ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังเก็บฟิค ( sf / os )

    ลำดับตอนที่ #15 : OS - Once (Jaedo)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 60


    Jaedo } Once
    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ magpie tumblr


        ถ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน...นายจะทำอะไร ผมถามขึ้นหลังจากต่างคนต่างเงียบมานาน แจฮยอนเอียงคอมองหน้าผมยิ้มๆ เขาหัวเราะให้กันคำถามแล้วพูดตอบตอบด้วยท่าทีสบายๆ

        ฮ่าๆ พี่ล้อเล่นอะไรเนี่ย

        แจฮยอน...ฉันถามจริงๆ นายจะทำอะไร ผมถามด้วยเสียงสั่นเครือและสีหน้าจริงจัง ร่างสูงเอนตัวแล้วยื่นมือข้ามโต๊ะมาปาดน้ำตาบนใบหน้าของผมออกอย่างอ่อนโยน เปลือกตาของผมหลับลงเพื่อรับสัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วของเขาแล้วกระซิบเสียงแผ่ว “จะทำอะไรก็ให้หมดเลย...”


        ‘โดยอง...แกไปเลิกกับมันซะ’ เสียงประกาศิตของชายวัยกลางคนดังขึ้น ผมมองร่างของคุณพ่อหรือที่เรียกติดปากว่าป๊าด้วยความแปลกใจปนตระหนก

        ‘อะไรนะ?’

        ‘ไปเลิกกับไอ้แจฮยอนมันซะ แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?’

        ‘แล้วทำไมผมต้องเลิกกับแจฮยอน’

        ‘แกรู้ใช่มั้ย...ว่าฉันอยากได้ลูกชายแค่ไหน? แล้วแกรู้ใช่มั้ย ว่าหน้าที่ของลูกชายคืออะไร?’

        ‘...’

        ‘แกเป็นลูกชายคนเดียว...ถ้าคนอื่นรู้มันจะเสียศักดิ์ศรีวงตระกูลแค่ไหน แกรู้ใช่มั้ย?!!’

        ‘ป๊า!! เรื่องรักมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ อีกอย่างเรื่องแบบนี้เขาก็รับกันได้หมดแล้ว มีแต่ป๊าอะ ที่ปิดกั้นไม่ยอมรับอะไรเลย!’ ผมพูดเสียงดังไปเพราะอารมณ์โมโห มือกำแน่นจนเล็กจิกเข้าไปในอุ้งมือ

        ‘ฉันให้เวลาแค่ถึงพรุ่งนี้ เลิกกับมันซะ’ ร่างสูงโย่งของผู้เป็นพ่อเดินขึ้นห้องไปหลังจากทิ้งคำสั่งด้วยเสียงและท่าทางวางอำนาจ ร่างของผมทรุดเกาะโซฟาใกล้ตัว แม่บ้านเข้ามาปลอบประโลมและซับน้ำตาให้


        “...ถ้าเป็นครั้งสุดท้าย...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง ปลายนิ้วอุ่นไล้ตามกรอบหน้าเรียวอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม “ผมคงทำทุกวิถีทางให้พี่ไม่ไปจากผมล่ะมั้ง”

        น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าให้เปียกชื้นอีกครั้ง ผมมองแจฮยอนผ่านม่านน้ำตาแล้วพึมพำตอบ 

        “ก็ทำสิ...แล้วฉันจะไม่ไปจากนาย”

        จบคำพูดนั้นแจฮยอนก็ย้ายร่างตัวเองมานั่งข้างๆแล้วกุมมือผมไว้ ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากเบาๆ ก่อนจะลากไล้ลงมาตามสันจมูกแล้วกดแรงลงไปที่ปลาย เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงเพื่อรับความอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วจากปากของเขา

        ใบหน้าขาวผละออกไปก่อนจะทาบทับริมฝีปากลงมา เพียงแค่นั้นหัวใจก็เต้นรัวเร็ว และยิ่งเร็วกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการดูดเม้มจนปากบวมเจ่อ สิ้นสากรุกเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานไปดังเช่นทุกครั้ง



