ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ↕ DIAMOND HEART ↕

    ลำดับตอนที่ #15 : [13] long time no see - Armando Trevor Zen

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 62



    [ long time no see ]


              เคยตื่นขึ้นมาภายในห้องสีเหลี่ยมโง่ ๆ โดยที่ไม่มีความทรงจำอะไรในหัวเลยรึเปล่า?

              แล้ววันแรกของชีวิตที่ทุก ๆ คนเริ่มนับ มันเริ่มต้นขึ้นจากตรงไหน?

              สำหรับเขา, ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นที่ห้องสี่เหลี่ยมโง่ ๆ เตียงนอนสีขาว สายระโยงระยางมากมาย และชุดผู้ป่วยจืดชืด

              

              ตัวเขาในตอนนั้นอายุได้14ปีเท่านั้น

              และเขาสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไปโดยที่แม้แต่หน้าเเม่ก็ยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ..



              เสียงขีดเขียนบางอย่างลงบนหน้าสมุดดังอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสีเขียวหม่นที่มักเหลือบออกไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา ภาพในสวนช่วงฤดูเหมันต์ เต็มไปด้วยหิมะสีขาวกับต้นไม้ที่ยืนต้นไร้ใบ มีผู้คนอยู่ประปรายภายในสวนนั้น เล่นสนุกกันแม้เป็นวันที่อากาศหนาวจนติดลบ และภาพที่เขาเห็นทั้งหมดนั่น มันถูกบันทึกลงไปในสมุดสีน้ำตาลอ่อนขนาดเท่า A5 ที่ได้รับมาจากเด็กสาวคนหนึ่ง

              ภายในห้องพักผู้ป่วยนี้ ตลอดระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมา กิจวัตรเพียงไม่กี่อย่างของเขาก็คือการขีดเขียนสมุดบันทึกเล่มนี้ จดช่วงชีวิตในแต่ละวันลงไปเรื่อย ๆ เหมือนกับคนไม่มีอะไรจะทำ ซึ่งมันก็..ไม่มีอะไรจะทำจริง ๆ นั่นแหละ..
              เด็กหนุ่มหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง เขานิ่งเงียบ แล้วตัดสินใจขยับตัวลุกออกจากเตียงผู้ป่วย ลากขาตั้งสายน้ำเกลือ หยิบเอาเสื้อกันหนาวที่ใครสักคนเคยเอามาวางไว้ให้ แล้วสวมมันเดินออกไปด้านนอกห้องพัก
              ที่ป้ายด้านหน้าประตูมีชื่อ 'อาร์มันโด้ เทรย์เวอร์ เซน' ถูกแปะเอาไว้
              ซึ่งเขาเพิ่งมารู้ได้ไม่นานมานี้ว่านั่นคือชื่อเต็มของเขาเอง

              "วันนี้ออกมาเดินเล่นเหรอคะ?"
              หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยปากทักหลังจากมองเห็นเจ้าของเส้นผมสีดำขลับดั่งขนกายืนเหม่อลอยอยู่ เขายืนนิ่งไม่หือไม่อืออะไร เอาแต่จรดสายตามองไปยังด้านนอกระเบียงที่มีดอกไม้ฤดูหนาวผลิบานอยู่ ใช้เวลาสักพัก กว่าจะรู้ตัวว่าตนถูกเอ่ยทัก จึงค่อยหันเหสายตากลับมา
              "อ่า.." ริมฝีปากขยับตอบ แล้วก็เริ่มนึกขึ้นมาได้ว่าตนลืมอะไรไป — ครับ"
              พยาบาลสาวหัวเราะขบขันกับการเติมหางเสียงเข้ามาในตอนท้ายอย่างน่าเอ็นดูเบา ๆ เธอบอกกับเขาว่าอย่าออกไปตากหิมะข้างนอกล่ะ เเล้วก็อย่าไปไหนไกล ให้กลับห้องพักก่อนเที่ยง เพราะเดี๋ยวจะมีคุณหมอมาตรวจสุขภาพ แต่เชื่อเถอะว่าทั้งหมดนั่นแทบไม่เข้าหัวเขาเลยสักนิด
              ดวงตาที่จดจ้องเพียงดอกไม้ฤดูหนาว กลีบดอกผลิบานสวยงาม และช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

