ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #116 : Higeki wa Yasashiki Utsu

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 66


    Higeki wa Yasashiki Utsu 「悲劇は優しき鬱」
    Inspiration: Death Office 「死役所」  (Drama, 2019)
    Playlist: Dir En Grey – The Final












    .

    17 กันยายน

    นีมูระ ซาคุโระได้ก้าวเข้ามามีตัวตนอยู่ในชีวิตของมิจิเอดะ ชุนสุเกะเป็นครั้งแรก — ในตอนที่เธอเดินตามหลังครูมัตสึมูระเข้ามาในคาบโฮมรูมช่วงต้นเทอมสองของชั้นปีที่สอง เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงเริ่มต้นแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ขัดเขินกับน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักไปเล็กน้อยจากความประหม่าว่า

    “ฉันชื่อนีมูระ ซาคุโระ เพิ่งย้ายมาจากชิซึโอกะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

    ถึงสายตาคล้ายว่าจะกวาดไปทั่วก็ไม่ได้จ้องสบกับใคร ทั้งที่ใครๆ ก็ต่างกำลังจดจ้องมองเธอ เหมือนกับเขาที่ก็ไม่อาจละสายตาจากทุกการกระทำของเธอหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการค้อมหัวหลังตอบรับคำบอกเล่าของครูมัตสึมูระ เดินก้มหน้ากระชับสายกระเป๋าที่ถือพาดไหล่มาจนถึงที่นั่งว่างด้านหลังสุดข้างกันกับเขา เป็นตอนนั้นเองที่สายตาของเธอจะได้สบจ้องมองมา

    แต่ก็แค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อเขาจะเป็นฝ่ายรีบเบือนหลบ ก้มลงไปแสร้งพลิกหนังสือเรียนบนโต๊ะอย่างไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลยเสียเอง

     

    19 กันยายน

    มิจิเอดะ ชุนสุเกะเกือบต้องอับอายต่อหน้านีมูระ ซาคุโระเป็นครั้งแรก — หลังจากที่เขาเดินก้มหน้าก้มตาออกจากห้องน้ำ สวนทางกับเธอที่เพิ่งผละจากการสนทนากับครูมัตสึมูระอยู่บนโถงทางเดินมา แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีเพราะสีหน้าที่แสดงออกถึงความขุ่นเคืองอย่างไม่ปิดบัง กระทั่งวินาทีที่เธอมองเลยมาเห็นเขาซึ่งจำต้องเงยหน้าขึ้นเพราะถูกเพื่อนห้องอื่นเดินชนไหล่โดยไม่ตั้งใจในจังหวะเดียวกัน คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ยกขึ้นคล้ายว่าจะพูดอะไรด้วยสักอย่าง หากเค้าหน้าที่โอนอ่อนลงไปก็ทำให้แน่ใจได้ว่ามันจะต้องเป็นไปในแง่ดี

    แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะรีบก้าวเร็วๆ จากไป โดยไม่มีแม้แต่การค้อมศีรษะหรือแสดงทีท่าว่ารู้จักเพื่อนร่วมห้องที่นั่งข้างกันเลยแม้แต่น้อย

     

    20 กันยายน

    และนั่นคือวันที่นีมูระ ซาคุโระจะได้มองเห็นและรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมิจิเอดะ ชุนสุเกะเป็นครั้งแรก

    มันเกิดขึ้นริมแม่น้ำในละแวกอพาร์ตเมนต์ที่เขาอยู่อาศัย แม้ไม่ถึงกับเป็นกิจวัตร แค่อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้งตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน แต่ไม่ว่าอย่างไร ชุนสุเกะก็ไม่เคยห้ามการบังคับมือของตัวเองไม่ให้สั่นได้ในตอนที่หยิบธนบัตรทั้งหมดออกจากกระเป๋าสตางค์ แล้วยื่นส่งให้กับซาโต้ที่จะรีบตะครุบมันไปอย่างรวดเร็ว

    “พ่อใหม่แกรวยจะตายไม่ใช่เหรอวะ?” ซาโต้ว่า คลี่ธนบัตรทั้งหมดเหล่านั้นเพื่อนับจำนวนคร่าวๆ ก่อนที่จะส่ายหัว “แค่นี้มันจะไปพอยาไส้อะไร ไปจิ๊กมาให้มากกว่านี้สิวะ”

    “เอามาให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

    “อ้าวๆ ชุนสุเกะคุง พูดแบบนี้แปลว่ายอมให้พวกเราถ่ายรูปได้อีกงั้นสิ?”

