับเรียกให้คาร์ลหันกลับมามองร่างของคนพูดแล้วเคาะหัวอีกฝ่ายเบาๆ

    “จะพยายามอะไรล่ะ  เจ้าแค่รักษาตัวให้ดี  อย่าบาดเจ็บหนักๆมาอีกก็พอแล้ว”

    “พี่คาร์ล...”

    คำเรียกนั้นทำให้รอยยิ้มของคาร์ลกว้างมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

    ใช่  คาร์ลน่ะไม่รู้ตัว  แต่อีกสามคนน่ะเห็นเต็มๆ  โดยเฉพาะอาร์โรห์  เขารู้สึกว่าเขาควรจะเลิกใช้คำนี้ในการเรียกอีกฝ่าย  เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเจอรอยยิ้มที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของอีกฝ่ายบ่อยๆแน่ๆ  เขาบอกเลยว่าเขาอาจจะรับไม่ไหวและเผลอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นบ้าได้...

     

    “ฝึกข้า...?” เดลเอ่ยพลางชี้มาที่ตนเองด้วยสีหน้างงๆ

    “ใช่” คาร์ลพยักหน้าเบาๆ “ไม่ใช่แค่เจ้า  ลูน่าก็ต้องฝึกเหมือนกัน”

    “ทำไมอยู่ๆถึงมาฝึกเอาตอนนี้ล่ะ?” ลูน่าเอ่ยถามบ้างด้วยความสงสัย  แน่นอนว่าเธอต้องเคยฝึก  และค่อนข้างมั่นใจในฝีมือการต่อสู้ของตนเองอยู่ไม่น้อย  แต่ที่เธอสงสัยคือ  ทำไมเดินทางกันมาตั้งนานไม่เห็นจะมีใครยกประเด็นนี้มาพูดกันเลยสักครั้ง  แล้วอยู่ๆก็มาบอกว่าจะมาฝึกให้  การที่เธอถามออกไปก็เรียกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์

    คาร์ลยิ้มรับคำถามนั้น

    “เตรียม บุกไงล่ะ”

    “หา?” ลูน่าส่งเสียงอย่างไม่เข้าใจในขณะที่เดลขมวดคิ้วเข้าหากัน  เขาพอจะเข้าใจเจตนาที่จะมานั่งฝึกเอาตอนนี้แล้ว  นัยน์ตาสีแดงต้องสาปกลอกไปมองอาร์โรห์ที่หันมาเผยยิ้มบางๆให้

    “เจ้าคิดจะไปต่อสู้กับเฮกเตอร์อีกงั้นเหรอ?” เดลเอ่ยถามขึ้นจนลูน่าที่ได้ยินรบสะบัดหน้าไปทางอาร์โรห์ทันที

    “เจ้าจะบ้าเหรอ!? คราวที่แล้วเจ้าเกือบตายมานะ!!

    “ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา...” อาร์โรห์ถอนใจ “ถึงพวกเราจะอยู่แบบนี้ต่อไปก็ใช่ว่าเฮคเตอร์จะไม่ตามล่าพวกเราต่อ  หมอนั่นน่ะทำทุกวิถีทางได้เพื่อที่จะฆ่าข้า...เข้าใจหรือเปล่า?”

    คำพูดนั้นทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไป  สุดท้ายแล้วคาร์ลก็เอ่ยขึ้นมา

    “เอาล่ะ ยังไงซะก็ถือซะว่าฝึกไปเพื่อป้องกันตัวก็แล้วกัน  เดลเจ้ามาฝึกกับข้า  ส่วนลูน้านก็แยกย้าย...เจ้าคงไหวนะอาร์โรห์?”

