คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Mother
“นายเคยฆ่าคนมากี่คนแล้ว?”
ออกจะเป็นคำถามที่แปลกไปเสียหน่อยสำหรับการเริ่มต้นบทสนทนาแรกหลังการมีเซ็กส์
แต่มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าหากผู้ชายที่คุณพึ่งมีเซ็กส์ด้วยไปสด ๆ ร้อน ๆ
คือฆาตกรต่อเนื่องที่ตำรวจแทบทั้งเมืองกำลังตามหา และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าคนที่พวกเขาตามหากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องใต้ดินกับเด็กสาวคนหนึ่งที่หายตัวไป
เหยื่อเพียงผู้เดียวของฆาตกรที่ยังคงรอดชีวิตอยู่
“สิบสาม ถ้าไม่นับคนที่ฉันยิงไปที่โรงเรียน” เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่เป่ารดใบหูเธอ
สองแขนโอบรัดร่างกายที่เปลือยเปล่าของเธอเข้ามาแนบชิด “ฉันชอบเลขนี้
ฉันว่ามันเป็นตัวเลขที่สวยดี”
“แล้วมีสักคนไหมที่เป็นเหมือนกับฉัน”
“ฉันจะคิดเข้าข้างตัวเองแล้วกันนะว่าเธอกำลังหึง”
เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้มก่อนจะจุมพิตบนหัวไหล่ของคนในอ้อมกอด “เธอหน้าเหมือนแม่ฉัน นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันไม่ชอบ”
โดโลเรสพยักหน้า เธอรู้อยู่เต็มอกว่าความสัมพันธ์ของบิลกับแม่ย่ำแย่มาก
ย่ำแย่จนถึงขนาดที่เขาสามารถลงมือฆ่าแม่ตัวเองได้ไม่ต่างกับฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่ง
“แล้วทำไมนายถึงรักฉันทั้ง ๆ ที่ฉันหน้าเหมือนแม่ของนายล่ะ”
บิลไม่ได้ตอบในทันทีเหมือนช่วงแรก เขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากออกมาในที่สุด
“สารภาพตามตรง ตอนแรกที่เจอหน้าเธอ ฉันอยากจะฆ่าเธอมาก ๆ เพราะว่าหน้าเธอเหมือนแม่ฉันนี่แหละ
จนได้รู้จักเธอจริง ๆ จัง ๆ ฉันถึงได้รู้ว่าเธอไม่เหมือนแม่ฉันเลยสักนิดเดียว
แต่เธอเหมือนกับฉันต่างหาก”
“นั่นเป็นเหตุผลที่นายฆ่าฉันไม่ได้ใช่ไหม”
“ก็คงอย่างนั้น”
มือของเขาประสานเข้ากับมือเธอจนสัมผัสได้ถึงร่องรอยแผลเก่าอันเจือจางบนข้อมือของกันและกัน
โดโลโรสหลับตาลง ย้อนนึกถึงช่วงแรก ๆ ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับบิลเริ่มต้นขึ้น
เราต่างก็เคยแชร์เรื่องราวของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังเหมือนอย่างเข่นตอนนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีเท่าที่เธอเคยมีมาในชีวิต
ผู้ชายคนนี้ช่างมีอิทธิพลต่อชีวิตเธออย่างยิ่ง
เขาสร้างความทรงจำที่ดีมาก ๆ ให้เธอ และเขาก็ได้สร้างความทรงจำที่แสนเลวร้ายให้เธอด้วยเช่นกัน
และเธอก็คงไม่อาจลืมความทรงจำเหล่านี้ไปจนวันตายแน่
ๆ
“ฉันรักเธอมากนะโดโลเรส รักจนอยากจะกลืนกินเธอทั้งตัว”
เสียงทุ้มต่ำดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู
ก่อนที่ลิ้นร้อนจะไล่สัมผัสไปบนร่างกายเธอ
เขาลิ้มรสเธอเหมือนกับว่าผิวหนังของเธอเป็นลูกอมรสหวาน
เด็กสาวสะดุ้งในบางครั้งที่เขาขบกัดเบา ๆ นั่นทำให้โดโลเรสเชื่ออย่างจริงจังว่าบิล
‘อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัว’ จริง ๆ
เซ็กส์ก็เหมือนกับสงคราม เริ่มต้นขึ้นและจบลงไป เหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากแห่งอารมณ์
ความทรงจำ และชัยชนะอันหอมหวานของผู้ที่ต้องการมัน โดโลเรสมองเสี้ยวหน้าคนข้างกายที่กำลังหลับใหลหลังสิ้นสุดสงครามไปหมาด
