คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : กลรักอสุรา l บทที่๑๔ ตอน พิสูจน์ {อัพ100%}
“แล้วท่าน…เคยหลงรักผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่นิมมานรดีบ้างหรือเปล่าเจ้าคะ
?”
ไม่รู้เลยว่าผีห่าตนใด สั่งให้ปากเผลอขยับถามเรื่องไม่ควรใส่ท่านอสุราไปแบบนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาน่ะ รักแม่นิมมานรดี หญิงคนรักของตนเองมากแค่ไหน
พอคิดได้แบบนั้น คำถามที่เคยเอ่ยออกไปเมื่อครู่
จึงคล้ายกับไร้ความหมาย
และกลายเป็นฉันเองที่ตั้งใจจะกล่าวแทรกความเงียบระหว่างเราเพื่อขอโทษ แต่ว่า…
“พี่มิเคยผิดวาจาที่เคยประกาศไว้ต่อหน้าหญิงคนรักเลยสักครา
แม้จักต้องทนทุกข์อยู่ท่ามกลางช่วงเวลานับพันนับหมื่นชั่วยาม…” ท่านอสุราดันกล่าวแทรกเสียงขึ้นเสียก่อน “ในเมื่อพี่หมายมั่นไว้แล้วว่า
กล่องดวงใจที่มีนั้นจักยกให้ผู้ใด
แม้นจะมีสตรี หญิงงามนับร้อยเบื้องหน้า พี่ก็มิอาจเปลี่ยนใจเป็นอื่นได้”
คำพูดปฏิเสธของเขาฟังดูหนักแน่น เฉกเช่นสีหน้าจริงจังยามกล่าวถึงคนรักของตนเอง
ซ้ำยังไร้วี่แววพิรุธใดให้รู้สึกหรือจับผิด
ทั้งที่เขาแสดงทุกอย่างออกมาชัดเจนและหนักแน่น
หากแต่ช่วงเวลาเดียวกันคงมีแค่ฉันเท่านั้น ที่ลึกๆ
ยังคงไม่ยอมคลายความสงสัยที่มีลง
“ขะ ขอโทษนะเจ้าคะ ที่ฉันถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง…” และต่อให้แคลงใจมากเท่าไหร่
สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ตัดประเด็นน่าอึดอัดระหว่างเราลงแต่เพียงเท่านั้น ทว่า
“เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ หาใช่เรื่องมิเป็นเรื่องไม่…” ท่านอสุรากลับไม่ยอมจบประเด็นระหว่างเราเสียอย่างนั้น ซ้ำยังว่ากล่าว
แสดงความจริงใจที่ตัวเองให้รู้สึก “มิแปลก…หากแม่ทับทิมจักเคลือบแคลงพี่ ซึ่งอยู่ข้ามผ่านช่วงยามมานับหมื่นปีเช่นนี้… ดั่งเช่นคำที่พี่บอกเมื่อหลายช่วงยามก่อน
พี่พร้อมจักช่วยรื้อฟื้นเศษเสี้ยวความทรงจำระหว่างเรา...”
อีกแล้ว… ทำไมพอได้ฟังแบบนี้ จู่ๆ ฉันถึงรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาล่ะ
ฟึ่บ...
แต่ว่า ความเศร้าแปลกประหลาดในอกก็ถูกทำให้สลายหายไป เมื่อคนตัวใหญ่เริ่มขยับกายเคลื่อนไหว โน้มลำตัวเข้ามาหาแบบไม่ให้ทั้งตัว เช่นเดียวกับปลายนิ้วของเขาที่ถือโอกาสเคลื่อนแตะและบีบแผ่วเบาบริเวณปลายคาง พลอยให้สายตามีอันต้องหันเหกลับไปยังใบหน้าคมคายตรงหน้าอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
ซึ่งนั่นก็มาพร้อมกับคำพูดสุดท้าย แสดงถึงความจริงใจที่เจ้าของการกระทำมี
“หากแม้น แม่ทับทิมมิไว้ใจ หมายให้พี่พิสูจน์ตนเป็นขวัญตายามนี้ พี่ก็ยินดี...”
-กรองขวัญ กล่าว-
โรงพยาบาลเอกชน A
“เมจะทานอะไรหรือเปล่าจ๊ะ เจ๊ว่าจะลงไปซื้อกาแฟกินสักแก้ว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เจ๊ขวัญไปเถอะ…”
“ถ้านางพยาบาลเอาใบแจ้งค่ารักษาพยาบาลขึ้นมาให้ เมรีบโทรหาเจ๊เลยนะจ๊ะ…”
ฉันกำชับบอกเมรี เด็กสาวในสังกัดการดูแลไว้เพียงเท่านั้น
ก่อนตัดสินใจผลักประตูห้องพักฟื้นผู้ป่วยเดินออกมา
นี่เป็นวันที่สองแล้ว
ที่ฉันต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างคอนโดฯ ที่พักและโรงพยาบาล
เนื่องจากดาราสาวในความปกครอง ดันประสบอุบัติเหตุเป็นลมล้มพับจนไม่ได้สติ
โชคดีที่ทางคุณหมอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก
นอนพักฟื้นเพียงคืนเดียวก็สามารถกลับบ้านได้ ซึ่งก็นับเป็นเรื่องดี
ที่ฉันจะได้ใช้เวลาที่มีทำในสิ่งที่ต้องการทำ มากกว่าการไปๆ มาๆ
ระหว่างที่พักและโรงพยาบาลแบบนี้
แม้จะผ่านช่วงเวลาวุ่นวายหลังจากดาราสาวประสบอุบัติเหตุจนหมดสติมาหลายวันแล้วก็ตาม
แต่เรื่องราวบางอย่างกลับไม่ยอมหลงลืมไปจากหัวตามระดับความวุ่นวายที่ผ่านมาในช่วงสองวันก่อนเลยแม้แต่นิด
‘เฮือก !’ ฉันจำภาพของเด็กสาวหน้าตาบ้านๆ
ที่สะดุ้งเฮือกจากภวังค์คล้ายกับผ่านการหลับใหลในสวนวันนั้นได้
รวมถึงท่าร่ายรำที่เธอขยับเคลื่อนไหวคล้ายกับคนนอนละเมอที่หน้าต้นไม้ใหญ่ภายในสวนนั่นก็ด้วย
เชื่อเรื่องภพชาติกำเนิดเดิมของตนเองกันบ้างหรือเปล่า ?
