ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SNSD] : Love Generation : A Love to Kill (PG-13)[Yuri]

    ลำดับตอนที่ #16 : + + Chapter 15 + + [Fixed : แก้คำผิด]

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 53


    ไง ! ของที่สั่งได้รึยัง ?”
    ยูริถามขึ้นพร้อมกับขยับแว่นตามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาของทั้งคู่ยังคงเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า แสงแดดที่สะท้อนกับผืนน้ำดูเป็นประกายสวยงามยิ่งนัก
    เอาของมา...
    ชายคนนั้นหันไปสั่งผู้ติดตามอีก 2 คน ก่อนที่พวกนั้นจะเดินหายไปปล่อยให้ทั้งคู่ยืนอยู่ด้วยกันตามลำพัง ซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็แบกเอากระเป๋าขนาดใหญ่ออกมา
    จุดที่พวกเธออยู่นั้นถือว่าห่างไกลจากผู้คนเป็นอย่างมากจึงสามารถตรวจเช็คความเรียบร้อยของปืนได้ในทันที โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีคนมาเห็นเลย
    สภาพใช้ได้...
    ยูริพูดพร้อมกับย่อเข่านั่งลงกับพื้นและเอามือลูบที่กระบอกปืนเบาๆ
    ปืน .50 calBarrett M107 Modified ตามที่ยูริได้สั่งไปเว้นก็เพียงแต่ที่ระบายความร้อนที่ปากกระบอกเท่านั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เธอรู้สึกขัดใจไม่น้อย เธอจึงหันกลับไปหาชายทางด้านหลังและเงยหน้าขึ้น
    ที่ระบายความร้อนของตัวปืนไม่สามารถแปลงได้... เพราะงั้น เธอจะต้องวางแผนใหม่ดีๆ แล้วล่ะ...
    ชายคนนั้นตอบกลับมาก่อนที่ยูริจะได้อาปากถามเสียอีก
    แล้วกระสุนล่ะ ?”
    นี่ !!”
    เขาพูดพร้อมกับส่งกล่องกระสุนมาให้กับยูริ เมื่อได้ของแล้วยูริจึงแพคเก็บใส่กระเป๋าดังเดิม
    เรื่องเงินชั้นจะส่งไปให้ทีหลัง...
    พูดจบเธอก็เดินจากมาทันที
    สายลมยามเช้าที่พัดผ่านไปมาทำให้รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก เธอหยุดยืนอยู่ที่ริมขอบรั้วไม่ไกลจากจุดเดิมเท่าไรนัก พร้อมกับหันหน้าออกไปทางท้องทะเลสีครามอีกครั้ง
    สายตาที่มองเหม่อออกไปทำให้เธอแทบจะไม่ได้สังเกตถึงสิ่งรอบข้างเลย ราวกับกำลังอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ
    ยูริเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเธอ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 9.30 น. แล้ว เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเรียกรถและเดินทางกลับไปยังห้องพักของตน
     
    เมื่อรถเคลื่อนตัวใกล้เข้าไปถึงที่พัก ยูริกลับรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง เธอมองไปยังอาคารที่พักของตนและทางที่พักของเหยื่อในครั้งนี้ ซึ่งมีผู้ชายจำนวนมากยืนอยู่ตามจุดต่างๆ ซึ่งดูล้วมันไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย
    เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นไปจอดที่อื่นแทนแล้วกันค่ะ...
    ยูริพูดกับคนขับที่นั่งอยู่ด้านหน้าและมองดูกลุ่มผู้ชายเหล่านั้นอยู่ไกลๆ
    เอี๊ยดด...
    ทันทีที่จ่ายเงินเสร็จยูริก็ขนของออกมาจากรถ พร้อมกับพยายามตรวจดูรอบๆ ตัว
    กลุ่มชายน่าสงสัยที่ยืนอยู่ตามจุดต่างๆ รอบๆ อาคารทำให้ยูริต้องตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก่อน เพราะเธอเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าคนเหล่านั้นอยู่กลุ่มไหนกันแน่ แต่ที่แน่ๆ พวกนั้นต้องเป็นเหล่าบอดี้การ์ดอย่างแน่นอน
    กึก... กึก...