        “โดยอง” เสียงขุ่นๆของคุณพ่อเรียกขึ้นเมื่อผมก้าวเข้าไปในบ้าน ร่างของเขานั่งจ้องผมอยู่ที่โซฟา “แกไปไหนมา ทำไมกลับดึกดื่นเอาป่านนี้”

        “...” ผมเลือกที่จะไม่ตอบและเดินผ่านท่านไปเหมือนอากาศ ขาก้าวขึ้นบันไดด้วยความปวดร้าว 

        “แกไปเลิกกับมันมาแล้วใช่มั้ย?”

        “...” อีกครั้งที่ผมไม่ตอบ และดูเหมือนท่านจะไม่พอใจ แรงกระชากที่แขนทำให้ร่างของผมเซถลาลงจากบันไดที่เพิ่งขึ้นไปได้เพียงสองขั้น

        “โอ๊ย...” ผมเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บจี๊ดที่แล่นเข้ามา เรียวคิ้มเข้มของผู้ชายตรงหน้าขมวดเข้าหากันก่อนจะเบิกตากว้างแล้วกระซิบถามลอดไรฟัน

        “นี่แกกับมัน...ได้กันแล้วเหรอ” แรงบีบที่แขนมากขึ้นเรื่อยๆจนเกิดรอยแดง น้ำตาที่สกัดกลั้นมานานค่อยไหลลงมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงและชุ่มน้ำ

        “ป๊าไม่ต้องมายุ่ง...” ผมพยายามเหวี่ยงแขนเพื่อสะบัดมือใหญ่ที่ออกแรงบีบมากเรื่อยๆ “โอ๊ยป๊า! ผมเจ็บ!!”

        “ฉันบอกแกว่าไง?!! ไป! เลิก! กับ! มัน! ซะ!” ใบหน้าแดงก่ำแสดงความกราดเกรี้ยวออกมาแล้วตะคอกเสียงดัง ความทรงจำที่ถูกตรงตรึงอยู่ในสมองค่อยๆแล่นเข้ามาทีละภาพทีละเหตุการณ์ราวกับหนังที่ถูกฉายอยู่ในหัว


        ร่างเล็กของผมถูกคุณพ่อลากเข้าบ้านมาด้วยความรุนแรงจนแม่บ้านยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาทุกคนที่เราเดินผ่านมาเบิกกว้างด้วยความตะลึงงัน ผมก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าชุ่มน้ำตาไว้ไม่ให้พ่อเห็น

        ‘อธิบายมา ว่าสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อกี้คืออะไร’

        สิ่งที่พ่อเห็น...ภาพที่ริมฝีปากของผมถูกครอบครองโดยเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่อนุบาลจวบจนถึงตอนนี้ ซึ่งจะจบประถมปลายแล้ว

        ‘ผมกับแทยงแค่เล่นกันเฉยๆ...’ ผมตอบเสียงแผ่ว ชายตรงหน้าเงื้อมือขึ้นแล้วตบหน้าผมจนร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้น หยาดน้ำตาใสไหลรินลงมาทาบทับแผลราวกับจะปลอบประโลม

        ‘ว๊าย! นี่คุณ!! ตบลูกทำไม?!’ คุณแม่ที่เพิ่งเปิดห้องเข้ามาโถมตัวลงมากอดผมไว้ เธอใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ‘ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไรนะครับคนดีของม๊า’

        ‘มัวแต่โอ๋ลูกอย่างนี้ไง...ลูกมันถึงจะกลายเป็นตุ๊ดไปแล้วน่ะ!!’

        ‘แล้วไง! ลูกเป็นแล้วไง ลูกเราหรือเปล่าล่ะ!!’