เคยได้ยินเรื่องของการระลึกชาติมาบ้างแล้วใช่หรือไม่ ?
ถ้าฉันบอกว่าฉันคือหนึ่งในล้านที่สามารถย้อนระลึกเรื่องราวในอดีตของตัวเองได้ล่ะ
คุณจะเชื่อฉันไหม?
ทั้งหมดที่ถามไป ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบจากใครนักหรอก
ในโลกที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปจนแทบจะหาความเหมือนเดิมจากในอดีตชาติมาเทียบไม่ได้นั้น
หากใครสักคนเอาแต่พร่ำรำพันเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ถูกหาว่าโง่งาย
ก็คงถูกตราหน้าว่าบ้าเท่านั้นนั่นหล่ะ
เพราะแบบนั้นทุกสิ่งที่ฉันรู้ จึงไม่เคยถูกบอกเล่าหรือบอกต่อให้ใครต่อใครฟัง
โดยเฉพาะกับเรื่องราวในอดีตที่ดันหวนรำลึกได้ตั้งแต่วัยเด็กรวมถึงนางสวรรค์ที่มีชื่อว่า
‘นิมมานรดี’
ฉันเคยคิดว่าตัวเองอาจจะป่วย
ที่เอาแต่ฝันเห็นและนึกถึงเรื่องราวแสนแปลกที่เป็นดั่งภาพฝัน แต่เปล่าเลย
ยิ่งเติบโตขึ้นทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนไปเสียหมด ไม่ว่าจะความรู้สึกที่มีต่อคนรักหรือคนที่เกลียด
โดยเฉพาะกับบาดแผลใต้ร่มผ้ากลางหลังก่อนที่ตัวฉันในภพชาติก่อนจะถูกดับลมหายใจลง
ทุกภาพ ทุกความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในอดีตชาตินั้น
ล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่ในความรู้สึกมาตลอดระเวลาสามสิบกว่าปี กลิ่นของความแค้นและความสุขในครั้งนั้น
มันทำให้ฉันจดจำและมองออกผ่านสัญชาตญาณ ว่าบุคคลที่กำลังเผชิญหน้ากันในแต่ละวันนั้น
เราเคยพบกันเมื่อชาติก่อนบ้างหรือเปล่า
และเพราะจดจำทุกอย่างได้ราวกับว่ามันเพิ่งขึ้นเกิดขึ้นไม่นานแบบนี้
การได้เห็นการร่ายรำจากเด็กสาวคนนั้น มันเลยทำให้ฉันรู้ได้ทันที ว่านั่นน่ะ
คือท่าที่นิมมานรดีมักใช้รำเคียงคู่กับยักษ์หนุ่มผู้เป็นที่รักของตนเอง
‘เหตุใดชื่อเจ้าจึงได้เพราะเสนาะหูนักเล่า
แม่นิมมานรดี ?’
เสียงแรกของชายหนุ่มอันเป็นที่รัก ฉันยังคงได้ยินติดชิดข้างหู
ผ่านจากภาพฝันหรือแม้แต่ในยามที่ต้องอ่านพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์
ฉันจำเสียงของเขาได้
แม้สิ่งที่ผ่านตาจะเป็นเพียงอักขระที่ถูกร่ายเรียงเป็นบทกลอน…
‘แม่นิมมานรดีรู้หรือไม่ ว่าพี่ต้องตาต้องรักน้อง
นับแต่ยามแรกที่เผลอสบตาในขบวนแห่…’ ยังจำคำหวานยามถูกพร่ำบอกรักจากปากเขาดังชัดเจนติดตรึงอยู่ในใจ
รวมถึงเสียงของตัวเองเวลาต้องปฏิเสธคำหวานดังกล่าว ยามอยู่ต่อหน้ายักษี ยักษา
หรือท้าวเจ้าเมืองยักษ์
‘มิได้นะเจ้าคะ ท่านท้าวอสุเรนทร์กับท่านกุมภัณฑ์นั่งอยู่ตรงนั้น’
และนั่นรวมถึงแววตาอีกคู่ที่จ้องมองมาจากมุมหนึ่งภายในสวน นัยน์ตาที่คล้ายกับถอดแบบจากฉันในภพชาติก่อนไปแบบไม่มีเสี้ยวไหนผิดเพี้ยน…
‘เมื่อหลายเพลาก่อน น้องได้พบกับพี่วิรุฬที่สระบัวด้วยนะจ๊ะ…’ รวมถึงเสียงหวานซึ่งเอ่ยบอกกล่าวอย่างนอบน้อม รู้จักวางตัว
บวกกับอากัปกิริยาเรียบร้อยและดูถ่อมตัวตลอดเวลาสมกลับเป็นผู้ที่สรวงเลือกขึ้นไปรับใช้นั่น
ฉันจำเธอได้คนนั้นได้ทั้งหมด …
‘ไอ้วิรุฬน่ะรึ มันมากระทำการใดแถวสระบัวงั้นรึ มันได้ทำอะไรเอ็งบ้างหรือไม่
จันทน์ผา ?’