    อาร์โรห์พยักหน้ารับเบาๆ

    “เอาล่ะ  งั้นก็แยกย้าย  อีกสิบนาทีต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับการฝึกนะ” คาร์ลกล่าวตัดบทจนไม่มีใครสามารถแย้งได้  สุดท้ายลูน่าก็เดินบ่นกระปอดกระแปดกลับขึ้นไปบนห้อง  ส่วนเดลก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อจัดการเก็บงานที่เหลือให้หมด  เหลือเพียงคาร์ลกับอาร์โรห์ที่หันมายักไหล่ให้กันแล้วต่างฝ่ายต่างก็ออกไปเตรียมบทเรียน

    คิดว่าพวกเขาทั้งสี่คนคงจะต้องเหนื่อยกันอีกหน่อย  อย่างน้อยก็จนกว่าร่างกายของอาร์โรห์จะพร้อมล่ะ

    สิบนาทีผ่านไปไวราวกับเพียงชั่วพริบตา  ทั้งสี่คนเดินออกมาจากบ้านสู่ทุ่งหญ้าที่ห่างออกมาจากตัวบ้านอีกระยะหนึ่ง  จากนั้นคาร์ลและเดลก็ขอตัวแยกไป

    “เอาล่ะ” อาร์โรห์สูดหายใจเข้าทีหนึ่งแล้วจึงหันมามองลูน่า “ไม่ต้องเกรงใจนะ  ใช้วิชาดาบของเจ้าออกมาให้เต็มที่เลย”

    “เอ๋?” ลูน่าส่งเสียงออกมาด้วยความงุนงง “ด...เดี๋ยวๆๆๆ  เจ้าจะให้ข้าใช้ดาบโจมตีเจ้า??”

    “ก็ใช่น่ะสิ”

    “พูดเล่นใช่ไหม  เดี๋ยวเจ้าก็ได้เลือดหรอก”

    “ก็ถึงได้บอกไงว่าไม่ต้องห่วง”

    “หา?”

    “เอาเถอะน่า  เร็วๆเข้า  พวกเรามีเวลาในการฝึกไม่มากหรอกนะ  ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ขีดจำกัดความสามารถของเจ้าก่อน”

    “เอางั้นเหรอ?”

    “อื้อ”

    ลูน่านิ่งไปครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ  สุดท้ายแล้วเธอก็ถอนหายใจพลางชักดาบออกมาจากฝักแล้วกระชับแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง  อาร์โรห์ที่เห็นดังนั้นก็กดมุมปากลงเป็นรอยยิ้มบางๆ  หากแต่เขาก็ยังคงยืนนิ่งรอให้ลูน่าเป็นฝ่ายบุกเข้ามาก่อน

    เด็กสาวชาวมนุษย์ตั้งท่าเตรียมบุกเข้าใส่  เธอรอให้อาร์โรห์ดึงดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา  แต่หลังจากผ่านไปหลายนาทีเธอก็ยังไม่เห็นว่าอาร์โรห์จะขยับทำอะไรนอกจากยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ  เห็นแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อย  เพราะสำหรับนักดาบแล้ว  การที่คู่ต่อสู้ไม่แม้แต่จะชักอาวุธหรือตั้งท่าเตรียมสู้ก็ไม่ต่างไปจากการดูหมิ่นในฝีมือและชั้นเชิงของตนเองเลย

    เห็นดังนั้นแล้วเธอก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจ  ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่อาร์โรห์ด้วยความเร็วที่ถือว่าเร็วมากแล้วสำหรับมนุษย์ที่ไม่มีเวทในการช่วยในด้านความเร็ว

    แต่มันก็ยังช้าเกินไปสำหรับอาร์โรห์ที่เน้นการใช้ความเร็วเป็นหลัก  ถึงจะไม่ถึงกับกลายเป็นภาพสโลวโมชั่น  แต่มันก็ช้ามากพอให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของเธออย่างชัดเจน

    เด็กหนุ่มขยับยิ้มกว้างขึ้นแล้วก้าวเท้าขยับไปทางด้านข้างสองสามก้าว  เพียงแค่นั้นร่างของลูน่าที่พุ่งถลาเข้ามาหาเขาก็พลาดเป้าไม่สามารถเบี่ยงวิถีของตนเองให้มาหาอาร์โรห์ได้  ต้องวิ่งไปอีกหลายก้าวกว่าจะสามารถชะลอฝีเท้าของตนเองให้ช้าลงเพื่อนเปลี่ยนทางเข้าหาอาร์โรห์  แต่นั่นกลับทำให้เธอพบว่าเธอช้ากว่าอาร์โรห์ไปหลายก้าว  เพราะเขาเข้าประชิดตัวเธอได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!!!

