ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 58


    บทที่  16

     

    อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นไปในทิศทางที่สัมผัสได้ถึงสายลม

    เป็นอีกวันที่เขาได้รับสายลมที่เหมือนจะกรรโชกหากแต่อ่อนโยนช่วยชโลมจิตใจที่ท้อถอย  ยอมแพ้กับการมีชีวิตอย่างคนพิการที่ไม่อาจทำอะไรเองได้  และเป็นอีกครั้งที่สายลมนี้เป็นสิ่งชักจูงให้เขาเดินมาในเส้นทางเดิมๆ  ย่างก้าวเดิมๆ  และจำนวนก้าวเดิมๆโดยไม่รู้ตัว

    เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร  เพียงแค่ได้สัมผัสสายลมที่แฝงไว้ด้วยพลังบางอย่างก็พาให้จิตใจของเขาอบอุ่นและโหยหาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ  จิตใจเผลอแน่วแน่ไปว่าสักวันตนจะกลับมามองเห็นและได้เห็นบางสิ่งที่เป็นเจ้าของสายลมนั้น

    แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นทุกที...

    สายลมที่ปกติมักจะเพียงผ่านมาและผ่านไปวูบหนึ่งกลับชะงักนิ่งเพียงครู่แล้วหายไป  ไม่ใช่การพัดหายไป  แต่อยู่ๆก็กลับหายไปเสียเฉยๆ  นั่นทำให้อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้น  ทั้งๆที่เขายังคงสัมผัสได้ถึงพลังที่มักจะแฝงมากับสายลมได้อย่างชัดเจน  แต่มันกลับเหลือเพียงสายลมผะแผ่วที่พัดผ่านข้างแก้ม

    “หายไปซะแล้ว...”

    ตึก...

    ...เสียงฝีเท้า

    อาร์โรห์ชะงักร่างที่กำลังจะขยับเตรียมลุกขึ้นยืน  ตัดสินใจนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมขณะที่หูก็เงี่ยฟังเสียงฝีเท้าที่ไม่คุ้นเคยไปด้วย

    แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจที่สุดคงไม่พ้นสัมผัสไอพลังที่คล้ายกับเคยได้สัมผัสจากที่ไหนมาก่อน...

    “ช่างน่าแปลกที่บริเวณนี้มีอินคิวบัสรูปลักษณ์แปลกๆมาพักอาศัย”

    เสียทุ้มนุ่มหากแต่ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเรียกให้สมองของอาร์โรห์ประมวลผลอย่างรวดเร็ว

    สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและมีพลังชีวิตอันล้นเหลือมีเพียงชนิดเดียว

    มังกร...

    แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดคะเน

    “ข้าคงไม่ได้มาบุกรุกเขตของท่านใช่ไหม? ท่านมังกร”  อาร์โรห์กล่าวพลางหันหน้าไปทางร่างของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางๆที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก

    คำพูดนั้นเรียกให้เรียวคิ้วของผู้ที่ถูกเรียกว่ามังกรขยับเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ  ไม่แตกต่างกัน  อาร์โรห์เองก็ประหลาดใจที่ตนเลือกที่จะปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นมังกร  แม้ว่าสมองจะบอกว่าไม่แน่  แต่สัญชาตญาณกลับบอกว่าใช่และทำให้เขาเผลอเรียกอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น

    “น่าประหลาดใจเสียจริง  เจ้ารู้ว่าข้าเป็นมังกร?”

    “ข้าไม่รู้  เพียงแค่สัญชาตญาณมันบอก  แล้วไม่ถูกเหรอ?”

    หลังจากประโยคนั้นจบลง  เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆอย่างขบขัน

    “ไม่ผิดหรอก” น้ำเสียงที่ใช้กล่าวยังคงมีแววขบขันปนเปไปกับความเอ็นดู “แล้วเจ้ามาทำอะไรในเขตของข้าล่ะ?”

    “พวกข้าเพียงมาขอพักอาศัย  หวังว่าท่านคงไม่ว่าอะไรหากเราจะพักที่นี่ชั่วคราวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ”

    “ก็ได้อยู่หรอกนะ...แล้วเจ้าจะไม่เชิญแขกนั่งสักหน่อยเหรอ?”

    “อ่า...เชิญนั่งก่อนสิท่านมังกร” กล่าวพลางผายมือไปยังพื้นหญ้าข้างตัว

    ร่างของชายหนุ่มผมดำผู้เป็นมังกรนั่งลงตามคำเชิญด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มขบขัน  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

    “วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีจริงๆ”

    “เช่นนั้นหรือ?  ข้าเห็นแต่เพียงความมืด  คงนั่งคุยกับท่านด้วยเรื่องนี้ไม่ได้”

    “เจ้ามองไม่เห็น?”