‘พี่วิรุฬหาได้กระทำการเช่นนั้นหรอกจ้ะพี่นิมมานรดี
เผอิญว่าท่านอสุราทรงลงมาเยือนได้ทันท่วงทีเสียก่อน’
เหตุผลก็คงเพราะ หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาคู่สวยดวงนั้น
คือน้องสาวฝาแฝดในภพชาติเก่าของฉันยังไงล่ะ…
ด้วยสาเหตุนั้น ทุกเสียงที่นิมมานรดีใช้เจรจากับหล่อนจึงค่อนข้างเป็นห่วงเป็นใยและฟังดูเป็นกันเองยามอยู่สองต่อสองเช่นนี้
แม้ภาพความทรงจำของขึ้นสู่แดนสรวงเพื่อรับใช้พระผู้เป็นใหญ่
จะเลือนรางไปบ้าง กระนั้นแล้ว ฉันยังคงจำได้คร่าวๆ ว่า นิมมานรดีและจันทน์ผา
เดิมทีเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา อาศัยอยู่ในแดนดินของมนุษย์
หากแต่ความงามของสองพี่น้องและท่าร่ายรำอ่อนช้อยของคนทั้งคู่มักสะกดผู้มองให้เห็นหยุดนิ่งเพื่อเชยชมได้ราวกับต้องมนต์นั้น
กลับดังล่วงไปถึงหูเหล่าเทพเทวาบนสรวงสวรรค์
และนับตั้งแต่นั้น
ชีวิตหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาจึงมีอันต้องแปรเปลี่ยนไป
พวกเธอสองพี่น้องถูกรับตัวขึ้นไปรับใช้บนแดนสรวง โดยต้องแลกกับการปล่อยวาง ละลด
กิเลส ตันหา ในยามเป็นมนุษย์ให้หมดสิ้น
ทั้งที่ภาพของอดีตน้องสาวต่างภพ
ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำราวกับฝังรากติดมากขนาดนี้แท้ๆ แต่ว่า
ฉันกลับไม่รู้สึกถึงการลงมาเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติใหม่ของเธอเลยแม้แต่นิด
‘ท่านท้าวขอรับ! ยะ แย่แล้ว! มะ
แม่จันทน์ผาผูกคอใต้ต้นมะกอกนอกรั้ววังขอรับ!’
กริ้ง!
สิ้นเสียงโวยวายในอดีตที่ไกลห่างจากความเป็นจริง
ฉันก็ถูกปลุกจากวังวนความคิดอีกครั้งด้วยเสียงกริ่งของลิฟต์ที่ดังขึ้น
พร้อมเพรียงกับเท้าทั้งสองที่เริ่มขยับก้าวพาตัวเองตรงเข้าไปยืนภายในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ
แต่แล้ว วินาทีที่ประตูเคลื่อนปิดกระทบกันจนสนิท
เสียงถามไถ่ของเด็กต่างวัยกลับดังขึ้นอีกครั้งในความคิด
‘คุณกรองขวัญชอบอ่านพวกตำนานกับวรรณคดีด้วยหรือคะ ?’
ทับทิม ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเด็กคนนั้นจะมีชื่อว่าทับทิม…
ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันรู้สึกเอ็นดูเธอทุกครั้งที่มีโอกาสได้เจอหน้า
แต่ขณะเดียวกันท่ามกลางความเอ็นดู ฉันก็รู้สึกอย่างอื่นด้วย
‘ถ้าสนใจตำนานท้าวอสุเรนทร์ อยากจะยืมกลับไปอ่านที่บ้านก็ได้นะ เจ๊อนุญาต’
‘มะ ไม่เป็นไรค่ะคุณกรองขวัญ ที่บ้านฉันเองก็มีเหมือนกัน’ ทีท่าและน้ำเสียงของเธอ
มันทำให้ฉันนึกถึงจันน้องสาวฝาแฝดของตัวเองในภพชาติเก่า
‘แล้วทับทิม ชอบใครมากที่สุดในตำนานพงศาวดารบทนี้ล่ะจ๊ะ’
ไหนจะลักษณะการวางตัวและอาการประหม่าในยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่
โดยเฉพาะกับเสียงตอบโต้แบบฟังชัดถ้อยชัดคำของเธอตอนนั้น
‘ฉันชอบท่านอสุราค่ะ’
ทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดประโยคนี้ของทับทิม
รู้ไหมฉันนึกถึงอะไร ?
‘ท่านอสุราน่ะหรือ ลงไปตัดดอกบัวกับเอ็งในช่วงย่ำรุ่ง !?’ ฉันนึกถึงเสียงของนิมมานรดีขณะเอ่ยปากถามไถ่น้องสาวตนเองอย่างตกอกตกใจ
สลับดังกลับเสียงกล่าวถ้อยอย่างนอบน้อมของผู้ถูกถาม
‘จ้ะพี่…’ อีกทั้งยังมองเห็นทีท่าเอียงอายและรอยยิ้มเล็กๆ
บนหน้าบอกความรู้สึกของผู้พูด ‘จนถึงบัดนี้ น้องยังมิรู้เลย
ว่าควรจักวางตัวเช่นไรให้ถูกให้ควร หากต้องปะหน้าท่านเช่นนั้น’
‘หากเอ็งมิรู้วิธีปฏิบัติ!? แล้วไยต้องเอียงอายยามกล่าวถึงท่านอสุราด้วยเล่านังจันทน์ผา
?’ อาจเพราะคำถามของนิมมานรดีในครั้งนั้น
ไม่มีผู้ใดเอ่ยถ้อยกลับ นอกจากแสดงสีหน้าเคอะเขินบอกความรู้สึกล่ะมั้ง
เสียงหวานซึ่งเคยถามด้วยความอยากรู้จึงแปรเปลี่ยนไปเป็นการจับผิด ‘นี่เอ็งอย่าบอกนะ
ว่าเอ็งหลงใหลใคร่รักท่านอสุราน่ะ!’