        ‘เหอะ...’ พ่อหัวเราะในลำคอพลางใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ดวงตาโกรธเกรี้ยวเหลือบมองผมก่อนจะพูดเสียงต่ำ เขาชี้หน้าผมเหมือนจะขู่ ‘อย่าให้ฉันเห็นอีกนะ’

        แล้วหลังจากนั้นร่างของเขาก็เดินออกไปจากห้อง เสียงปิดประตูดัง ปัง! ทำให้ผมสะดุ้ง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยแรงสะอื้น คุณแม่กอดผมและลูบหัวไปพลาง เสียงหวานกระซิบบอกข้างหู

        ‘ไว้ออกไปจากที่นี่กันนะ...’

        แล้วคุณแม่ก็ไปจริงๆ แต่บางทีเธออาจจะลืมบางอย่างไว้...

        เธอลืมพาผมไปด้วย


        “ไม่! ป๊าไม่มีสิทธิ์มาสั่งอะไรผม!” ผมตวาดเสียงดังแล้วบิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุม ก่อนจะจ้องดวงตาที่ฉายความไม่พอใจชัดเจนแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไป เสียงเข้มตะโกนไล่หลังขึ้นมาเสียงดัง

        “แกอย่าลืมนะว่าอยู่บ้านใคร! ฉันมีสิทธิ์สั่งตราบใดที่แกยังอยู่บ้านฉัน!!”

        “เดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่อยู่แล้ว” ผมพูดตอบด้วยเสียงธรรมดา พยายามแผ่วให้ค่อยแต่คุณพ่อกลับได้ยิน ผมเหลือบมองคนข้างหลัง นัยน์ตาของเขาเหมือนถูกกระตุกไปชั่ววูบ เหมือนจะมีความรู้สึกผิด...แต่จู่ๆมันก็ถูกถาโถมด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นเดิม

        “แกว่าไงนะ!!”

        ผมเร่งฝีเท้าให้ถึงห้องเร็วที่สุด อุ้งมือจับลูกบิดประตูแล้วเปิดออกก่อนจะโถมตัวเข้าไป ผมใช้ทั้งร่างดันประตูให้ปิดลงจากนั้นก็ล็อกมันซะ เหมือนขาจะอ่อนแรงไปชั่วขณะ ผมทรุดตัวไถลลงกับประตูพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

        “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรงก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้น มือยกขึ้นปาดน้ำตาลวกแล้วค่อยๆเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก ผมเขย่งปลายเท้าเอื้อมมือไปกวาดกระเป๋าบนหลังตู้แล้วเปิดมันออกกางไว้บนเตียง มือทั้งสองดึงเสื้อผ้าออกมาแล้วขยำโยนลงไปในกระเป๋า

        ปัง! ปัง! ปัง!

        “ไอ้โดยอง!! แกคิดจะทำอะไร?!!” เสียงกระหน่ำทุบประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงด่าทอด้วยความโมโห ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้หลุดสะอื้นออกมา น้ำตาที่เหือดแห้งไปไหลกลับมาอีกรอบ และดูเหมือนจะมากกว่าเดิม

        “อึก...ฮะ ฮึก...”

        แกร๊ก...

        ผมเบิกตากว้างแล้วหันไปมองร่างที่ยืนขวางอยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาซีดเผือดแล้วพุ่งเข้ามากระชากแขนผมอย่างแรงจนเซ

        “ป๊า!! ผมเจ็บ!!!”

        “ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าคิดจะหนีอีก...เจอดีแน่” เสียงฟันครูดกันดังมาจากในปากที่สั่นระริดของพ่อ ผมมองหน้าเขาผ่านม่านน้ำตาที่ทำให้ทุกอย่างมัวหมอง ตัวของผมสั่นสะท้านแม้แขนทั้งสองจะถูกจับยึดไว้ก็ตาม

        “ป๊าจะทำอะไร...” เขาปล่อยผมแล้วเดินไปที่ประตู ผมถามเสียงแผ่วเมื่อเห็นร่างนั้นค่อยเดินไปที่ประตูแล้วแง้มปิดลง ดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธโมโหมองผมผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้แล้วตอบกลับมา

        “ถ้าคิดจะหนีออกไปนัก ก็อยู่ในนั้นไปนั่นแหละ”

        กึก!

