คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16
บทที่ 16
อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นไปในทิศทางที่สัมผัสได้ถึงสายลม
เป็นอีกวันที่เขาได้รับสายลมที่เหมือนจะกรรโชกหากแต่อ่อนโยนช่วยชโลมจิตใจที่ท้อถอย
ยอมแพ้กับการมีชีวิตอย่างคนพิการที่ไม่อาจทำอะไรเองได้ และเป็นอีกครั้งที่สายลมนี้เป็นสิ่งชักจูงให้เขาเดินมาในเส้นทางเดิมๆ ย่างก้าวเดิมๆ
และจำนวนก้าวเดิมๆโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เพียงแค่ได้สัมผัสสายลมที่แฝงไว้ด้วยพลังบางอย่างก็พาให้จิตใจของเขาอบอุ่นและโหยหาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
จิตใจเผลอแน่วแน่ไปว่าสักวันตนจะกลับมามองเห็นและได้เห็นบางสิ่งที่เป็นเจ้าของสายลมนั้น
แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นทุกที...
สายลมที่ปกติมักจะเพียงผ่านมาและผ่านไปวูบหนึ่งกลับชะงักนิ่งเพียงครู่แล้วหายไป ไม่ใช่การพัดหายไป แต่อยู่ๆก็กลับหายไปเสียเฉยๆ นั่นทำให้อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้น
ทั้งๆที่เขายังคงสัมผัสได้ถึงพลังที่มักจะแฝงมากับสายลมได้อย่างชัดเจน แต่มันกลับเหลือเพียงสายลมผะแผ่วที่พัดผ่านข้างแก้ม
“หายไปซะแล้ว...”
ตึก...
...เสียงฝีเท้า
อาร์โรห์ชะงักร่างที่กำลังจะขยับเตรียมลุกขึ้นยืน
ตัดสินใจนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมขณะที่หูก็เงี่ยฟังเสียงฝีเท้าที่ไม่คุ้นเคยไปด้วย
แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจที่สุดคงไม่พ้นสัมผัสไอพลังที่คล้ายกับเคยได้สัมผัสจากที่ไหนมาก่อน...
“ช่างน่าแปลกที่บริเวณนี้มีอินคิวบัสรูปลักษณ์แปลกๆมาพักอาศัย”
เสียทุ้มนุ่มหากแต่ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเรียกให้สมองของอาร์โรห์ประมวลผลอย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและมีพลังชีวิตอันล้นเหลือมีเพียงชนิดเดียว
มังกร...
แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดคะเน
“ข้าคงไม่ได้มาบุกรุกเขตของท่านใช่ไหม?
ท่านมังกร” อาร์โรห์กล่าวพลางหันหน้าไปทางร่างของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางๆที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก
คำพูดนั้นเรียกให้เรียวคิ้วของผู้ที่ถูกเรียกว่ามังกรขยับเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่แตกต่างกัน
อาร์โรห์เองก็ประหลาดใจที่ตนเลือกที่จะปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นมังกร แม้ว่าสมองจะบอกว่าไม่แน่
แต่สัญชาตญาณกลับบอกว่าใช่และทำให้เขาเผลอเรียกอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น
“น่าประหลาดใจเสียจริง เจ้ารู้ว่าข้าเป็นมังกร?”
“ข้าไม่รู้ เพียงแค่สัญชาตญาณมันบอก แล้วไม่ถูกเหรอ?”
หลังจากประโยคนั้นจบลง เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆอย่างขบขัน
“ไม่ผิดหรอก”
น้ำเสียงที่ใช้กล่าวยังคงมีแววขบขันปนเปไปกับความเอ็นดู
“แล้วเจ้ามาทำอะไรในเขตของข้าล่ะ?”
“พวกข้าเพียงมาขอพักอาศัย หวังว่าท่านคงไม่ว่าอะไรหากเราจะพักที่นี่ชั่วคราวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ”
“ก็ได้อยู่หรอกนะ...แล้วเจ้าจะไม่เชิญแขกนั่งสักหน่อยเหรอ?”
“อ่า...เชิญนั่งก่อนสิท่านมังกร”
กล่าวพลางผายมือไปยังพื้นหญ้าข้างตัว
ร่างของชายหนุ่มผมดำผู้เป็นมังกรนั่งลงตามคำเชิญด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มขบขัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีจริงๆ”
“เช่นนั้นหรือ? ข้าเห็นแต่เพียงความมืด คงนั่งคุยกับท่านด้วยเรื่องนี้ไม่ได้”
“เจ้ามองไม่เห็น?”