    เธอพยายามเดินถือกระเป๋าไปตามปกติ พร้อมกับขยับแว่นดำให้เข้าที่พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเธอนัก
    ยูริที่สามารถเดินผ่านเข้ามาในที่พักได้รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ก่อนที่เธอจะเริ่มเตรียมตัวให้พร้อม
    เธอเตรียมถุงมือที่เพิ่งจะซื้อใหม่ออกมาและสวมมันให้กระชับ พร้อมกับค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นชุดหนังสีดำ และมีเสื้อคลุมสีเทาคลุมตัวเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
    หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับปืนบ้าง
    เธอค่อยๆ เปิดกระเป๋าปืนออกอย่างช้าๆ พร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาถือเอาไว้ แต่น้ำหนัก 5 กิโลก็ไม่ใช่ว่าจะเบาๆ เลย ยูริมองดูตัวกระบอกปืนซึ่งถูกแปลงมาบางส่วนทำให้น้ำหนักนั้นลดน้อยลงและสามารถที่จะพกพาไปไหนต่อไหนได้บ้าง ก่อนที่เธอจะหยิบปืนขึ้นมาและกางขาทรายออกตั้งลงบนโต๊ะ และนำแม๊กกาซีนออกมาตรวจดู
    ความยาวและความใหญ่ของตัวแม๊กกาซีน อีกทั้งขนาดที่มหึมาของลูกกระสุน ซึ่งถ้าโดนเข้าก็คงจะแหลกกระจายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย...
    ยูริค่อยๆ บรรจุลูกกระสุนอย่างบรรจงทีละนัดๆ พร้อมกับที่รอยยิ้มเย็นๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
    ชักอยากจะลองจริงๆ ซะแล้วสิ...
    แกร๊กกกก !!!
    เธอนึกในใจพร้อมกับขึ้นลำปืนไรเฟิลกระบอกนั้นของเธอ ก่อนที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง
    หลังจากที่ได้เตรียมตัวเสร็จแล้ว เธอจึงแพ็คของใส่ไว้ในกระเป๋าดังเดิมอีกครั้ง ก่อนที่จะแบกมันออกมาจากห้องพัก สายตาของยูริยังคงสอดส่องไปยังรอบๆ ตัวอย่างระมัดระวัง
    เธอเรียกรถแท๊กซี่ที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตัวเองเท่าไรนัก ก่อนที่จะเอาของใส่เข้าไปด้านในและขึ้นไปนั่ง
    ไม่นานนักเธอก็มาถึงที่ราบสูงนอกตัวเมือง ซึ่งที่แห่งนี้นั้นไม่มีวี่แววของผู้คนอาศัยอยู่เลย ยูริเดินขึ้นมาตามเนินสูงที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสีเชียวสด ก่อนที่จะเข้าเขตป่า เธอหยิบกล้องของเธอขึ้นมาพร้อมกับลองส่องไปดูยังพื้นที่รอบๆ เพื่อความชัวร์ก่อนที่จะเริ่มลงมือ
    เธอเปิดกระเป๋าออกพร้อมกับยกเอาปืนออกมาตั้งไว้ข้างตัวก่อนที่จะเริ่มนอนราบลงกับพื้น
    และค่อยๆ ยกปืนขึ้นมาประทับบ่าพร้อมกับใช้สายตาเล็งเทียบกับศูนย์เล็งของปืน ก่อนที่เธอจะมองหาเป้าที่อยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย และกดลั่นไก
    ปังงงงง !!!
    เสียงที่ดังขึ้นเหมือนกับระเบิดลงอีกทั้งยังต้นหญ้าและเศษหินเศษดินที่อยู่ข้างๆ ปืนนั้น ถึงกับปลิวกระเด็นออกไป แรงถีบที่มหาศาลของปืนนั้นแทบจะทำให้ไหล่ของเธอหลุดเลยทีเดียว
    บ้าเอ๊ยยย...