    “ท่านจะลองพิสูจน์ดูไหมล่ะ?” อาร์โรห์กล่าวพลางหันมาทางเจ้าของเสียง  นัยน์ตาที่เป็นสีขาวว่างเปล่าไม่สะท้อนภาพของสิ่งใดเป็นพิเศษ

    นัยน์ตาสีทั[ทิมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอาร์โรห์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง  ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะถอนหายใจและละสายตาออกไป

    “มองไม่เห็นจริงๆสินะ  แต่คิดว่าคงไม่ได้มีสาเหตุมาจากสุขภาพร่างกาย  แต่เป็นพลังเวท”

    อาร์โรห์ยิ้มบางแล้วหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้ง  พลางหลับตาลงเบาๆ

    “ข้าสัมผัสพลังเวทของเจ้าไม่ได้”

    “ก็ไม่ผิดหรอก  ข้าสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจนกลายมาเป็นเช่นนี้  กลับกลายมาอยู่ในโลกสีดำอันมืดมิด”

    “แต่บางครั้งมันก็ลึกลับน่าค้นหาไม่ใช่หรือ?”

    “...สำหรับบางคนคงเป็นเช่นนั้น...แต่ข้าเกลียด...ไม่สิ  หวาดกลัวต่างหาก...หวาดกลัวความมืดที่โดดเดี่ยว...ไม่มีอะไรเลย  ทุกอย่างเป็นเพียงสีดำ  ทุกอย่างว่างเปล่า  มองอะไรไม่เห็น  สัมผัสอะไรไม่ได้...”

    “เจ้าเป็นปีศาจที่แปลกจริงๆเลยนะ”

    “มีคนเคยพูดแบบนั้นเหมือนกัน”

    “งั้นหรือ...”

    หลังจากคำพูดนั้นจบลงความเงียบก็เริ่มโรยตัวลงมาในบรรยากาศ  อาร์โรห์ไม่พูด  มังกรไม่ต่อ  คนหนึ่งนั่งนิ่ง  อีกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  จนกระทั่ง...

    “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาสักพักแล้ว” เป็นผู้เป็นเผ่าพันธุ์มังกรที่เอ่ยขึ้นมาก่อน  เรียกให้อาร์โรห์ต้องหันหน้าไปหาด้วยสีหน้าสงสัย

    “อะไรหรือ?”

    “ข้าบินผ่านน่านฟ้าเขตนี้ทุกวัน  และช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ก็เห็นเจ้ามานั่งที่นี่ในเวลาเดิมตลอด  เจ้ามีเวลาว่างขนาดมานั่งเล่นแถวนี้ได้เลยหรือ?”

    “คงเป็นแบบนั้น...ก็ข้าในตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้นี่นะ...”

    อาร์โรห์กล่าวประโยคหลังเสียงแผ่วพลางเงยหน้าขึ้นฟ้า “หากข้ามาที่นี่  ข้าก็จะรู้สึกถึงชีวิต  มีทั้งต้นไม้  ใบหญ้าและสายลมอยู่เป็นเพื่อน”

    “ถ้าข้าอยู่แต่ในบ้าน  ข้าคงไม่อาจรับรู้ได้ถึงสรรพสิ่งใดบนโลก  อยู่กับความมืดมิดที่เงียบงัน...”

    มังกรนิ่งเงียบ  รอฟังสิ่งที่อาร์โรห์จะพูดต่อไป  แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่มีอะไรที่จะพูดได้อีก   และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปเขาก็หัวเราะในลำคอเบาๆ

    “ข้าคงเป็นปีศาจที่แปลกมากในสายตาท่าน”

    “แต่แปลกก็ใช่ว่าจะไม่ดี...”

    ได้ยินดังนั้นอาร์โรห์ก็ขมวดคิ้วมุ่น

    แปลกก็ใช่ว่าจะไม่ดี?  นั่นหมายความว่าแปลกแล้วดีหรือ?  หรือว่าแปลกแล้วมันดีกับใครสักคน??  หรือว่าเมื่อแปลกแล้วจะทำให้มีดีอะไร???