    “เฮ้ย!!!

    ลูน่าทันได้เพียงแค่ร้องออกมาอย่างตระหนกก่อนจะหลับตาปี๋พร้อมกับหดคอจนคางแทบจะชิดกับลำคอตามสัญชาตญาณเมื่อพบว่าอาร์โรห์เงื้อมือที่ถูกกระชับนิ้วเข้าหากันจนเรียงตัวคล้ายกับมีดขึ้นและขยับสร้างกระแสลมแหวกอากาศเข้ามาหาเธอราวกับจะใช้มือข้างนั้นกระซวกแทงเข้าใส่

    ฟึบ!!!

    “...”

    ขณะที่ลูน่าคิดว่าเธอคงจะได้แผลแล้วแน่ๆอยู่นั้นเธอก็สังเกตได้ว่าลมที่เกิดจากการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนั้นหยุดลงตรงหน้าเธอ  ดวงตาสีมรกตจึงค่อยๆขยับเปิดขึ้นข้างหนึ่ง  และสิ่งที่เธอเห็นก็คือมือข้างหนึ่งที่หยุดอยู่ตรงหน้าเธอห่างออกไปเพียงไม่กี่เซ็นติเมตร

    เมื่อลูน่าเห็นว่ามือข้างนั้นยังเข้าไม่ถึงตัวเธอเธอก็เปิดตาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมๆกับถอนหายใจที่ไม่รู้ว่าเผลอกลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมาพลางยกมือขึ้นลูบอกตัวเอง

    “ข้าพอจะรู้แล้วว่าเจ้ามีจุดอ่อนที่ไหนบ้าง  งานนี้คงต้องฝึกกันหนักหน่อยนะลูน่า” เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามคล้ายเด็กสาวตรงหน้าเผยยิ้มแล้วดึงมือกลับไปพร้อมๆกับกลับมายืนในท่าปกติอีกครั้ง

    “อือ...” ลูน่าพยักหน้ารับคำพูดนั้น “แต่เจ้านี่สุดยอดจริงๆ  ขนาดไม่มีเวทมนตร์คอยช่วยยังเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้น  แถมยังอ่านจุดอ่อนข้าออกตั้งแต่ข้าก้าวเท้าแล้วแบบนี้  เจ้าทำได้ยังไงน่ะอาร์โรห์?”

    “ใครว่าเข้าอ่านเจ้าออกตั้งแต่ก้าวเท้า?” คนถูกเอ่ยชมเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย

    “อ้าว  ก็เจ้าหลบดาบข้าได้แถมยังขยับเข้ามาประชิดทันทีเลยนี่นา”

    คำอธิบายนั้นยิ่งทำให้อาร์โรห์ทำหน้างงเข้าไปใหญ่  สุดท้ายก็หลุดขำพรืดอย่างไม่อาจห้ามได้

    ถึงคราวลูน่าทำหน้างงบ้างแล้ว  เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆอาร์โรห์ถึงหัวเราะออกมา  และยิ่งไม่เข้าใจว่าที่เธอพูดมามันมีอะไรให้หัวเราะกัน?

    “ขอโทษนะลูน่า  ข้าว่าเจ้ากำลังเข้าใจผิดอยู่นะ” อาร์โรห์เอ่ยทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ “ข้าก็แค่หลบการโจมตีของเจ้าด้วยวิธีพื้นๆเพื่อลองเชิงว่าเจ้าจะตามข้ามาได้หรือเปล่า  พอเห็นว่าเจ้าขยับเลยข้าไประยะหนึ่งถึงได้มั้นใจว่าเจ้าเบี่ยงมาหาข้าไม่ได้เลยเข้าประชิดตัว  ไม่ได้ประชิดตัวเจ้าทันทีเสียหน่อย”

    “...”