    เธอพูดพร้อมกับเอามือกุมที่หัวไหล่ของตัวเองพร้อมกับดิ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเหลือบมองที่ปืนตรงหน้าอีกครั้ง
    เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าปืน Barrett กระบอกนี้จะมีแรงถีบมหาศาลเหลือเกิน และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ... เธอจำเป็นจะต้องใช้ปืนกระบอกนี้ในการลอบสังหารครั้งนี้นั่นเอง
    ยูรินวดที่ไหล่ของเธอเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เอามือออก อาการปวดที่หัวไหล่นั้นลดลงบ้างแล้ว เธอมองดูที่บริเวณขาทรายซึ่งไถลกลับมายาวพอสมควรตามแรงถีบของปืน
    ยูริเบนความสนใจจากปืนมาเป็นที่เป้าหมายที่อยู่ไกลออกไป เธอหยิบเอากล้องของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับปรับซูมเข้าไปหาเป้าหมาย เพื่อตรวจดูว่าศูนย์เล็งนั้นตรงหรือไม่
    เมื่อมันไม่ตรง เธอก็ต้องทำการปรับเล็งอีกครั้งก่อนที่จะทำการทดลองยิงรอบที่ 2
    ปังงงงงง !!!
    และครั้งที่ 3…
    ปังงงงงง !!!
     
    ยูรินอนหงายกับพื้นพร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง อาการปวดหัวไหล่ที่ระบมจนแทบจะยกอะไรไม่ขึ้นทำให้เธอต้องตัดสินใจที่จะหยุดพัก และเอามือไปนวดที่หัวไหล่ของตนเอง
    เธอเบนหน้ามาทางกระบอกปืนที่ตั้งอยู่ข้างๆ ตัวอีกครั้ง
    ถึงแม้ว่ามันจะมีตัวยึดกับพื้นที่บริเวณขาทรายเพื่อลดแรงถีบของปืนลง แต่มันก็ซ้ำเข้าที่เดิมจนรู้สึกปวดอยู่ดี และหลังจากที่ได้ทดลองยิงมาแล้วหลายนัด ทำให้เธอรู้วิธีที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นในตอนนี้ออก
    เธอหันหน้ากลับมายิงทิศเดิมและลิมตาขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน สายลมที่หอบเอากลิ่นอายของธรรมชาติมาด้วย ช่วยให้รู้สึกสบายตัวขึ้นได้บ้าง อีกท้องยังท้องฟ้าที่แสนจะสดใสเบื้องบนด้วย
    นานเท่าไรแล้วนะที่เราไม่ได้รู้สึกแบบนี้
    เธอคิดในใจพร้อมกับนมือมาทาบที่หัวใจของตน
    ตลอดมาเธออาแต่คิดหาวิธีฆ่า และวิธีหนีเอาตัวรอดเท่านั้น ซึ่งเธอแทบจะไม่เคยมีเวลาได้ปล่อยให้หัวสมองของเธอโล่งสบายอย่างในตอนนี้มาก่อนเลย
    ยูริสูดอากาศหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนที่จะค่อยๆ ผ่อนมันออกมาอย่างสบายๆ จนผลอยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
    เวลาที่ผ่านไปนานพอสมควร กับท้องฟ้าที่เริ่มเคลื่อนเข้าสู่ช่วงบ่าย แสงแดดที่สาดส่องลงมานั้นทำให้รู้สึกแสบตาเป็นอย่างมากจนยูริรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
    เธอเหลือบมองที่ไหล่ขวาของตน อาการปวดที่เล่นงานเธออยู่นั้นลดลงมาบ้างแล้ว เธอลองขยับหมุนไหล่ไปมาดู ซึ่งมันก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก เพียงแต่รู้สึกระบมนิดๆ เท่านั้น