    “ข้าไม่เข้าใจ  ท่านพูดอะไรเข้าใจยากจริง...” อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่นหนักกว่าเก่า  และนั่นก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะนุ่มทุ้มจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี  ฝ่ามือใหญ่แข็งแกร่งถูกวางลงบนศีรษะของอาร์โรห์เบาๆ

    “เจ้ายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจผู้ใหญ่มากนัก”

    “ข้าโตเต็มวัยแล้ว” สีหน้าไม่พอใจที่ปรากฏบนใบหน้าเยาว์วัยของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากอีกฝ่ายได้อีกครา

    ...ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสีหน้าที่แสดงออกมานั้นยังคงเป็นของเด็กน้อยคนหนึ่งที่คิดว่าตนโตเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว

    “ข้าอายุมากกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”

    เมื่อคำพูดนั้นจบลงมันก็ทำให้อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

    “ก็อาจจะใช่...พลังมังกรของท่านดูจะมากเกินกว่าที่มังกรอายุเพียงร้อยกว่าปีจะมีได้”

    คิ้วเหนือดวงตาสีทับทิมถูกยกเลิกขึ้นพลางมองพิจารณาอาร์โรห์อยู่ครู่หนึ่ง

    “คงถือได้ว่าตาถึงสำหรับเจ้าหนูน้อยที่บอกว่าตนโตเต็มวัยแล้ว”

    “...” ไม่รู้เพราะอะไร  แต่ประโยคนั้นทำเอาคนฟังถึงกับคิ้วกระตุกทีหนึ่ง

    “พรุ่งนี้เจ้าจะมาที่นี่อีกใช่ไหม?” คนเอ่ยถามขยับลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ  นัยน์ตาสีทับทิมจับจ้องไปยังร่างที่เงยหน้าขึ้นมาตามต้นเสียง

    “อือ...ท่านจะมาอีกหรือ?”

    “หากโชคชะตาเป็นใจ  เราคงได้พบกัน”

    “...?” อาร์โรห์เอียงคอเล็กๆ  ทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ข้อสรุปว่าอีกฝ่ายหมายถึงอาจจะมาอีก

    “ถ้าท่านจะมาล่ะก็...ข้าจะลองหาอะไรติดมือมาในวันพรุ่งนี้  หวังว่าเราจะได้พบกัน” ไม่ว่าเปล่า  รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มชาวอินคิวบัสเป็นเหตุให้ผู้ที่ยืนอยู่ชะงักนิ่งไปชั่วครู่  แต่หลังจากนั้นรอยยิ้มเอ็นดูก็กลับมาประดับบนใบหน้า  ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่ๆของอีกฝ่ายจะทาบลงบนศีรษะของอาร์โรห์และขยี้เบาๆ

    “เจ้าจะใจดีเกินไปแล้ว” เอ่ยด้วยเสียงที่ถูกปรับให้ดุขึ้น  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับยังคงเป็นรอยยิ้มอ่อนเดียงสาของคนโดนยีหัว

    “ข้าได้สายลมของท่านช่วยเอาไว้นี่นา”

    “นั่นเจ้าก็นับเป็นบุญคุณงั้นหรือ?”

    “ก็หากข้าไม่ได้สายลมของท่าน  บางทีในตอนนี้ข้าอาจไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอก  จริงไหม?”  เมื่อคำพูดนั้นจบลง  อาร์โรห์ก็ได้ยินเสียงทอดถอนใจเบาๆจากจุดที่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะอยู่ประมาณช่วงตัว

    “ข้าจะรับมันไว้ก็แล้วกัน”  เอ่ยจบก็ลูบเส้นผมสีเงินยวงยาวสลวยเบาๆ  ก่อนจะขยับถอยไปหลายก้าวแล้วกลายร่างกลับเป็นมังกรเกล็ดสีนิลมันเลื่อมงดงาม  หากก็แผ่ไอพลังน่าเกรงขามออกมา  ปีกทั้งสองข้างถูกกางออกบดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังตกต้องผืนดิน  สะบัดเพียงเบาๆก็สร้างลมสายใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับพาร่างอันใหญ่ยักษ์โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

    ไว้พรุ่งนี้เราคงได้พบกัน...เด็กน้อย

    นั่นคือข้อความที่ถูกส่งผ่านมาทางสายลมไปยังคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆแห่งนี้...

    รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่งดงามเกินกว่าที่จะเป็นของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง  สายลมที่พัดผ่านพาให้เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสว  และหากใครมาเห็นภาพนี้คงไม่มีคำใดที่จะนำมาอธิบายนอกจาก...งดงาม...

    “อาร์โรห์  ฟ้าใกล้มืดแล้วนะ”

    “คาลร์”

    “กลับกันเถอะ”

    “อืม”

    อาร์โรห์พยักหน้าเบาๆก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาให้คาลร์ใช้จับพาเขากลับไปที่บ้าน  บ้านที่เดลและลูน่ารอที่จะกินอาหารเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา...

    เพียงแค่เหยียบเข้าไปในบ้านกลิ่นหอมของอาหารก็โชยเข้ามาที่จมูก

    “กลับมาแล้วเหรออาร์โรห์”

    “ยินดีต้อนรับกลับนะอาร์โรห์”

    อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง  และโดยไม่รู้ตัว  รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มอินคิวบัส

    ...แม้จะมองไม่เห็นหากก็สัมผัสได้

    ...แม้อากาศหนาวเย็นก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

    นี่ละมั้งคือความรู้สึกเวลาที่มีคนคอยต้อนรับเราอยู่ที่บ้าน  มีคนที่คอยเรา  ให้ความสำคัญกับเรา

    นี่ละมั้งคือความสุขที่ครอบครัวควรมี  แม้ว่านี่จะเป็นครอบครัวที่ประกอบไปด้วยเพื่อนและ...พี่ชายก็ตาม...