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานในห้องน้ำชายหวนกลับคืนมา และใบหน้าที่ซีดลงไปของชุนสุเกะก็มากพอที่จะทำให้รอยยิ้มชอบใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซาโต้ที่ถือดีเข้ามากอดคอ เพื่อที่จะพูดตอกย้ำถึงเรื่องทุเรศพรรค์นั้นข้างใบหูของเขา พร้อมกับเสียงหัวเราะน่ารังเกียจที่ประสานไปกับคนอื่นๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาตบบ่าเขาด้วยเจตนาที่ไม่ใช่เพื่อการปลอบใจ อย่างที่คนไร้มโนสำนึกอย่างมันไม่เคยมี

    “ไปล่ะ ไว้เราจะแวะมาเอาอีกนะชุนสุเกะคุง”

    กระทั่งตอนที่พวกมันทั้งสามจะเดินลับจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะหยันที่ยังคงดังก้องอยู่ไม่จางหาย ทิ้งไว้เพียงความแค้นเคืองอันไร้ซึ่งหนทางระบายให้เขาที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมหมัดที่กำแน่นเข้าหากัน

    “คุณมิจิเอดะถูกพวกของซาโต้กลั่นแกล้งใช่ไหม?”

    ทันใดนั้นเอง นักเรียนใหม่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้า จ้องสบดวงตากับเขาด้วยความห่วงใยแน่วแน่ขณะเอ่ยถาม ทว่าสิ่งที่ชุนสุเกะเลือกจะทำคือการก้มหน้าหลบตา ส่ายหัวปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นไม่ว่าเธอจะได้มองเห็นมันมากแค่ไหน เพื่อที่จะหนีห่างจากความหวังดีของเธอไปให้ไกล...อีกครั้ง

     

    27 กันยายน

    หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของชุนสุเกะกับซาคุโระก็กลับไปเป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องที่นั่งข้างกัน แต่ไม่มีการพยายามที่จะมองหน้า ส่งยิ้ม หรือว่าทักทายจากเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว และมันก็ควรต้องเป็นแบบนั้น หลังจากความเมินเฉยที่ได้กระทำ เขาจะคาดหวังถึงอะไรได้อีก

    ไม่มีทางที่เขาจะดึงนางฟ้าลงมายังขุมนรกเพื่อให้แปดเปื้อนไปด้วยกัน ถึงต่อให้อีกไม่ช้าเขาจะตัดสินใจลงไปยังขุมนรกเพียงลำพังก็ตาม

     

    ชุนสุเกะถูกพวกซาโต้กอดคอลากกลับเข้ามาในห้องเรียนด้วยกันตอนช่วงพักเที่ยง โดยไม่จำเป็นต้องออกปากไล่ เพื่อนร่วมห้องที่ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออะไรเขาอยู่แล้วก็จะรีบลุกหนีออกไปด้วยรู้ดีถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ชุนสุเกะเกลียดการถูกบังคับขู่เข็ญให้กินแมลงรสชาติผะอืดผะอม กลัวการถูกทำร้ายด้วยคัตเตอร์กับบุหรี่ซึ่งจี้ลงไปในจุดที่จะไม่มีใครมองเห็น เขาต้องกลับบ้านไปทำแผลและซักเสื้อที่เปื้อนเลือดด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้แม่ผิดสังเกต และรังเกียจการต้องได้เห็นรูปถ่ายและคลิปที่ซาโต้จะหยิบยกขึ้นมาข่มขู่ ไม่ก็ล้อเลียนกันอย่างสนุกสนานเหมือนที่ทำอยู่ในเวลานี้