        เสียงล็อกประตูจากข้างนอกดังขึ้น ผมพุ่งตัวไปกระชากประตูให้เปิดออกหลายครั้ง แต่มันก็ไม่แม้แต่สะเทือนด้วยซ้ำ แขนทั้งสองข้างกระหน่ำทุบประตูด้วยแรงที่มีพลางตะโกนออกไป

        “ป๊าทำแบบนี้ไม่ได้นะ!!! ปล่อยผมนะป๊า ผมโตแล้ว!!” ผมพูดเสียงดังแล้วสะอึกก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เสียงเย็นพูดโต้กลับมาจากอีกฝั่งของประตู

        “โทรศัพท์ของแกอยู่กับฉัน แล้วฉันจะจัดการให้แล้วกัน”

        “ป๊า!!!” สิ้นเสียงตระโกนของผมเงาที่ทอดกายลงบนพื้นก็หายลับไป ผมเดินโอนเอนไปทิ้งตัวลงบนเตียงที่ไร้ความอบอุ่น น้ำตาไหลอาบที่ผ้าปูสีขาวจนเปียกชุ่ม

        ผ่านไปสักพักผมก็นึกอะไรขึ้นได้ ผมลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปที่โต๊ะเครื่องเขียน เปิดลิ้นชักออกมา หากดูผ่านไม่ตรวจสอบอะไรมันก็แค่ลิ้นชักเปล่าๆธรรมดา แต่มันไม่ใช่ ผมหยิบแผ่นไม้ที่ควรจะเป็นพื้นรองออก แล็ปท็อปสีเงินวาวที่ผมซ่อนมันไว้ตลอดตั้งแต่เพิ่งซื้อมาวางแน่นิ่งอยู่ที่ก้นลิ้นชัก ผมยิ้มกว้างออกมา มันมีขนาดเล็กกว่าความกว้างลิ้นชักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

        ผมวางมันลงบนเตียงก่อนจะเปิดมันออก ฝุ่นเกรอระกรังที่ติดอยู่กับแล็ปท็อปเปื้อนที่นอนผมเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมเปิดเบราว์เซอร์ที่ใช้ประจำขึ้นมา โชคดีที่เชื่อมเน็ตไว้แล้วและไม่มีใครไปปิดมันเสียก่อน

        สีน้ำเงินของเว็บไซต์สื่อสารทำให้ผมตาสว่างและลุกแวววาวขึ้นมา ผมไล่หาชื่อแจฮยอนก่อนจะกดคลิก กล่องแชทเด้งขึ้นมา ผมจรดปลายนิ้วจะพิมพ์แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อีก...

        ถ้าอย่างนั้นป๊าก็รู้สิ...

        “บ้าเอ๊ย...ไลน์ก็ไม่ได้ เฟซก็ไม่ได้” ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับแสงจากภายนอกที่สาดเข้ามา ผมรีบยกแล็ปท็อปลงวางกับพื้นแล้วใช้ปลายนิ้วดันมันเข้าไปใต้เตียงก่อนจะหันไปมองหน้าแม่บ้านที่วางถาดอาหารลง

        “เผื่อคุณหนูหิวค่ะ...” เธอยิ้มเจื่อนๆเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของผม สายตาของแม่บ้านไล่มองจนเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นรอยแผลที่มุมปากรวมถึงรอยแดงที่แก้ม “อ๊ะ...เดี๋ยวป้าเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้นะคะ”

        ผมพยักหน้ารับเบาๆ เธอปิดประตูลง ผ่านไปสักพักหนึ่งผมนั่งนิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ล็อก แต่แล้วเสียงกดล็อกก็ทำลายความหวังนั่นลง ผมถอนหายใจออกมาอย่างห่อเหี่ยวใจ

        ผ่านไปไม่กี่นาทีเสียงปลดล็อกดังกริ๊กกับร่างแม่บ้านพร้อมด้วยอุปกรณ์ทำแผลในมือก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตู ผมเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อยก่อนจะเบือนหนีเมื่อน้ำตามันกำลังไหลลงมาอีกครั้งอย่างเงียบงัน แม่บ้านวางกล่องปฐมพยาบาลลงแล้วพูดขึ้นเสียงอ่อนโยน

        “อย่าลืมทานอาหารด้วยนะคะคุณหนู อย่าฝืนตัวเองเลย” ผมพยักหน้าเล็กน้อย ร่างนั้นยิ้มให้ผมบางๆแล้วเดินออกไป...

        โดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูไว้เช่นเดิม



        เวลาผ่านไปจนกระทั่งแสงแรกของเช้าวันใหม่สาดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใส ผมที่นอนขนตัวอยู่บนเตียงเย็นเยือกค่อยๆลืมตาขึ้นมา ผมยังอยู่ที่เดิม ในชุดเดิม ถาดอาหารที่ถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืดยังคงอยู่ที่เดิม

        คุณพ่อเดินมาถอนหายใจฟืดฟาดอยู่หน้าประตูห้องอยู่หลายหน ดูเหมือนเขากำลังลังเลที่จะทำอะไรบางสิ่ง

        ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้น แขนไร้เรี่ยวแรงปวดขึ้นมาจนเหมือนจะแตกสลายเสียให้ได้ ผมทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนยับยู่ยี่อีกครั้งแล้วหลุบตาลงมองแขนเล็กของตัวเอง มุมปากยกขึ้นช้าๆเหมือนจะเย้ยหยันในความสมเพช

        ดวงตากลมกวาดมองไปทั่วห้อง ช่องทางหนีเหมือนจะถูกปิดกั้นไปทุกทาง ราวกับเป็นกระต่ายตัวเล็กๆที่ติดกับอยู่ในกรงซึ่งไม่มีทางออก

        “ฮ่า...” ผมเดินไปเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นพัดเข้ามาปะทะหน้าผม อากาศเย็นที่เคยสูดแล้วสดชื่น บัดนี้กลับแหลมคมและบาดจมูกจนแสบไปหมด ผมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อหันกลับไปมองในห้องมืดไร้แสงไฟ แปลก...ถึงแม้ตอนนี้จะสว่างแล้ว แต่ในห้องกลับหม่นแสง เหมือนคุกที่มีเครื่องใช้พร้อมดีๆนี่เอง 

        ในขณะที่ตัดพ้ออยู่ในใจนานนับนาที ท้องก็ร้องประท้วง ผมปิดบานหน้าต่างลงแล้วไปนั่งกอดเข่าข้างๆถาดอาหารของเมื่อวานเพื่อรอเวลาอาหารเช้า ผมเชื่อว่าถ้าถึงเวลาอาหารเช้ายังไงก็ต้องมีแม่บ้านสักคนยกถาดอาหารอุ่นๆมาให้ ถ้าหากไม่มีก็คงต้องกินซุปเย็นๆนี้ประทังชีวิตไป

        แอ๊ด...

        ตามคาด เมื่อถึงเวลาแม่บ้านคนเดิมก็ถือถาดอาหารเข้ามา เมื่อเธอเหลือบเห็นอาหารของเมื่อวานที่ไม่ลดลงเลยก็เบิกตากว้างแล้วร้องขึ้น

        “ว้าย...คุณหนูยังไม่กินอาหารอีกเหรอคะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะเอา”

        “เมื่อวานผมไม่หิวน่ะครับ...แต่พอมาหิวเอาตอนนี้ก็กินอาหารที่เย็นแล้วไม่ลง เลยมานั่งรอถาดอาหารใหม่” ผมตอบพลางยิ้มน้อยๆแล้วเอื้อมมือไรับถาดอาหารจากแม่บ้าน เธอส่ายหัวช้าๆแล้วยิ้มรับบางๆ

        “ค่ะ ทานให้อร่อยนะคะคุณหนู”