“ท่านจะลองพิสูจน์ดูไหมล่ะ?” อาร์โรห์กล่าวพลางหันมาทางเจ้าของเสียง
นัยน์ตาที่เป็นสีขาวว่างเปล่าไม่สะท้อนภาพของสิ่งใดเป็นพิเศษ
นัยน์ตาสีทั[ทิมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอาร์โรห์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าอีกฝ่ายจะถอนหายใจและละสายตาออกไป
“มองไม่เห็นจริงๆสินะ แต่คิดว่าคงไม่ได้มีสาเหตุมาจากสุขภาพร่างกาย แต่เป็นพลังเวท”
อาร์โรห์ยิ้มบางแล้วหันกลับไปด้านหน้าอีกครั้ง พลางหลับตาลงเบาๆ
“ข้าสัมผัสพลังเวทของเจ้าไม่ได้”
“ก็ไม่ผิดหรอก
ข้าสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจนกลายมาเป็นเช่นนี้ กลับกลายมาอยู่ในโลกสีดำอันมืดมิด”
“แต่บางครั้งมันก็ลึกลับน่าค้นหาไม่ใช่หรือ?”
“...สำหรับบางคนคงเป็นเช่นนั้น...แต่ข้าเกลียด...ไม่สิ
หวาดกลัวต่างหาก...หวาดกลัวความมืดที่โดดเดี่ยว...ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเป็นเพียงสีดำ ทุกอย่างว่างเปล่า มองอะไรไม่เห็น สัมผัสอะไรไม่ได้...”
“เจ้าเป็นปีศาจที่แปลกจริงๆเลยนะ”
“มีคนเคยพูดแบบนั้นเหมือนกัน”
“งั้นหรือ...”
หลังจากคำพูดนั้นจบลงความเงียบก็เริ่มโรยตัวลงมาในบรรยากาศ อาร์โรห์ไม่พูด มังกรไม่ต่อ
คนหนึ่งนั่งนิ่ง
อีกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
จนกระทั่ง...
“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาสักพักแล้ว”
เป็นผู้เป็นเผ่าพันธุ์มังกรที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
เรียกให้อาร์โรห์ต้องหันหน้าไปหาด้วยสีหน้าสงสัย
“อะไรหรือ?”
“ข้าบินผ่านน่านฟ้าเขตนี้ทุกวัน
และช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ก็เห็นเจ้ามานั่งที่นี่ในเวลาเดิมตลอด
เจ้ามีเวลาว่างขนาดมานั่งเล่นแถวนี้ได้เลยหรือ?”
“คงเป็นแบบนั้น...ก็ข้าในตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้นี่นะ...”
อาร์โรห์กล่าวประโยคหลังเสียงแผ่วพลางเงยหน้าขึ้นฟ้า
“หากข้ามาที่นี่
ข้าก็จะรู้สึกถึงชีวิต
มีทั้งต้นไม้
ใบหญ้าและสายลมอยู่เป็นเพื่อน”
“ถ้าข้าอยู่แต่ในบ้าน ข้าคงไม่อาจรับรู้ได้ถึงสรรพสิ่งใดบนโลก อยู่กับความมืดมิดที่เงียบงัน...”
มังกรนิ่งเงียบ รอฟังสิ่งที่อาร์โรห์จะพูดต่อไป แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่มีอะไรที่จะพูดได้อีก
และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปเขาก็หัวเราะในลำคอเบาๆ
“ข้าคงเป็นปีศาจที่แปลกมากในสายตาท่าน”
“แต่แปลกก็ใช่ว่าจะไม่ดี...”
ได้ยินดังนั้นอาร์โรห์ก็ขมวดคิ้วมุ่น
แปลกก็ใช่ว่าจะไม่ดี? นั่นหมายความว่าแปลกแล้วดีหรือ? หรือว่าแปลกแล้วมันดีกับใครสักคน?? หรือว่าเมื่อแปลกแล้วจะทำให้มีดีอะไร???
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านพูดอะไรเข้าใจยากจริง...”
อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่นหนักกว่าเก่า
และนั่นก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะนุ่มทุ้มจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ฝ่ามือใหญ่แข็งแกร่งถูกวางลงบนศีรษะของอาร์โรห์เบาๆ
“เจ้ายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจผู้ใหญ่มากนัก”
“ข้าโตเต็มวัยแล้ว”
สีหน้าไม่พอใจที่ปรากฏบนใบหน้าเยาว์วัยของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากอีกฝ่ายได้อีกครา
...ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสีหน้าที่แสดงออกมานั้นยังคงเป็นของเด็กน้อยคนหนึ่งที่คิดว่าตนโตเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว
“ข้าอายุมากกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”
เมื่อคำพูดนั้นจบลงมันก็ทำให้อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ก็อาจจะใช่...พลังมังกรของท่านดูจะมากเกินกว่าที่มังกรอายุเพียงร้อยกว่าปีจะมีได้”
คิ้วเหนือดวงตาสีทับทิมถูกยกเลิกขึ้นพลางมองพิจารณาอาร์โรห์อยู่ครู่หนึ่ง
“คงถือได้ว่าตาถึงสำหรับเจ้าหนูน้อยที่บอกว่าตนโตเต็มวัยแล้ว”
“...” ไม่รู้เพราะอะไร แต่ประโยคนั้นทำเอาคนฟังถึงกับคิ้วกระตุกทีหนึ่ง
“พรุ่งนี้เจ้าจะมาที่นี่อีกใช่ไหม?”
คนเอ่ยถามขยับลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
นัยน์ตาสีทับทิมจับจ้องไปยังร่างที่เงยหน้าขึ้นมาตามต้นเสียง
“อือ...ท่านจะมาอีกหรือ?”
“หากโชคชะตาเป็นใจ เราคงได้พบกัน”
“...?” อาร์โรห์เอียงคอเล็กๆ ทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ข้อสรุปว่าอีกฝ่ายหมายถึงอาจจะมาอีก
“ถ้าท่านจะมาล่ะก็...ข้าจะลองหาอะไรติดมือมาในวันพรุ่งนี้ หวังว่าเราจะได้พบกัน” ไม่ว่าเปล่า
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มชาวอินคิวบัสเป็นเหตุให้ผู้ที่ยืนอยู่ชะงักนิ่งไปชั่วครู่ แต่หลังจากนั้นรอยยิ้มเอ็นดูก็กลับมาประดับบนใบหน้า
ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่ๆของอีกฝ่ายจะทาบลงบนศีรษะของอาร์โรห์และขยี้เบาๆ
“เจ้าจะใจดีเกินไปแล้ว” เอ่ยด้วยเสียงที่ถูกปรับให้ดุขึ้น
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับยังคงเป็นรอยยิ้มอ่อนเดียงสาของคนโดนยีหัว
“ข้าได้สายลมของท่านช่วยเอาไว้นี่นา”
“นั่นเจ้าก็นับเป็นบุญคุณงั้นหรือ?”
“ก็หากข้าไม่ได้สายลมของท่าน
บางทีในตอนนี้ข้าอาจไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอก จริงไหม?”
เมื่อคำพูดนั้นจบลง
อาร์โรห์ก็ได้ยินเสียงทอดถอนใจเบาๆจากจุดที่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะอยู่ประมาณช่วงตัว
“ข้าจะรับมันไว้ก็แล้วกัน” เอ่ยจบก็ลูบเส้นผมสีเงินยวงยาวสลวยเบาๆ
ก่อนจะขยับถอยไปหลายก้าวแล้วกลายร่างกลับเป็นมังกรเกล็ดสีนิลมันเลื่อมงดงาม หากก็แผ่ไอพลังน่าเกรงขามออกมา
ปีกทั้งสองข้างถูกกางออกบดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังตกต้องผืนดิน
สะบัดเพียงเบาๆก็สร้างลมสายใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับพาร่างอันใหญ่ยักษ์โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
‘ไว้พรุ่งนี้เราคงได้พบกัน...เด็กน้อย’
นั่นคือข้อความที่ถูกส่งผ่านมาทางสายลมไปยังคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆแห่งนี้...
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่งดงามเกินกว่าที่จะเป็นของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สายลมที่พัดผ่านพาให้เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสว
และหากใครมาเห็นภาพนี้คงไม่มีคำใดที่จะนำมาอธิบายนอกจาก...งดงาม...
“อาร์โรห์
ฟ้าใกล้มืดแล้วนะ”
“คาลร์”
“กลับกันเถอะ”
“อืม”
อาร์โรห์พยักหน้าเบาๆก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาให้คาลร์ใช้จับพาเขากลับไปที่บ้าน บ้านที่เดลและลูน่ารอที่จะกินอาหารเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา...
เพียงแค่เหยียบเข้าไปในบ้านกลิ่นหอมของอาหารก็โชยเข้ามาที่จมูก
“กลับมาแล้วเหรออาร์โรห์”
“ยินดีต้อนรับกลับนะอาร์โรห์”
อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง และโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มอินคิวบัส
...แม้จะมองไม่เห็นหากก็สัมผัสได้
...แม้อากาศหนาวเย็นก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
นี่ละมั้งคือความรู้สึกเวลาที่มีคนคอยต้อนรับเราอยู่ที่บ้าน มีคนที่คอยเรา
ให้ความสำคัญกับเรา
นี่ละมั้งคือความสุขที่ครอบครัวควรมี
แม้ว่านี่จะเป็นครอบครัวที่ประกอบไปด้วยเพื่อนและ...พี่ชายก็ตาม...