     

    กลายเป็นช่วงเวลาที่อาร์โรห์รอคอยเสียแล้วที่จะได้พบกับมังกร  หลายวันที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวาย  ลูน่าทำงานบ้าน  เดลและคาลร์ออกไปล่าสัตว์  บ้างก็เก็บฟืน  บ้างก็หาพืชผักผลไม้  ไม่มีใครว่างพอที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเขา  และเขาเองก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้ใครเขาก็จะมานั่งอยู่ที่นี่  รอคอยการมาเยือนของมังกรดำ

    ฟึบ

    เสียงกระพือปีกที่มาพร้อมกับสายลมกรรโชกคือสัญญาณแรกที่ทำให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้น  ต่อมาคือเสียฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาและเสียงสวบสาบที่เหมือนมีใครบางคนนั่งลงข้างๆเขา  และสุดท้ายคือสัมผัสของฝ่ามืออบอุ่นที่แตะลงบนไหล่

    “วันนี้รอนานไหม?”

    “ไม่เลย” อาร์โรห์ส่ายหน้าช้าๆ  ก่อนจะหยิบห่อขนมที่ถืออยู่ออกมาและวางลงที่ว่างข้างๆระหว่างทั้งสองคน

    “วันนี้เป็นคุกกี้ที่เดลซื้อมาจากในเมือง  ข้าลองกินมาแล้ว  อร่อยดี”

    “งั้นเหรอ?” เมื่อคำกล่าวนั้นจบลง  ฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่ก็ละออกไปหยิบเอาคุกกี้ที่ถูกวางไว้บนผ้าที่ใช้ห่อมาเข้าปาก “ก็ไม่เลวเลยนะ”

    “ใช่ไหมล่ะ” อาร์โรห์ยิ้มสดใส “ถ้าท่านชอบล่ะก็คราวหน้าข้าจะขอให้เดลซื้อมาอีกนะ”

    มังกรหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องหรอก  ข้าไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่”

    “งั้นเหรอ...” อาร์โรห์ดูมีสีหน้าเจื่อนลงนิดหน่อย “งั้นข้าจะขอให้เดลซื้ออย่างอื่นมาแทนก็แล้วกัน...”

    “ไม่ต้องหรอกน่าเจ้าหนูน้อย” ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปลูบศีรษะของร่างที่อายุน้อยกว่าเบาๆ “เอาแบบนี้ดีกว่า  คราวหน้าข้าจะเอาหนังสือมาอ่านให้เจ้าฟังบ้างเป็นไง?”

    “หนังสือ...?”

    “ใช่  เจ้าสนใจหนังสือแบบไหนล่ะ?”

    “ข้า...ข...ข้าไม่เคยอ่านหนังสือ...” อาร์โรห์เอ่ยพลางก้มหน้าลง  ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ “...ข้าเลยไม่รู้ว่าท่านพูดถึงหนังสืออะไรแบบไหน....”

    “...” มังกรนิ่งไปครู่หนึ่ง  นัยน์ตาสีทับทิมกลอกไปมาขณะใช้ความคิด  ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายจะเผยยิ้มบางๆออกมา “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะสุ่มหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งก็แล้วกัน”

    “เอ๋?”

    ใครจะนึกว่าหลังจากวันนั้นมังกรดำผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องพกหนังสือออกมาจากรังทุกครั้ง  และเมื่อมาถึงที่ที่ตั้งใจอีกฝ่ายก็จะร่อนลงและนั่งลงอ่านหนังสือให้เด็กหนุ่มชาวอินคิวบัสฟัง  วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป  อาร์โรห์ที่ได้รับฟังสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสก็เริ่มที่จะจินตนาการตามคำพูดที่ได้ยิน

    “เด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นาๆพันธุ์  รอยยิ้มสดใสที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลบความงดงามของดอกไม้รอบด้านไปจนสิ้น  ความสดใสที่แสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวนั้นเรียกให้เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ต้องมองตามอย่างเอ็นดู...”