              'ทำไมดอกทิวลิปดอกนี้สีมันถึงผสมกันล่ะ'
              ความสงสัยของคนที่ไม่รู้ เสียงที่ได้เยินนั้นเป็นเสียงของเขา ภาพความทรงจำเลือนลางประติประต่อในหัว เขาเห็นดอกไม้ฤดูหนาวที่เหมือนกับต้นที่ปลูกอยู่นอกระเบียงนั่น แต่ในห้วงความคิดนั้น..ดอกทิวลิปที่เห็นกลับเป็นสีชมพูที่แต้มสีขาวไว้บนปลายกลีบ
              สัมผัมอุ่นวางลงบนศีรษะ ครั้นเมื่อเงยหน้ามอง ก็นึกออกว่าครั้งหนึ่งเคยมีใครสักคนส่งยิ้มที่อ่อนหวานมาให้ตน
              'มันเรียกว่า Broken Turlips จ้ะ' เสียงของเธอนุ่มนวล และเต็มไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ยามมองมาที่เขา 'เป็นดอกไม้โปรดของแม่ล่ะ'

              เทรย์กะพริบตาเบา ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นภาพที่ติดอยู่ในหัวอย่างเลือนลาง ก็ถูกพัดหายไป พร้อมกับสายลมเบา ๆ ที่พัดต้องกระทบกับกลีบดอกไม้สีชมพู เหลือง ขาว และส้มนั่น ให้ต้นอ่อนโล้ลู่ลมลงมากลางหิมะสีขาวสะอาด
              เด็กหนุ่มหยิบเอาสมุดจดบันทึกออกมา เปิดกางหน้ากระดาษออก จากนั้นจึงจรดปลายปากกาลงไป
              'คุณแม่ชอบดอกทิวลิป'
              เป็นข้อความที่เกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้น..ผู้หญิงในความทรงจำที่ตอนนี้ตัวเขารู้จักเธอเพียงแค่ชื่อของเธอเท่านั้น..

              
              ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้มีสถานที่ให้ไปนั่งหย่อนกายพักผ่อนอยู่มากมาย เช่นเดียวกับโถงกลางที่อบอุ่นกว่าจุดไหน ๆ เทรย์นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง โต๊ะด้านหน้าคือแก้วโกโก้ร้อนวางแช่ทิ้งเอาไว้ บนตักคือหมอนอิงใหญ่ เป็นโต๊ะรองให้กับสมุดจดเล่มเล็ก กับมือซ้ายที่พลิกหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ไปเรื่อย ๆ
              มีสิ่งหนึ่งที่เทรย์เพิ่งจะรู้ตัวได้ไม่นานมานี้, ว่าบางครั้งตอนที่เขาเผลอไปเจอเข้ากับอะไรบางอย่างที่คุ้นเคย เขาก็จะเริ่มจำเรื่องราวได้บ้าง ทีละเล็ก ทีละน้อย มันยังคงเลือนลาง แต่ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยเหมือนกับตอนแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตนนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนสีขาวนั่น
              มันว่างเปล่า และชวนให้รู้สึกว้าเหว่
              เขาไม่มีความทรงจำอะไรเลย..ไม่มีแม้กระทั่งห้วงอารมณ์หลงเหลือไว้ด้วยซ้ำ
              ก็แค่ความรู้สึกคุ้นเคยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จับมาประติดประต่อกันแทบไม่ได้..
              กึก — !
              ปลายนิ้วหยุดชะงักลงครั้นหน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและใจดีในคราเดียวกัน เส้นผมสีดำแซมดอกเลาสื่อถึงวัยอายุของชายหนุ่ม กับหญิงสาวนัยน์ตาสีเขียวหม่นงดงาม มีชื่อของพวกเขาเขียนเอาไว้ในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ว่า 'เบลค และ โดโรธี เซน' ในขณะที่พาดหัวข่าวถึงข่าวคราวอันน่าสลด กับการจากไปของสองบุคคลมีชื่อในแวดวงหนังสือและธุรกิจ ด้วยอุบัติเหตุฉับพลันในคืนวันฝนตกหนักครานั้น
              คู่สามีภรรยาที่กำลังเดินทางไปยังทางตะวันตกของเมืองพร้อมกับลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขา เพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักรึเปล่า? หรือเป็นเพราะถนนที่ลื่นเสียขนาดนั้นกัน? ที่ทำให้รถของพวกเขาเสียหลักพลิกคว่ำ และคร่าชีวิตทั้งสองไป หลงเหลือไว้เพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสี่เท่านั้น
              เทรย์หลุบสายตาลงต่ำ เขารู้ว่า เบลคและโดโรธี เซน คือชื่อของ 'พ่อ' และ 'แม่' ของเขา
              แต่คราวนี้กลับนึกไม่ออกว่ามีอะไรที่มากมายไปกว่านั้นไหม..มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับพวกเขาอีกรึเปล่า
              ว่าแต่ในคืนนั้น..พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันนะ?
              "เฮ้อ.."
              สุดท้ายลมหายใจก็ถอดถอนออกมา เมื่อไม่อาจไขข้อข้องใจให้ตนได้เสียที..

              แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากได้อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุในคราวนั้น
              นั่นคือทุกครั้งที่ฝนตก เทรย์จะรู้สึกอึดอัด..ขับค้องใจจนอยากจะวิ่งหนีหายไปจากตรงนั้น..ไปจากจุดที่หยดฝนจะสัมผัสกายเขาได้
              คงเพราะมันเป็นวันที่เขาสูญเสียแทบทุกอย่าง เขาถึงได้รู้สึกเกลียดสายฝนนัก


              เช้าวันต่อมายังคงเริ่มต้นด้วยความรู้สึกจืดชืดเหมือนอย่างเคย
              แต่เหมือนวันนี้เขาจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง..

              "ไง" เสียงหวานของเด็กสาวที่ดูโตกว่ากันหน่อย เส้นผมสีอ่อน ดวงตาสีฟ้ากระจ่าง ผิวขาวที่เข้ากันได้ดีกับเดรสสีฟ้าของเธอ "วันนี้สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ"
              เทรย์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขามองดูเธอคนนั้นที่ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง สมองกระตุ้นความทรงจำบอกกับตนว่าเธอคือ มอร์ริแกน ลอว์สัน และมันไม่ใช่ว่าเขาเกิดจำอะไรเพิ่มขึ้นมาได้อีกหรอก ก็แค่ว่าในช่วงสองเดือนมานี้ อีกฝ่ายแวะเวียนมาหาเขาอยู่บ่อยครั้งเลยน่ะสิ
              ถ้าจะให้พูดก็อาทิตย์ละสองครั้ง..หรืออาจจะแค่ครั้งเดียวถ้าเธอไม่ว่าง
              "ที่โรงเรียนไม่มีอะไรต้องทำแล้วรึไง" เขาถาม จำได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ต้องไปเรียน แต่เธอก็ยังมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาในตอนเช้าได้ซะอย่างนั้น
              "ก็อาทิตย์นี้ยังไม่ได้มาเยี่ยม" เธอตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานเหมือนเคย หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า "เห็นว่าเล่มเก่าเขียนหมดเเล้วนี่นา"
              ศีรษะผงกรับขณะรับสมุดเล่มนั้นมาจากมือเธอ เป็นสมุดสีน้ำตาลอ่อนขนาดA5เหมือนอย่างกับทุกทีนั่นแหละ
              ตั้งแต่ค้นพบว่าตัวเองความจำเสื่อม แถมยังสูญเสียบิดามารดาทั้งสองไป มอร์ริแกนกับครอบครัวของเธอเป็นคนคอยช่วยเหลือเขาอยู่ใกล้ ๆ มาโดยตลอด..หรือแม้แต่คนที่แนะนำให้เขาจดเรื่องที่เผลอนึกออกขึ้นมา ๆ ดื้อ ก็เป็นเธอด้วยเหมือนกัน
              ตามปกติแล้วเทรย์มักจะนิ่งเงียบอยู่เสมอ เขาไม่ใช่คนช่างจ้อเอาซะเลย แต่กับเด็กสาวรุ่นพี่ที่ดูสนิทกันราวกับเป็นเพื่อนกันได้คนนี้ กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายตอนอยู่ใกล้ และอยากสนทนาด้วยมากกว่าคนอื่นเขาเสียอย่างนั้นนี่สิ

              "เมื่อก่อนเราสนิทกันมากรึเปล่า" วันดีคืนดี เขาก็ชอบถามเธอเกี่ยวกับอดีตของเขา
              "สนิทกันมาก ๆ เลยล่ะ" และเธอก็ยินดีที่จะตอบทุกคำถามของเขาอยู่เสมอ