กลายเป็นช่วงเวลาที่อาร์โรห์รอคอยเสียแล้วที่จะได้พบกับมังกร หลายวันที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวาย ลูน่าทำงานบ้าน เดลและคาลร์ออกไปล่าสัตว์ บ้างก็เก็บฟืน
บ้างก็หาพืชผักผลไม้
ไม่มีใครว่างพอที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเขา
และเขาเองก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้ใครเขาก็จะมานั่งอยู่ที่นี่ รอคอยการมาเยือนของมังกรดำ
ฟึบ
เสียงกระพือปีกที่มาพร้อมกับสายลมกรรโชกคือสัญญาณแรกที่ทำให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้น ต่อมาคือเสียฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาและเสียงสวบสาบที่เหมือนมีใครบางคนนั่งลงข้างๆเขา
และสุดท้ายคือสัมผัสของฝ่ามืออบอุ่นที่แตะลงบนไหล่
“วันนี้รอนานไหม?”
“ไม่เลย” อาร์โรห์ส่ายหน้าช้าๆ
ก่อนจะหยิบห่อขนมที่ถืออยู่ออกมาและวางลงที่ว่างข้างๆระหว่างทั้งสองคน
“วันนี้เป็นคุกกี้ที่เดลซื้อมาจากในเมือง ข้าลองกินมาแล้ว อร่อยดี”
“งั้นเหรอ?”
เมื่อคำกล่าวนั้นจบลง
ฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่ก็ละออกไปหยิบเอาคุกกี้ที่ถูกวางไว้บนผ้าที่ใช้ห่อมาเข้าปาก
“ก็ไม่เลวเลยนะ”
“ใช่ไหมล่ะ” อาร์โรห์ยิ้มสดใส
“ถ้าท่านชอบล่ะก็คราวหน้าข้าจะขอให้เดลซื้อมาอีกนะ”
มังกรหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่”
“งั้นเหรอ...”
อาร์โรห์ดูมีสีหน้าเจื่อนลงนิดหน่อย
“งั้นข้าจะขอให้เดลซื้ออย่างอื่นมาแทนก็แล้วกัน...”
“ไม่ต้องหรอกน่าเจ้าหนูน้อย”
ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปลูบศีรษะของร่างที่อายุน้อยกว่าเบาๆ “เอาแบบนี้ดีกว่า คราวหน้าข้าจะเอาหนังสือมาอ่านให้เจ้าฟังบ้างเป็นไง?”
“หนังสือ...?”
“ใช่ เจ้าสนใจหนังสือแบบไหนล่ะ?”
“ข้า...ข...ข้าไม่เคยอ่านหนังสือ...”
อาร์โรห์เอ่ยพลางก้มหน้าลง
ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“...ข้าเลยไม่รู้ว่าท่านพูดถึงหนังสืออะไรแบบไหน....”
“...” มังกรนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีทับทิมกลอกไปมาขณะใช้ความคิด
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายจะเผยยิ้มบางๆออกมา
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะสุ่มหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งก็แล้วกัน”
“เอ๋?”
ใครจะนึกว่าหลังจากวันนั้นมังกรดำผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องพกหนังสือออกมาจากรังทุกครั้ง และเมื่อมาถึงที่ที่ตั้งใจอีกฝ่ายก็จะร่อนลงและนั่งลงอ่านหนังสือให้เด็กหนุ่มชาวอินคิวบัสฟัง วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป
อาร์โรห์ที่ได้รับฟังสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสก็เริ่มที่จะจินตนาการตามคำพูดที่ได้ยิน
“เด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้นาๆพันธุ์ รอยยิ้มสดใสที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลบความงดงามของดอกไม้รอบด้านไปจนสิ้น
ความสดใสที่แสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวนั้นเรียกให้เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ต้องมองตามอย่างเอ็นดู...”
เสียงนุ่มทุ้มของท่านมังกรดังออกมาจากริมฝีปากขณะที่เขานั่งยืดขาข้างหนึ่งเพื่อให้ร่างของคนที่อยู่ข้างๆหนุน
เส้นผมสีเงินแผ่กระจายไปทั่วทั้งขาของเขาและผืนหญ้ารอบๆ
ในขณะที่นัยน์ตาสีเงินหลับลงเพื่อจินตนาการภาพตามที่อีกฝ่ายบอกเล่า
“เด็กคนนั้นคงจะงดงามมาก...”