ๆ เขาหลับสนิทจนดูเหมือนว่าจะยังไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ
แตกต่างจากเธอที่ยังฝืนลืมตาตื่นแม้ว่าจะเหนื่อยอ่อนแค่ไหนก็ตาม
ก่อนหน้านี้บิลเคยเป็นคนที่ระวังตัวแจ
เขาไม่เคยเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองสักครั้ง จนกระทั่งในวันที่เธอเลือกจะไม่ฆ่าเขา
เธอจึงได้ล่วงรู้เกี่ยวกับจุดอ่อนที่แท้จริงของเขา นั่นคือตัวของเธอเอง
และมันก็เป็นประโยชน์ที่เธอสามารถหยิบมาใช้ได้
บิลไม่เคยตระหนักรู้ว่าหลังจากนั้นเธอจะเลือกใช้ความรู้สึกนี้เป็นอาวุธต่อกรกับเขา
ความรู้สึกรักที่เขามีให้แก่เธอทำให้เขาเริ่มอ่อนแอ หลงเชื่อ ไว้ใจ
และไม่ระแวดระวังเหมือนเมื่อก่อน แล้วเด็กสาวก็เพียงแค่รอโอกาสที่เหมาะสม โอกาสที่เธอจะได้หนีออกไปจากที่นี้
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอลืมคิดไปนั่นคือเขาก็เป็นจุดอ่อนของเธอเช่นกัน
เธอเองก็รักเขา
และนั่นก็ทำให้เธอลังเลว่าควรจะหนีไปหรือควรจะอยู่ต่อ
หลายครั้งที่มีโอกาสจะหนีแต่เธอก็ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปอย่างโง่ ๆ
เพียงเพราะว่าอยากจะอยู่กับเขาให้นานกว่านี้ แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ความจริงที่ว่าบิลเป็นฆาตกร
และเธอก็ไม่สามารถจะใช้ชีวิตแบบนี้อยู่กับเขาไปได้ตลอดทั้งชีวิต
เธอรักเขาแต่เธอก็ต้องการชีวิตของตัวเองเช่นกัน ชีวิตที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงในห้องใต้ดินของเขา
และครั้งนี้ก็คงถึงเวลาที่เธอจะต้องยอมรับความจริงสักที
เด็กสาวค่อย ๆ ดันตัวเองให้หลุดพ้นจากอ้อมแขนของคนตัวสูงกว่าอย่างระมัดระวัง
และก้าวขาออกจากเตียงขึ้นไปยืนบนพื้นห้อง โดโลเรสแต่งตัวอย่างลวก ๆ
ก่อนที่จะย่องไปที่ประตู เธอรู้ดีว่าช่วงหลัง ๆ บิลไม่ได้ล็อคประตูห้องอีกแล้ว
นั่นทำให้เธอสามารถออกจากห้องไปได้อย่างง่ายดาย
โดโลเรสก้าวออกไปนอกบานประตูเป็นครั้งแรกด้วยตัวเอง
ดวงตาหันไปมองบิลที่นอนอยู่ในห้องอีกครั้งอย่างลังเล ชั่ววูบหนึ่งเธออดนึกไม่ได้ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหนเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบเธอ
เธออยากจะกลับเข้าไปในห้องนั้น ซุกตัวลงในอ้อมแขนของเขาเหมือนวันก่อน
แต่กลิ่นเหม็นสาบสางของเลือดเนื้อที่ฝังอยู่ในทุกอณูพื้นที่ของห้องใต้ดินแห่งนี้เตือนให้เธอตระหนักว่าชายคนนี้ฆ่าคนไปมากมายแค่ไหน
เด็กสาวเม้มปากแน่นก่อนจะปิดประตูบานนั้น ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่หวนกลับไปอย่างเด็ดขาด
เธอก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า
และเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อออกมาจากห้องใต้ดิน
และเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีกเมื่อออกมาจากบ้านได้สำเร็จ
แสงเจิดจ้าของโลกภายนอกที่ไม่ได้เห็นมานานทำให้เธอแสบตาเหลือเกินจนต้องหลุดปากร้องออกมา แต่เด็กสาวก็ยังฝืนวิ่งต่อไป เธอหวังว่าจะได้พบกับใครสักคนที่สามารถช่วยเธอแต่
แต่สิ่งที่พบเจอในตอนนี้กลับเป็นเพียงป่าไม้ที่รายล้อมอยู่รอบตัว ทั้งเงียบสงัด
หนาวเย็น และปราศจากสิ่งมีชีวิตใด ๆ
จากความทรงจำอันเลือนรางตอนที่มาบ้านของบิลเป็นครั้งแรก
ทำให้เธอจำได้ว่าบริเวณบ้านของบิลนั้นไม่มีใครอยู่เลย ที่แห่งนี้มีแต่ป่าและบ้านของเขาเท่านั้น
“เวรเอ๊ย!”
