ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 59


    บทที่  15

     

    ร่างของคาร์ลปรากฏขึ้นในห้องพักที่โรงแรมซึ่งเดลและลูน่าถูกส่งมาก่อนแล้ว  ในอ้อมแขนของเขา  ร่างของอาร์โรห์ยังคงนอนหายใจรวยรินไม่ได้สติ  ศีรษะของเขาอิงอยู่กับไหล่ของคาร์ลที่มองร่างในอ้อมแขนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  เลือดยังคงไหลซึมออกมาที่เสื้อและหยดลงที่พื้น  หยดแล้วหยดเล่า...

    คาร์ลวางร่างที่บอบช้ำหนักลงบนเตียงโดยไม่สนใจว่าเลือดที่ยังคงไหลออกมาจากร่างของอาร์โรห์จะเปรอะไปโดนผ้าปูที่นอนหรือฟูกนอนหรือไม่  เสื้อสีขาวที่ถูกย้อมเป็นสีแดงปนน้ำตาลถูกถอดออกจากร่างของอีกฝ่าย  แล้วบาดแผลมากมายก็ปรากฏเข้าสู่ธารสายตาของทั้งสามคน

    ลูน่าถึงกับเบือนหน้าหนีกับบาดแผลฉกรรจ์บนร่างของอาร์โรห์

    แผลบนร่างของอาร์โรห์ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากของมีคม  บาดแผลที่เหมือนกับเกิดจากการปริแยกของกล้ามเนื้อจากภายใน  และนี่ก็คือผลของวงเวทที่เดลได้เห็น  บาดแผลที่ลามขึ้นมาถึงลำคอ  ลามไปทั่วทั้งร่างกายของอาร์โรห์  มันยังคงส่งเลือดสีสดไหลออกมาไม่ขาด

    “ช่วยไปขออุปกรณ์ทำแผลมาให้ที” คาร์ลกล่าวขณะที่สายตายังคงมองสำรวจบาดแผลบนร่างของอาร์โรห์  เดลที่ได้ยินดังนั้นจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อไปขออุปกรณ์ตามที่ต้องการมาจากคนดูแลโรงแรม  ผ่านไปเพียงครู่เขาก็เดินกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลที่ดูอย่างไรก็ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

    คาร์ลมองอุปกรณ์พวกนั้นพลางขมวดคิ้ว  แล้วมองกลับไปที่ร่างบนเตียง  สุดท้ายแล้วก็ต้องทำแผลให้อาร์โรห์ด้วยอุปกรณ์เท่าที่มีอยู่  โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าปลายของเส้นผมสีนิลที่แผ่สยายอยู่บนเตียงนั้นกลับค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง...

     

    ...เขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังเวทของอาร์โรห์...

    คาร์ลนั่งอยู่ข้างเตียงของอาร์โรห์ในขณะที่ทั้งเดลและลูน่าต่างเข้าสู่ห้วงนิทรากันไปหมดแล้ว  เขายังคงข้องใจ  ปกติเขามักจะสัมผัสได้ถึงพลังเวทของอาร์โรห์อยู่ตลอด  หากอยู่ใกล้กันในระยะหนึ่ง  แต่นี่นอกจากจะสัมผัสถึงพลังเวทไม่ได้แล้ว  แม้แต่ไอพลังเวทเบาบางก็ยังสัมผัสไม่ได้...

    มันทำให้คาร์ลนึกโยงไปถึงวงเวทที่เขาได้เห็นในห้องพักที่โรงแรม  และเมื่อนำมาเทียบกับวงเวทที่เขาได้เห็นตอนเข้าไปช่วยอาร์โรห์  กลิ่นอายของวงเวททั้งสองคล้ายคลึงกันมาก...

    ...มากจนอดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นคนๆเดียวกันสร้างขึ้นมา  และอาจจะใช้ด้วยจุดประสงค์ที่ใกล้เคียงกัน...

    ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทุกอย่างก็จะลงตัวพอดี  ทั้งสาเหตุที่วงเวททั้งสองวงมีความคล้ายคลึงกัน  และสาเหตุที่เขาสัมผัสถึงพลังเวทของอาร์โรห์ไม่ได้...

    ...หวังว่าคงจะไม่เกิดผลกระทบอะไรร้ายแรงต่อร่างกายของอาร์โรห์...

