ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงศ์หากิน PSM และสาระดนตรีไทย

    ลำดับตอนที่ #176 : [ลิเก] ความเป็นมา

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 50



    ความเป็นมา



               ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 การแสดง "ดิเก" ของชาวมลายูเป็นแบบนำให้ศิลปินของชาวไทยนำมาแสดงบ้าง โดยใช้เพลงบันตนของมลายูเป็นหลัก และคิดต่อเติมแทรกคำไทยระคนเข้าไป แต่ก็คงใช้รำมะนาตีประกอบอยู่ตามรูปเดิม เมื่อได้โหมโรง และร้องเพลงบันตนตามสมควรแล้ว ก็เริ่มแสดงออกเป็นชุดต่างๆ โดยมากมักเป็นชุดต่างภาษา แต่จะต้องเริ่มด้วยชุดภาษาแขกก่อนภาษาอื่นเสมอ เช่น ชุด แขกรดน้ำมนต์เป็นต้น การแสดงจะมีตัวแสดงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไปตามภาษานั้นๆ ผู้แสดงร้องเอง และผู้ตีรำมะนาที่นั่งล้อมวงอยู่นั้นร้องเป็นลูกคู่รับ เมื่อหมดกระบวนของการแสดงชุดหนึ่ง ผู้แสดงเข้าฉากแล้ว พวกตีรำมะนาก็ร้องเพลงบันตนสลับรอการแต่งตัวชุดต่อไป และร้องเพลงภาษานำการแสดงในชุดต่อไปด้วย คือ ถ้าชุดต่อไปจะแสดงมอญก็ร้องเพลงที่เป็นลูกรับภาษามอญ นำให้ตัวแสดงร้องออกมา การแสดงแบบนี้เรียกว่า "ลิเกบันตน" ในสมัยโบราณชอบแสดงก็มีชุดมอญในเรื่องราชาธิราช ตอนพระยาน้อยชมตลาด ชุดลาวในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนบักป่องบักเป๋อพบพลายบัว และนางแว่นแก้ว เป็นต้น           ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนี้ การบรรเลงปี่พาทย์ตามงานก็ประกวดประขันกันนักหนา อันการบรรเลงปี่พาทย์นั้น มีวิธีบรรเลงแบบหนึ่งที่นิยมกันมากในสมัยนั้น คือ เมื่อร้อง และบรรเลงเพลง 3 ชั้น เป็น "แม่บท" จบไปแล้ว ก็ต่อท้ายด้วยเพลงเล็กๆสั้นๆหรือเพลงภาษาต่างๆเป็น "ลูกบท" อีกเพลงหนึ่ง แล้วจึงออกลูกหมด แสดงว่าจบ ในสมัยนี้ได้มีผู้คิดใช้ตัวแสดงเข้าผสม คือ เมื่อร้อง และบรรเลงเพลงลูกบทภาษาใด ก็ปล่อยตัวแสดงชุดภาษานั้นอย่างที่ลิเกบันตนแสดงออกมา ร้อง และรำไปตามกระบวนเพลง แต่ใช้ปี่พาทย์รับแทนลุกคู่ที่ตีรำมะนาอย่างลิเกบันตน การแต่งตัวก็แต่งเพียงใช้เสื้อผ้าแพรพรรณธรรมดา หากแต่ให้มีสีสันฉูดฉาดบาดตา ตัวผู้ชายใช้โพกผ้า หรือสวมสังเวียนที่ศีรษะ และตัวผู้หญิงก็สวมช้องผมปลอมเท่านั้น ชุด และการแสดงก็อนุโลมอย่างลิเกบันตน เมื่อหมดชุดหนึ่งตัวแสดงก็เข้าฉากไป ต่อจากนั้นปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเพลง 3 ชั้น ที่เป็นแม่บทขึ้นใหม่ และออกลูกบท เปลี่ยนชุดหรือภาษาเพื่อแสดงต่อไป การแสดงแบบนี้เรียกว่า "ลิเกลูกบท" 