    โอเค  เธอยอมรับก็ได้ว่าเธอมันกาก...

     

    ในขณะเดียวกัน  เดลและคาร์ลที่แยกมาอีกทางก็เริ่มฝึกกันแล้วด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกับพวกอาร์โรห์มากเท่าไหร่นัก  คือการประลองที่ไม่ว่าจะยืนมอง  นั่งมอง  นอนมอง  ตะแคงมอง  กลับหัวมองยังไงคาร์ลก็ชนะแน่ๆด้วยการประลองเวท  และสำหรับเดลที่ปกติมักจะใช้ได้แค่เวทพื้นฐานอย่างเวทลูกไฟ  เวทดินที่สร้างโล่ดินอันแสนเปราะบาง  และเวทลมที่ใช้พัดฝุ่นเพื่อสร้างม่านพรางตาพื้นๆที่ขอให้เจอคนที่มีพื้นฐานเวทสูงหน่อยก็ทำให้หายไปได้โดยไม่เปลืองแรงแล้ว  ก็ถือได้ว่าการที่จะชนะนั้นไม่มีทางเลย  เราพแค่ป้องกันตัวก็หืดขึ้นคอแล้ว

    คาร์ลมองเดลที่นำเวทพื้นฐานมาใช้อย่างไร้หลักการแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ  เอาแค่จะควบคุมให้พลังเวทเสถียรยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป...

    “เอาล่ะ  เดลพอแล้ว” คาร์ลเอ่ยพลางถอนหายใจ “ข้าคงต้องสอนเจ้าตั้งแต่พื้นฐานการควบคุมพลังเวทเลยละมั้งเนี่ย...”

    “ฮะๆๆ...” เดลหัวเราะแห้งๆรับคำพูดนั้น

    “ก่อนอื่นเลย  ข้าจะให้เจ้าฝึกด้วยไอ้นี่” ว่าจบก็แบมือออกมาตรงหน้าพลางรวบรวมพลังเวท  ต่อมาน้ำบริสุทธิ์ที่ค่อยๆปรากฏออกมาจากพื้นและพุ่งเข้าหามือของคาร์ล  และเพียงไม่นาน  บอลน้ำลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา

    “”เอาล่ะ  เอามือของเจ้ามาทาบบนบอลน้ำลูกนี้  แล้วใช้พลังเวทของเจ้าประคองให้มันคงรูป”

    “แค่นั้นเหรอ?”

    คำถามนั้นส่งให้คาร์ลฉีกยิ้มที่ทำให้เดลต้องผงะไปด้วยสีหน้าแหยๆ

    “มันก็ แค่นั้นแหละ”

    “...”

    เดลที่เจอคำพูดนั้นเกิดรู้สึกว่าไอ้ที่คนตรงหน้าจะให้เขาทำนี่คงไม่ใช่เรื่องง่ายแวจริงๆ  แต่คาร์ลก็ยื่นมือข้างที่มีบอลน้ำลอยอยู่เหนือฝ่ามือเข้ามาใกล้เขาเป็นเชิงว่าให้ลองทำดู  สุดท้ายแล้วเขาก็ยื่นมือไปรับบอลน้ำลูกนั้นมาโดยที่คาร์ลยังไม่ละมือออกไป

    “เอาล่ะ  ทีนี้เจ้าปล่อยพลังเวทของเจ้าออกมาคลุมบอลน้ำลูกนี้เอาไว้  พอข้าปล่อยมัน  หวังว่ามันจะยังคงรูปให้เห็นได้สักสี่หรือห้าวินาทีนะ”

    “อ...อือ...” เดลรับคำด้วยสภาพไม่เต็มเสียง  เขาทำตามที่คาร์ลบอกอย่างระมัดระวัง  ค่อยๆปล่อยพลังเวทเข้าคลุมบอลน้ำลูกนั้นไว้  ทว่า  เมื่อคาร์ลดึงมือออกไป  บอลน้ำลูกนั้นก็ร่วงลงบนฝ่ามือของเขาแตกกระจายกลับเป็นสายน้ำไหลลงสู่ผืนดินโดยที่เขาทำได้แต่มองตาปริบๆ