    แต่เหมือนว่าสิ่งที่คาร์ลภาวนาจะไปไม่ถึงราชาปีศาจชาฮาลเสียแล้ว...

    อาร์โรห์ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ  แต่สิ่งที่ปรากฏกลับมืดมิดราวกับว่าเขายังคงปิดเปลือกตาสนิท

    บางทีอาจเป็นเพราะเขาหลับมานานเกินไปสายตาจึงยังไม่ชินกับสภาพรอบกาย  เขาจึงรอ  แต่รอจนผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเขาก็ยังคงเห็นแต่เพียงความมืด...

    ความมืดที่เงียบสงัด...

    ความกลัวเล็กๆเริ่มเข้ากอบกุมส่วนหนึ่งในจิตใจจน  เขาต้องดันกายลุกขึ้นนั่งโดยมองข้ามความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาจากทั่วร่างกาย  และหวัง...หวังว่าดวงตาของเขาจะสามารถปรับให้สายตามองเห็นสิ่งรอบๆได้  มือถูกเลื่อนห่างจากกายเป็นครั้งแรกและค่อยๆวางลงบนสิ่งที่อยู่ใต้ร่างเขา  ขณะที่ค่อยๆหย่อนขาลงไปที่พื้นเย็นเยียบ

    สัมผัสนุ่มที่ผ่านเข้ามาที่มือคือสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้  สัมผัสนุ่มของผ้าและเบาะส่งผ่านเข้ามาทางเส้นประสาท  ให้สมองประมวลผลว่าสิ่งที่อยู่ใต้ร่างเขาคือสิ่งใด  ขณะที่ขาก็เริ่มขยับ  สัมผัสถูกความแข็งของแผ่นไม้ที่ใช้ทำขาเตียงทึบๆ

    อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง  และรอ  แต่รอแล้วรอเล่า  ผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที  สิ่งที่เห็นก็ยังคงมีแต่ความมืดสนิท...

    ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากัน  มือที่เมื่อครู่ใช้สำรวจผืนเตียงค่อยๆถูกยกขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา  แต่สิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นสีดำของความมืด...ความมืดที่กัดกินเข้ามาในจิตใจที่เต้นกระส่ำ...

    มองไม่เห็น...ไม่ว่ายังไงก็มองไม่เห็น...

    น่ากลัว...

    เขาเกลียดความมืด...หวาดกลัวความมืด...มันทั้งโดดเดี่ยวและหนาวเย็น...

    ...ใครก็ได้...พาเขาออกไปที...

    มือข้างที่ถูกยกขึ้นมาถูกยกเลยไปที่ศีรษะ  ริมฝีปากถูกเม้มแน่นขึ้น  เพื่อป้องกันไม่ให้มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก  แต่ก้อนสะอื้นที่ติดอยู่ที่ลำคอก็ทำให้ความพยายามนั้นเปล่าประโยชน์  เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่อ้าออกดังขึ้นเรื่อยๆ  และโดยไม่รู้ตัว  น้ำตาแห่งความหวาดกลัวก็ค่อยๆหลั่งรินออกมา

    คาร์ลตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากเตียงข้างๆ  เขาลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย  แต่เมื่อหันไปทางต้นเสียงเขาก็เกิดตาสว่างขึ้นมาทันที

    ร่างของอาร์โรห์ที่นั่งขดอยู่บนเตียง  มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยุ้มเส้นผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน  ขณะที่อีกข้างกอดตนเองแน่น  น้ำตาที่รินหลั่งออมาจากนัยน์ตาที่กลับกลายเป็นสีขาวเช่นเดียวกับเส้นผมทำให้ร่างของอาร์โรห์ยิ่งดูเปราะบางราวกับแก้วบางๆ...

    คาร์ลลุกขึ้นจากเตียง  เลื่อนมือไปสัมผัสไหล่บางที่สั่นระริก  แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวลอยแล้วรีบถดตัวหนีจนไปกระแทกเข้ากับหัวเตียงพร้อมกับกรีดร้องดังลั่น

    “อย่าเข้ามานะ!!!