                  ต่อมามีผู้ปรับปรุงลิเกบันตนกับลิเกลูกบทเข้าผสมกัน แต่ให้แต่งตัวด้วยเครื่องที่ปักดิ้นเลื่อมแพรวพรายอย่างละครรำ และแสดงเป็นเรื่องยาวๆอย่างละคร โดยเมื่อปี่พาทย์โหมโรงไปจนจบแล้ว ก็บรรเลงเพลงภาษาต่างๆเรียกว่า ออกภาษาหรือออกสิบสองภาษา แทนการร้องบันตนภาษาต่างๆ พอถึงภาษาแขกอันเป็นอันดับสุดท้าย พวกตีรำมะนาก็ออกมานั่งล้อมวงหน้าวงปี่พาทย์ พอปี่พาทย์หยุด พวกตีรำมะนาก็ร้องเพลงบันตนภาษาต่างๆอีกพักหนึ่ง แล้วเริ่มแสดงชุดแขกตามแบบลิเกบันตน แต่ใช้ปี่พาทย์รับ เป็นการคำนับครูเสียชุดหนึ่ง พอหมดชุดแขกจึงเริ่มจับเรื่องที่จะแสดงต่อไป ผู้แสดงใช้ท่ารำตามแบบละครรำ แต่มุ่งหมายไปในทางดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว มีตลกคะนองบ้าง ท่ารำจึงต้องลดลงไป ส่วนการร้องใกล้ไปทางแบบลิเกบันตน แต่ใช้ปี่พาทย์รับ และเป็นประเพณีว่า การแสดงลิเกต้องใช้ผู้ชายล้วน แม้ตัวนางก็ใช้ผู้ชายแสดง ในสมัยก่อนลิเกแบบนี้เรียกว่า "ลิเกทรงเครื่อง" ได้ตั้งโรงแสดงเก็บค่าดูอย่างละครรำ เช่น ลิเกของพระยาเพชรปาณี เป็นต้น ต่อมาในวงการลิเกทรงเครื่องเห็นว่า การแสดงชุดแขกเต็มตามแบบลิเกบันตน ทำให้เสียเวลาที่จะเข้าเรื่องมาก จึงงดการร้องบันตนประกอบการตีรำมะนานั้นเสีย พอปี่พาทย์บรรเลงออกภาษาแล้ว ก็ออกแสดงแขกเพียงเล็กน้อย มีการซักติดตลกพอควร และบอกเรื่องราวที่จะแสดง เป็นการคำนับครูตามประเพณี แล้วก็จับเข้าเรื่องทีเดียว ในตอนนี้ได้เกิดมีเพลงร้องสำหรับดำเนินเรื่องขึ้นประจำการแสดงลิเก เช่นเดียวกับเพลงร่ายของละคร (อ่านได้จาก ละครนอก ละครใน) เพลงนั้นคือ เพลงหงส์ทองชั้นเดียว ลิเกสมัยนี้ต่างกับลิเกสมัยก่อนคือจะไม่ค่อยรำ โดยมากใช้เพียงพูดๆร้องๆ แบมือไปมา พอปี่พาทย์ทำเพลงเชิดก็เดินเข้าฉากไปเลย ที่ยังยึดถือศิลปการรำอยู่บ้างก็มีน้อยเต็มที

    ในสมัยที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมทางศิลปกรรมเกี่ยวกับการแสดงละคร พุทธศักราช 2485 กล่าวไว้ว่า ละครประเภท "นาฏดนตรี"ี ซึ่งเฉลี่ยความสำคัญให้แก่ดนตรี การขับร้อง คำพูด และบทบาท ซึ่งแบ่งเป็น สุขนาฏดนตรี ทัศนากร วิจิตรทัศนา และวิพิธทัศนา การแสดงลิเกก็นับเข้าอยู่ในประเภทนาฏดนตรีด้วย


    http://www.anurakthai.com/

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×