หล่อนสบถก่อนจะวิ่งไปตามถนนลูกรังเล็ก ๆ
ด้วยความหวังว่ามันจะนำเธอไปสู่ถนนใหญ่และผู้คนได้ในที่สุด เท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำบนเศษหินบนดินสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอได้ไม่น้อย
และทำให้จังหวะวิ่งของเธอต้องเชื่องช้าลงไปโดยปริยาย
ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็ยังฝืนวิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ
วิ่งเข้าสู่อิสรภาพที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้...
อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น
ปัง!
ร่างบอบบางเสียหลักพุ่งล้มไปบนพื้นอย่างฉับพลันเมื่อขาถูกยิงเข้าอย่างจัง
เลือดมากมายไหลทะลักชโลมผืนดินให้เป็นสีแดงฉาน ความเจ็บปวดมหาศาลบีบให้โดโลเรสร้องโหยหวนออกมา
ดวงตาเหลือกไปมองด้านหลังด้วยความตื่นตระหนก เธอเห็นบิลยืนอยู่ตรงนั้น
ในมือของเขาถือปืนอยู่
และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไม่นะ ไม่”
เด็กสาวพึมพำอย่างหวาดกลัว ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากถูกบิลจับได้ขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้
และนั่นก็ทำให้เธอจำเป็นต้องหนีต่อไปแม้ว่าตอนนี้ขาจะใช้การไม่ได้แล้วก็ตาม
โดโลเรสใช้สองมือที่มีตะเกียดตะกายพาตัวเองหลบเข้าไปในป่าอย่างทุลักทุเล
หวังเพียงจะใช้หลบซ่อนตัวจากอีกฝ่ายได้
แต่มันก็เป็นเพียงการกระทำที่ไร้ประโยชน์
การเสียเลือดมากทำให้เธออ่อนแรงจนไม่อาจไปไกลได้มากกว่า ทั่วทั้งขาชาจนไร้ความรู้สึก
ในขณะที่เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายกำลังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ โดโลเรสอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
เธอใช้ความหวังและกำลังเฮือกสุดท้ายในการพลิกตัวเองขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะได้พบว่าเขามาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว...
เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาอันเยือกเย็นจนน่าขนลุก ในมือของเขาไม่ได้ถือปืนอีกแล้ว
แต่กลับเป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่แทน
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอได้เห็นก่อนที่ท่อนไม้ท่อนนั้นจะหวดเข้าใส่หัวเธออย่างจัง
มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เขาเอาปืนลูกซองกระแทกหัวเธอ
ความรู้สึกที่เจ็บปวดและสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน
ไม่มีอีกแล้วอิสรภาพที่ต้องการ
.......................................