    กระทั่งบานประตูห้องเรียนถูกเลื่อนเปิดออกก่อนที่จะถูกเลื่อนปิดตามมาด้วยความรุนแรงเอามาก เรียกเอาสายตาของเด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่อยู่ในห้องให้ต้องหันขวับไปมอง จากตำแหน่งหลังห้องริมหน้าต่างที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่

    และสิ่งที่พวกเขาได้พบคือเด็กสาวซึ่งชะงักฝีเท้าค้างไปอยู่ครู่ขณะหนึ่ง ใบหน้าที่แสดงความตกใจของซาคุโระเปลี่ยนไปเป็นความขุ่นเคืองแทบจะทันที ในตอนที่ก้าวฝีเท้ายาวๆ ผ่านโต๊ะเก้าอี้ตั้งแต่หน้าห้องเข้ามากลางวง จากนั้นฉวยคว้าโทรศัพท์ในมือของซาโต้ที่เพิ่งจะถ่ายรูปของเขามาอย่างถือวิสาสะเหมือนกับการกระทำอันรวดเร็วต่อจากนั้น เมื่อเธอจะเขวี้ยงมันลงไปจากหน้าต่างห้องบนชั้นสามด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

    “ทำบ้าอะไรของเธอวะ!”

    “พวกนายเลิกยุ่งกับคุณมิจิเอดะสักที!”

    ซาคุโระแผดตะโกนออกมาเสียงดังขณะแหงนเงยใบหน้าขึ้นสบดวงตาแข็งกร้าวกับซาโต้อย่างไม่หวั่นเกรง ทั้งทีท่าและคำพูดของเธอทำให้ซาโต้พ่นลมหายใจออกจมูก ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเป็นรอยยิ้มแสดงถึงเจตนาที่มาจากความเยาะหยัน...และเกลียดชัง อันไม่ได้มีต้นเหตุมาจากแค่ตัวเขาหรือพ่อเลี้ยงผู้ร่ำรวยของเขาอีกต่อไป

    “อ๋อ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันขนาดนี้ สงสัยว่ามันคงจ่ายเงินซื้อเธอเยอะเลยสิท่า หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้แกเอาเงินที่จิ๊กพ่อมาให้เราได้แค่นั้นวะชุนสุเกะ?” แม้ว่าจะเป็นคำถาม ซาโต้ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาที่ยังคงยืนตัวลีบอยู่ในมุมหนึ่ง เมื่อเริ่มต้นเอ่ยกับคนตรงหน้าต่อไปว่า “เดี๋ยวนะ ไม่สิ บางทีผู้หญิงอย่างเธออาจไม่ต้องจ่ายเยอะขนาดนั้นก็ได้ น่าเสียดายนะ ถ้าแค่ไม่กี่พันเยนฉันเองก็มีให้ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเอาไอ้อ่อนแบบนี้ ขนาดไอ้ตรงนั้น...”

    แต่ก่อนที่ซาโต้จะได้พูดพล่ามในเรื่องน่าทุเรศที่ทึกทักเอาเองอย่างนั้นจนจบประโยค ซาคุโระก็จะยกหนังสือเล่มหนาหนักที่ถือมาตั้งแต่ห้องสมุดขึ้นฟาด ผลักร่างของซาโต้ออกไปจนกระแทกกับโต๊ะเก้าอี้ระเนระนาด

    “หุบปากเน่าๆ ของนายสักทีซาโต้!” เช่นเดียวกับที่เธอจะตามไปฟาดหนังสือเล่มเดิมใส่เด็กหนุ่มที่ยังซวดเซไม่ทันตั้งตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นายอิจฉามิจิเอดะที่เรียนเก่งกว่า บ้านรวยกว่า หน้าตาดีกว่า ถึงได้พยายามกดเค้าให้ดูน่าสมเพชเพื่อที่จะได้ไม่มีใครชื่นชมเค้าอีก นายจะได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าขึ้นมา แต่คนอย่างนายก็เป็นได้แค่เศษสวะเท่านั้นแหละ! ถึงต่อให้นายตายไปวันนี้ ตอนนี้ ก็ไม่มีใครร้องไห้ให้ขยะอย่างนายหรอก!”

