คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15
บทที่ 15
ร่างของคาร์ลปรากฏขึ้นในห้องพักที่โรงแรมซึ่งเดลและลูน่าถูกส่งมาก่อนแล้ว ในอ้อมแขนของเขา ร่างของอาร์โรห์ยังคงนอนหายใจรวยรินไม่ได้สติ ศีรษะของเขาอิงอยู่กับไหล่ของคาร์ลที่มองร่างในอ้อมแขนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เลือดยังคงไหลซึมออกมาที่เสื้อและหยดลงที่พื้น หยดแล้วหยดเล่า...
คาร์ลวางร่างที่บอบช้ำหนักลงบนเตียงโดยไม่สนใจว่าเลือดที่ยังคงไหลออกมาจากร่างของอาร์โรห์จะเปรอะไปโดนผ้าปูที่นอนหรือฟูกนอนหรือไม่ เสื้อสีขาวที่ถูกย้อมเป็นสีแดงปนน้ำตาลถูกถอดออกจากร่างของอีกฝ่าย
แล้วบาดแผลมากมายก็ปรากฏเข้าสู่ธารสายตาของทั้งสามคน
ลูน่าถึงกับเบือนหน้าหนีกับบาดแผลฉกรรจ์บนร่างของอาร์โรห์
แผลบนร่างของอาร์โรห์ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากของมีคม
บาดแผลที่เหมือนกับเกิดจากการปริแยกของกล้ามเนื้อจากภายใน และนี่ก็คือผลของวงเวทที่เดลได้เห็น บาดแผลที่ลามขึ้นมาถึงลำคอ ลามไปทั่วทั้งร่างกายของอาร์โรห์ มันยังคงส่งเลือดสีสดไหลออกมาไม่ขาด
“ช่วยไปขออุปกรณ์ทำแผลมาให้ที” คาร์ลกล่าวขณะที่สายตายังคงมองสำรวจบาดแผลบนร่างของอาร์โรห์ เดลที่ได้ยินดังนั้นจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อไปขออุปกรณ์ตามที่ต้องการมาจากคนดูแลโรงแรม
ผ่านไปเพียงครู่เขาก็เดินกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลที่ดูอย่างไรก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
คาร์ลมองอุปกรณ์พวกนั้นพลางขมวดคิ้ว แล้วมองกลับไปที่ร่างบนเตียง
สุดท้ายแล้วก็ต้องทำแผลให้อาร์โรห์ด้วยอุปกรณ์เท่าที่มีอยู่
โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าปลายของเส้นผมสีนิลที่แผ่สยายอยู่บนเตียงนั้นกลับค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง...
...เขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังเวทของอาร์โรห์...
คาร์ลนั่งอยู่ข้างเตียงของอาร์โรห์ในขณะที่ทั้งเดลและลูน่าต่างเข้าสู่ห้วงนิทรากันไปหมดแล้ว เขายังคงข้องใจ ปกติเขามักจะสัมผัสได้ถึงพลังเวทของอาร์โรห์อยู่ตลอด หากอยู่ใกล้กันในระยะหนึ่ง แต่นี่นอกจากจะสัมผัสถึงพลังเวทไม่ได้แล้ว แม้แต่ไอพลังเวทเบาบางก็ยังสัมผัสไม่ได้...
มันทำให้คาร์ลนึกโยงไปถึงวงเวทที่เขาได้เห็นในห้องพักที่โรงแรม และเมื่อนำมาเทียบกับวงเวทที่เขาได้เห็นตอนเข้าไปช่วยอาร์โรห์ กลิ่นอายของวงเวททั้งสองคล้ายคลึงกันมาก...
...มากจนอดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นคนๆเดียวกันสร้างขึ้นมา และอาจจะใช้ด้วยจุดประสงค์ที่ใกล้เคียงกัน...
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี ทั้งสาเหตุที่วงเวททั้งสองวงมีความคล้ายคลึงกัน
และสาเหตุที่เขาสัมผัสถึงพลังเวทของอาร์โรห์ไม่ได้...
...หวังว่าคงจะไม่เกิดผลกระทบอะไรร้ายแรงต่อร่างกายของอาร์โรห์...