เคยมีคนบอกไว้ว่าความชอบในวัยเด็กจะส่งอิทธิพลถึงตัวตนในวัยผู้ใหญ่
แน่นอนว่าในวัยเด็กเราทุกคนล้วนต้องมีความชอบเป็นของตัวเอง
และส่วนใหญ่ก็มักจะคล้ายคลึงกันไปหมด เด็กผู้หญิงอาจจะชอบเล่นตุ๊กตา เล่นขายของ
เล่นทำอาหาร ส่วนเด็กผู้ชายอาจจะชอบเล่นโมเดลรถแข่ง ฟุตบอล
หรือไม่ก็ชอบเล่นดาบไม้พลาสติก
แต่สำหรับบิล เขาชอบที่จะฆ่ามาตั้งแต่เด็ก
มันเริ่มต้นขึ้นในคืนหนึ่ง คืนที่พ่อเลี้ยงเมาและหาเรื่องทำร้ายร่างกายเขาที่ตอนนั้นอายุแค่เจ็ดขวบเท่านั้น
ไอ้สารเลวนั่นทั้งตบ เตะ ต่อย
ราวกับว่าเขาไม่ใช่คนแต่เป็นเพียงแค่กระสอบทรายใบหนึ่ง
ในขณะแม่ของเขาไม่ได้คิดจะเข้าห้ามกรามหรือช่วยเหลือเขา หล่อนมองดูเขาที่ถูกทำร้ายพลางกระดกเหล้าเข้าปาก
จ้องมองเขาแล้วหัวเราะเหมือนกำลังดูรายการตลกช่วงหัวค่ำ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้
ที่ผ่านมาตั้งแต่จำความได้บิลก็มักจะเป็นที่รองรับอารมณ์โมโหร้ายของแม่และสามีใหม่ของแม่ ชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งตกอยู่ในสถานภาพขี้ข้ามาเนิ่นนาน
ต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ได้กินเศษอาหารที่เน่าเหม็น
และถูกทำร้ายร่างกายหากทำอะไรไม่ได้ดั่งใจของพวกเขา
เมื่อก่อนเด็กชายทั้งร้องไห้ ขอร้อง
และอ้อนวอนขอความเมตตา แต่คนพวกนั้นไม่เคยรับฟัง พวกเขาดูสนุกกับการที่ได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดของเขา
จนสุดท้ายแล้วบิลในวัยเจ็ดขวบก็ได้เรียนรู้แล้วว่าการร้องขอความเมตตาเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี
ไม่มีทางเสียหรอกที่คนพวกนี้จะมีเมตตาต่อเขา
และนั่นก็ทำให้เด็กชายคนหนึ่งเกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งชีวิตของตัวเอง โลกใบนี้ บ้านหลังนี้ พ่อเลี้ยง และแม่ของตัวเอง
เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตาย
ในวันนั้นหลังจากทำร้ายจนหนำใจ
คนพวกนั้นก็ทิ้งเขาไว้ที่พื้นบ้านเหมือนเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น
อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้ง่ายดายนัก
เด็กขายวัยเจ็บขวบจึงจำต้องนอนขดตัวอยู่บนพื้นเย็น ๆ
ด้วยร่างกายและจิตใจที่ปวดร้าวและแตกสลาย เขานอนร้องไห้อย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งสายตาได้มองเห็นแมวขนสีเทาที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา
มันชื่อแจ๊ค เป็นชื่อที่บิลตั้งให้มันเอง มันคือแมวจรจัดที่มักจะชอบย่องเข้ามาในบ้านเป็นประจำจนดูเหมือนจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านไปแล้ว
แจ๊คเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในบ้านที่ไม่เคยทำร้ายเขาเลยสักครั้ง
และมันก็มักจะคอยเข้ามาหาเขาทุกครั้งเวลาที่เขาถูกพ่อเลี้ยงหรือแม่ทำร้าย
และเอาใบหน้าเล็ก ๆ ของมันถูไถคลอเคลียเขาเหมือนต้องการจะปลอบให้เขาหยุดร้องไห้
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้บิลรักแมวตัวนี้มาก มันเปรียบเสมือนเพื่อนคนเดียวที่เขามี
แต่ไม่ใช่กับวันนี้
วันที่ความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่กำลังกัดกินจิตใจ
ช่วงเวลานั้นเองในความคิดของเขาก็ปรากฏคำ ๆ หนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมา
ชัดเจนและสว่างไสวเหมือนแสงแดดที่เจิดจ้าในยามเที่ยงตรง
คำว่าฆ่า ฆ่าเท่านั้น
บิลรู้ว่าความคิดของเขาเป็นสิ่งที่ผิด
แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกผิดหลงเหลืออยู่ในใจอีกแล้วหลังจากที่ถูกทารุณกรรมมาเนิ่นนาน