        ผมใช้ช้อนตักข้าวต้มขึ้นมา ความอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปากและลำคอเมื่อผมกลืนมันลงไป อย่างน้อยก็มีสิ่งที่ทำให้ยิ้มได้นิดหน่อย

        หลังจากที่ได้ทานอะไรแล้วดูเหมือนว่าสมองจะแล่นขึ้นมา ดวงตาที่เคยกวาดมองแล้วดูเหมือนทุกสิ่งจะว่างเปล่าและไร้ค่ากลับดูเป็นทางออกขึ้นมา

        บานหน้าต่างใหญ่ที่พวกเขาไม่ได้ล็อก ด้วยความที่อยู่ชั้นสอง พวกเขาคงไม่คิดว่าผมจะสามารถหรือกล้าปีนลงไป แต่ขอบหน้าต่างของห้องข้างล่างซึ่งอยู่ตรงกันพอดีก็ทำให้ทุกอย่างดูไม่น่ากลัว

        ผมจะออกไปจากที่นี่ในตอนกลางคืนหลังจากที่แม่บ้านนำอาหารเย็นเข้ามาให้แล้ว และแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาอีก ผมจะสวมหมวกและแต่งกายให้เป็นโทนมืด หลังจากลงไปได้ผมก็จะปีนข้ามรั้วไป โชคดีที่รั้วไม่ได้สูงนัก

        ผมเอาของใส่กระเป๋าเป้ไปเท่าที่จำเป็น แน่นอนว่ารวมถึงเงินสำรองและแล็ปท็อปของผมด้วย ส่วนบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิตต่างๆมีอยู่ในกระเป๋าสตางค์ผมอยู่แล้ว ผมหวังว่าเขาจะไม่ใจร้ายจนถึงขั้นไม่ให้ลูกตัวเองใช้เงินในบัญชี

        ภายในห้องมือลงอีกครั้ง แม่บ้านยกถาดอาหารเย็นมาให้เช่นเดิม เมื่อถึงเวลาสองทุ่มผมนั่งเขย่าขาแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมาจากอก เมื่อเห็นว่าสมควรแล้วผมก็แปะโพสต์อิสลงกับโต๊ะเครื่องเขียน

        ลมเย็นที่ถูกพัดเข้ามาเสียดสีกับร่างกายในตอนนี้ทำให้รู้สึกขนลุกพิกล ผมหย่อนขาลงไปวางบนขอบหน้าต่างที่ยื่นออกมาเล็กน้อยแต่พอยืนได้ และเป็นโลคดีอีกครั้งที่ห้องนี้เป็นเพียงห้องเก็บของซึ่งถูกทิ้งไปนานแล้ว

        ขาข้างที่สองก้าวตามลงไป ผมใช้มืออีกข้างที่ไม่เจ็บคว้าขอบหน้าต่างข้างบนไว้ บ้านของผมใหญ่และมีฐานะก็จริง แต่เราไม่ได้ถึงขั้นจ้างบอร์ดี้การ์ดมายืนเฝ้าเหมือนในหนังหรือละคร

        มือเท้าทั้งสองแตะถึงพื้นผมก็เดินเลี่ยงจุดที่มีกล้องวงจรปิดแล้วปีนข้ามรั้วไปสบายๆ ผมลอบถอนหายใจก่อนจะเดินเท้าไปในทางที่คุ้นเคย จนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นตึกสูงตระหง่าน

        คอนโดของแจฮยอน...

        ผมถอดหมวกออกแล้วเดินก้าวเข้าไป พนักงานสาวที่คุ้นเคยกับดีทักขึ้น

        “มาหาแจฮยอนเหรอ?”