อยู่ๆอาร์โรห์ก็เอ่ยออกมา “แล้วก็ต้องมีชีวิดที่มีความสุข ไม่อย่างนั้นรอยยิ้มที่สดใสร่าเริงและเปี่ยมด้วยพลังชีวิตแบบนั้นคงไม่อาจปรากฏออกมา”
“คงจะจริงของเจ้า...”
มังกรดำเอ่ยพลางปิดหนังสือที่อ่านไปกว่าครึ่งเล่มลง
“วันนี้เจ้าคงจะเหนื่อยแล้ว
จะหลับสักหน่อยไหม?”
อาร์โรห์ยันตัวขึ้นนั่ง ดวงตาสะท้อนแววเหนื่อยล้า แต่ศีรษะกลับค่อยๆถูกส่ายช้าๆ “ไม่เป็นไร ข้ายังแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ...”
มังกรดำถอนหายใจเฮือก
ชินเสียแล้วกับการที่อีกฝ่ายชอบทำเหมือนตัวเองไม่เป็นอะไร เพราะตลอดช่วงที่อยู่ด้วยกันมา เจ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่รู้ว่าฝืนทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากี่รอบแล้ว
“แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะ อาการของเจ้าดีขึ้นบ้างไหม?”
คำถามนั้นทำให้ร่างของเด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ถ้าท่านหมายถึงบาดแผลล่ะก็
ตอนนี้หายดีแล้วล่ะ
แต่ถ้าท่านพูดถึงเรื่องนี้...”เอ่ยพลางเอื้อมมือขึ้นมาจับปอยผมของตนเองมาปอยหนึ่ง มันยังคงมีสีเงินยวงสว่างไสวดังเช่นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน
ในขณะที่ดวงตาของเขาก็ยังคงไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรมังกรดำจึงได้รู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย ทั้งยังรู้สึกสงสารและผูกพัน
อาจเป็นเพราะเขารู้สึกสนใจเจ้าเด็กน้อยที่แปลกประหลาดคนนั้นและใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ที่กำลังแสดงสีหน้าหมองเศร้าตรงหน้านี้กระมัง
ฝ่ามือที่ทั้งใหญ่และอบอุ่นถูกวางลงบนศีรษะของอาร์โรห์
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องหายดีในเร็ววัน”
อาร์โรห์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะค่อยๆเผยออกมา
แม้จะเพียงเล็กน้อยก็แต่มันก็ดูสว่างสดใสคล้ายกับดอกไม้แรกแย้ม...ถึงแม้ว่าใช้คำพูดนี้มาบรรยายรอยยิ้มของเด็กหนุ่มมันจะดูแปลกๆก็เถอะ...
“ขอบคุณ”
ครานี้เป็นฝ่ายมังกรที่ชะงักลงบ้าง
เขาหลุบดวงตาสีทับทิมลงมองผืนหญ้าสีเขียวขจีในขณะที่คิด...คิดถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่น และมันก็ถูกส่งไปยังสัมผัสของอาร์โรห์โดยไม่รู้ตัว
มันเป็นตอนนั้นเองที่อาร์โรห์เกิดอยากเอ่ยถามให้แน่ใจ อยากจะเอ่ยถามว่าพวกเขาจะได้พบกันอีกไหม...
“พรุ่งนี้ท่านจะมาอีกใช่ไหม?”
น้ำเสียงที่ใช้เต็มไปด้วยความหวัง
แต่มันกลับทำให้มังกรต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีนัยน์ตาที่แม้จะไม่อาจมองเห็นสิ่งใดแต่กลับสะท้อนภาพของเขาและเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง
“พวกเรา...”
เสียงของมังกรฟังดูแห้งผากอย่างผิดวิสัย
ฝ่ามือที่เมื่อครู่วางอยู่บนศีรษะของคนอายุน้อยกว่าค่อยๆถูกเลื่อนออก แต่ก็กลับถูกฝ่ามือของเด็กหนุ่มคว้าเอาไว้
...ทั้งๆที่เขาควรจะมองไม่เห็นแท้ๆ...แต่ความรู้สึกกลับทำให้เขารู้ว่าฝ่ามือที่อบอุ่นนั้นอยู่ที่ไหน
และเขาก็ไม่หยุดคิดเลยว่าจะยื่นมือออกไปไขว่คว้ามันเอาไว้
...อย่างน้อยก็อาจสามารถถ่วงเวลาให้เพิ่มขึ้นได้...สักนิดก็ยังดี...
“เด็กน้อย...เราอาจไม่ได้พบกันอีก...”