‘จะ จ้ะพี่…’ เสียงเล็กตอบอ่อมแอ้มแบบไม่เต็มคำเท่าไหร่นัก
แต่นั่นก็มากพอให้คู่สนทนาเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างชัดแจ้ง
‘หลงใหลหาได้ระแวดระวัง รู้จักที่ต่ำที่สูง ระวังเถิดนังจันทน์ผา หัวเอ็งจักขาดเอา!’
เช่นเดียวกับเสียงตักเตือนของผู้เป็นพี่สาว
เพราะทันทีที่กล่าวจบ
ผู้ถูกต่อว่าจึงรีบยกสองมือพนมขึ้นแนบอกจากนั้นก็ก้มกราบลงบนตักหญิงสาวที่ตนนับถือหนึ่งที
ก่อนเงยหน้าขึ้นสบประสานนัยน์ตากับหญิงสาวที่เธอเชื่อใจ
‘น้องรู้ตัวดีและมิเคยลืมตนจ้ะพี่นิมมานรดี แม้นยามนี้กายานี้จักเป็นนางอัปสรเฝ้าแดนสรวง
กระนั้นแล้วยามอยู่นครยักษ์ น้องนั้นหาได้ต่างจากผู้เฝ้ารับใช้ไม่ ฉะนั้นแล้วน้องมิหวังใฝ่สูงครอบครองอนุชาท้าวเหนือหัวหรอกจ้ะพี่…’
‘หากคิดและสำเหนียกตัวได้เช่นนั้นก็ดีไป เอ็งอย่าหาเรื่องใส่หัวจนติดเป็นบาปนักเลย...’ พอฟังมาถึงตรงนี้ หญิงสาวคนพี่ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
หากแต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะวินาทีที่แม่จันทน์ผาพนมมือยกขึ้นกราบตักตนเป็นที่สอง
คำถามมากล้นด้วยความสงสัยจึงถูกเอ่ยถาม ‘เอ็งจักกราบพี่ด้วยเหตุอันใดอีกเล่านังจันทน์ผา’
‘น้องรู้สึกผิดต่อพี่น่ะจ่ะ…’ และนั่นล่ะมั้ง
คือคำตอบของทุกอย่างที่หญิงสาวสงสัยในตัวผู้น้อง ‘ด้วยเพราะในนครยักษ์
ตัวน้องนี้เป็นเพียงผู้ติดตาม คอยรับใช้ ซ้ำยังขลาดและหวาดเกรงต่ออำนาจของเจ้าบ้านเจ้าเมือง
ด้วยเหตุนั้น ยามถูกท่านอสุราถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนาม น้องจึงตอบถ้อยท่านกลับ…’
‘…’
‘ด้วยชื่อพี่นิมมานรดี ที่เป็นถึงนางรำเอกแทนน่ะจ่ะ’ พอเสียงจากห้วงอดีตแว่วหวนมาถึงตรงนี้
ความรู้สึกในอกกลับเผลอรู้สึกร้อนรุ่มคล้ายกับถูกรนไฟ จำต้องเผลอเคลื่อนมือข้างถนัดกุมอกบริเวณที่ปวดอย่างห้ามไม่ได้
ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองกำลังรู้สึกโกรธเพราะน้ำเสียงจากห้วงอดีต
หากแต่เหตุที่พานให้ในอกร้อนรนดังไฟนั้น กลับไม่ได้เกิดขึ้นจากถ้อยคำของจันทน์ผาแต่อย่างใด
แต่กลับเป็นคำพูดอื่นเสียมากกว่า
‘แต่น้องปักใจรักท่านอสุราด้วยใจจริงนะเจ้าคะพี่นิมมานรดี…’
ความรู้สึกตอนนี้น่ะ
ไม่ต่างจากตอนที่อยู่ในห้องพักวันนั้นเลยสักนิด
‘ฉันชอบท่านอสุราค่ะ’
กริ้ง!
อีกหนที่ทุกความรู้สึกในอกถูกแช่แข็งไว้ด้วยเสียงเตือนของลิฟต์
ส่งผลให้ความทุกความสนใจพุ่งเป้าไปยังเส้นทางเบื้องหน้า
ขณะก้าวเท้าเดินออกไปและมุ่งพาตัวตรงไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมาย ทว่า
นี่อาจเป็นอีกครั้งที่เท้าซึ่งก้าวเดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอหยุดนิ่งลง เมื่อเสียงรายงานดังขึ้นจากโทรทัศน์บริเวณพื้นที่สำหรับรอตรวจรักษาโรค
(นอกจากคุณเขตแดนจะกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ได้แล้ว
ยังมีเสียงซุบซิบแว่วให้ได้ยินอีกด้วยนะคะ
ว่าช่วงนี้คุณเขตแดนกำลังกุ๊กกิ๊กอยู่กับสาวนอกวงการ !)