    “อ...เอ่อ...คาร์ล...เมื่อกี้นี้ทำไมมัน...” เดลได้แต่ยืนนิ่งมองน้ำที่ไหลลงสู่ดินผ่านง่ามนิ้วของเขาอย่างงุนงง

    “ง่ายๆ  เจ้าปล่อยพลังเวทออกมาคุลมรับบอลน้ำน้อยเกินไป” คาร์ลเอ่ยพลางเริ่มรวบรวมบอลน้ำขึ้นมาใหม่ “และข้าก็คิดว่าเจ้าคงสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงอ่านกลไกเวทของข้าไม่ได้”

    “เอ่อ...เรื่องนั้นข้าเองก็ข้องใจเหมือนกัน  ทั้งอาร์โรห์แล้วก็เจ้า  ข้าอ่านเวทของพวกเจ้าไม่ออกเลย”

    “นั่นก็เพราะปีศาจอย่างพวกข้าจะมีกลไกเวทที่ต่างจากมนุษย์” คาร์ลเอ่ยพลางเหลือบตามามองเดล “กลไกเวทของปีศาจคือความมืด  ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับดวงตาต้องสาปมา  แต่ยังไงเนื้อแท้เจ้าก็ยังคงเป็นมนุษย์  กลไกเวทของเจ้าจะเป็นไปตามธาตุทั้งสี่ที่มีในโลก  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ส่วนดวงตาต้องสาปก็มีหน้าที่แค่เปิดขุมพลังเวทในตัวเจ้าขึ้นมาและให้เจ้ามารถอ่านเวทที่เจ้าสามารถใช้ได้เท่านั้น”

    “แปลว่าข้าจะอ่านเวทได้เฉพาะของสิ่งที่มีกลไกเวทเป็นดิน  น้ำ  ลมหรือไฟเท่านั้นเหรอ?”

    “ใช่” คาร์ลพยักหน้ารับ “เพราะฉะนั้นต่อให้เจ้าเจอเทพเจ้าก็อ่านเวทของพวกเขาไม่ออกหรอก  นอกจากว่าเจ้าจะมีประสบการณ์มากพอเท่านั้นแหละ”

    “แบบนี้นี่เอง...” เดลเอ่ยพลางยกมือขึ้นมากุมคางอย่างทำความเข้าใจ

    “และเพื่อให้เจ้าชินกับเวทของปีศาจข้าถึงต้องคอยเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้า  แต่ก่อนอื่นข้าจะไม่สู้กับคนที่รู้เวทแค่งูๆปลาๆแบบเจ้าแน่  เพราะฉะนั้นฝึกซะ  เจ้าต้องคงรูปบอลน้ำให้ได้ภายในสามวัน”

     

    ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านมาจนตกเย็น  เดลและลูน่าอยู่ในสภาพที่แทบจะคลานกันกลับมาบ้าน  แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เป็นคนฝึกให้อย่างคาร์ลและอาร์โรห์ก็ดูจะไม่ได้เสียแรงอะไรมากเลย

    ก็แน่นอนล่ะ  คนหนึ่งมีหน้าที่คอยมองและติ  อีกคนมีหน้าที่บอกวิธีและคอยรวบรวมบอลน้ำให้  ถ้าสองคนนี้เหนื่อยก็คงแปลกแล้ว

    “อาร์โรห์โหดร้ายชะมัดเลย  วันนี้หมอนั่นเล่นไปจับไก่มาจากไหนไม่รู้มาปิ้งกินกันหน้าตาเฉยโดยที่แบ่งให้ข้าเป็นข้าวกลางวันแค่น่องไก่น่องเดียวเองอ่ะ...” ลูน่าเอ่ยพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยมีเดลนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพลางทิ้งน้ำหนักลงบนพนักเก้าอี้จนหน้าแหงนขึ้นมองเพดาน  ถึงจะไม่พูดอะไร  แต่จากท่าทางหมดสภาพดูก็รู้ว่าเดลเองก็แทบจะลากเท้าเดินกลับเข้ามาบ้านเหมือนกัน