    “อยากปกป้องไอ้กระจอกมันนักใช่ไหมวะ!”

    ด้วยความโกรธจัดจนซาโต้ใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าซึ่งเพื่อนๆ ช่วยกันล็อกตัวไว้จนหันไปอีกทาง ตามมาด้วยเลือดที่ไหลซึมลงจากริมฝีปากซึ่งกัดไปโดน กระนั้นสิ่งที่ซาคุโระเลือกจะทำคือการสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม ปาดป่ายหมัดลงไปใส่คนตรงหน้า พร้อมกับตะโกนด่าทอเขาด้วยคำหยามเหยียดอย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าพอจะพูดแบบนั้น มันถึงได้ตอบโต้กลับไปด้วยสิ่งเดียวที่มีมากกว่าคือพลังกาย แต่ซาคุโระก็ยังไม่ยอมหยุดปาก ซ้ำยังกรีดเสียงหัวเราะเยาะหยันตลอดเวลาเหล่านั้น ถึงตัวเองจะเป็นได้แค่เป้านิ่งให้ฝ่ามือและหมัดซัดลงไป กับใบหน้าขาวที่อีกไม่ช้ามันจะบวมปูดและช้ำเลือดเป็นสีเขียวแดง

    ขณะที่ชุนสุเกะได้แต่นิ่งค้างยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดราวกับถูกตอกตรึง และสิ่งเดียวที่เขาทำก็เหมือนกับที่ทำมาตลอดก็คือ...ไม่ทำอะไรเลย

    เขาไม่เคยกล้ายืนหยัดขึ้นตอบโต้ต่อการกลั่นแกล้งของพวกซาโต้ที่บีบบังคับให้เขาทำเรื่องน่าอดสูตั้งแต่เข้าเรียนชั้นไฮสคูลที่นี่ เขาไม่เคยกล้าปริปากบอกแม่กับพ่อเลี้ยงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เมื่อพวกเขาต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายรับรู้มันด้วยตัวเองแล้วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา หรือแม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปปกป้องเด็กผู้หญิงที่กำลังถูกทำร้ายทั้งที่เธอพยายามปกป้องเขา — คนที่เมินเฉยต่อเธอมาโดยตลอด — เพื่อปกปิดความรู้สึกที่ว่าเขาก็ต้องการมีเพื่อน เขาก็ต้องการมีใครสักคนไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ

    โชคดีที่เสียงโหวกเหวกในห้องดังพอให้กลุ่มนักเรียนหญิงที่เดินผ่านมารีบวิ่งไปเรียกบุคลากรที่ห้องพักครู และทันทีที่บานประตูเปิดออก ซาโต้และพรรคพวกก็จะรีบถอยห่างจากซาคุโระ หาใช่เพราะความหวาดกลัวต่อครูประจำชั้นที่นักเรียนเอาไปด่ากันลับหลังสนุกปากเหมือนอย่างที่เขาชอบด่านักเรียนต่อหน้า ทว่าเป็นเพราะครูมัตสึมูระไม่เคยสนใจให้ค่าเรื่องของนักเรียนคนไหนอยู่แล้วต่างหาก ทั้งที่รู้เรื่องการกลั่นแกล้งของนักเรียนในห้องมาโดยตลอด แต่ก็ยังเลือกที่จะปิดหูปิดตาแล้วปล่อยให้พวกเขากระทำมันต่อไป นั่นก็แทบไม่ได้ต่างอะไรจากการลงมือทำด้วยตัวเองไม่ใช่หรือไง

    “มีปัญหาอะไรกัน!