เอ่ยจบมังกรก็เป็นฝ่ายดึงมือของตนออกจากฝ่ามือที่พยายามเหนี่ยวรั้งเขาไว้
และเป็นตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นว่าเด็กน้อยตรงหน้านั้นอ่อนแอเพียงใด...
อาร์โรห์พยายามที่จะไขว่คว้าฝ่ามือของมังกรเอาไว้
แต่เมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นและผละห่างออกไปก็ราวกับว่าความเย็นเฉียบจะเข้ามากอบกุมจิตใจของเขา ความหนาวเหน็บและโดดเดี่ยวราวกับเข้ามาโอบล้อมอยู่รอบกาย ฝ่ามือของเขาสั่นเทาอย่างน่าประหลาด ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่าย แต่เขากลับรู้สึกผูกพัน รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญ
แต่ตอนนี้คนสำคัญคนนั้นกลับกำลังจะทิ้งเขาไป...ให้เขาอยู่ตามลำพัง
...เหมือนกับแม่ของเขา...
น้ำตาเย็นเยียบไหลออกมาจากดวงตาที่มืดบอดโดยที่เจ้าตัวไม่อาจรู้ตัว
มันทำให้ร่างที่กำลังเดินห่างออกไปชะงักไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจ ร่างของชายหนุ่มเมื่อครู่ขยายขึ้น เกล็ดสีนิลวาวปรากฏขึ้นทั่วร่าง หางยาวใหญ่สีนิลค่อยๆงอกยาว
ใบหน้าที่เมื่อครู่เป็นมนุษย์ค่อยๆแปรเปลี่ยนเข้าสู่สภาพมังกรโดยสมบูรณ์
นัยน์ตาสีทับทิมจ้องมองร่างที่พยายามจะขยับเข้ามาหา แต่ก็กลับสะดุดล้มลงกับพื้น
ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกที่แม้แต่ผู้หลั่งน้ำตาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจ ทำได้เพียงก้มหน้า ปล่อยให้เสียงสะอื้นไห้และน้ำตาหลั่งรินออกมา
มังกรดำเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็รู้สึกผูกพันกับอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด
หากแต่สิ่งที่เขาจะต้องไปเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ทำให้แม้แต่มังกรที่มีอายุยาวนานมากว่าพันปีอย่างเขาก็ยังไม่อาจมั่นใจว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการทำให้สำเร็จ
หรือหากถึงขนาดเลวร้าย...เขาก็อาจไม่ได้กลับมาอีก...
ปีกขนาดมหึมาถูกสยายออก
...แต่ว่า...เขาเองก็ไม่อยากให้เด็กน้อยตรงหน้าต้องโศกเศร้า
ความรู้สึกผูกพันที่ทำให้เขาอยากปกป้องนี้เขาคุ้นชินกับมันดี แต่ที่ไม่เข้าใจคือ....เขากลับรู้สึกเช่นนี้กับคนนอกครอบครัวที่ได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง...
ปีกข้างหนึ่งถูกยื่นไปสัมผัสร่างของอาร์โรห์เล็กน้อย เป็นเหตุให้ใบหน้าเปื้อนน้ำตาต้องเงยขึ้นมา
“อย่าได้ร่ำไห้เลย เด็กน้อยของข้า
เจ้าไม่ควรมาเสียน้ำตาให้กับผู้ที่รู้จักกันเพียงผิวเผินหรอกนะ”
น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ความรู้สึกนั้นถูกส่งผ่านเข้ามาในร่างของอาร์โรห์ผ่านน้ำเสียงนั้นและสัมผัสที่ได้รับ
แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น้ำตาของเขาหลั่งรินมากยิ่งกว่าเดิม
“ข้าอยากจะพบท่านอีก...ข้าไม่อยากสูญเสียความอบอุ่นที่ได้รับไป...ข้าไม่อยากเสียอะไรไปอีก...ทำไมความอบอุ่นที่ข้าได้รับจากคนเพียงสองคนถึงต้องหายไปครึ่งหนึ่ง...และทำไมคนที่ควรจะมอบความอบอุ่นให้ข้ากลับไม่เคยมอบให้แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสุดท้ายที่พบเจอ...ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้...”
มังกรทำได้เพียงนิ่งมอง แม้จะอยากเข้าไปปลอบประโลมอีกฝ่าย แต่เขาก็จำต้องฝืนใจรั้งร่างของตนเองให้อยู่กับที่ เนิ่นนาน...