    เสียงนุ่มทุ้มของท่านมังกรดังออกมาจากริมฝีปากขณะที่เขานั่งยืดขาข้างหนึ่งเพื่อให้ร่างของคนที่อยู่ข้างๆหนุน  เส้นผมสีเงินแผ่กระจายไปทั่วทั้งขาของเขาและผืนหญ้ารอบๆ  ในขณะที่นัยน์ตาสีเงินหลับลงเพื่อจินตนาการภาพตามที่อีกฝ่ายบอกเล่า

    “เด็กคนนั้นคงจะงดงามมาก...” อยู่ๆอาร์โรห์ก็เอ่ยออกมา “แล้วก็ต้องมีชีวิดที่มีความสุข  ไม่อย่างนั้นรอยยิ้มที่สดใสร่าเริงและเปี่ยมด้วยพลังชีวิตแบบนั้นคงไม่อาจปรากฏออกมา”

    “คงจะจริงของเจ้า...” มังกรดำเอ่ยพลางปิดหนังสือที่อ่านไปกว่าครึ่งเล่มลง “วันนี้เจ้าคงจะเหนื่อยแล้ว  จะหลับสักหน่อยไหม?”

    อาร์โรห์ยันตัวขึ้นนั่ง  ดวงตาสะท้อนแววเหนื่อยล้า  แต่ศีรษะกลับค่อยๆถูกส่ายช้าๆ “ไม่เป็นไร  ข้ายังแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ...”

    มังกรดำถอนหายใจเฮือก  ชินเสียแล้วกับการที่อีกฝ่ายชอบทำเหมือนตัวเองไม่เป็นอะไร  เพราะตลอดช่วงที่อยู่ด้วยกันมา  เจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่รู้ว่าฝืนทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากี่รอบแล้ว

    “แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ  อาการของเจ้าดีขึ้นบ้างไหม?”

    คำถามนั้นทำให้ร่างของเด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง “ถ้าท่านหมายถึงบาดแผลล่ะก็  ตอนนี้หายดีแล้วล่ะ  แต่ถ้าท่านพูดถึงเรื่องนี้...”เอ่ยพลางเอื้อมมือขึ้นมาจับปอยผมของตนเองมาปอยหนึ่ง  มันยังคงมีสีเงินยวงสว่างไสวดังเช่นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ในขณะที่ดวงตาของเขาก็ยังคงไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกเช่นกัน

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรมังกรดำจึงได้รู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย  ทั้งยังรู้สึกสงสารและผูกพัน  อาจเป็นเพราะเขารู้สึกสนใจเจ้าเด็กน้อยที่แปลกประหลาดคนนั้นและใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ที่กำลังแสดงสีหน้าหมองเศร้าตรงหน้านี้กระมัง

    ฝ่ามือที่ทั้งใหญ่และอบอุ่นถูกวางลงบนศีรษะของอาร์โรห์ “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องหายดีในเร็ววัน”

    อาร์โรห์ชะงักไปครู่หนึ่ง  ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะค่อยๆเผยออกมา  แม้จะเพียงเล็กน้อยก็แต่มันก็ดูสว่างสดใสคล้ายกับดอกไม้แรกแย้ม...ถึงแม้ว่าใช้คำพูดนี้มาบรรยายรอยยิ้มของเด็กหนุ่มมันจะดูแปลกๆก็เถอะ...

    “ขอบคุณ”

    ครานี้เป็นฝ่ายมังกรที่ชะงักลงบ้าง  เขาหลุบดวงตาสีทับทิมลงมองผืนหญ้าสีเขียวขจีในขณะที่คิด...คิดถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่น  และมันก็ถูกส่งไปยังสัมผัสของอาร์โรห์โดยไม่รู้ตัว  มันเป็นตอนนั้นเองที่อาร์โรห์เกิดอยากเอ่ยถามให้แน่ใจ  อยากจะเอ่ยถามว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกไหม...

    “พรุ่งนี้ท่านจะมาอีกใช่ไหม?” น้ำเสียงที่ใช้เต็มไปด้วยความหวัง  แต่มันกลับทำให้มังกรต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีนัยน์ตาที่แม้จะไม่อาจมองเห็นสิ่งใดแต่กลับสะท้อนภาพของเขาและเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง

    “พวกเรา...” เสียงของมังกรฟังดูแห้งผากอย่างผิดวิสัย  ฝ่ามือที่เมื่อครู่วางอยู่บนศีรษะของคนอายุน้อยกว่าค่อยๆถูกเลื่อนออก  แต่ก็กลับถูกฝ่ามือของเด็กหนุ่มคว้าเอาไว้

    ...ทั้งๆที่เขาควรจะมองไม่เห็นแท้ๆ...แต่ความรู้สึกกลับทำให้เขารู้ว่าฝ่ามือที่อบอุ่นนั้นอยู่ที่ไหน  และเขาก็ไม่หยุดคิดเลยว่าจะยื่นมือออกไปไขว่คว้ามันเอาไว้

    ...อย่างน้อยก็อาจสามารถถ่วงเวลาให้เพิ่มขึ้นได้...สักนิดก็ยังดี...