แต่เหมือนว่าสิ่งที่คาร์ลภาวนาจะไปไม่ถึงราชาปีศาจชาฮาลเสียแล้ว...
อาร์โรห์ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ แต่สิ่งที่ปรากฏกลับมืดมิดราวกับว่าเขายังคงปิดเปลือกตาสนิท
บางทีอาจเป็นเพราะเขาหลับมานานเกินไปสายตาจึงยังไม่ชินกับสภาพรอบกาย เขาจึงรอ
แต่รอจนผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเขาก็ยังคงเห็นแต่เพียงความมืด...
ความมืดที่เงียบสงัด...
ความกลัวเล็กๆเริ่มเข้ากอบกุมส่วนหนึ่งในจิตใจจน เขาต้องดันกายลุกขึ้นนั่งโดยมองข้ามความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาจากทั่วร่างกาย และหวัง...หวังว่าดวงตาของเขาจะสามารถปรับให้สายตามองเห็นสิ่งรอบๆได้
มือถูกเลื่อนห่างจากกายเป็นครั้งแรกและค่อยๆวางลงบนสิ่งที่อยู่ใต้ร่างเขา ขณะที่ค่อยๆหย่อนขาลงไปที่พื้นเย็นเยียบ
สัมผัสนุ่มที่ผ่านเข้ามาที่มือคือสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้
สัมผัสนุ่มของผ้าและเบาะส่งผ่านเข้ามาทางเส้นประสาท
ให้สมองประมวลผลว่าสิ่งที่อยู่ใต้ร่างเขาคือสิ่งใด ขณะที่ขาก็เริ่มขยับ
สัมผัสถูกความแข็งของแผ่นไม้ที่ใช้ทำขาเตียงทึบๆ
อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง และรอ แต่รอแล้วรอเล่า ผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที สิ่งที่เห็นก็ยังคงมีแต่ความมืดสนิท...
ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากัน
มือที่เมื่อครู่ใช้สำรวจผืนเตียงค่อยๆถูกยกขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา
แต่สิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นสีดำของความมืด...ความมืดที่กัดกินเข้ามาในจิตใจที่เต้นกระส่ำ...
มองไม่เห็น...ไม่ว่ายังไงก็มองไม่เห็น...
น่ากลัว...
เขาเกลียดความมืด...หวาดกลัวความมืด...มันทั้งโดดเดี่ยวและหนาวเย็น...
...ใครก็ได้...พาเขาออกไปที...
มือข้างที่ถูกยกขึ้นมาถูกยกเลยไปที่ศีรษะ ริมฝีปากถูกเม้มแน่นขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก
แต่ก้อนสะอื้นที่ติดอยู่ที่ลำคอก็ทำให้ความพยายามนั้นเปล่าประโยชน์
เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่อ้าออกดังขึ้นเรื่อยๆ และโดยไม่รู้ตัว น้ำตาแห่งความหวาดกลัวก็ค่อยๆหลั่งรินออกมา
คาร์ลตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากเตียงข้างๆ เขาลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย
แต่เมื่อหันไปทางต้นเสียงเขาก็เกิดตาสว่างขึ้นมาทันที
ร่างของอาร์โรห์ที่นั่งขดอยู่บนเตียง
มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยุ้มเส้นผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ขณะที่อีกข้างกอดตนเองแน่น น้ำตาที่รินหลั่งออมาจากนัยน์ตาที่กลับกลายเป็นสีขาวเช่นเดียวกับเส้นผมทำให้ร่างของอาร์โรห์ยิ่งดูเปราะบางราวกับแก้วบางๆ...
คาร์ลลุกขึ้นจากเตียง เลื่อนมือไปสัมผัสไหล่บางที่สั่นระริก แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวลอยแล้วรีบถดตัวหนีจนไปกระแทกเข้ากับหัวเตียงพร้อมกับกรีดร้องดังลั่น
“อย่าเข้ามานะ!!!”