ฝ่ามือทั้งคู่ตะปบไปที่คอของแมวตัวนั้น บีบเค้นด้วยเรี่ยวแรงแห่งความโกรธเกรี้ยว
ไม่สนใจเสียงหวีดแหลมอันแสนทรมานจากปากมัน
ไม่สนใจคมเล็บที่ข่วนแขนทั้งสองข้างจนเลือดอาบ เพียงไม่นานแจ๊คก็หยุดดิ้นรน
ร่างของมันอ่อนปวกเปียกเหมือนตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความตาย
ความตายที่เกิดจากน้ำมือของเขาเอง
เขาควรจะเสียใจ
เขาควรจะรู้สึกผิดเหมือนที่มนุษย์ทั่วไปรู้สึกยามที่ทำอะไรร้ายแรงลงไป แต่บิลกลับไม่รู้สึกอะไรทำนองนั้นเลยสักนิดเดียว
กลายเป็นว่าเขารู้สึกโล่งและสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และความโกรธแค้นบรรเทาเบาบางไปชั่วคราวเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยถูกไอ้พ่อเลวนั่นทำร้ายมาเลยด้วยซ้ำ
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์
เพราะพวกเขาล้วนมีกระบวนการที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเสมอ
ซึ่งแต่ละกระบวนการล้วนแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและจิตใจของแต่ละคน
และบิลก็ได้ค้นพบในวันนั้นเองว่ากระบวนการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดของเขาคือการฆ่า
นี่นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินในความคิดของเขา
บิลจึงเริ่มที่จะฆ่าตั้งแต่ตอนนั้น
เขากลายเป็นเด็กเก็บตัวที่หมกมุ่นอยู่กับบรรดาสัตว์ต่าง
ๆ จนไม่สนใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนไหน และมีอารมณ์ที่รุนแรงเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
เขาเริ่มทำร้ายตัวเองและสิ่งรอบข้างไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมชั้น
นั่นทำให้ครูประจำชั้นเล็งเห็นว่าเขามีปัญหาเกินกว่าจะรับมือไหว จนเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องถูกส่งไปบำบัดจิตในที่สุด
อาการเจ็บป่วยทางจิตควรจะบรรเทาลงเมื่อได้รับการักษา
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับบิล เขาสร้างปัญหาไว้กับสถานบำบัดจิตจนถูกจับย้ายไปหลายแห่ง
จนเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นและรู้สึกเบื่อหน่ายกับการถูกจับขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก
ๆ โดยไม่มีอิสระได้ทำอะไรอย่างที่ต้องการ
เด็กหนุ่มจึงได้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความผิดปกติของตัวเองจนได้รับอนุญาตให้ออกสู่โลกภายนอกได้ในที่สุด
โลกภายนอกที่เขาได้สัมผัสมันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
และมันก็โหดร้ายยิ่งกว่าเดิมซะอีก เด็กหนุ่มยังคงโดนแม่และพ่อเลี้ยงทำร้าย
และต้องถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งและรังเกียจเพราะความแปลกประหลาดจากคนอื่นในสังคม
ความเจ็บแค้นตอกย้ำให้ความเจ็บป่วยทางจิตใจเลวร้ายลงไปอีกจนไม่อาจเก็บซ่อนและแสร้งเป็นปกติได้อีก
บิลจึงเริ่มที่จะฆ่าอีกครั้ง ไม่ใช่สัตว์เล็ก ๆ
เหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นอะไรที่ใหญ่กว่านั้น
มนุษย์
เขาเริ่มสร้างรายชื่อขึ้นมาในห้องใต้ดินที่บ้าน รายชื่อของคนที่เขาอยากจะฆ่า(ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือพวกคนสารเลวที่เคยทำร้ายเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง) ประสบการณ์การชำแหละสัตว์ในวัยเยาว์ทำให้เด็กหนุ่มสามารถวางแผนการฆ่าได้อย่างยอดเยี่ยม บิลเริ่มเก็บคนพวกนั้นไล่ไปตามลำดับ ซุกซ่อนเหยื่อของเขาข้างในห้องใต้ดินตอนที่แม่ไม่อยู่บ้าน คนพวกนั้นล้วนถูกจับมาทรมานและฆ่าทิ้งเหมือนผักปลา คนแล้วคนเล่าที่หายตัวไปอย่างลึกลับ กลายเป็นคดีปริศนาที่สร้างความสะเทือนขวัญให้บรรดาผู้ปกครองของเด็ก ๆ