เวลาค่อยๆไหลผ่านไป วันแล้ววันเล่า แต่หลังจากที่มังกรจากไปในวันนั้น
แม้ว่าอาร์โรห์จะยังคงออกไปรออยู่ที่เดิมอีกฝ่ายก็ไม่ปรากฏตัวออกมา ไม่แม้แต่จะบินผ่านน่านฟ้าผืนนี้อีก
ร่างของเด็กหนุ่มนั่งขดแน่นอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่มีสายลมพัดผะแผ่ว
สายลมที่เย็นเฉียบทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้าน
แต่ที่สะท้านยิ่งกว่ากลับเป็นหัวใจที่ราวกับอยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวเย็น ความอบอุ่นราวกับได้จากจิตใจของเขาไปตลอดกาล…
“อาร์โรห์ อากาศช่วงนี้เริ่มเย็นแล้วทำไมเจ้ายังออกมาอีก กลับกันเถอะนะ”
เด็กสาวชาวมนุษย์กล่าวพลางคลุมผ้าผืนอุ่นลงบนร่างแบบบางอันเย็นเฉียบของเด็กหนุ่มอินคิวบัส
“ป่านนี้คาร์ลกับเดลคงกลับมาแล้วล่ะ”
“อืม...”
เสียงที่ใช้เอ่ยตอบสั่นน้อยๆ
ทั้งยังอ่อนระโหยราวกับว่าเขาได้สูญเสียพลังชีวิตที่เคยมีไปทั้งหมด
ลูน่ามองท่าทีนั้นอย่างกังวลพลางเข้าไปช่วยพยุงร่างของอีกฝ่ายที่โซซัดโซเซ
แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดีนั้นแล้วเดินต่อไปทั้งร่างกายที่สั่นเทา
หลายวันที่ผ่านมาอาร์โรห์ดูจะมีท่าทีห่างเหินจากทุกคนมากขึ้น
แผ่นหลังบอบบางนั้นดูโดดเดี่ยวราวกับยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะเพียงลำพัง เขาแทบจะไม่ยอมพูดคุยกับใคร ไม่แม้แต่จะพยายามพึ่งพาพวกเขา
และพวกเขาก็ทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ไม่ว่าจะพยายามเข้าไปช่วยเท่าไหร่ก็มักจะถูกปฏิเสธตลอด...
“เลิกทำแบบนี้ซักทีได้มั้ย...”
ลูน่าเอ่ยเสียงเบา แต่ก็ยังดังมากพอให้อาร์โรห์ได้ยิน เขาหันกลับมาหาลูน่าช้าๆ ขณะที่ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ
“พอสักทีได้มั้ย ถึงเจ้าจะไม่อยากเป็นภาระให้พวกข้าก็เถอะ
แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยินดีที่จะช่วยกันดูแลเจ้า แล้วดูสิ่งที่เจ้าทำสิ ดูสิ่งที่เจ้าทำกับพวกข้า...”
“ลูน่า...”
“เจ้าตีตัวออกห่างจากพวกข้ามากขึ้นทั้งๆที่พวกข้าไม่ได้ทำอะไรผิด
หรือถ้าทำผิดเจ้าก็บอกมาสิว่าพวกเราทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ พวกเราจะได้แก้ไข แต่นี่เจ้าไม่บอก...ไม่พูดอะไรเลย...รู้บ้างมั้ยว่าเจ้ากำลังทำให้พวกเราเป็นห่วงน่ะ...”
อาร์โรห์ทำได้เพียงนิ่งเงียบ เขาเองก็รู้ดีว่าตัวเองทำผิด ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
แต่ถ้าเขายังคงไว้ใจและเปิดรับคนอื่นเข้ามาในชีวิต
ความรู้สึกเจ็บปวดเวลาต้องลาจากก็จะไม่มีวันจบสิ้น เขาไม่ต้องการที่จะต้องมารับความรู้สึกนั้นอีก ยิ่งผูกสัมพันธ์มากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็จะมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่รู้ว่ามันคุ้มกันมั้ยระหว่างความสุขเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งที่จะต้องแลกมาด้วยการพบเจอกับความเจ็บปวดแบบนั้น
...ก็เขามันเห็นแก่ตัว...
“ทำไมอยู่ๆถึงปิดใจตัวเอง...”
...ก็เขาไม่อยากเจ็บปวด...
“ทำไมถึงตีตัวออกห่างจากพวกเรา...”
...ก็เขาไม่อยากที่จะเกี่ยวข้องกับใคร...
“ทำไมถึงไม่เชื่อใจ ไม่ยอมรับความช่วยเหลือของพวกเรา...”
...ก็เขาไม่อยากที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้...
“พวกเราควรปรับปรุงแก้ไขอะไร เจ้าก็บอกมาสิอาร์โรห์...”