    คาร์ลมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วง  พยายามที่จะขยับเข้าไปหาอาร์โรห์อีกครั้ง  แต่เมื่ออาร์โรห์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว  เขาก็พยายามถดตัวหนีจนไปสุดขอบเตียง  แต่เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาเขาก็ถดตัวไปอีกจนตกลงไปบนพื้น  แรงกระแทกที่ได้รับส่งผลกระทบต่อบาดแผลจนเขาต้องครางต่ำๆออกมา  แต่มันก็ยังไม่อาจทำให้เขาหยุด  เขาถดตัวหนีต่อไปจนติดกำแพง  สีหน้าหวาดกลัวถูกส่งผ่านออกมาให้คนที่เป็นห่วงได้เห็นอย่างชัดเจน

    “คาร์ล...เดล...ลูน่า...พวกเจ้าอยู่ไหน...อยู่ไหน...ฮึก!” อาร์โรห์กล่าวทั้งเสียงสั่น  เขาขดร่างเข้าหากำแพง  มือทั้งสองข้างกอดตนเองแน่น “ช่วยข้าด้วย...”

    เป็นตอนนั้นเองที่เดลลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงียเพราะเสียงที่ดังโครมคราม  แต่เมื่อเขาตื่นเต็มตา  ภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา

    “ใครก็ได้...พาข้าออกไปจากที่นี่...มันมืด...มองไม่เห็น...ไม่เห็นอะไรเลย...ฮึก...ฮือ...”

    “พี่คาร์ล...พี่คาร์ลอยู่ไหน...พาข้าออกไปที...ฮือๆๆ”

    “ข้ากลัว...กลัวจังเลย...”

    สภาพของอาร์โรห์ตอนนี้ราวกับแก้วบางๆที่ปริร้าว  เพียงแค่สัมผัสเบาๆก็จะแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ  มันทำให้ทั้งคาร์ลและเดลต้องหันมามองหน้ากัน 

    เดลพยักหน้าเป็นเชิงว่าคาร์ลควรเป็นคนเข้าไปหาอีกฝ่ายมากกว่า  คาร์ลเลยต้องค่อยๆขยับเข้าไปให้เกิดเสียงเบาที่สุด

    “ข้าอยู่นี่  อาร์โรห์...ข้าอยู่นี่...” คาร์ลเอ่ยพลางเลื่อนมือไปแตะศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆจนร่างเล็กๆที่สั่นเทานั้นสะดุ้งเฮือก  แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แฝงมากับสัมผัสนั้นก็ทำให้ร่างที่ขึงเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลง  อาร์โรห์พยายามจะเงยหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาขึ้นมองเจ้าของมือ  แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น  สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นแตะมือข้างนั้น  ก่อนจะค่อยๆไล่แตะไปตามลำแขน  ขึ้นไปถึงไหล่  ตอนนั้นเองที่มืออีกข้างพยายามที่จะยกขึ้นสัมผัสไหล่อีกข้างของคาร์ล  แต่มันก็ทำได้เพียงไขว่คว้าไปในอากาศอย่างสะเปะสะปะ

    คาร์ลที่ทนดูมานานเลื่อนมือลงลูบใบหน้าของอาร์โรห์เบาๆและเป็นฝ่ายโผเข้าไปสวมกอดร่างที่บางกว่านั้นเอง

    “ไม่ต้องกลัวนะ  ข้าอยู่นี่แล้วอาร์โรห์  พี่คาร์ลอยู่ตรงนี้แล้วนะ”

    “พี่...พี่คาร์ล...ฮึก!

    ...ทั้งๆที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้  แต่เมื่อได้รับความอบอุ่นอาร์โรห์ก็กลับไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้  ซ้ำร้ายยังมีก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกถึงลำคอจนทำได้เพียงซุกใบหน้าลงกับไหล่กว้างๆของคาร์ล  ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็กๆ

    เดลสะกินปลุกลูน่าที่นอนพลิกตัวไปมาเหมือนรำคาญเสียงมาได้สักพักแล้ว  ลูน่าที่ตื่นขึ้นมายังมีท่าทีงัวเงีย  เธอขยี้ตาพลางพูดงึมงำในลำคอจนโดนเดลตะครุบปากไว้แทบไม่ทัน

    ซักพักกว่าลูน่าจะตื่นเต็มตาแล้วมองไปตามเสียงสะอื้นที่ได้ยิน  แล้วเธอก็ได้แต่ผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาทางเดล

    “นี่เกิดอะไรขึ้น?” เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการส่ายหน้าจากเดล  ก่อนจะพยักเพยิดไปทางคาร์ลเป็นเชิงบอกว่าไว้ลองถามเจ้าตัวคนนั้นเองพร้อมกันก็แล้วกัน

     

    นานกว่าอาร์โรห์จะร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปคาไหล่ของคาร์ล  จนต้องลำบากคนที่กลายเป็นผ้าเช็ดหน้าชั่วคราวอุ้มขึ้นมาให้นอนลงบนเตียง  จัดท่าให้อีกฝ่ายนอนสบายที่สุดก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงหน้าอก

    “คาร์ล...”

    เจ้าของชื่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับสองพี่น้องรีการ์ด

    “อาร์โรห์...สูญเสียพลังเวททั้งหมดไป”

    “อะไรนะ!?” เป็นเดลที่ร้องเสียงหลง  แม้เขาจะมีความรู้ด้านมนต์บทต่างๆน้อยมาก  แต่ถ้าเป็นความรู้เกี่ยวกับเวทมนต์พื้นฐานที่พึงรู้ล่ะก็  เขาเองก็ศึกษามาเหมือนกัน

    ลูน่ามองหน้าพี่ชายอย่างไม่เข้าใจจนเดลต้องหันมาอธิบาย

    “การที่นักเวทสูญเสียพลังเวทไปทั้งหมดจะทำให้ถึงตายได้  แต่ถ้าเป็นปีศาจที่มีพลังเวทมาแต่กำเนิดคงไม่ถึงตาย  แต่ผลกระทบก็คงจะแสนสาหัส...”

    ลูน่าหน้าซีดลง  เธอหันไปมองคาร์ลเพื่อที่จะได้รับคำยืนยัน

    คาร์ลหลับตาลงพยักหน้าเบาๆ “การที่ปีศาจสูญเสียพลังเวทไปทั้งหมดจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง  นอกจากนี้ก็มีผลกระทบที่แล้วแต่คน  อย่างของอาร์โรห์คือเส้นผมและดวงตาของเขากลายเป็นอย่างที่เห็น  และทำให้เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรได้  คงต้องรอจนกว่าพลังเวทของเขาจะฟื้นคืนกลับมาถึงจะกลับมาเป็นปกติ...”

    “ก็ยังดีที่พลังเวทยังฟื้นกลับมาได้...” เดลถอนหายใจ  อย่างน้อยมันก็คงจะไม่รุนแรงอย่างที่เขาคิด

    “แต่ปัญหาคือจิตใจ” คาร์ลผินใบหน้าไปมองร่างที่หลับสนิท “เขามีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับความมืด  ไม่รู้ว่าเขาจะทนอยู่ในสภาพที่มองอะไรไม่เห็นแบบนี้ได้หรือเปล่า...”

    เดลมองตามสายตาเป็นห่วงของคาร์ล  แม้จะไม่รู้ว่าอาร์โรห์เคยเจออะไรมา  แต่มันคงฝังใจเขาจนกลายเป็นความหวาดกลัวที่มากมายจนไม่อาจที่จะปลอบประโลมให้หายได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน...

    คาร์ลถอนหายใจเฮือก “ช่วงนี้คงต้องผลัดกันคอยอยู่ข้างๆอาร์โรห์ไปก่อน”

    ทั้งๆที่คาร์ลบอกว่าต้องผลัดกันดูแลอาร์โรห์ไปก่อน  แต่กลับเป็นอาร์โรห์เสียเองที่ปฏิเสธ

    “ไม่...ไม่ต้องหรอก...ขอข้าอยู่คนเดียว...”

    “เจ้าอยู่ได้แน่นะ?” เดลเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง  ขณะที่คาร์ลและลูน่าออกไปจัดการเรื่องของคืนห้องพักเพื่อที่จะเตรียมเดินทาง

    ...พวกเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...

    “ได้...ไม่ต้องห่วงหรอก...” อาร์โรห์กล่าวเสียงเบา  พลางกำผ้าห่มในมือแน่น

    เขาควรที่จะอยู่ด้วยตัวเองให้ได้  ยืนอยู่บนขาของตนเองให้ได้จะได้ไม่กลายเป็นภาระของคนอื่น...จะได้ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน...