บิลไม่ได้อยากเป็นฆาตกรชื่อดังเหมือนกับชาร์ลี
แมนสัน[1]หรือเอ็ดมุนด์
เคมเปอร์[2]
เขาไม่เคยมีจุดมุ่งหมายอย่างคนพวกนั้น สำหรับเขาแล้วการฆ่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
เป็นพฤติกรรมเช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหายใจ ต้องนอนหลับ หรือต้องกินข้าว
อาจจะเรียกว่ามันเป็นการเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ก็ได้ เขาฆ่าเฉพาะคนที่เขาอยากจะฆ่า
ซึ่งก็มักจะเป็นพวกเฮงซวยที่เคยทำไม่ดีกับเขา
หรือได้กระทำบางอย่างที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนต้องฆ่า เขาทำมันได้โดยไม่มีแม้แต่ความลังเล
หลายครั้งที่บิลเคยคิดว่าเขายินดีฆ่าคนทั้งโลกได้เลยด้วยซ้ำถ้าหากว่าโลกใบนี้โหดร้ายกับเขามากเกินไป
แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่งี่เง่าของคนขวางโลกคนหนึ่ง
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าแม้แต่ฆาตกรใจโหดก็ยังมีความขี้ขลาดอยู่ในใจไม่ต่างจากคนทั่วไป
และสำหรับบิล เขาเองก็รู้ดีว่ามันคืออะไร
แม่
บิลไม่เคยรู้จักพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง ทั้งชีวิตของเขามีเพียงแม่ผู้เดียวเท่านั้น(ถ้าไม่นับพวกพ่อเลี้ยงเฮงซวยที่เปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำกันทุก ๆ หกเดือน) หล่อนเป็นศูนย์รวมคุณสมบัติของแม่สารเลวดีเด่นที่โลกนี้ต้องจารึกเอาไว้ หล่อนเป็นผู้ให้ชีวิตเขาและก็เป็นจุดเริ่มต้นความเลวร้ายทั้งหมดในชีวิตของเขา เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย เสมือนพระผู้เป็นเจ้าในไบเบิ้ลที่สร้างโลกขึ้นมาแล้วสุดท้ายก็ลงมือทำลายล้างโลกทั้งใบด้วยตัวเอง จะผิดแปลกไปบ้างก็ตรงที่บิลไม่ใช่พระเยซู และเขาก็เกลียดมนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะแม่ของตัวเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างบิลกับแม่เป็นอะไรที่ซับซ้อนจนเกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจอย่างง่าย
ๆ ได้ ถึงเขาจะเกลียดหล่อนและคิดว่าหล่อนสมควรตายมากที่สุด แต่บิลก็ไม่ปฏิเสธถึงความผูกพันที่เขามีต่อแม่ของตัวเอง
หล่อนคือผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขา และเป็นคนที่พร้อมจะทำร้ายเขาทุกครั้งที่มีโอกาสโดยที่เขาไม่อาจโต้ตอบอะไรได้
แม้จะเกลียดชังแค่ไหนลึกๆ แล้วเขามีความยำเกรงต่อหล่อนพอ ๆ
กับที่พวกคลั่งศาสนายำเกรงต่อเพลิงพิโรธของพระเจ้า
หากมนุษย์ไม่อาจเอาชนะพระเจ้าได้ฉันท์ใด เขาก็คงไม่อาจลงมือฆ่ามารดาได้ฉันท์นั้น
ดุจดั่งหลุมดำอันมืดมิด เวิ้งว้าง และว่างเปล่า แม้จะฆ่าคนไปมากมายแค่ไหน
แต่ความรู้สึกของเด็กหนุ่มไม่มีวันเติมเต็มถ้าหากไม่ได้ฆ่าหล่อน
เขาเลยมักระบายความอึดอัดคับข้องใจด้วยการฆ่านังแพศยาสักคนโดยจินตนาการว่าเป็นแม่ของเขาเอง
แต่มันก็เป็นเพียงแค่การบรรเทาอาการชั่วครั้งชั่วคราว
มันจะไม่หายไปไหนตราบใดที่เขายังไม่ยอมเติมเต็มความว่างเปล่าในจิตใจนี้สักที
บิลแค่ต้องการหาใครสักคน
ใครสักคนที่จะชดเชยและเติมเต็มให้กับเขาได้
จนกระทั่งการมาถึงของเธอ
เขาเจอกับเธอครั้งแรกที่โรงเรียน
เด็กสาววัยรุ่นผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและดวงตาสีเขียว สวมเสื้อไหมพรมสีเข้มกับกางเกงยีนส์เข่าขาด
ดูธรรมดาและกลาดเกลื่อนในสายตาของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเขาแน่ เพราะใบหน้าของเธอทำให้เขาตกตะลึงจนถึงกับตาค้างไปเลยชั่วขณะหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน!