...เขาไม่อยากให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว เท่านี้ก็มากพอแล้ว...พอแล้วจริงๆ...
...อย่าทำให้เขาใจอ่อนไปมากกว่านี้...
...อย่าทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหวไปมากกว่านี้...
...อย่าทำให้เขาโหยหาความอบอุ่นไปมากกว่านี้...
“พวกเจ้าไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น...”
เสียงของอาร์โรห์ที่ใช้กล่าวผะแผ่ว
เรียกให้ใบหน้าของเด็กสาวที่ก้มลงเงยขึ้นมามองเขา นัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเงาร่างของอาร์โรห์ที่ยืนหันหน้ามาหาเธอ
เส้นผมสีพิสุทธิ์และชายผ้าที่เธอคลุมให้ปลิวไปตามสายลม
ใบหน้างดงามที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาราวขนนก หากก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่เคยทำอะไรผิด คนที่ผิด...ก็คือข้า...” ขณะที่เอ่ยอาร์โรห์ก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว
หยาดน้ำในดวงตาเอ่อปริ่มอยู่ที่ขอบตาพร้อมที่จะร่วงหล่น
หากแต่เขาก็พยายามที่จะกลั้นมันเพื่อที่จะได้ไม่แสดงสภาพน่าอายให้ใครได้เห็น
เขายังไม่พร้อมที่จะยืนหยัดอยู่เพียงลำพังบนโลกแสนกว้างใหญ่นี้ เขายังอ่อนเดียงสาเกินกว่าที่จะตัดขาดจากความอบอุ่นที่ได้รับมา ความอบอุ่นที่พาให้โหยหาอาลัย
“อาร์โรห์...”
“ขอโทษนะลูน่า ข้าคงทำให้เจ้าเป็นห่วงมากจริงๆ”
“เจ้านี่มันบ้าที่สุดเลย...”
ลูน่าเอ่ยเสียงพร่า
ภาพตรงหน้าเกิดไม่ชัดเจนขึ้นมาอย่างกะทันหัน ข้างแก้มรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่หลั่งริน ไม่ใช่น้ำตาแห่งความโศกา แต่เป็นน้ำตาแห่งความปีติ
ร่างของเด็กสาวโผเข้ากอดร่างแบบบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอซุกหน้าลงกับลาดไหล่ที่สูงกว่าไหล่ของเธอเล็กน้อย
อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง
ความอบอุ่นที่ได้รับและสัมผัสเปียกชื้นที่ไหล่ทำให้เขารู้ว่าคนตรงหน้ามีปฏิกิริยาเช่นไร และเชื่อว่าเธอคงจะเข้าใจถึงความนัยที่เขาสื่อออกมา
ลำแขนเรียวยาวถูกยกขึ้นกอดตอบ ข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะของคนที่อยู่ในวงแขน
ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าลูน่าจะคลายอ้อมกอดลง
เมื่อรู้สึกว่าลูน่าค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอาร์โรห์ก็ทำได้เพียงปล่อยมือออกมา
“กลับกันเถอะ”
“อืม”
_______________________________________________________________________________________________________
ตอนนี้ถือว่าอาร์โรห์ได้พักหรือยังเนี่ย ฮ่าๆๆๆ
อาร์โรห์เอ๊ย ขี้กลัวเหมือนเด็กเลยนะ ฟฟฟฟ (ก็แกแต่งเอง)
ตอนแต่งนี่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยค่ะ แต่พอกลับมานั่งอ่านเหมือนโดนดาเมจ...
หนูอาร์โรห์สวยไปไหมมมมมม สวยแบบ อร๊ายยยย(?) <<<< ปล่อยอิไรท์บ้าไป
ตอนนี้อาร์โรห์ยิ้มสวยมาก แค่นั่งจิ้นนี่ก็...อะเฮือก!(?)
หุๆๆ//นั่งฟินอยู่หน้าคอม
ท่านมังกรดำก็อบอุ่นจึงเบย ถ้าไม่ติดว่าวางบทฮีไว้แล้วคงได้ขึ้นป้ายเรื่องนี้ว่าฮาเร็มวา-----
ถถถถถว์ กลับมานั่งอ่านแล้วคิดถึงอาร์โรห์หนักมาก สงสัยต้องรีบปันซะแล้วจะได้ขึ้นภาคให-----//นี่ก็หาเรื่องไปเตรียมสอบเข้ามหาลัยไป!
สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ! //จับน้องหนูอาร์โรห์โค้งงามๆให้ที(?)
ฟหกดฟหกดฟหกด ฟฟฟฟฟฟฟฟ
ความคิดเห็น