    ขณะที่สองพี่น้องรีการ์ดนั่งพัก  คาร์ลและอาร์โรห์ก็มานั่งปรึกษากันที่อีกมุมหนึ่ง

    “เป็นไงบ้างล่ะวันนี้?” คาร์ลเอ่ยถามยิ้มๆขณะที่อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งลงบนโซฟา

    อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองคนถามแล้วยักไหล่ “ก็พอได้นะ”

    “หือ?”

    “วันนี้ข้าให้ลูน่าฝึกความเร็ว  ถึงจะเป็นแค่การดีดหินใส่แต่พอมากๆเข้าประสาทสัมผัสของลูน่าก็ทื่อลง  แถมร่างกายยังล้าเร็วมาก  ถ้าอยู่ในสนามรบคงทนได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง”

    “ทางข้าดูจะแย่กว่าแหะ  หมอนั่นยังควบคุมพลังให้คงรูปของน้ำไม่ได้เลย”

    เมื่อประโยคนั้นจบลงทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

    ในเวลาที่จำกัดและกระชั้นเข้ามาทุกทีแบบนี้  การมานั่งฝึกทั้งสองคนดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ยิ่งมีความกดดันจากการตามล่าพวกเขาที่ดูจะเข้าใกล้มาทุกทีแบบที่ราวกับจะหาพวกเขาเจอภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้นั้นก็ยิ่งทำให้เป็นกังวล

    “คิดว่าเราจะฝึกสองคนนั้นทันก่อนที่จะโดนหาเจอไหม?” อาร์โรห์อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ด้วยสีหน้ากังวล “ถ้าหากไม่ทันล่ะก็...ข้าคิดว่าควรจะแยกกับพวกเขาดีกว่า”

    “ถ้าถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที  แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อน...” คาร์ลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นในตอนท้ายจนอาร์โรห์ต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  ถึงได้เห็นว่าคาร์ลกำลังส่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังมาให้เขา  แต่ในนัยน์ตาสีเงินคู่นั้นกลับปรากฏแววห่วงปนกังวลออกมาจางๆ

    “คาร์ล?”

    “เจ้าจะไม่ไปคนเดียว  ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย  ตกลงไหม?”

    “แต่ว่าเฮคเตอร์แค้นข้าแค่คนเดียวนะ...”

    “แล้วการที่เจ้าไปคิดว่าจะสามารถตัดคนอื่นรอบข้างออกจากปัญหาได้หรือไง?” คำถามนั้นทำให้อาร์โรห์ชะงักไป  และคงจะถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับมานั่งคิดอีกครั้ง...

    ...นั่นสินะ  การที่เขาจากไปคนเดียวยังไงก็ไม่มีทางที่จะตัดคาร์ล  เดล  หรือลูน่าออกไปจากปัญหาได้อยู่ดี  ในเมื่อเฮคเตอร์เคยประกาศออกมาแล้วว่าจะทำลายคนที่อยู่รอบข้างเขารวมทั้งตัวเขาด้วย  แล้วการที่เขาจากไปแบบนั้นบางทีอาจเป็นการทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นไปอีก  หากเขาอยู่ด้วยก็เท่ากับว่ากำลังของพวกเขาสี่คนจะมากขึ้นและอาจมีสิทธิ์ที่จะชนะมากขึ้น...