    “เด็กน้อย...เราอาจไม่ได้พบกันอีก...”  เอ่ยจบมังกรก็เป็นฝ่ายดึงมือของตนออกจากฝ่ามือที่พยายามเหนี่ยวรั้งเขาไว้  และเป็นตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นว่าเด็กน้อยตรงหน้านั้นอ่อนแอเพียงใด...

    อาร์โรห์พยายามที่จะไขว่คว้าฝ่ามือของมังกรเอาไว้  แต่เมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นและผละห่างออกไปก็ราวกับว่าความเย็นเฉียบจะเข้ามากอบกุมจิตใจของเขา  ความหนาวเหน็บและโดดเดี่ยวราวกับเข้ามาโอบล้อมอยู่รอบกาย  ฝ่ามือของเขาสั่นเทาอย่างน่าประหลาด  ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน  ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่าย  แต่เขากลับรู้สึกผูกพัน  รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญ  แต่ตอนนี้คนสำคัญคนนั้นกลับกำลังจะทิ้งเขาไป...ให้เขาอยู่ตามลำพัง

    ...เหมือนกับแม่ของเขา...

    น้ำตาเย็นเยียบไหลออกมาจากดวงตาที่มืดบอดโดยที่เจ้าตัวไม่อาจรู้ตัว  มันทำให้ร่างที่กำลังเดินห่างออกไปชะงักไปครู่หนึ่ง  แต่หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจ  ร่างของชายหนุ่มเมื่อครู่ขยายขึ้น  เกล็ดสีนิลวาวปรากฏขึ้นทั่วร่าง  หางยาวใหญ่สีนิลค่อยๆงอกยาว  ใบหน้าที่เมื่อครู่เป็นมนุษย์ค่อยๆแปรเปลี่ยนเข้าสู่สภาพมังกรโดยสมบูรณ์

    นัยน์ตาสีทับทิมจ้องมองร่างที่พยายามจะขยับเข้ามาหา  แต่ก็กลับสะดุดล้มลงกับพื้น  ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่แม้แต่ผู้หลั่งน้ำตาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจ  ทำได้เพียงก้มหน้า  ปล่อยให้เสียงสะอื้นไห้และน้ำตาหลั่งรินออกมา

    มังกรดำเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็รู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด  หากแต่สิ่งที่เขาจะต้องไปเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ทำให้แม้แต่มังกรที่มีอายุยาวนานมากว่าพันปีอย่างเขาก็ยังไม่อาจมั่นใจว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการทำให้สำเร็จ  หรือหากถึงขนาดเลวร้าย...เขาก็อาจไม่ได้กลับมาอีก...

    ปีกขนาดมหึมาถูกสยายออก

    ...แต่ว่า...เขาเองก็ไม่อยากให้เด็กน้อยตรงหน้าต้องโศกเศร้า  ความรู้สึกผูกพันที่ทำให้เขาอยากปกป้องนี้เขาคุ้นชินกับมันดี  แต่ที่ไม่เข้าใจคือ....เขากลับรู้สึกเช่นนี้กับคนนอกครอบครัวที่ได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง...

    ปีกข้างหนึ่งถูกยื่นไปสัมผัสร่างของอาร์โรห์เล็กน้อย  เป็นเหตุให้ใบหน้าเปื้อนน้ำตาต้องเงยขึ้นมา

    “อย่าได้ร่ำไห้เลย  เด็กน้อยของข้า  เจ้าไม่ควรมาเสียน้ำตาให้กับผู้ที่รู้จักกันเพียงผิวเผินหรอกนะ” น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยอบอุ่นอย่างน่าประหลาด  ความรู้สึกนั้นถูกส่งผ่านเข้ามาในร่างของอาร์โรห์ผ่านน้ำเสียงนั้นและสัมผัสที่ได้รับ  แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น้ำตาของเขาหลั่งรินมากยิ่งกว่าเดิม

    “ข้าอยากจะพบท่านอีก...ข้าไม่อยากสูญเสียความอบอุ่นที่ได้รับไป...ข้าไม่อยากเสียอะไรไปอีก...ทำไมความอบอุ่นที่ข้าได้รับจากคนเพียงสองคนถึงต้องหายไปครึ่งหนึ่ง...และทำไมคนที่ควรจะมอบความอบอุ่นให้ข้ากลับไม่เคยมอบให้แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสุดท้ายที่พบเจอ...ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้...”

    มังกรทำได้เพียงนิ่งมอง  แม้จะอยากเข้าไปปลอบประโลมอีกฝ่าย  แต่เขาก็จำต้องฝืนใจรั้งร่างของตนเองให้อยู่กับที่  เนิ่นนาน...