    “หนูหาเรื่องซาโต้ก่อน เค้าก็เลยเอาคืนค่ะ” ซาคุโระค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นยืน โพล่งผ่านริมฝีปากที่แตกด้วยคำพูดที่ไม่แยแส “เรื่องเล็กแค่นี้ ช่างมันเถอะค่ะ”

    “เรื่องเล็กอะไร! เธอถูกเด็กผู้ชายทำร้ายนะ!”

    “อ๋อ เพราะหนูเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกเด็กผู้ชายทำร้ายเลยเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนการกลั่นแกล้งของเด็กผู้ชายด้วยกันคือเรื่องเล็กงั้นสินะคะ ครูถึงได้ปล่อยให้มันเกิดขึ้น”

    ทั้งอย่างนั้น ครูมัตสึมูระก็จะทำเมินเฉยต่อคำพูดของเธอขณะมองเลยมาหาเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงมุมหลังห้อง “มิจิเอดะ ที่นีมูระบอกว่าเป็นคนเริ่ม เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

    “มันเป็นเรื่องของหนูกับซาโต้นะคะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณมิจิเอดะเลย!” เธอแหวขึ้นด้วยความหงุดหงิดกว่าเดิมมาก “ถ้าครูจะกรุณา ช่วยพาหนูไปห้องพยาบาลดีกว่าค่ะ เห็นไหมคะว่าปากหนูจะฉีกอยู่แล้ว!” และเมื่อเธอจะเดินตอกฝีเท้าด้วยความหัวเสียจากไป ครูมัตสึมูระก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

    “มิจิเอดะ มากับครู ส่วนพวกซาโต้ หลังเลิกเรียนไปที่ห้องพักครูด้วย”

    สายตาของคนทั้งสามที่จดจ้องมองมาล้วนสื่อความหมายเดียวกันว่าถ้าขืนเขาเปิดปากพูดอะไรออกไป เหตุการณ์มันจะไม่จบลงแค่นี้แน่ และเขาจะต้องโดนหนักกว่าที่นีมูระได้เผชิญ แต่พวกซาโต้ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย เพราะไม่ว่าอย่างไร คนอย่างเขาก็ไม่มีทางกล้าปริปากเพื่อขอความช่วยเหลือจากใคร...หรือแม้แต่เพื่อขอให้ใครมาช่วยเหลือเธอ

     

    ความพยายามคาดคั้นเอาความจากลูกศิษย์ที่ครูทาเคมิกำลังช่วยทำแผลช้ำเลือดที่ใบหน้าให้อยู่บนเตียงในห้องพยาบาลของครูมัตสึมูระไม่เป็นผล ขณะยืนกอดอกมองดูเด็กสาวที่ไม่ปิดบังความหงุดหงิดใจเลยแม้แต่น้อย ที่เมื่อเขาทำท่าว่าจะเปลี่ยนมาถามลูกศิษย์อีกคนหนึ่งในที่นั้น ซาคุโระก็จะกระชากน้ำเสียงขุ่นเคืองแล้วว่า

    “หนูก็บอกแล้วไงว่าเป็นเรื่องของหนูกับซาโต้ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ครูช่วยเลิกเซ้าซี้น่ารำคาญสักทีเหอะ!

    นั่นเองที่จะทำให้ความอดทนของครูมัตสึมูระหมดลง

    “แล้วฉันจะบอกแม่ของเธอว่ายังไงซาคุโระ! ไปหาเรื่องเด็กผู้ชาย ทำอะไรไม่มีหัวคิดแบบนั้น! อยากจะถูกไล่ออกเหมือนตอนอยู่โรงเรียนเก่าอีกหรือไง!”

    “พอได้แล้วค่ะครูมัตสึมูระ” ครูทาเคมิหันไปปรามเพื่อนร่วมอาชีพ “ตอนนี้เด็กเค้าเจ็บอยู่ สิ่งที่ควรทำคือการคาดคั้นเหรอคะ?”

    “ผมกลับก่อนก็ได้ แต่มิจิเอดะ...”