              ครอบครัวลอว์สันน่ะ เป็นเพื่อนบ้านของเรามาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่แล้ว
              "พ่อแม่เราสนิทกันมาก พวกเราเจอกันตอนที่เธออายุหกขวบ และฉันแปดขวบ" เรื่องราวสมัยวัยเยาว์ถูกกล่าวถึงอีกครั้ง "ตอนนั้นเธอก็ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ แต่ว่าดูสดใสกว่านี้อยู่อีกหน่อย แล้วก็ตัวเล็กกว่านี้ น่ารักมากเลยล่ะ" ฝ่ามือยกขึ้นมากะไต่ความสูงลงไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ห่างจากตอนนี้เท่าที่ควรหรอก..
              เทรย์ค้นพบอีกหนึ่งอย่างว่าเขาเป็นคนตัวเตี้ยโดยกำเนิด, และเเน่นอนว่าน่าหงุดหงิด
              ส่วนเรื่องที่สองที่ค้นพบก็คือ มอร์ริแกนก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าเขารู้สึกแย่ที่เกิดมาตัวเตี้ยกว่าชาวบ้านเขา เธอถึงได้พยายามยิ้มและบอกว่ามันก็ 'วิเศษ' ในอีกแบบหนึ่งที่ตัวเขาเป็นอยู่แล้ว..ดูเหมือนว่าเธอจะรู้จักวิธีที่ทำให้คนอื่นสบายใจได้ มิหนำซ้ำยังรู้จักเขาดีเอาเรื่องเลยด้วยสิ
              "ของกินที่ชอบ?"
              "ทุกอย่างที่มีไข่" ว่าจบ มือบางก็ประคองช้อนตักข้าวผัดไข่ยกสูงขึ้นมาช่วงริมฝีปากเขา "เธอไม่ชอบแครอท แล้วพอกินของเผ็ดก็จะทำให้เเสบท้อง"
              ดวงตาสีเขียวหม่นเบนหนีออกมาจากรอยยิ้มบางที่เหมือนกับจะถามกันทางอ้อมว่า 'ถูกใช่ไหมล่ะ?' นั่นไป อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่เธอพูดมันจริงหรือไม่จริงเว้นแต่จะได้ลองกินของที่ว่าสักที แต่มองจากการที่เขายอมงับข้าวผัดไข่นั่นจนถึงช้อนสุดท้ายได้ ทั้งที่ปกติแทบไม่ยอมกินอะไรเลย เขาก็คิดว่ามันก็คงจริงอย่างที่เธอว่ามานั่นแหละ..
              
              บางครั้งเทรย์ก็อดจะสงสัยซะไม่ได้ ว่าทำไมมอร์ริแกนถึงได้รู้เรื่องเขาดีนัก
              "คงเพราะฉันรู้จักเธอมานานล่ะมั้ง" นั่นคือคำตอบที่เธอมอบให้กับเขา แต่รอยยิ้มก็เหมือนกับจะแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้
              เจือจางเสียขนาดว่าถ้าไม่ตั้งใจมอง ก็คงไม่รู้หรอกว่ากำลังบ่ายเบี่ยง..


              มอร์ริแกนมาเยี่ยมเขาอยู่เสมอ จนเข้ากลางเดือนของเดือนที่สาม คุณหมอก็อนุญาตให้เทรย์กลับบ้านได้
              เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่าตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมา เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แบบไหน..          

              บ้านสไตล์แนวโมเดิร์นที่ค่อนข้างกว้างขวางสมฐานะที่ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ถือว่ามีกินมีใช้ ปลูกพรรณไม้นานาเอาไว้โอบล้อม กลิ่นของดอกทิวลิปที่บานในฤดูหนาว ปะปนอยู่กับสายลม และเจือจางเข้ากับความหมองเศร้าของความเงียบสงัดที่ไร้ผู้คน
              ปลายเท้าเหยียบย่างเข้าไปด้านในตัวบ้าน กวาดสายตามอง สัมผัสปลายนิ้วลงบนหน้าสมุดที่เผลอวางทิ้งไว้บนโต๊ะทานข้าวมาตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน
              
              'ลองแกะดูสิ' เสียงของชายวัยกลางที่ดังขึ้นในหัว ห่อของขวัญถูกยื่นให้ เมื่อแกะออกดูก็เห็นเป็นภาพเลือน ๆ ของหนังสือปกสีเหลืองที่วาดลวดลายของฤดูใบไม้ผลิเอาไว้ได้อย่างสวยงาม ฝ่ามืออุ่นหนาวางลงมาบนศีรษะของเขา ท่ามกลางรอยยิ้มของพ่อและแม่ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอุ่นวาบในอก
              'สุขสันต์วันเกิดนะ, เทรย์'

              หยดน้ำตาไหลซึมออกมาอย่างเงียบงัน
              ความรู้สึกที่โหวงเหวง เจ็บปวดในชั่วขณะ คะนึงหาอยู่เพียงชั่วครู่ แต่ไม่นานก็ละลายหาย แล้วจมจ่อมไปกับทะเลสีน้ำเงินเข้ม
              ไม่อาจจดจำได้ว่าวันเกิดอายุสิบสี่นั้นตนยิ้มออกมาได้กว้างเท่าไหร่ ไม่อาจจดจำได้ว่าความสุขที่มันหลงเหลืออยู่ในบ้านหลังนี้ แท้จริงแล้วตัวเขาเคยมองเห็นมันเป็นภาพที่มีสีสันอันอบอุ่นมากมายถึงขนาดไหน..
              เพราะทุก ๆ อย่าง..มันเลือนหายไป และไม่มีวันย้อนกลับมาได้อีกแล้ว..
             