     

    เวลาค่อยๆไหลผ่านไป  วันแล้ววันเล่า  แต่หลังจากที่มังกรจากไปในวันนั้น  แม้ว่าอาร์โรห์จะยังคงออกไปรออยู่ที่เดิมอีกฝ่ายก็ไม่ปรากฏตัวออกมา  ไม่แม้แต่จะบินผ่านน่านฟ้าผืนนี้อีก

    ร่างของเด็กหนุ่มนั่งขดแน่นอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่มีสายลมพัดผะแผ่ว  สายลมที่เย็นเฉียบทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้าน  แต่ที่สะท้านยิ่งกว่ากลับเป็นหัวใจที่ราวกับอยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวเย็น  ความอบอุ่นราวกับได้จากจิตใจของเขาไปตลอดกาล

    “อาร์โรห์  อากาศช่วงนี้เริ่มเย็นแล้วทำไมเจ้ายังออกมาอีก  กลับกันเถอะนะ” เด็กสาวชาวมนุษย์กล่าวพลางคลุมผ้าผืนอุ่นลงบนร่างแบบบางอันเย็นเฉียบของเด็กหนุ่มอินคิวบัส “ป่านนี้คาร์ลกับเดลคงกลับมาแล้วล่ะ”

    “อืม...” เสียงที่ใช้เอ่ยตอบสั่นน้อยๆ  ทั้งยังอ่อนระโหยราวกับว่าเขาได้สูญเสียพลังชีวิตที่เคยมีไปทั้งหมด

    ลูน่ามองท่าทีนั้นอย่างกังวลพลางเข้าไปช่วยพยุงร่างของอีกฝ่ายที่โซซัดโซเซ  แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดีนั้นแล้วเดินต่อไปทั้งร่างกายที่สั่นเทา

    หลายวันที่ผ่านมาอาร์โรห์ดูจะมีท่าทีห่างเหินจากทุกคนมากขึ้น  แผ่นหลังบอบบางนั้นดูโดดเดี่ยวราวกับยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะเพียงลำพัง  เขาแทบจะไม่ยอมพูดคุยกับใคร  ไม่แม้แต่จะพยายามพึ่งพาพวกเขา  และพวกเขาก็ทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ไม่ว่าจะพยายามเข้าไปช่วยเท่าไหร่ก็มักจะถูกปฏิเสธตลอด...

    “เลิกทำแบบนี้ซักทีได้มั้ย...” ลูน่าเอ่ยเสียงเบา  แต่ก็ยังดังมากพอให้อาร์โรห์ได้ยิน  เขาหันกลับมาหาลูน่าช้าๆ  ขณะที่ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ

    “พอสักทีได้มั้ย  ถึงเจ้าจะไม่อยากเป็นภาระให้พวกข้าก็เถอะ  แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยินดีที่จะช่วยกันดูแลเจ้า  แล้วดูสิ่งที่เจ้าทำสิ  ดูสิ่งที่เจ้าทำกับพวกข้า...”

    “ลูน่า...”

    “เจ้าตีตัวออกห่างจากพวกข้ามากขึ้นทั้งๆที่พวกข้าไม่ได้ทำอะไรผิด  หรือถ้าทำผิดเจ้าก็บอกมาสิว่าพวกเราทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ  พวกเราจะได้แก้ไข  แต่นี่เจ้าไม่บอก...ไม่พูดอะไรเลย...รู้บ้างมั้ยว่าเจ้ากำลังทำให้พวกเราเป็นห่วงน่ะ...”

    อาร์โรห์ทำได้เพียงนิ่งเงียบ  เขาเองก็รู้ดีว่าตัวเองทำผิด  ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย  แต่ถ้าเขายังคงไว้ใจและเปิดรับคนอื่นเข้ามาในชีวิต  ความรู้สึกเจ็บปวดเวลาต้องลาจากก็จะไม่มีวันจบสิ้น  เขาไม่ต้องการที่จะต้องมารับความรู้สึกนั้นอีก  ยิ่งผูกสัมพันธ์มากเท่าไหร่  ความเจ็บปวดก็จะมากขึ้นเท่านั้น  เขาไม่รู้ว่ามันคุ้มกันมั้ยระหว่างความสุขเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งที่จะต้องแลกมาด้วยการพบเจอกับความเจ็บปวดแบบนั้น

    ...ก็เขามันเห็นแก่ตัว...

    “ทำไมอยู่ๆถึงปิดใจตัวเอง...”

    ...ก็เขาไม่อยากเจ็บปวด...

    “ทำไมถึงตีตัวออกห่างจากพวกเรา...”

    ...ก็เขาไม่อยากที่จะเกี่ยวข้องกับใคร...

    “ทำไมถึงไม่เชื่อใจ  ไม่ยอมรับความช่วยเหลือของพวกเรา...”

    ...ก็เขาไม่อยากที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้...