(จริงหรือคะคุณพี่
แล้วสาวคนที่ถูกซุบซิบเป็นใครกันหรือคะ?) เสียงรายงายข่าวจากสองสาวสายบันเทิง
ทำฉันเหลียวมองไปยังจอแก้วห้อยเพดานแทบจะวินาทีนั้น
ตามประสาคนที่คลุกคลีอยู่กับวงการบันเทิงมานาน
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เผื่อดูสถานการณ์ของเหล่าดาวจรัสแสงหลายดวง
มีเกณฑ์ดำเนินชีวิตไปในทางใดบ้าง
ก่อนต้องรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนจอแก้วในช่วงเวลาเดียวกันนั้น
คือภาพแอบถ่ายที่ถูกมือดีถ่ายไว้ได้จนตกเป็นข่าวซุบซิบของดีเจหนุ่มชื่อดัง
(นี่ค่ะคุณพี่ รูปนี้เป็นภาพที่นักข่าวของเราบังเอิญถ่ายได้ในวันแรกของการเปิดกองละครดวงหทัยยักษ์
ในภาพแสดงให้เห็นรถของคุณเขตแดนอย่างชัดเจน จุดสำคัญมันอยู่ตรงนี้ค่ะ
ที่เบาะด้านข้างคุณเขตแดนมีผู้หญิงนั่งมาด้วย)
(อย่าว่าแต่คุณพี่เลยนะ
ตัวเองก็ได้ยินเสียงซุบซิบมาเหมือนกัน ว่าในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์น่ะ
คุณเขตแดนเองก็แอบไปช่วยสาวนอกวงการคนนี้แจกใบปลิวที่หน้าร้านค้าด้วยค่ะ
แต่จริงไม่จริงอย่างไร เราลองไปฟังคำสัมภาษณ์จากคุณเขตแดนกันเองดีกว่า ไปค่ะ…)
ภาพของสองนักรายงานข่าวในจอแก้ว
ตัดสลับไปยังภาพของชายหนุ่มใบหน้าคมคาย สไตล์วัยรุ่น ที่คนในวงการรู้จักกันดี
ในฐานะดีเจหนุ่มไฟแรงของคลื่นวิทยุแห่งหนึ่ง
ขณะยืนอยู่ภายในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใหม่อันเป็นที่น่าจับตา
(คุณแดนมีความเห็นยังไง กับเสียงเม้าท์คะว่า คุณแดนแอบกุ๊กกิ๊กกับสาวนอกวงการอยู่
?)
(ผมไม่มีความเห็นอะไรครับ ฮ่ะๆ)
(แล้วที่เขาเม้าท์กันว่าเหตุผลที่คุณเกิดอาการเจ็บกล่องเสียงชั่วขณะเพราะไปช่วยสาวนอกวงการแจกใบปลิวก่อนพีธีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่ม
คุณแดนมีความเห็นว่ายังไงบ้างคะ ?)
(อ้ออันนั้นเรื่องจริงครับ
เพราะคิดว่าหลายคนน่าจะเห็นกันอยู่…ส่วนเรื่องกุ๊กกิ๊กนี่
น่าจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่เขาหาเขามากกว่า ฮ่ะๆ) สิ่งที่ทำให้ดีเจหนุ่มรายนี้ดูแตกต่างจากดาราในวงการสายงานเดียวกัน
เห็นทีจะเป็นเรื่องของความตรงไปตรงมา ราวกับไม่กลัวว่าคะแนนความนิยมของตัวเองจะลดต่ำลง
(แปลว่าคุณเขตแดนตามจีบสาวนอกวงการคนนั้นอยู่ใช่ไหมคะ
แล้วบอกได้หรือเปล่า ว่าสาวผู้โชคดีคนนั้นชื่ออะไร ?)
(ครับ ผมจีบเขาอยู่ จริงๆ
ผมกับเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมหา’ลัยแล้วล่ะ
ส่วนชื่อผมขอตอบเลี่ยงๆ แล้วกัน ฮ่ะๆ เพราะสำหรับผม เธอเป็นอัญมณีสีแดงน่ะครับ)
อัญมณีสีแดงงั้นเหรอ…
น่าตลกดีนะ เพียงได้ยินคำตอบเลี่ยงๆ แบบนั้น ชื่อแรกที่ผุดขึ้นในหัว
กลับหลายเป็นชื่อของเด็กคนนั้นเสียได้
ทับทิม…
-ทับทิม กล่าว-
ช่วงหลังมานี้ ชีวิตฉันค่อนข้างบิดเบี้ยวจากที่ควรเป็น
จนหลายสิ่งหลายอย่างรวมถึงการดำเนินชีวิตในแต่ละวันไม่อาจถูกปะติดปะต่อให้ดำเนินเรื่องเป็นทางเดียวกันได้โดยสมาน
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังต้องตื่นลืมตาหายใจ และใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป แต่ถึงจะพูดบอกตัวเองแบบนั้น
ก็ใช่ว่าบางอย่างในชีวิตจะกลับคืนสู่ความปกติแบบที่เคยเป็นที่ไหน
หากไม่นับเรื่องการมาอันน่าเหลือเชื่อของท่านอสุราแล้ว
อีกสิ่งที่ไม่สามารถทำให้สงบลงและกลับมาใช้ชีวิตคนบ้างานเพื่อหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนทุกๆ
วัน เห็นทีคงไม่พ้นภาพฝันประหลาดซึ่งเกิดขึ้นจนสามารถตัดความทรงจำบางส่วนในชีวิตจริงให้หายไปนั่นหล่ะ
ทั้งหมดที่กล่าวมานั่นรวมถึง
ผู้หญิงที่ชื่อแม่จันทน์ผาอะไรนั่นด้วย…