คาร์ลมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วง พยายามที่จะขยับเข้าไปหาอาร์โรห์อีกครั้ง
แต่เมื่ออาร์โรห์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาก็พยายามถดตัวหนีจนไปสุดขอบเตียง
แต่เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาเขาก็ถดตัวไปอีกจนตกลงไปบนพื้น แรงกระแทกที่ได้รับส่งผลกระทบต่อบาดแผลจนเขาต้องครางต่ำๆออกมา แต่มันก็ยังไม่อาจทำให้เขาหยุด เขาถดตัวหนีต่อไปจนติดกำแพง
สีหน้าหวาดกลัวถูกส่งผ่านออกมาให้คนที่เป็นห่วงได้เห็นอย่างชัดเจน
“คาร์ล...เดล...ลูน่า...พวกเจ้าอยู่ไหน...อยู่ไหน...ฮึก!”
อาร์โรห์กล่าวทั้งเสียงสั่น
เขาขดร่างเข้าหากำแพง
มือทั้งสองข้างกอดตนเองแน่น “ช่วยข้าด้วย...”
เป็นตอนนั้นเองที่เดลลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงียเพราะเสียงที่ดังโครมคราม แต่เมื่อเขาตื่นเต็มตา
ภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
“ใครก็ได้...พาข้าออกไปจากที่นี่...มันมืด...มองไม่เห็น...ไม่เห็นอะไรเลย...ฮึก...ฮือ...”
“พี่คาร์ล...พี่คาร์ลอยู่ไหน...พาข้าออกไปที...ฮือๆๆ”
“ข้ากลัว...กลัวจังเลย...”
สภาพของอาร์โรห์ตอนนี้ราวกับแก้วบางๆที่ปริร้าว เพียงแค่สัมผัสเบาๆก็จะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ มันทำให้ทั้งคาร์ลและเดลต้องหันมามองหน้ากัน
เดลพยักหน้าเป็นเชิงว่าคาร์ลควรเป็นคนเข้าไปหาอีกฝ่ายมากกว่า คาร์ลเลยต้องค่อยๆขยับเข้าไปให้เกิดเสียงเบาที่สุด
“ข้าอยู่นี่
อาร์โรห์...ข้าอยู่นี่...” คาร์ลเอ่ยพลางเลื่อนมือไปแตะศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆจนร่างเล็กๆที่สั่นเทานั้นสะดุ้งเฮือก
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงมากับสัมผัสนั้นก็ทำให้ร่างที่ขึงเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลง
อาร์โรห์พยายามจะเงยหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาขึ้นมองเจ้าของมือ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นแตะมือข้างนั้น ก่อนจะค่อยๆไล่แตะไปตามลำแขน ขึ้นไปถึงไหล่
ตอนนั้นเองที่มืออีกข้างพยายามที่จะยกขึ้นสัมผัสไหล่อีกข้างของคาร์ล
แต่มันก็ทำได้เพียงไขว่คว้าไปในอากาศอย่างสะเปะสะปะ
คาร์ลที่ทนดูมานานเลื่อนมือลงลูบใบหน้าของอาร์โรห์เบาๆและเป็นฝ่ายโผเข้าไปสวมกอดร่างที่บางกว่านั้นเอง
“ไม่ต้องกลัวนะ
ข้าอยู่นี่แล้วอาร์โรห์ พี่คาร์ลอยู่ตรงนี้แล้วนะ”
“พี่...พี่คาร์ล...ฮึก!”
...ทั้งๆที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้
แต่เมื่อได้รับความอบอุ่นอาร์โรห์ก็กลับไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้
ซ้ำร้ายยังมีก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกถึงลำคอจนทำได้เพียงซุกใบหน้าลงกับไหล่กว้างๆของคาร์ล ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็กๆ
เดลสะกินปลุกลูน่าที่นอนพลิกตัวไปมาเหมือนรำคาญเสียงมาได้สักพักแล้ว ลูน่าที่ตื่นขึ้นมายังมีท่าทีงัวเงีย
เธอขยี้ตาพลางพูดงึมงำในลำคอจนโดนเดลตะครุบปากไว้แทบไม่ทัน
ซักพักกว่าลูน่าจะตื่นเต็มตาแล้วมองไปตามเสียงสะอื้นที่ได้ยิน
แล้วเธอก็ได้แต่ผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาทางเดล
“นี่เกิดอะไรขึ้น?”
เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการส่ายหน้าจากเดล ก่อนจะพยักเพยิดไปทางคาร์ลเป็นเชิงบอกว่าไว้ลองถามเจ้าตัวคนนั้นเองพร้อมกันก็แล้วกัน
นานกว่าอาร์โรห์จะร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปคาไหล่ของคาร์ล
จนต้องลำบากคนที่กลายเป็นผ้าเช็ดหน้าชั่วคราวอุ้มขึ้นมาให้นอนลงบนเตียง
จัดท่าให้อีกฝ่ายนอนสบายที่สุดก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงหน้าอก
“คาร์ล...”
เจ้าของชื่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับสองพี่น้องรีการ์ด
“อาร์โรห์...สูญเสียพลังเวททั้งหมดไป”
“อะไรนะ!?”
เป็นเดลที่ร้องเสียงหลง
แม้เขาจะมีความรู้ด้านมนต์บทต่างๆน้อยมาก
แต่ถ้าเป็นความรู้เกี่ยวกับเวทมนต์พื้นฐานที่พึงรู้ล่ะก็ เขาเองก็ศึกษามาเหมือนกัน
ลูน่ามองหน้าพี่ชายอย่างไม่เข้าใจจนเดลต้องหันมาอธิบาย
“การที่นักเวทสูญเสียพลังเวทไปทั้งหมดจะทำให้ถึงตายได้
แต่ถ้าเป็นปีศาจที่มีพลังเวทมาแต่กำเนิดคงไม่ถึงตาย แต่ผลกระทบก็คงจะแสนสาหัส...”
ลูน่าหน้าซีดลง เธอหันไปมองคาร์ลเพื่อที่จะได้รับคำยืนยัน
คาร์ลหลับตาลงพยักหน้าเบาๆ
“การที่ปีศาจสูญเสียพลังเวทไปทั้งหมดจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง นอกจากนี้ก็มีผลกระทบที่แล้วแต่คน
อย่างของอาร์โรห์คือเส้นผมและดวงตาของเขากลายเป็นอย่างที่เห็น และทำให้เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้ คงต้องรอจนกว่าพลังเวทของเขาจะฟื้นคืนกลับมาถึงจะกลับมาเป็นปกติ...”
“ก็ยังดีที่พลังเวทยังฟื้นกลับมาได้...”
เดลถอนหายใจ
อย่างน้อยมันก็คงจะไม่รุนแรงอย่างที่เขาคิด
“แต่ปัญหาคือจิตใจ” คาร์ลผินใบหน้าไปมองร่างที่หลับสนิท
“เขามีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับความมืด
ไม่รู้ว่าเขาจะทนอยู่ในสภาพที่มองอะไรไม่เห็นแบบนี้ได้หรือเปล่า...”
เดลมองตามสายตาเป็นห่วงของคาร์ล แม้จะไม่รู้ว่าอาร์โรห์เคยเจออะไรมา
แต่มันคงฝังใจเขาจนกลายเป็นความหวาดกลัวที่มากมายจนไม่อาจที่จะปลอบประโลมให้หายได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน...
คาร์ลถอนหายใจเฮือก “ช่วงนี้คงต้องผลัดกันคอยอยู่ข้างๆอาร์โรห์ไปก่อน”
ทั้งๆที่คาร์ลบอกว่าต้องผลัดกันดูแลอาร์โรห์ไปก่อน แต่กลับเป็นอาร์โรห์เสียเองที่ปฏิเสธ
“ไม่...ไม่ต้องหรอก...ขอข้าอยู่คนเดียว...”
“เจ้าอยู่ได้แน่นะ?” เดลเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ขณะที่คาร์ลและลูน่าออกไปจัดการเรื่องของคืนห้องพักเพื่อที่จะเตรียมเดินทาง
...พวกเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...
“ได้...ไม่ต้องห่วงหรอก...”
อาร์โรห์กล่าวเสียงเบา
พลางกำผ้าห่มในมือแน่น
เขาควรที่จะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ยืนอยู่บนขาของตนเองให้ได้จะได้ไม่กลายเป็นภาระของคนอื่น...จะได้ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน...