    ยูริค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง และหันมาทางปืนไรเฟิลที่ตั้งอยู่ข้างกายก่อนที่จะมองตรงไปสุดสายตา
    ต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปพอสมควรซึ่งสีของใบนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง จึงทำให้เห็นได้อย่างไม่ยากนัก ยูรินอนราบลงไปกับสไนเปอร์ของเธอและเอื้อมมือไปกดเอาตัวยึดขาทรายปักลงพื้นเพื่อลดแรงถีบ
    ระยะทางของเธอกับต้นไม้ต้นนั้นอยู่ไกลกันพอสมควร และจากการที่คำนวนดูแล้วน่าจะราวๆ 2.2 กิโลเมตรเห็นจะได้ ซึ่งมันไกลกว่าครั้งที่เธอยิงนาย ปีเตอร์ แมคโดเวอร์ เลขาประจำบริษัทไทรเซลล์ โปรดักชั่นมาก
    เธอนำมือกลับมาปรับความละเอียดของโฟกัสและปรับสโคปเล็งให้มันเข้าที่เข้าทาง จุดที่เธออยู่นั้นเป็นเนินสูงและต้นไม้ต้นนั้นอยู่ห่างไกลออกไปทางด้านล่าง ทำให้สามารถเห็นและยิงได้ไม่ยากเท่าไรนัก
    วิ้วววว
    สายลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่านไปมาเป็นระยะๆ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้กระสุนนั้นสามารถเปลี่ยนวิถีได้ แม้แต่ความชื้น หรือการกะจังหวะหายใจด้วยก็ส่งผลต่อการยิงได้เช่นกัน
    ถึงแม้จะไม่สามารถวัดกระแสลมอย่างแม่นยำได้ แต่เธอก็พอจะรู้ว่าควรจะเลื่อนเป้าออกมาขนาดไหน
    เธอเอามือยื่นออกมาด้านหน้าเพื่อตรวจสอบทิศทางและความแรงของลม
    วิ้วววว
    จากด้านซ้ายสินะ
    เธอนึกในใจพร้อมกับทำการเล็งไปที่ต้นไม้ต้นนั้น โดยเลื่อนให้เป้าเล็งห่างออกมาทางซ้ายจากลำต้นเล็กน้อย หลังจากที่ได้กะเผื่อกระแสลมเอาไว้แล้ว
    เธอสูดหายใจลึกๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ผ่อนออกอย่างเป็นจังหวะ ก่อนที่จะทำการเหนี่ยวไก
    ปังงงงงง !!!
    กระสุนที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนด้วยความเร็วสูงทำให้ยูริต้องใช้สโคปจากกล้องส่องไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอีกครั้งพร้อมกับนับในใจถึงระยะเวลาที่กระสุนจะเดินทางไปยังเปาหมาย
    2…
    3…
    4…
    สิ่งที่เธอได้เห็นในกล้องก็คือ เนื้อไม้ที่แตกกระจายออกพร้อมๆ กับที่ต้นไม้ค่อยๆ โค่นลง
    แต่นั่นกลับไปใช่ต้นไม้ที่เธอทำการเล็งเอาไว้ในทีแรก กลับเป็นต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ แทน ซึ่งการพลาดในครั้งนี้ทำให้เธอได้รู้ว่า กระแสลมในจุดที่เธออยู่และบริเวณเป้าหมายนั้นไม่ได้เท่ากันเลย
    ต้องกะตรงจุดนั้นด้วยสินะ
    เธอคิดในใจพร้อมกับใช้สโคปส่องตรงไปยังต้นไม้นั้นอีกครั้ง และพบว่ากระแสลมบริเวณนั้นกลับพัดแรงกว่าจนทำให้กิ่งไม้นั้นสั่นไหว ต่างจากจุดที่เธออยู่จึงไม่แปลกเลยที่จะทำการยิงคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย
    ยูริปรับสโคปกล้องอีกครั้งพร้อมกับคำนวนถึงกระแสลมที่แตกต่างกันใหม่อีกครั้ง ก่อนที่เธอจะทำการยิงอีกครั้ง
    ปังงงงงง !!!