        “อืม...อย่าบอกใครนะว่าฉันมาที่นี่...ห้ามบอกเด็ดขาด” ผมกระซิบเสียงแผ่วให้ได้ยินเพียงเราสองคน ด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังของผมทำให้เธอพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย ผมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะขึ้นลิฟต์ไป เมื่อถึงหน้าห้องผมก็เคาะประตู เงาของคนข้างในขยับอยู่หน้าประตูเล็กน้อยก่อนที่มันจะเปิดออกแล้วตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปอย่างรวดเร็ว

        อ้อมกอดอุ่นที่ผมโหยหามาตลอดเกือบสองวันทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ผมยกมือขึ้นสวมกอดร่างสูงตรงหน้าแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาช้าๆ

        “หายไปไหนมา...ไหนบอกจะกลับไปเก็บของแล้วจะรีบมาหาไง...ผมรอตั้งนานนะรู้มั้ย” แจฮยอนกระซิบเสียงสั่นเครือ แขนแกร่งกระชับอ้อมกอดแน่น

        “ถูกกักบริเวณน่ะ...อา...ไม่สิ ถูกขังน่ะ เลยหนีออกมา”

        น้ำอุ่นที่กระทบลงบนไหล่เล็กทำให้ผมเบิกตากว้างชึ้นเล็กน้อย เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้นจากคนที่กำลังกอดผมแน่น

        “ผมทำให้พี่ลำบากหรือเปล่า...?”

        “ไม่หรอก...อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ” ผมพูดเสียงแผ่วก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “มีคนใช้เฟซฉันบอกเลิกนายหรือเปล่า?”

        “ไม่นี่...แชทพี่เงียบมากอะ”

        “จริงเหรอ...ขอดูโทรศัพท์หน่อยสิ” ผมผละออกก่อนจะแบมือไปตรงหน้า แจฮยอนยกยิ้มน้อยๆก่อนจะควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงมาวางแหมะบนมือผม ผมเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตามด้วยร่างสูงที่มานั่งคลอเคลียใกล้ๆ

        ผมต้องมองแชทตัวเองที่ไม่มีการตอบกลับมา ข้อความล่าสุดที่แจฮยอนส่งไปไม่มีเครื่องหมายอ่านขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อเห็นอย่างนี้ผมก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่พ่อไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง



        ร่างของชายวัยกลางคนเดินบีบมือตัวเองจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่ง ความรู้สึกผิดฉายชัดอยู่ในดวงตาสีดำสนิท เขายืนลังเลอยู่สักพักก่อนที่จัดสินใจปลดล็อกแล้วเปิดประตูเข้าไป

        ลมเย็นพักปะทะหน้าขาวซีดเป็นการต้อนรับ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นหน้าต่างบานใสเปิดค้างไว้ ถายในห้องว่างเปล่าไร้วี่แววคนตัวเล็ก เขาถลาตัวเข้าไปคว้าโพสต์อิสบนโต๊ะเครื่องเขียนขึ้นมาอ่าน

    ผมทนไม่ไหวแล้ว
    ไม่ต้องตามหาผม เพราะผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นจะยังอยู่หรือเปล่า
    แต่ต่อให้ผมยังอยู่...ผมขอร้อง อย่าตามหาผม
    อย่ามายุ่งกับผมอีกเลย
                                                                                    โดยอง

        น้ำอุ่นใสไหลลงมาโดยไร้ซึ่งเสียงสะอื้น ร่างทั้งร่างทรุดลงข้างเตียงแล้วใช้หน้าแนบกับผ้าปูสีขาวยับยู่ พยายามซึมซับความอบอุ่นของเจ้าของเตียงแต่มันกลับเยือกเย็น

    บางทีเราก็ไม่สามารถเลือกอะไรให้ถูกได้เสมอไป
    แต่สิ่งที่พึงคำนึงถึงก็คือ เลือกสิ่งที่จะไม่ทำให้เราเสียใจในภายหลัง
    สิ่งที่จะไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจกับการเลือกของเรา
    เพราะไม่เช่นนั้น บางทีเราอาจจะต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้

    - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    อะไรคือคำคมตอนจบคะ
    ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มันแวบเข้ามา
    (. . )(. .)( . .)
    ขอให้ชอบนะคะ ดองนานมากๆจริงๆ
    ไรท์ขอโทษจ้า T-T

    © themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×