    “มันก็จริงของเจ้า  คาร์ล”

    “ใช่มั้ยล่ะ  เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องหนีไปจากพวกเราแล้ว  เข้าใจนะ”

    “อื้อ” อาร์โรห์เอ่ยตอบรับก่อนจะเผยยิ้มบางๆ

    คาร์ลยิ้มตอบ  อย่างน้อยคำตอบที่ได้มาก็น่าพึงพอใจแล้ว  สำหรับอาร์โรห์ที่มักจะแบกรับอะไรไว้คนเดียวตลอด  ไม่ง่ายเลยที่จะยอมเปิดใจให้ใครจนเชื่อใจกัน  และอย่างน้อยการที่อาร์โรห์ยอมฟังเขาและคิดตามก็ถือได้ว่าอย่างน้อยอาร์โรห์ก็ยังเปิดใจรับฟังเขา

    “เอาล่ะ! ข้าจะขอพูดอะไรสักหน่อยนะ!” คาร์ลที่ได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจแล้วหันไปทางสองพี่น้องที่กำลังนั่งหมดสภาพอยู่ที่โต๊ะ  เป็นเหตุให้เดลต้องหันมามองเขา  ส่วนลูน่านั้นรีบเด้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรงมองคาร์ลด้วยดวงตาพราวระยับ

    “พวกเราไม่ต้องฝึกแบบวันนี้แล้วใช่ไหม!!!?”

    “ใช่” คาร์ลพูดพลางพยักหน้ายิ้มๆจนลูน่าแทบจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น  ขณะที่เดลก็เผยยิ้มเบาใจออกมา  ทว่าคำพูดต่อมาของคาร์ลก็ทำให้รอยยิ้มของสองพี่น้องแข็งค้างราวกับกลายเป็นหิน

    “เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะให้พวกเจ้ากินแค่อาหารเช้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้าน  แล้วกลับมาที่นี่อีกครั้งตอนดึก  และพวกเจ้าทั้งสองคนต้องผ่านหนึ่งบทเรียนให้ได้ภายในสองวัน”

    “อะไรนะ!!!?”

    “เอ๋!!!!!?”

    สองพี่น้องส่งเสียงตระหนกออกมาเสียงดังพร้อมกับเบิกตาขึ้นกว้างยิ่งกว่าไข่นกกระจอกเทศ

    โหดร้าย! โหดร้ายมาก!! ทำไมพวกเขาต้องมาฝึกหามรุ่งหามค่ำด้วยเนี่ย!!? แถมยังจะให้ฝึกหนักแบบอัดไม่มียั้งอีก  พวกเขาไม่ตายก่อนเรอะ!!!? บางทีสมองอาจจะระเบิด  มือบิด  ขาเป๋ไปเลยก็ได้!!!

    อาร์โรห์มองท่าทีของสองคนที่ราวกับจะไปลุยทัวร์นรกสักรอบแล้วก็ได้แต่รู้สึกขำ  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงพยายามกดริมฝีปากไม่ให้เผลอเผยอขึ้นมา  ก็ถ้ามันเผยอขึ้นมาจริงๆสองคนนั้นคงเสียหน้าแย่

    คาร์ลมองท่าทางของสองคนนั้นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ  ก็รู้ว่ามันออกจะมากไปหน่อย  แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด  นี่เป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้ทั้งสองคนฝึกได้มากที่สุด  จะมานั่งเอ้อระเหยลอยชายสอนกันสบายๆไม่ได้อีกแล้ว

    อีกอย่าง  ก็ใช่ว่าพวกเขาอยากจะตะลุยสอนขนาดนี้เสียเมื่อไหร่...

    “งั้นไม่ต้องพูดมาก  วันนี้กลับไปพักผ่อนซะ  พรุ่งนี้ต้องลุยกันอีกทั้งวันนะ” คาร์ลเอ่ยเป็นเชิงไล่  พลางโบกมือเบาๆเหมือนจะบอกว่า กลับไปที่ห้องของพวกเจ้าได้แล้ว

    ลูน่าเบ้หน้าแล้วลุกขึ้นเดินกระแทกเท้ากะจะเดินมันขึ้นข้างบนไปทั้งแบบนั้น  แต่เนื่องด้วยวันนี้ใช้ขามาหนักจนปวดกล้ามเนื้อขาไปหมด  เดินกระแทกเท้าได้อยู่แค่สองสามก้าวก็เลิกเพราะอาการปวดดันลามขึ้นมาจนถึงต้นขาเสียอย่างนั้น