    หากซาคุโระจะเอ่ยแทรกขึ้นว่า “หนูอยากให้คุณมิจิเอดะอยู่กับหนูที่นี่ด้วยค่ะ” ด้วยการจ้องสบตากับครูทาเคมิที่รู้ว่าหล่อนต้องช่วยได้ ด้วยการส่งเสียงแข็งให้ครูมัตสึมูระที่ไม่มีอยากมีปัญหากับหล่อนเหมือนที่พยายามมีกับเธอจำต้องยกธงขาวยอมแพ้แล้วออกจากห้องไป

    ชุนสุเกะได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบมองดูมือตัวเองอยู่อย่างนั้น ขณะปล่อยให้สุ้มเสียงของซาคุโระกับครูทาเคมิที่พูดคุยกันเบามากจนเขาแทบไม่ได้ยินลอยผ่านไป ครั้นทำแผลให้เธอเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ครูทาเคมิก็บอกว่าจะไปคุยกับครูมัตสึมูระให้ และเมื่อบานประตูเลื่อนปิด เด็กสาวก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้คนละฟากฝั่งกับเขา

    “ฉันเคยถูกไล่ออกเพราะไปมีเรื่องกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาแกล้งเพื่อนในห้องของฉันด้วยวิธีวิปริตสารพันเท่าที่จะนึกออก แต่ไม่มีใครยอมยื่นมือเข้าไปช่วยเลยเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเหยื่อด้วย ฉันเองก็กลัว จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งเขาก็มาสารภาพรักกับฉัน จากนั้นก็ฆ่าตัวตายเพราะทนการกลั่นแกล้งไม่ไหว ฉันไม่อยากเห็นใครต้องตายด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนั้นอีกแล้ว”

    “คุณมิจิเอดะ มาแก้แค้นกันเถอะ ก่อนที่คุณมิจิเอดะจะต้องตกเป็นเหยื่อซะเอง”