     
    . องค์กรนักฆ่าฝ่ายเหนือ (NYAG)
    ชั้นมีงานให้เธอทำอย่างนึง…”
    แอนเดอร์สันหัวโจกขององค์กรฝ่ายเหนือพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะหันมาหามาเชลลูกสาวของตน
    อะไรรึ ?”
    เธอถามกลับ ก่อนที่แอนเดอร์สันจะพูดต่อ
    จัดการฆ่าแบล็คเพิร์ลทันทีที่สังหารเป้าหมายได้อย่าปล่อยให้ทั้งทางตำรวจและทางพวกฝ่ายใต้สืบสาวมาหาตัวชั้นได้เด็ดขาด…” เขาพูดขณะที่หันหลังให้กับมาเชล สายตาของเขาทอดยาวออกไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน
    ตกลง…”
    มาเชลตอบกลับก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปหยิบเอกสารบนโต๊ะติดมือออกมาจากห้องของแอนเดอร์สันด้วย เพื่อใช้ในการสะกดรอยตามยูรินั่นเอง
    ถึงแม้จะเสียดายในฝีมือแต่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
    แอนเดอร์สันคิดในใจ ก่อนที่จะเดินกลับมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวโปรดของตน
    ทางด้านของมาเชลหรือที่รู้จักกันดีในชื่อซูซี่ เธอเดินออกมาจากห้องและเดินลงมาตามบันไดที่ทอดยาวสู่ชั้นล่าง ก่อนที่จะเปิดประตูและเดินออกมายังภายนอก
    สายลมที่พัดผ่านร่างกายของเธอไปให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่แม้ว่ารอบข้างนั้นจะดูมีชีวิตชีวาและสนุกสนาน แต่ตัวเธอเองกลับแทบจะไม่แตกต่างจากตุ๊กตาที่ไร้อารมณ์และความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย
    เธอเดินกลับมายังห้องพักพร้อมกับเริ่มจัดเตรียมของที่จะต้องใช้ในคราวนี้
    เธอเลือกปืนสไนเปอร์ Cheytac m200 ออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะพร้อมกับปืนพกเก็บเสียง เธอตรวจตราดูความเรียบร้อยของเหล่าอาวุธปืนอีกครั้ง ก่อนที่จะบรรจุมันใส่ในกระเป๋าและจัดเก็บทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อย
    ซ่าาาาา
    เสียงน้ำจาฝักบัวที่เปิดขึ้นและกระทบกับผิวขาวของเธอเบาๆ
    มาเชลค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ พร้อมกับคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่ผ่านมา เกี่ยวกับการลงมือฆ่าน้องสาวของตนเองกับมือ ภาพที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาราวกับเป็นฉากหนังที่ฉายย้อนกลับไปกลับมา เหมือนกับได้กลับไปยังช่วงเวลานั้นอีกครั้ง
    มาเชลขับรถมาจอดเทียบที่ข้างๆ อาคารร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอเห็นหญิงสาวนักฆ่าอีกคนนั้นแอบเข้ามาหลบซ่อนในที่แห่งนี้ ซึ่งหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นเลย
    มากาเรต ดี พอร์ตแมน น้องสาวแท้ๆ ของเธอนั่นเอง
    เธอค่อยๆ เปิดประตูลงมาจากรถ และเดินเข้าไปในอาคารดังกล่าว สายตาของเธอยังคงสอดส่องไปทั่ว เพื่อค้นหาเป้าหมายของเธอ
    แต่เพราะเป็นอาคารทึบและแทบจะไม่มีหน้าต่างเปิดให้แสงแดดส่องสว่างเข้ามาเลย จึงไม่แปลกที่จะมีแต่เพียงความมืดมิดและฝุ่นละอองที่หนาเตอะเท่านั้น
    มาเชลเดินเข้ามาด้านในอย่างระมัดระวัง ซึ่งไม่นานนักเธอก็เห็นมากาเรตอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไรนัก
    ปุ !!!
    อั๊คคคค !!”