ด้วยเพราะ ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการหาข้อมูลและศึกษาชีวประวัติเรื่องราวจากพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์
จนสามารถบอกกล่าว เล่าเรื่อง รวมถึงอธิบายภาพเหตุการณ์ซึ่งถูกเขียนบันทึกไว้ได้ราวกับเป็นเจ้าของเรื่อง
การที่จู่ๆ
ดันเกิดภาพฝันประหลาดถึงเหตุการณ์บางอย่างซึ่งไม่เคยถูกระบุไว้ในตำราเล่มใดมาก่อน
จึงกลายเป็นข้อสงสัยที่ไม่ว่าจะพยายามสลัดให้หลุดออกจากความคิดเท่าไหร่ ก็ทำไม่ได้เสียที
ยิ่งด้วยภาพเหตุการณ์ประหลาดในความฝันนั่น
ดันสอดคล้องกับถ้อยคำบอกเล่าจากผู้มาเยือนต่างทวิภพด้วยแล้ว
ไอ้ที่คิดอยากสลัดออกจากหัว ยิ่งทำยากมากขึ้นกว่าที่เคย
‘หากแม้น แม่ทับทิมมิไว้ใจ หมายให้พี่พิสูจน์ตนเป็นขวัญตายามนี้
พี่ก็ยินดี...’ ด้วยสาเหตุนั้นผนวกเข้ากับคำบอกกล่าวแสดงความจริงใจของยักษ์หนุ่ม
จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้ฉันตัดสินใจพาตัวเองตรงมายังสถานที่แห่งหนึ่งในวันต่อมา
สถานที่ที่ฉันพาตัวเองมาเยือนแทนการออกไปหางานพิเศษทำ
คือหอสมุดแห่งชาติ แน่นอนว่าการเดินทางมายังสถานที่ดังกล่าวในครั้งนี้
ไม่ได้มีเพียงฉันโดยลำพัง แต่ยังพ่วงมาใครอีกคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี
ที่ดูแปลกตาไปจากทุกครั้งก็คงเป็นเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่
ที่เวลานี้เป็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับแขนถึงข้อศอกกับกางเกงสแล็คสีดำ
ไม่ใช่เครื่องทรงยักษ์อย่างที่เข้าใจ
และใช่!
ท่านอสุราพยายามปรับตัวตามสภาพความเป็นอยู่ของยุคสมัยปัจจุบันตามอย่างที่เขาบอกไว้จริงๆ
แต่นั่นก็แค่รูปลักษณ์ภายนอกที่เขาใช้อำนาจที่มีบันดาลให้ผู้คนมองเห็นเนื้อกายเท่านั้น
เพราะสำเนียงการพูดยามที่เราอยู่ด้วยกันยังคงความเป็นเขาอย่างไรก็อย่างนั้น
“ที่นี่คือหนแห่งใดงั้นหรือแม่ทับทิม เหตุจึงมากไปด้วยตำรับตำราเช่นนี้เล่า
?”
คำถามแรกดังลอดผ่านปากท่านอสุราทันทีที่
ฉันเดินนำหน้าเขาตรงไปยังมุมหนังสือประวัติศาสตร์เก่าๆ หายาก
และเมื่อแอบลองมองเจ้าของคำถามกลับไป จึงพบว่านอกจากเสียงของเขาที่บ่งบอกถึงความสงสัยแล้ว
ทีท่าที่อีกฝ่ายแสดงออกยังบ่งบอกถึงความสนอกสนใจต่อสิ่งรอบตัวอีกด้วย
“หอสมุดน่ะเจ้าค่ะ…” เพราะแบบนั้น
ฉันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาแต่เงียบ
โดยเลือกใช้ระดับเสียงที่มีแค่เราสองคนเท่านั้นในการพูด เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นๆ “ที่นี่มีหนังสือทุกอย่างที่เราตามหาถูกเก็บไว้ เรียกว่าเป็นที่ที่เก็บความรู้ทุกชนิดมารวมกันไว้ที่นี่”
“แล้วไยแม่ทับทิมจึงพาพี่เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เล่า ?”
“ฉันอยากมาหาคำตอบสิ่งที่สงสัยน่ะเจ้าค่ะ”
“แม่ทับทิมสงสัยสิ่งใดถึงเพียงนั้นหรือ
ถึงต้องลงแรงเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้”
“ก็เรื่องที่ท่านบอกให้ฉันพิสูจน์นั่นยังไงล่ะเจ้าคะ…”
“หากหมายมั่นจักให้เราพิสูจน์สิ่ง ไฉนเลยน้องจึงไม่ร้องขอต่อหน้าพี่ จักลงแรงเดินมายังที่แห่งนี้เพื่อเหตุอันใด”
“ไม่รู้สิเจ้าคะ
คงเพราะว่าถ้าฉันพูดท่านก็คงจะยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวล่ะมั้ง
ฉันถึงต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง” ขณะปากเอ่ยตอบ
สายตาก็ไม่ลืมที่จะกวาดมองหามุมลับ ซึ่งเก็บเฉพาะหนังสือปรัมปราหายากไปพลาง
ก่อนสะดุดตาเข้ากับแท่นวางหนังสือขนาดใหญ่คร่ำครึ พร้อมกับเท้าที่รีบเร่งฝีเท้าเดินผ่านชั้นวางหนังสือตรงดิ่งไปยังข้าวของที่เป็นเป้าหมายทันที
ฟึ่บ!