    2023年02月19日
    _______________
    ★ แม่งเอ๊ยเมื่อ 2-3 วันก่อนโน้นฝันถึงนาโอะ (เหมือนที่มึงฝันถึงเก็นตะ แย่ๆๆ คืนวิปโยค) แล้วกูก็'รมณ์บ่าดีมากๆ เอาฟิคพระเอกเดิมมาแปลงให้สาแก่ใจ! ซะใจแน่นอนเพราะเรื่องนี้มาจากละครที่นาโอะเล่น แต่กูฮับบ่าได้พวก (ยืมคำจากหอแต๋วแตก) ซีรีส์วายที่...ฮ่าๆๆๆ พล็อตก็ขำ เห็นคัทซีนก็ยิ่งขำ คนอย่างกูเทแล้วเทเลยไม่มองหันหลังกลับไป (แค่หันข้างเอี้ยวตัวไปดู) เหอะ นาโอะนี่เองเหรอวะที่เคยได้ไปแอลเอกับบิโชเน็น คนหนึ่งอยู่อีกคนก็ต้องไป เพราะสีฟ้าสำหรับกูมีได้แค่คนเดียว (เอ้ย สอง ลืมเคนโตะ) ขอโทษด้วยละกัน
    ★ กูหาดูเถื่อนตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาฯสองปีก่อนโน้นเพราะจะดูนาโอะ แล้วอยู่ๆ ก็มาลงเน็ตฟลิกซ์ได้ไงไม่รู้ งง แต่สมัยนั้นกูก็บ้านาโอะจริง อะไรเบอร์นั้นวะงง กูงง มึงก็งง เก๊กก็เก๊ก เบียวก็เบียว หมาป่าเดียวดาย พล็อตทั้งหมดก็มาจากละครเรื่องนั้นแหละ ตอนแรกจะแปลงให้ไทเซย์ ทีนี้บาปบุญไม่กี่วันก่อนเอ็มวีเซชุนแร็ปโซดี้ของนานิวะออกพอดี แล้วกูก็โอ๊ย มิจิหล่อมาก ง่ายๆ แค่นี้แหละ เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่าสังคมญี่ปุ่นมันกลั่นแกล้งคนทุกรูปแบบ จะหล่อ จะแรง จะแหย ถ้ามันจะแกล้งก็แกล้งได้หมด บางทีก็ดาร์กเกินปุยมุ้ย มีแต่คนบ้า! กูมึงที่เสพกันมาแต่เด็กก็เลยบ้า! (แต่ก็ชลาดพอจะแยกแยะได้ไม่ต้องโง่ไปตามคนหมู่มากที่ก็โง่เหมือนกันหมด ให้อยู่ในโลกสีขาวดำกับพวกตอแหล โง่ตามๆ กัน กูขอตกนรกไปเจอเพื่อนต่ำๆ แต่มีสมองคิดอะไรเองเหมือนกันดีกว่าจ้า) o<-< / เนื่องจากว่าอยากได้ชื่อเรื่องที่เป็นภาษาญี่ปุ่น เลยดัดแปลงมาจากชื่อเพลงของเดรุที่ยาวมากเว่อร์ว่า Higeki wa Mabuta o Oroshita Yasashiki Utsu แต่เอามาตัดให้เหลือแค่นี้ที่คำแปลก็ยังยาวฉิบหายอยู่ดีว่า 'โศกนาฎกรรมคือความหดหู่ที่อ่อนโยน' (จิบน้ำคอแห้ง) / ยอมรับว่าเรื่องนี้ภาษาไม่ค่อยดี แต่งไปก็ไม่ค่อยสนุก แต่เพราะไม่ได้คิดว่าอยากแต่งอยากแก้อะไรขนาดนั้นเลยเกลาแค่นี้ (ที่เหมือนไม่ได้เกลา ยอมรับ) ไม่แน่ว่าในอนาคตกูอาจจะกลับมาเกลาให้ดีขึ้น...มั้ง ไม่มีวันนั้นหรอก แต่ก็เอาน่ะ ให้รู้ว่าครั้งหนึ่งกูก็มีฟิคที่ได้ใช้เพลงเดอะไฟนอลจริงละกันวะ
    ★ พล็อตใหญ่เกี่ยวกับสำนักงานหลังความตายอะไรประมาณนี้แหละ กูดูนานละจำไม่ได้ ของนาโอะเป็นตอนที่หนึ่งเลยซึ่งพล็อตมีอยู่ว่า:
    - นาโอะฆ่าตัวตายแล้วทิ้งสมุดที่เขียนเรื่องการกลั่นแกล้งไว้ให้พ่อแม่ โดยคิดว่าถ้าตายไปแล้วพวกที่แกล้งตัวเองอาจต้องติดคุกก็ได้ แต่ไอ้พวกคนที่แกล้งพอตายไปแล้วก็ยังมาแค้นนาโอะที่ทำให้ตัวเองต้องตายเพราะพ่อเลี้ยงของนาโอะขับรถชนเพื่อแก้แค้น เพราะนาโอะคิดว่าพ่อเลี้ยงตัวเองไม่สนใจ แต่ที่จริงพ่อเลี้ยงรู้อยู่แล้วเพราะเห็นท่าที แต่เพราะลูกเลี้ยง (ที่ก็ไม่สนิท) ไม่เล่า ตอนที่นาโอะรู้ว่าพ่อเลี้ยงแก้แค้นให้นะกูน้ำตาไหลเลย U_U เนี่ย กูยังจดบทไว้อยู่เลย "คนๆ นั้น เขาไม่เคยสนใจผมเลย ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังโดนรังแก แต่กลับไม่พูดอะไรเลย เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของผม เลยไม่เคยสนใจเรื่องที่ผมโดนรังแก เขาก็แค่อยากแต่งงานกับแม่ ผมไม่อยู่สักคนมันคงจะดีกว่า" ทั้งที่ถ้าตอนยังมีชีวิตอยู่แล้วกล้าเล่าให้คนที่บ้านฟังตอนที่ยังอยู่ก็อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง (เหมือนที่ในเรื่องบอกว่าพวกที่แกล้งคนอื่นมันไม่มีวันสำนึกหรอกถึงต่อให้เหยื่อจะฆ่าตัวตายก็ตาม ในเรื่องจะมีฉากที่พวกนี้เดินผ่านที่ที่นาโอะตายแล้วมีคนวางขนมดอกไม้ไว้ให้ แต่ก็ยังหัวเราะหน้าระรื่นได้อยู่ด้วย แม่งเหี้ยเนาะ)
     ซึ่งแน่นอนว่าพล็อตการกลั่นแกล้งนี่คืออะไรที่เกิดมาเพื่อกูมาก! ดูจบอารมณ์ไม่จบ คันไม้คันมือจนต้องหยิบมาแต่งให้ได้ในแบบที่จะนองเลือดกว่านั้น ดราม่าอะไรไม่เอา พ่อไม่ต้องติดคุกเพราะขยะสังคมพวกนั้น น้องก็ไม่ต้องฆ่าตัวตาย เพราะกูจะลงมือให้เองค่าา เน้นการแก้แค้นอย่างเดียวเพราะตอนดูกูก็แค้นจริง เหมือนอย่างที่เคยเขียนไปว่าถ้ากูอยู่โรงเรียนในเรื่อง ไอ้พวกแกล้งคนอื่นต่างหากที่ต้องตาย ไม่ใช่เหยื่อที่ต้องฆ่าตัวตายแบบนี้ เกลียดชิบหาย คิดว่ามีพรรคมีพวกแล้วจะทำห่าอะไรก็ได้ พอเจอคนจริงก็ไม่เห็นจะกล้าทำอะไร แต่พวกกระจอกอย่างแม่งก็ทำอะไรแก้วขนเหล็กอย่างกูไม่ได้อยู่แล้วจ้า (จิบน้ำคอแห้ง)
    ★ และไม่อยากเชื่อว่าในที่สุดก็จะได้แต่งฟิคจากเพลงเดอะไฟนอลที่รักโคตรๆ มาตั้งแต่เด็กได้สักทีโว้ย!!! จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเพลงวิชวลเคย์อันดับหนึ่งในใจกูไม่เปลี่ยนแปลง ชอบคำแปลที่เกี่ยวกับเรื่องการฆ่าตัวตายด้วย เพราะสมัยเด็กกูเบียวแนวดาร์ก เลือด ความตาย อะไรไม่รู้ บ้าบอ 55555 อ่านเนื้อเพลงวิชวลเคย์แล้วมันม่วนตรงนี้แหละเนาะมึงเนาะ เสียดายตรงที่สุดท้ายก็แต่งเรื่องนี้ไม่รอด อยากแต่งฉากไปฆ่าที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องเพื่อนเรากลุ่มดาวแพะทะเลในเล่มปฏิบัติการณ์สังหารแมรี่ ซูของโอตสึอิจิมาก ว่าไปช่วงนี้กูห่างหายจากแนวฆ่าๆ ตายๆ ไปนานเลยเนาะ ไหนเอ่ยแนวดาร์กญี่ปุ่น ท้อใจเหลือเกิน ใครจะให้เราได้เท่าทราวิสกับสโตรอีก เห้อออ ปีนึงคิดถึงวันละร้อยหน o<-< ละกูนะชอบแต่งฉากนางเอกเป็นบ้าหาเรื่องคนอื่นไม่ดูสี่ดูแปดมาก เพราะคนเหี้ยในเน็ตชีวิตจริงแปลว่าเป็นคนเหี้ย แต่ชีวิตจริงเราเป็นคนเหี้ยกว่าในเน็ตเยอะ แย่ๆ
    ★ อีควายอีจุง เลิกบ้าสักที!!! กูเหลืออดแล้วนะ!!! ถ้าหมดเดือนห้าละกูยังเห็น เลือดหัวมึงได้ออกในชีวิตจริงแน่ กูเตือนแค่นี้!!!

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×