    ...ทุกคนทำเพื่อเขามามากพอแล้ว...

    เดลมองอาร์โรห์ด้วยสีหน้าเป็นห่วง  แต่ก็ยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดีเพื่อลงไปสมทบกับพวกคาลร์ที่ยังคงอยู่ที่ด้านล่าง  แต่เพียงแค่พวกคาร์ลเห็นเขา  อีกฝ่ายก็เดินตรงรี่เข้ามาหาแทบจะในทันที

    “เจ้าออกมาทำไม?” คาร์ลขมวดคิ้วมุ่น  ในใจนึกในแง่ร้ายไปแล้วว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น

    คนถูกถามส่ายหน้า “อาร์โรห์ขออยู่คนเดียว  เขาคงนึกโทษตัวเองที่กลายเป็นภาระ...”

    คาร์ลถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก  ก่อนที่นัยน์ตาสีเงินจะเลื่อนขึ้นมองประตูห้องพักที่ยังคงปิดสนิทแล้วก็ได้แต่เลื่อนสายตากลับมายังเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ตรงหน้า

    “ถ้าอาร์โรห์ต้องการอย่างนั้นก็ปล่อยเขาเถอะ”

    “อืม”

     

    ในขณะเดียวกัน  อาร์โรห์ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนผืนเตียง  มือยังคงกำผ้าห่มที่ห่มอยู่บนร่างแน่น  เขาหลับตาก้มหน้าลงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อตั้งสมาธิของตนเองไม่ให้จิตใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้

    จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจดึงผ้าห่มออก  และค่อยๆหย่อนขาลงสัมผัสพื้นห้อง  ค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นช้าๆ  มือเริ่มยื่นออกไปด้านหน้าเพื่อคลำทาง  เมื่อลองคลำด้านบนก็แล้ว  ด้านล่างก็แล้วแต่ก็ไม่เจออะไร  ขาจึงค่อยๆก้าวไปด้านหน้าช้าๆ  แต่แล้วขาก็กลับสะดุดเข้ากับแผ่นไม้ที่กระดกขึ้นมาจนล้มโครมลงไป

    เป็นตอนนั้นเองที่พวกคาร์ลเปิดประตูผลัวะเข้ามา  คาดว่าเสียงโครมเมื่อครู่คงทำให้พวกเขาตกใจจนกรูกันเข้ามา  โดยเฉพาะคาร์ล  เพียงแค่เขาเห็นร่างของอาร์โรห์ล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้นเขาก็แทบจะถลาเข้ามาหาในทันที

    “อาร์โรห์  เป็นอะไรหรือเปล่า!?”

    “คาร์ลเองเหรอ  ข้าไม่เป็นไร”

    ถึงแม้จะได้รับคำตอบเช่นนั้นแต่ดวงตาสีเงินก็ยังคงกลอมองสำรวจร่างของอาร์โรห์จนแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรอย่างที่ปากเจ้าตัวว่า  จึงช่วยพยุงร่างอีกฝ่ายลุกขึ้น

    “แล้วนี่เจ้าจะไปไหน?  ทำไมอยู่ๆถึงลุกออกมาจากเตียงล่ะ?”

    “ข้า...แค่อยากออกไปข้างนอก...” อาร์โรห์ก้มหน้าลง  และโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว  เขาก็เผลอแสดงสีหน้าสำนึกผิดออกมา “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง...”

    คาร์ลมองท่าทางของอาร์โรห์แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ  ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “อาร์โรห์  ไม่เป็นไรหรอก  นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

    อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง  ไม่ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ  ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงแล้วพยายามที่จะเดินต่อด้วยตนเอง  แม้มือทั้งสองข้างจะยื่นออกไปเพื่อคลำทางด้านหน้า  แต่มือก็กลับถูกคว้าไว้อีกด้วยฝีมือของคาร์ลจนอาร์โรห์ต้องหันหน้ามาทางเขาด้วยสีหน้างงงัน

    “พวกเรากะว่าจะไปจากที่นี่แล้ว  ไหนๆก็ไหนๆ  ถือซะว่าได้พาเจ้าเดินเล่นด้วยก็แล้วกัน”

    “อืม”

     