    กระสุนหนึ่งนัดถูกยิงเข้าที่ขาของมากาเรตอย่าแม่นยำจนเสียหลักล้มลงไปนอนกับพื้น
    หนีไปก็ไม่มีประโยชน์…”
    เธอพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาใกล้ๆ
    และเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น อีกทั้งยังแสงสว่างที่ส่องลอดเข้ามาจากรูเล็กๆ ทำให้พอจะเห็นใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าได้
    บ้าน่า…”
    มากาเรตรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าคนที่ยิงเธอคือพี่สาวแท้ๆ ที่แยกจากไปของตน สีหน้าของเธอที่จ้องมองไปยังพี่สาวเต็มไปด้วยความสงสัยแความหวาดกลัวเล็กๆ
    ใบหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อพบว่ามาเชลพี่สาวของเธอนั้นยกปืนขึ้นมาจ่อเอาไว้
    ท ทท ทำไม…”
    ปุ !!!
    กระสุนอีกหนึ่งนัดถูกยิงเข้าที่กลางศรีษะอย่างแม่นยำจนทำให้ร่างของมากาเรตนั้นแน่นิ่งไป
     
    มาเชลหยุดความคิดดังกล่าวของตนเอาไว้ และนึกย้อนกลับไปในครั้งอดีตอีกหน ในครั้งที่เธอและครอบครัวนั้นยังอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่ที่แย่ก็คือเธอกลับจำหน้าพ่อและแม่ของตัวเองไม่ได้
    สิ่งที่เธอจำได้นั้นมีอยู่เพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น
    วันที่ 16 ตุลาคม 1994…
    มาเชลและครอบครัวที่นั่งรถมาตามทางเรื่อยๆ วันนี้เธอรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะเธอกำลังจะได้ไปเที่ยว หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตารอมานาน ตัวเธอที่กำลังตื่นเน้นนั้นผิดกับมากาเรตน้องสาวที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ เป็นอย่างมาก
    มาเชลยังคงมองวิวทั้งสองข้างทางไปเรื่อยๆ ต้นไม้สีเขียวขจีทั้งสองข้างทางทำให้ถนนเส้นนี้ดูร่มรื่นและสวยงามเป็นอย่างมาก เธอค่อยๆ กดเลื่อนเปิดกระจกลงเพื่อสัมผัสกับสายลมตามธรรมชาติ
    และสายลมที่พัดปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอทำให้ผมยาวสลวยสีทองเริ่มปลิวไสวไปตามกระแสลม
    มากาเรตที่นอนหลับอยู่ที่เบาะข้างๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะความเย็นสบายของสายลมที่พัดกระหน่ำเข้ามา และบิดขี้เกียจอย่างสบายๆ มาเชลที่เหลือบมาเห็นน้องสาวฝาแฝดของตนตื่นขึ้นมาจึงยิ้มให้กับเธอบางๆ ก่อนที่จะหันกลับไปทางเดิม
    สบายจัง…”
    เธอพูดกับตัวเองเบาๆ
    คุณพ่อของเธอที่กำลังขับรถอยู่ก็ยังคงขับมาเรื่อยๆ จนมาติดรถคอนเทนเนอร์ จึงต้องแซงออกซ๊าย และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถคันหนึ่งวิ่งข้ามเลนตรงมายังรถของพวกเธอ และ
    ปิ๊นนนนนนน !!!
    .
    .
    .
    ราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น ที่ค่อยๆ เห็นรถพุ่งเข้าชนกันและบุบไล่เข้ามา เศษกระจกแตกละเอียดและกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศ โครงเหล็กที่คดงอตามแรงกระแทก ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความเร็วตามปกติ
    .
    เอี๊ยดดดดดดดด !!!!
    .
    .
    .
    โครมมมมมมมม  !!!!
     
    มาเชลและมากาเรตที่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์จากสภาพรถที่เละไม่มีชิ้นดี เธอมองไปยังที่นั่งคนขับและเบาะนั่งด้านหน้า ซึ่งพ่อกับแม่ของเธอนั้นอยู่ในสภาพที่เละจนดูไม่ได้ เลือดสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไปทั่ว และหยดไหลนองลงสู่พื้น
    พ่อคะ แม่คะ !!!”