    เดลเองก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนรับคำแล้วเดินตามลูน่าไปติดๆด้วยไม่รู้จะพูดอะไรดี

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปพักด้วยนะคาร์ล” อาร์โรห์เอ่ยพลางตบไหล่คนตัวสูงกว่าเบาๆ “อย่าโหมนักนะ”

    “เจ้าก็ด้วย  อาร์โรห์” คาร์ลเอ่ยพลางเหลือบตามามองอย่างนึกเป็นห่วง  แต่ก็ได้รอยยิ้มเล็กๆตอบกลับมาพร้อมกับแรงตบลงบนไหล่เบาๆ  ก่อนที่ร่างสีสะอาดนั้นจะเดินหายลับไปทางบันได

    คาร์ลถอนหายใจเบาๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา


    _____________________________________________________________________________________________________

    ตอนนี้ยาวกว่าปกติเกือบเท่าตัวเลยค่ะ สิบสองหน้าเวิร์ด...

    ตั้งแต่ไม่นั่งนับหน้าตอนนึงก็ยาวมาเป็นหางว่าว ทั้งๆที่ตอนแรกกำหนดว่าหนึ่งตอนประมาณเจ็ดหน้าแท้ๆ...

    แถมตอนก็หมดสต๊อกแล้วค่ะ...#อ่อก กำลังพยายามนั่งปั่นบทที่ 18 อยู่นะคะ!

    แต่สงสัยคงต้องขอเวลาแต่งมากกว่าเดิม (ถึงปกติจะมาอัพช้าอยู่แล้วก็เถอะ)

    ตั้งแต่ตรงนี้ไปจะเหลืออีกประมาณสองสามฉากใหญ่ก็จบภาคแล้วค่ะ

    พูดเหมือนเหลือน้อย  แต่พอชีวิตเริ่มสงบสุขก็เริ่มปั่นไม่ออก เหอๆๆ //ท่าทางไรท์จะไม่อยากให้อาร์โรห์สงบสุขเท่าไหร่

    ประมาณสองสามตอนต่อจากนี้ถือว่าให้อาร์โรห์พักก็แล้วกันค่ะ...//นั่งจิ้มคีย์บอร์ดอย่างตันๆ

    แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมีปัญหาให้ต้องคิดอีกค่ะ  แต่ถือว่าค่อนข้างเบาสมองแล้วหลังจากที่ดราม่า  เจ็บปวด  เลือดสาดกันมาติดๆกันสอง (หรือสาม?) ตอน หุๆๆ

    อาร์โรห์เอ๋ย ใช้เวลาตรงนี้ให้เต็มที่แล้วเจ้าจะต้องออกไปต่อสู้อีกครั้ง!!!(?)

    ^

    ^

    ^

    อิไรท์เล่นไร?


    แถมพรุ่งนี้ถึงวันที่หนึ่งไรท์ก็สอบแกะแพะ---- แค่กๆๆ ขออภัย แกทแพทค่ะ

    สงสัยจะไม่ได้แตะนิยายอีกซักพัก แค่คืนนี้ยังแอบมาอัพเลย...

    สำหรับงานหนังสือ สอยมาเจ็ดเล่มแต่เสียไปเกือบพัน... เอาเถอะ ยังไงก็ดีกว่าซื้อเล่มละสองร้อยล่ะน่า!

    ช่วงนี้เรียนหนักมาก เรียนทุกวัน แถมสอบอีก เฮ้อ... (ท่าทางเหมือนไรท์เก็บกดจนต้องมาระบายในนี้ ฟฟฟฟ)

    สำหรับคนที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ต้องขอบคุณมากค่ะ //โค้งงามๆให้ที

    สำหรับคนที่อ่านเดวิลและตามเดวิลของไรท์  จนถึง ณ บัดนี้ก็เพิ่งจะปั่นตอนที่สิบเอ็ดไปเกือบหน้าเอง  //มองรีดทุกคน   ว่าแต่ในนี้มีคนอ่านเดวิลมั้ยนี่?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×