    พวกเขาเดินจนออกมานอกเมืองเดินมาจนถึงเนินเขาที่ห่างจากเมืองอยู่พอสมควร  ทีบนเนินเขานั้นเป็นทุ่งหญ้าที่ถูกตัดจนโล่ง  ดูคล้ายกับสวนหลังบ้านของบ้านสักหลังมากกว่าจะเป็นทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ  กลางทุ่งหญ้าเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง  เหมือนว่ามันจะเคยเป็นบ้านของช่างไม้  ภายในจึงได้มีอุปกรณ์เกะสลัก  เลื่อยและขวานอยู่ในห้องเก็บของ

    “ที่นี่คงพอได้” เดลเอ่ยพลางวางของในมือลงกองไว้บนพื้น

    ลูน่ามองสำรวจที่นี่คร่าวๆรอบหนึ่ง  เมื่อเห็นว่าหลังคาของที่นี่คงจะไม่มีทางถล่มลงมาในเร็วๆนี้เธอก็โยนสัมภาระในมือลงบนพื้นแล้วทิ้งตัวลงแผ่บนโซฟาสีน้ำตาลหม่นๆในบ้าน  แต่ฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาจนทำให้เธอสำลักฝุ่นไอกระด๊อกกระแด๊กออกมาจนน้ำตาเล็ด  พอลุกออกมาจากโซฟาได้เธอก็ยังไม่วายเตะโซฟาตัวนั้นเข้าให้อีกป้าบ  แต่ก็ต้องลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้นเพราะดันไปเตะโดนส่วนที่แข็งเข้าไปเต็มแรง

    เดลและคาร์ลหัวเราะครืน  มีเพียงอาร์โรห์ที่มองไม่เห็นอะไร  จะมีก็แค่เสียงที่เขาเองก็เดาไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

    “ข้าไปข้างนอกนะ” อาร์โรห์เอ่ยเสียงเบาแล้วคลำทางออกไปตามทางที่เดินเข้ามา

    ...เหมือนกับสามคนนั้นอยู่อีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้น...

    ...แล้วเขามาทำอะไรที่นี่กันแน่...

    ...คนที่ถึงจะหายไปก็ไม่มีใครมาสนใจอย่างเขามาทำอะไรในโลกที่มีแต่ความสว่างไสวที่เขาไม่อาจมองเห็นแห่งนี้กัน...

    ฟิ้ว...

    สายลมวูบหนึ่งพัดมาเบาๆ  พาให้เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสวไปตามสายลม  แสงตกกระทบเส้นผมสะท้อนจนสว่างเจิดจ้า  โดยที่เจ้าตัวไม่อาจรู้เลย

    แต่แล้วสายลมที่พัดมากระทบผิวกายพอให้เย็นสบายก็กลับแรงขึ้นจนทำเอาอาร์โรห์แทบจะยืนไม่อยู่ก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะตามมาตกทอดลงบนทุ่งหญ้า  พาดทับร่างของอาร์โรห์ที่ยังคงยืนอยู่บนพื้น

    นัยน์ตาสีทัพทิมมองเบื้องล่างจากท้องฟ้า  บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มกลับมีร่างสีขาวร่างหนึ่งยืนอยู่ชวนแปลกตา

    แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพๆหนึ่งที่ไม่ได้ชวนติดตา  ร่างใหญ่โตสีดำมันเลื่อมจึงได้บินผ่านไปโดยทิ้งไว้เพียงสายลมที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่ทำให้คนๆหนึ่งตระหนักว่าตนนั้นยังพอที่จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่เป็นภาระให้คนอื่น


    ______________________________________________________________________________________________________

    มาอัพแล้วค่า

    แต่งไปสงสารอาร์โรห์ไปจริงๆนะ ยิ่งอ่านยิ่งแบบ...อาร์โรห์ น่าสงสารจุง!

    สงสัยต้องให้อาร์โรห์พักบ้างแล้วล่ะ (ฮาาา)

    ช่วงนี้ไรท์เรียนทุกวันเลยค่ะ เหนื่อย//ถอนหายใจ

    แต่ไรท์จะพยายามปั่นนะคะ ฟฟฟ

    ปล. ถ้าเรื่องนี้ไรท์จะลองส่งสำนักพิมพ์ดูจะดีมั้ยอ่ะ เพื่อนชวนซะด้วย อยากลองจุง (ฮาาา)

    โพล156729

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×