    เด็กสาวกรีดร้องทั้งน้ำตา ก่อนที่จะมองตรงไปยังรถคันที่พุ่งเข้าชนเธอด้วยความโกรธแค้น
    เช่นเดียวกับเธอ ที่เด็กสาวอีกคนหนึ่งนั้นนั่งร้องไห้อยู่ ซึ่งเธอพยายามจะงัดเปิดประตูออกให้ได้ แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของเธอ
    มาเชลจ้องมองดูเด็กสาวคนนั้นจนสามารถจดจำใบหน้านั้นได้ขึ้นใจ
    น้ำมันที่ไหลทะลักออกมาก่อนที่จะเกิดประกายไฟขึ้น
    ตูมมมมมมมม !!!
    เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนที่ภาพและการรับรู้ทุกอย่างของเธอจะดับลง
    เหตุการณ์หลังจากนั้น ทั้งมาเชลและมากาเรตถูกส่งไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นั่นเกือบปี ซึ่งแรกๆ นั้นพวกเธอไม่ยอมที่จะปริปากคุยกับใครเลย จนในที่สุด็มีคนมาขอรับเอาพวกเธอไปเลี้ยง
    ชายคนแรกที่มาเขาเลือกเอามากาเรตไป ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทั้งคู่ได้รู้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องแยกจากกัน เมื่อเหลือตัวคนเดียว มาเชลก็ไม่ยอมคิดที่จะพูดคุยอะไรกับใครอีกเลย
    เธอเอาแต่เก็บตัว ใช้ชีวิตแยกอยู่ตามลำพัง จนเมื่อคนเราสูญสิ้นความหวังและแสงสว่างคอยนำทาง ความคิดต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
    เธอคิดแค้นไปถึงยูริ ที่ต้องพรากครอบครัวของเธอไป รวมถึงน้องสาวของเธอ ที่ทิ้งเธอเอาไว้ให้อยู่ตามลำพัง หลังจากนั้นไม่ว่าใครจะเข้าใกล้เธอ มาเชลก็จะระแวงเป็นพิเศษ จนมีครั้งหนึ่งที่เธอทำร้ายชายหนุ่มอีกคนหนึ่งแทบปางตาย เพียงเพราะเข้ามาสัมผัสกับตัวของเธอ
    หลายวันต่อมา ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ได้เข้ามาที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และได้รู้สึกถูกใจกับมาเชลเป็นอย่างมาก จึงได้รับเธอไปเลี้ยง และถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่เล็กๆ
    ต่อมาเด็กสาวอีกคนหนึ่งก็ได้เข้ามาที่องค์กรเดียวกับเธอ มาเชลที่เดินสวนเข้ากับเธอที่โถงทางเดินอย่างบังเอิญ ทำให้เธอถึงกับจะกระชากเสื้อของเด็กคนนั้นเข้ามาและอยากจะฆ่าเธอเสียตรงนั้น แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกชายหนุ่มที่รับเธอมาเลี้ยงห้ามไว้ ซึ่งมาเชลก็ได้แต่ทนกัดฟันและกำหมัดแน่นอย่างโกรธๆ เท่านั้น
     
    ทั้งยูริและมาเชลต่างก็ถูกฝึกมาให้เป็นนักฆ่าทั้งคู่ ซึ่งฝีมือของพวกเธอนั้นสูสีกันเลยทีเดียว มาเชลที่มีความมั่นใจในเรื่องการจู่โจมระยะประชิดมาตลอดกลับถูกยูริโค่นลงง่ายๆ ตอนที่จับคู่ซ้อมกัน
    หรือแม้แต่การยิงเป้าด้วยสไนเปอร์ในระยะ 1 กิโลเมตรที่เธอมั่นใจมาตลอด นั่นก็ถูกยูริทำลายสถิติลงง่ายๆ ด้วยการยิงในระยะ 1.5 กิโลเมตร
    ไม่ว่าเธอจะพยายามทำอะไร ยูริก็มักจะเหนือกว่าอย่างเสมอๆ
    แต่สิ่งที่มาเชลเหนือกว่ายูริเพียงอย่างเดียวก็คือเธอสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว ในการทดสอบครั้งสุดท้ายถ้าไม่ฆ่า เราก็จะเป็นฝ่ายถูกฆ่า แต่ยูริกลับไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ แต่เธอก็เล่นงานอีกฝ่ายจนไม่สามารถขยับตัวได้เช่นกัน