ในตอนนั้นเขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ได้แต่ยืนมองเด็กสาวคนนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แต่การหยุดชะงักท่ามกลางนักเรียนมากมายในช่วงเวลาก่อนเข้าเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก
บิลพึ่งจะตระหนักได้ถึงข้อนี้ก็ตอนที่เขาเผลอไปชนคนข้างหน้าเข้าอย่างจังเพราะมัวแต่สนใจเด็กใหม่คนนั้นนั่นแหละ
"ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่มีลูกกะตาหรือไงถึงได้มาชนคนอื่นเขาเนี่ย”
บิลนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก จำใจต้องละสายตาจากเป้าหมายแล้วหันไปมองคู่กรณีผู้เป็นเจ้าของเสียงแหลมแสบแก้วหู
เขามองเห็นผู้หญิงสองคนที่กำลังเท้าสะเอวมองเขาด้วยท่าทีที่ติดจะรังเกียจกึ่งหนึ่งและหงุดหงิดอีกกึ่งหนึ่ง
มันไม่ใช่เรื่องแปลก เด็กหนุ่มค่อนข้างจะเคยชินกับการถูกเกลียดนับตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่
แล้วเขาก็ฉลาดพอที่จะทำตัวให้เป็นปกติท่ามกลางผู้คนมากมาย
ซึ่งเรื่องมันก็คงจะจบง่าย ๆ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ยินประโยคหนึ่งเข้าเสียก่อน
"อย่าไปใส่ใจเลย ก็แค่พวกเด็กเก็บกด"
ประโยคนี้ทำให้บิลนึกถึงแม่ของเขาอย่างเสียไม่ได้
แม่มักจะเรียกเขาว่าเด็กเก็บกดต่อหน้าต่อหน้าอาจารย์และจิตแพทย์ที่รักษาเขาอยู่
หล่อนไม่เคยยอมรับความจริงว่าตัวเองเป็นต้นเหตุหลัก ๆ
ที่ทำให้ลูกของตัวเองมีปัญหาทางจิต
และมักจะโทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะเขาทำตัวมีปัญหา
หล่อนดูสนุกกับการได้เรียกเขาว่าไอ้โรคจิตหรือไม่ก็เด็กเก็บกด
และคำพวกนี้ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในคำพูดที่เขาโคตรจะเกลียดที่สุด
เพราะอย่างนี้ ทันทีที่เขาได้ยินคำนั่นมันก็ทำให้เขาโกรธจนลืมตัว
บิลสาบานได้เลยว่าถ้าหากในมือเขามีมีดอยู่ เขาจะต้องพุ่งเข้าไปกระซวกคอหอยนังนั่นให้ตายห่าคามือแน่นอน
น่าเสียดายที่ตอนนี้เขามีแค่กระเป๋าเป้ใบเดียว สิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็เพียงแค่จ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนที่พูดประโยคนั้น
จดจำหน้าของหล่อนให้ขึ้นใจ แล้วค่อยเก็บไปคิดบัญชีทีหลัง
เขาแทบจะอดใจรอตอนได้ทรมานมันไม่ไหวแล้ว
_______________________
[1]
ชาร์ล
มิลเลส แมนสัน เป็นอาชญากรชาวอเมริกัน ต่อมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางกับ
ครอบครัวแมนสัน (Manson Family) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียปลายคริสต์ทศวรรษ
1960 เขาถูกตัดสินผิดว่าเป็นผู้วางแผนฆาตกรรม
คดีเทต/ลาเบียงกา
[2]
เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ เป็นฆาตกรชาวอเมริกัน ทำการฆาตกรรมต่อเนื่องเด็กสาววัยรุ่นมหาลัย
5 คนระหว่างปี
1972 และ
1976 โดยหลังจากฆ่าเขาจะร่วมเพศศพและหั่นศพ
เอาเนื้อศพบางส่วนมากินเป็นอาหาร สุดท้ายเขาก็ฆ่าแม่ตายด้วยค้อน เขาถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆ่าคน
8 คน
ความคิดเห็น