              หลังจากวันนั้นก็ยังใช้ชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ..จนวันหนึ่งไปเจอเข้ากับอัลบั้มรูปถ่ายที่ถูกเก็บเอาไว้ในลิ้นชักหัวเตียงนั่น
              ภาพแรก ๆ เป็นภาพตัวเขาที่อ่อนวัยกว่านี้ ใบหน้าคุ้นเคยที่เรียบเฉยไม่ต่างจากตอนนี้ แต่ดวงตาดูฉายประกายความสุข ไม่ใช่แววที่ดูเฉื่อยชาจนไม่รู้สึกอะไร..ข้างกายประกอบด้วยพ่อและแม่ ในสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันมาโดยตลอด
              ถัดไปเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นภาพที่เติบโตมากขึ้น ผันเปลี่ยนเรื่องราวต่อไป จนกระทั่งมาถึงรูปสุดท้ายที่ถูกใส่เอาไว้..
              เป็นรูปของเขาที่กำลั่งนั่งหลับอยู่บนโต๊ะหินอ่อน ใบไม้สีน้ำตาลแห้งร่วงโรยลงมาแปะอยู่บนศีรษะ หนังสือเปิดกางอยู่ตรงหน้า แสงที่สาดลงกระทบช่วงหน้าและซึมทราบไว้บนภาพโพโลรอยด์นั้นดูอ่อนหวานนุ่มนวล เหมือนกับว่าผู้ถ่ายภาพนั้น ได้ถ่ายมันออกด้วยความรู้สึกอันอ่อนหวานยิ่งกว่าใคร ๆ
              เทรย์หยิบมันออกมาจากอัลบั้มภาพ พลิกกลับไปดูวันที่ที่เขียน อ่านตัวอักษรลายมืองดงามต่างจากเขาโดยสิ้นเชิงนั้นอยู่ภายในใจ

    ' รักเสมอ — จาก, มอร์ '

              ในตอนนั้น เทรย์ไม่แน่ใจว่าเขาวิ่งออกไปจากบ้าน เคาะประตูสีน้ำตาลที่เริ่มเอาไว้ของประดับตกแต่งวันคริสต์มาสออกมาประดับไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วยืนรอใครสักคนด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่
              รู้แค่ว่าตอนที่มอร์ริแกนเปิดประตูบ้านออกมาด้วยรอยยิ้ม และค่อย ๆ หุบมันลง เมื่อมองเห็นภาพถ่ายในมือเขา..มันทำให้เทรย์รู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาด
              "พวกเรา.." เขาขยับปาก อยากพูดบางอย่างออกไป แต่ก็ถูกห้ามไว้ ด้วยสายตาที่เหมือนกับจะบอกกันว่า 'ไม่เป็นไรหรอก'
              "มันผ่านมาแล้วเทรย์" มอร์ริแกนกลับมายกยิ้มเหมือนอย่างเคย เป็นยิ้มที่เห็นมาตลอด.. "แถมอันที่จริงเราก็เลิกกันก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุ..เหมือนว่าฉันจะไม่ใช่สำหรับเธอจริง ๆ นั่นแหละนะ" จากนั้นก็หัวเราะ พยายามทำเหมือนกับว่ามันก็แค่เรื่องตลกชั่วคราวเท่านั้น
              แต่ปลายนิ้วที่ค่อย ๆ รั้งฝ่ามือเธอไปกอบกุมไว้ ก่อนที่เขาจะเขยิบเข้ามาใกล้ และกอดเธอด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลกนั้น มันกลับทำให้เสียงหัวเราะมากมายเลือนหายไป..หลงเหลือก็เพียงแค่เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาเท่านั้น..

              ชีวิตที่ผ่านมาแล้ว มันย้อนกลับไปไม่ได้อีก
              สิ่งที่เสียไปก็ไม่สามารถเอากลับมาได้ — แม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ล้ำค่าที่สุดก็ตาม
              เพราะต่อให้จะหลงเหลือสักเศษเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกเอาไว้..

              ทุกอย่าง..ก็ยังคงเลือนลานและกลายเป็นสีโมโนโทนที่ไม่หลงเหลือห้วงอารมณ์ใด ๆ ไว้เลยอยู่ดี..


    ____________TBC?____________
              
              

                

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×