    ด้วยการที่ยูริเหนือกว่าเธอในทุกๆ อย่าง จึงทำให้เธอโหมซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะได้มีฝีมือที่เหนือกว่ายูริ แต่สิ่งที่ทำให้เธอแค้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็คือ การที่ยูริออกจากองค์กรไปและเป็นเพียงแค่นักฆ่าอิสระเท่านั้น
    วันเวลาที่ผ่านพ้นไปก็ทำให้ฝีมือของเธอนั้นพัฒนาขึ้น จากระยะยิง  1 กิโลเมตรนั้น เธอสามารถยิงได้ถึง 1.7 กิโลเมตร ซึ่งมากกว่าเมื่อครั้งที่ยูริทำการยิงเอาไว้
    นอกจากนั้นเมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอก็ได้มีโอกาสทำงานจริงๆ ซึ่งเธอก็สามารถทำมันได้อย่างดีเยี่ยม
    ครั้งหนึ่งที่เธอได้รับเป้าหมายให้สังหารนาย อเล็กซานเดอร์ เธอก็ทำงานอย่างเช่นในทุกๆ ครั้งตามปกติ เพียงแต่เป้าหมายในครั้งนี้ของเธอ กลับถูกใครอีกคนหนึ่งยิงไปก่อน และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เธอได้พบกับยูริ เพียงแต่เธอแอบฟังการสนทนาอยู่หลังประตูห้องเท่านั้น
     
    นี่มันหมายความว่าไงกันคะ ? เอางานที่ให้ทำไปให้กับอีกคนหนึ่งทำ !”
    เธอเดินเข้ามาโวยวายใส่นายแอนเดอร์สันทันที
    ไม่เอาน่าอาธีน่า มันเป็นแค่ความผิดพลาดเล็กน้อยเท่านั้นที่ชั้นดันส่งมอบเป้าหมายให้กับเธอผิดไป
    ก่อนที่เขาจะอธิบายต่อ
    นั่นน่ะเป็นเป้าหมายของแบล็คเพิร์ล ส่วนนี่เป็นเป้าหมายจริงๆ ของเธอ…”
    พูดจบเธอกํบรับซองเอกสารนั้นมา และเริ่มลงมือทำงานอีกครั้ง
    เธอใช้เวลาว่างที่มีในการตามหาตัวของยูริ และในที่สุดเธอก็พบ
     
    ‘Kwon Express’
     
    มาเชลไม่รอช้า เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ และเห็นกระดาษแปะรับสมัครพนักงานเอาไว้หน้าร้าน ซึ่งนั่นก็เป็นโอกาสดีของเธอทีเดียวที่จะได้ใกล้ชิดกับยูริ เธอมองลอดผ่านกระจกหน้าร้านเข้าไปและเห็นหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ด้านใน ซึ่งใบหน้านั้นเธอจำได้ไม่มีวันลืมเลย แม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วเป็นสิบปีก็ตาม
    เพียงแต่ยูริกลับจำหน้าเธอไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
    ไม่ว่าจะทำอะไรยังไง ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของยูริเลยแม้แต่น้อย
     
    มาเชลกำหมัดแน่นก่อนที่จะทุบเข้ากับกำแพงห้องน้ำจนเกิดเสียงดัง
    “Damn it !” เธอสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องในอดีตของตนและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยูริ
    เธอปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายของเธอไปหวังจะให้ช่วยขจัดความคิดแย่ๆ ออกไปจากหัวด้วย ซึ่งหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ ก็ได้เวลาเตรียมตัวสำหรับการเดินทางสู่ไมอามี่ รัฐฟลอริด้านั่นเอง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×