...ทุกคนทำเพื่อเขามามากพอแล้ว...
เดลมองอาร์โรห์ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
แต่ก็ยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดีเพื่อลงไปสมทบกับพวกคาลร์ที่ยังคงอยู่ที่ด้านล่าง แต่เพียงแค่พวกคาร์ลเห็นเขา อีกฝ่ายก็เดินตรงรี่เข้ามาหาแทบจะในทันที
“เจ้าออกมาทำไม?” คาร์ลขมวดคิ้วมุ่น
ในใจนึกในแง่ร้ายไปแล้วว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น
คนถูกถามส่ายหน้า
“อาร์โรห์ขออยู่คนเดียว
เขาคงนึกโทษตัวเองที่กลายเป็นภาระ...”
คาร์ลถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ก่อนที่นัยน์ตาสีเงินจะเลื่อนขึ้นมองประตูห้องพักที่ยังคงปิดสนิทแล้วก็ได้แต่เลื่อนสายตากลับมายังเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ตรงหน้า
“ถ้าอาร์โรห์ต้องการอย่างนั้นก็ปล่อยเขาเถอะ”
“อืม”
ในขณะเดียวกัน อาร์โรห์ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนผืนเตียง มือยังคงกำผ้าห่มที่ห่มอยู่บนร่างแน่น เขาหลับตาก้มหน้าลงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อตั้งสมาธิของตนเองไม่ให้จิตใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้
จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจดึงผ้าห่มออก และค่อยๆหย่อนขาลงสัมผัสพื้นห้อง ค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นช้าๆ มือเริ่มยื่นออกไปด้านหน้าเพื่อคลำทาง เมื่อลองคลำด้านบนก็แล้ว ด้านล่างก็แล้วแต่ก็ไม่เจออะไร ขาจึงค่อยๆก้าวไปด้านหน้าช้าๆ แต่แล้วขาก็กลับสะดุดเข้ากับแผ่นไม้ที่กระดกขึ้นมาจนล้มโครมลงไป
เป็นตอนนั้นเองที่พวกคาร์ลเปิดประตูผลัวะเข้ามา
คาดว่าเสียงโครมเมื่อครู่คงทำให้พวกเขาตกใจจนกรูกันเข้ามา โดยเฉพาะคาร์ล
เพียงแค่เขาเห็นร่างของอาร์โรห์ล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้นเขาก็แทบจะถลาเข้ามาหาในทันที
“อาร์โรห์ เป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“คาร์ลเองเหรอ ข้าไม่เป็นไร”
ถึงแม้จะได้รับคำตอบเช่นนั้นแต่ดวงตาสีเงินก็ยังคงกลอมองสำรวจร่างของอาร์โรห์จนแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรอย่างที่ปากเจ้าตัวว่า จึงช่วยพยุงร่างอีกฝ่ายลุกขึ้น
“แล้วนี่เจ้าจะไปไหน? ทำไมอยู่ๆถึงลุกออกมาจากเตียงล่ะ?”
“ข้า...แค่อยากออกไปข้างนอก...”
อาร์โรห์ก้มหน้าลง
และโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
เขาก็เผลอแสดงสีหน้าสำนึกผิดออกมา “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง...”