“ตามมาทางนี้ท่าน…” จากสัญชาตญาณแล้ว
การที่มีแท่นวางหนังสือเก่าไว้แบบนั้น เป็นการบอกได้เป็นอย่างดี
บางทีสิ่งที่ฉันกำลังตามหาอยู่ อาจจะถูกเก็บรักษาไว้บริเวณที่ดังกล่าวก็เป็นได้
นั่นเลยทำให้ฉันไม่รอช้า รีบก้าวเท้าเดินปรี่ไปยังมุมดังกล่าวทันที
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะคว้ามือของใครอีกคนซึ่งเดินตามหลังแบบผู้ไม่รู้ทิศทางให้ตามมาด้วย
ตึก… ตึก…
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองพลั้งเผลอถึงเนื้อตัวอีกฝ่ายอย่างไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วน
ก็คงเป็นตอนที่มืออุ่นของท่านอสุราเริ่มกุมกระชับมือฉันไว้แน่น
จนพานให้เท้าที่เคยก้าวมุ่งไปยังเป้าหมายอย่างอย่างเร่งรีบหยุดชะงักลงโดนฉับพลัน เช่นเดียวกับสายตาที่หันเหทิศทางแบบไม่ต้องรอให้ใครสั่ง
เหลียวหลังกลับไปยังใครอีกคนที่ยืนทิ้งระยะห่างกันไว้แต่เพียงวงแขน
วินาทีที่ได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมคุ้นเคย ปฏิกิริยาทางกายก็รีบแสดงการตอบรับจากการถูกจับจ้องด้วยการรีบปล่อยมือหนาที่ถูกกุมไว้ให้หลุดออกทันทีเช่นกัน
โดยไม่ลืมกล่าวขอโทษพร้อมบอกเหตุผล ทว่า
“ขะ ขอโทษเจ้าค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย นึกว่ามากับเพื่อนน่ะเจ้าค่ะ” ทั้งที่เหตุผลของการปล่อยมือ เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกผิดที่ดันพลั้งเผลอถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายแบบไม่สมควรแท้ๆ
แต่เมื่ออีกฝ่ายตอบรับกลับมาเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆ บอกความรู้สึกเท่านั้น
ความรู้สึกบางอย่างกลับเริ่มก่อตัวขึ้นภายในความรู้สึกอย่างห้ามไม่ได้
“มิเป็นไรหรอก พี่หาได้ถือตัวยามอยู่กับแม่ทับทิมไม่…” ซ้ำยังรู้สึกรุนแรงมากขึ้น เมื่อคนตัวสูงตรงหน้า เลือกที่จะหลุบตามองลงไปยังมือตนเอง
ขณะเป็นฝ่ายเคลื่อนมาจับมือฉันไปกุมอีกครั้ง ขณะบดริมฝีปากเอ่ยวจี “ดีเสียด้วยซ้ำ หากถูกแม่ทับทิมจับกุมไว้เช่นนี้เป็นเพลาเนิ่นนาน”
ใจฉันกำลังเริ่มเต้นแรง เช่นเดียวกับทั่วหน้าที่จู่ๆ
ก็เริ่มร้อนขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้นั้น
ไม่ต่างไปจากความรู้สึกของแม่จันทน์ผาบนเรือพายในฝันเลยแม้แต่นิด…
“เมื่อครู่ แม่ทับทิมจักพาพี่ไปหนแห่งใดเล่า นำทางเสียสิ…” อีกหนที่ท่านอสุราเอ่ยบอกโดยยังคงรอยยิ้มใจดีไว้บนหน้า ซึ่งคำพูดและกริยาบนหน้าของเขาเพียงแค่นั้น
มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผู้ตกเป็นฝ่ายถูกจับกุม เบือนหน้าหลบเลี่ยงไปจากนัยน์ตาคู่เดิมเพื่อซ่อนสีหน้าและความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นแบบไม่ต้องผู้ใดออกปากสั่ง
ฉันเคยวาดฝันขณะอ่านตำนานของท้าวอสุเรนทร์ด้วยนะ…
สิ่งที่อยู่ในฝันมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักหรอก
มันก็คงเป็นห้วงอารมณ์หนึ่งที่เผลอรู้สึกอินไปกับเนื้อหาที่ได้อ่าน จนเก็บมาจินตนาการไม่ได้ว่า
หากฉันมีโอกาสได้เป็นอย่างแม่นิมมานรดีบ้างมันก็คงดี
เผื่อว่าจะได้มีโอกาสรับรู้ถึงรสสัมผัสอบอุ่นของชายอันเป็นที่รักดูบ้างสักครั้ง
ความรู้สึกตอนนี้ หากเปรียบเปรย คงไม่พ้นประโยคที่ว่า
ฝันกลายเป็นความจริงล่ะมั้ง
นับตั้งแต่ที่ยักษ์หนุ่มที่ฉันหลงใหลจากเนื้อหาในพงศาวดารปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
นอกจากสัมผัสที่เขามักใช้จู่โจมกันแบบไม่ให้ตั้งตัว นี่คงเป็นครั้งแรกเลยล่ะมั้ง
ที่ฉันมีโอกาสได้แตะเนื้อต้องตัวเขาอย่างตรงๆ ซ้ำยังเนินนานจนคล้ายกับว่ายังไม่ตื่นจากความฝัน
กึก…
แต่เพราะสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่เวลานี้
คือโลกของความจริงที่ฉันคือฉัน ไม่ใช่แม่นิมมานรดีแบบที่วาดฝันไว้