    “พวกเราควรปรับปรุงแก้ไขอะไร  เจ้าก็บอกมาสิอาร์โรห์...”

    ...เขาไม่อยากให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว  เท่านี้ก็มากพอแล้ว...พอแล้วจริงๆ...

    ...อย่าทำให้เขาใจอ่อนไปมากกว่านี้...

    ...อย่าทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหวไปมากกว่านี้...

    ...อย่าทำให้เขาโหยหาความอบอุ่นไปมากกว่านี้...

    “พวกเจ้าไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น...” เสียงของอาร์โรห์ที่ใช้กล่าวผะแผ่ว  เรียกให้ใบหน้าของเด็กสาวที่ก้มลงเงยขึ้นมามองเขา  นัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเงาร่างของอาร์โรห์ที่ยืนหันหน้ามาหาเธอ  เส้นผมสีพิสุทธิ์และชายผ้าที่เธอคลุมให้ปลิวไปตามสายลม  ใบหน้างดงามที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาราวขนนก  หากก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

    “พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด  ไม่เคยทำอะไรผิด  คนที่ผิด...ก็คือข้า...” ขณะที่เอ่ยอาร์โรห์ก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว  หยาดน้ำในดวงตาเอ่อปริ่มอยู่ที่ขอบตาพร้อมที่จะร่วงหล่น  หากแต่เขาก็พยายามที่จะกลั้นมันเพื่อที่จะได้ไม่แสดงสภาพน่าอายให้ใครได้เห็น

    เขายังไม่พร้อมที่จะยืนหยัดอยู่เพียงลำพังบนโลกแสนกว้างใหญ่นี้  เขายังอ่อนเดียงสาเกินกว่าที่จะตัดขาดจากความอบอุ่นที่ได้รับมา  ความอบอุ่นที่พาให้โหยหาอาลัย

    “อาร์โรห์...”

    “ขอโทษนะลูน่า  ข้าคงทำให้เจ้าเป็นห่วงมากจริงๆ”

    “เจ้านี่มันบ้าที่สุดเลย...” ลูน่าเอ่ยเสียงพร่า  ภาพตรงหน้าเกิดไม่ชัดเจนขึ้นมาอย่างกะทันหัน  ข้างแก้มรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่หลั่งริน  ไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกา  แต่เป็นน้ำตาแห่งความปีติ  ร่างของเด็กสาวโผเข้ากอดร่างแบบบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า  เธอซุกหน้าลงกับลาดไหล่ที่สูงกว่าไหล่ของเธอเล็กน้อย

    อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง  ความอบอุ่นที่ได้รับและสัมผัสเปียกชื้นที่ไหล่ทำให้เขารู้ว่าคนตรงหน้ามีปฏิกิริยาเช่นไร  และเชื่อว่าเธอคงจะเข้าใจถึงความนัยที่เขาสื่อออกมา

    ลำแขนเรียวยาวถูกยกขึ้นกอดตอบ  ข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะของคนที่อยู่ในวงแขน

    ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าลูน่าจะคลายอ้อมกอดลง  เมื่อรู้สึกว่าลูน่าค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอาร์โรห์ก็ทำได้เพียงปล่อยมือออกมา

    “กลับกันเถอะ”

    “อืม”


    _______________________________________________________________________________________________________

    ตอนนี้ถือว่าอาร์โรห์ได้พักหรือยังเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

    อาร์โรห์เอ๊ย  ขี้กลัวเหมือนเด็กเลยนะ ฟฟฟฟ (ก็แกแต่งเอง)

    ตอนแต่งนี่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยค่ะ แต่พอกลับมานั่งอ่านเหมือนโดนดาเมจ...

    หนูอาร์โรห์สวยไปไหมมมมมม  สวยแบบ อร๊ายยยย(?) <<<< ปล่อยอิไรท์บ้าไป

    ตอนนี้อาร์โรห์ยิ้มสวยมาก  แค่นั่งจิ้นนี่ก็...อะเฮือก!(?)

    หุๆๆ//นั่งฟินอยู่หน้าคอม

    ท่านมังกรดำก็อบอุ่นจึงเบย  ถ้าไม่ติดว่าวางบทฮีไว้แล้วคงได้ขึ้นป้ายเรื่องนี้ว่าฮาเร็มวา-----

    ถถถถถว์ กลับมานั่งอ่านแล้วคิดถึงอาร์โรห์หนักมาก สงสัยต้องรีบปันซะแล้วจะได้ขึ้นภาคให-----//นี่ก็หาเรื่องไปเตรียมสอบเข้ามหาลัยไป!

    สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ! //จับน้องหนูอาร์โรห์โค้งงามๆให้ที(?)

    ฟหกดฟหกดฟหกด ฟฟฟฟฟฟฟฟ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×