คาร์ลมองท่าทางของอาร์โรห์แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ
“อาร์โรห์ ไม่เป็นไรหรอก นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ
ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงแล้วพยายามที่จะเดินต่อด้วยตนเอง
แม้มือทั้งสองข้างจะยื่นออกไปเพื่อคลำทางด้านหน้า แต่มือก็กลับถูกคว้าไว้อีกด้วยฝีมือของคาร์ลจนอาร์โรห์ต้องหันหน้ามาทางเขาด้วยสีหน้างงงัน
“พวกเรากะว่าจะไปจากที่นี่แล้ว ไหนๆก็ไหนๆ
ถือซะว่าได้พาเจ้าเดินเล่นด้วยก็แล้วกัน”
“อืม”
พวกเขาเดินจนออกมานอกเมืองเดินมาจนถึงเนินเขาที่ห่างจากเมืองอยู่พอสมควร ทีบนเนินเขานั้นเป็นทุ่งหญ้าที่ถูกตัดจนโล่ง
ดูคล้ายกับสวนหลังบ้านของบ้านสักหลังมากกว่าจะเป็นทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ กลางทุ่งหญ้าเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง เหมือนว่ามันจะเคยเป็นบ้านของช่างไม้ ภายในจึงได้มีอุปกรณ์เกะสลัก เลื่อยและขวานอยู่ในห้องเก็บของ
“ที่นี่คงพอได้”
เดลเอ่ยพลางวางของในมือลงกองไว้บนพื้น
ลูน่ามองสำรวจที่นี่คร่าวๆรอบหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าหลังคาของที่นี่คงจะไม่มีทางถล่มลงมาในเร็วๆนี้เธอก็โยนสัมภาระในมือลงบนพื้นแล้วทิ้งตัวลงแผ่บนโซฟาสีน้ำตาลหม่นๆในบ้าน แต่ฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาจนทำให้เธอสำลักฝุ่นไอกระด๊อกกระแด๊กออกมาจนน้ำตาเล็ด
พอลุกออกมาจากโซฟาได้เธอก็ยังไม่วายเตะโซฟาตัวนั้นเข้าให้อีกป้าบ แต่ก็ต้องลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้นเพราะดันไปเตะโดนส่วนที่แข็งเข้าไปเต็มแรง
เดลและคาร์ลหัวเราะครืน มีเพียงอาร์โรห์ที่มองไม่เห็นอะไร จะมีก็แค่เสียงที่เขาเองก็เดาไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ข้าไปข้างนอกนะ”
อาร์โรห์เอ่ยเสียงเบาแล้วคลำทางออกไปตามทางที่เดินเข้ามา
...เหมือนกับสามคนนั้นอยู่อีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้น...
...แล้วเขามาทำอะไรที่นี่กันแน่...
...คนที่ถึงจะหายไปก็ไม่มีใครมาสนใจอย่างเขามาทำอะไรในโลกที่มีแต่ความสว่างไสวที่เขาไม่อาจมองเห็นแห่งนี้กัน...
ฟิ้ว...
สายลมวูบหนึ่งพัดมาเบาๆ พาให้เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสวไปตามสายลม แสงตกกระทบเส้นผมสะท้อนจนสว่างเจิดจ้า โดยที่เจ้าตัวไม่อาจรู้เลย
แต่แล้วสายลมที่พัดมากระทบผิวกายพอให้เย็นสบายก็กลับแรงขึ้นจนทำเอาอาร์โรห์แทบจะยืนไม่อยู่ก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะตามมาตกทอดลงบนทุ่งหญ้า พาดทับร่างของอาร์โรห์ที่ยังคงยืนอยู่บนพื้น
นัยน์ตาสีทัพทิมมองเบื้องล่างจากท้องฟ้า
บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มกลับมีร่างสีขาวร่างหนึ่งยืนอยู่ชวนแปลกตา
แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพๆหนึ่งที่ไม่ได้ชวนติดตา ร่างใหญ่โตสีดำมันเลื่อมจึงได้บินผ่านไปโดยทิ้งไว้เพียงสายลมที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่ทำให้คนๆหนึ่งตระหนักว่าตนนั้นยังพอที่จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่เป็นภาระให้คนอื่น
______________________________________________________________________________________________________
มาอัพแล้วค่า
แต่งไปสงสารอาร์โรห์ไปจริงๆนะ ยิ่งอ่านยิ่งแบบ...อาร์โรห์ น่าสงสารจุง!
สงสัยต้องให้อาร์โรห์พักบ้างแล้วล่ะ (ฮาาา)
ช่วงนี้ไรท์เรียนทุกวันเลยค่ะ เหนื่อย//ถอนหายใจ
แต่ไรท์จะพยายามปั่นนะคะ ฟฟฟ
ปล. ถ้าเรื่องนี้ไรท์จะลองส่งสำนักพิมพ์ดูจะดีมั้ยอ่ะ เพื่อนชวนซะด้วย อยากลองจุง (ฮาาา)
ความคิดเห็น