ทันทีที่พาตัวเองก้าวมาหยุดอยู่บริเวณหน้าแท่นวางหนังสือได้เป็นผลสำเร็จ
ฉันเลยถือโอกาสในช่วงเวลานั้น ดึงมือของตัวเองให้หลุดจากการถูกจับกุม ขณะเดียวกันก็รีบกวาดตามองหาหนังสือเก่าที่เป็นเป้าหมาย
ถึงจะกระทำทุกอย่างเผื่อเลี่ยงความรู้สึกลึกๆ ให้สงบลง แต่อย่างไรเสีย
ฉันก็ยังรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของท่านอสุราได้อยู่ดี
ต่อให้รับรู้ถึงกันและกันได้
แต่เราก็ไม่ได้เปิดปากพูดคุยกัน ฉันไม่ได้มองเขา ไม่สิ
เลือกที่จะไม่มองโดยพุ่งความสนใจไปยังหนังสือที่ต้องการเสียมากกว่า
ส่วนท่านอสุราเองก็คงทำเช่นนั้น
แต่ไม่นานนักหรอก ความเงียบระหว่างเราก็ถูกทำลายลง
“ที่แม่ทับทิมกล่าวว่า หากพูด พี่จักยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวนั้นไซร้
หมายถึงเรื่องอันใดงั้นรึ ?” ในจังหวะเดียวกันกับที่สายตาเหลือบขึ้นไปเจอกับหนังสือเล่มหนาที่ชั้นบนสุดของชั้นวางหนังสือพอดิบพอดี
ตำนานท้าวอสุเรนทร์
ด้วยเหตุนั้น คำถามของท่านอสุราจึงไม่ได้ถูกเอ่ยตอบโดยทันที
เมื่อร่างกายเริ่มขยับเขย่ง
เอื้อมไม้เอื้อมไปยังชั้นบนสุดของชั้นวางเพื่อหยิบสิ่งที่หมายปอง และตอนนั้นเอง…
กึก…
ความมีน้ำใจของท่านอสุราในแบบที่ฉันคุ้นเคยดีจากการอ่านหนังสือก็ปรากฏให้ได้เห็นเป็นบุญตา
เมื่อใครอีกคนซึ่งยืนมองทุกสิ่งอยู่ข้างๆ
เลือกที่จะเอื้อมมือขึ้นหยิบหนังโบราณเล่มเก่าจากชั้นวางลงมาให้ด้วยเพียงมือเดียวราวกับไม่รับรู้ถึงความหนักของหนังสือ
ไม่ต้องพูดหรือบอกอะไร ท่านอสุราก็เหมือนรู้งาน
เขาจัดแจงวางหนังสือเล่นใหญ่ที่หยิบลงมานั้นลงบนแท่นวางหนังสืออย่างเบามือ จากนั้นจึงกลับไปยืนท่าหลังพิงชั้นวางหนังสืออีกครั้งในท่ากอดอก
เห็นเขาหยิบยื่นน้ำใจให้แบบนี้แล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะขอบคุณ
“ขอบคุณนะเจ้าคะ…” ทว่า
คราวนี้เสียงตอบรับน้ำใจของฉันไม่ได้ถูกเขาแสดงอากัปกิริยาใดตอบรับกลับมา
ที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นนั้น มีเพียงท่าทีนิ่งงันในท่วงท่าเดิมแต่เพียงเท่านั้น
ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ ดูเหมือนว่าท่านอสุราจะไม่ได้มองหน้าฉันด้วย
การที่เป็นแบบนั้น คำตอบของคำถามซึ่งถูกอีกฝ่ายถามค้างไว้
จึงไม่กล้าหลุดลอดผ่านปากได้ตามดั่งที่ใจคิด คงเพราะเวลาที่เขาแสดงทีท่านิ่งขรึมแบบนั้น
ค่อนข้างดูดุดันสมเป็นยักษ์ จนพลอยให้ผู้มองเห็นรู้สึกกดดันล่ะมั้ง
แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา สิ่งที่ฉันทำต่อจากนั้นแทนการตอบคำถาม จึงเป็นการค่อยๆ
เปิดหนังสือเล่มใหญ่บนแท่นวางออกอย่างช้าๆ และเบามือ
เนื่องจากตำนานท้าวอสุเรนทร์เล่มนี้
เป็นหนังสือเล่มแรกซึ่งถูกจัดว่าเป็นต้นแบบของการตีพิมพ์เล่มยิบย่อยที่วางขายอยู่ตามร้านหนังสือ
ซ้ำยังมีประวัติและอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี นั่นเลยการทำให้การแตะต้องหนังสือล้ำค่าและหายากเล่มนี้นั้นค่อนข้างต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะหากเกิดการชำรุดหรือเสียหาย
อาจต้องถูกปรับด้วยเงินเป็นจำนวนไม่สามารถนับมูลค่าได้
และใช่! มุมนี้น่ะ
ไม่ค่อยมีใครเขาเข้ามาหาหนังสือเก่าอ่านกันมากนักหรอก!
ส่วนเหตุผลที่ฉันเลือกที่จะมาเปิดหาข้อมูลที่สงสัยจากหนังสือเก่าเล่มนี้ก็คงเพราะความหนาของมันกว่าพันหน้า
ซึ่งเมื่อเทียบกับเล่มปกติทั่วไปนั้นมีความต่างอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งมันอาจเป็นไปได้ว่า ภายในหนังสือเล่มแรกซึ่งใช้ภาษาไทยโบราณในการจารึกเป็นตัวอักษรไว้นั้น
อาจจะมีบทกลอนบางส่วนที่ยังไม่ถูกแกะและตีพิมพ์วางขายอยู่ก็ได้
และเหมือนว่าฉันจะคิดถูก
เมื่อสายตาดันสะดุดเข้ากับจารึกบทหนึ่งบนหน้าหนังสือโดยบังเอิญ
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น