ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : OS - Once (Jaedo)
Jaedo } Once
“ถ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน...นายจะทำอะไร” ผมถามขึ้นหลังจากต่างคนต่างเงียบมานาน แจฮยอนเอียงคอมองหน้าผมยิ้มๆ เขาหัวเราะให้กันคำถามแล้วพูดตอบตอบด้วยท่าทีสบายๆ
“ฮ่าๆ พี่ล้อเล่นอะไรเนี่ย”
“แจฮยอน...ฉันถามจริงๆ นายจะทำอะไร” ผมถามด้วยเสียงสั่นเครือและสีหน้าจริงจัง ร่างสูงเอนตัวแล้วยื่นมือข้ามโต๊ะมาปาดน้ำตาบนใบหน้าของผมออกอย่างอ่อนโยน เปลือกตาของผมหลับลงเพื่อรับสัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วของเขาแล้วกระซิบเสียงแผ่ว “จะทำอะไรก็ให้หมดเลย...”
‘โดยอง...แกไปเลิกกับมันซะ’ เสียงประกาศิตของชายวัยกลางคนดังขึ้น ผมมองร่างของคุณพ่อหรือที่เรียกติดปากว่าป๊าด้วยความแปลกใจปนตระหนก
‘อะไรนะ?’
‘ไปเลิกกับไอ้แจฮยอนมันซะ แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?’
‘แล้วทำไมผมต้องเลิกกับแจฮยอน’
‘แกรู้ใช่มั้ย...ว่าฉันอยากได้ลูกชายแค่ไหน? แล้วแกรู้ใช่มั้ย ว่าหน้าที่ของลูกชายคืออะไร?’
‘...’
‘แกเป็นลูกชายคนเดียว...ถ้าคนอื่นรู้มันจะเสียศักดิ์ศรีวงตระกูลแค่ไหน แกรู้ใช่มั้ย?!!’
‘ป๊า!! เรื่องรักมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ อีกอย่างเรื่องแบบนี้เขาก็รับกันได้หมดแล้ว มีแต่ป๊าอะ ที่ปิดกั้นไม่ยอมรับอะไรเลย!’ ผมพูดเสียงดังไปเพราะอารมณ์โมโห มือกำแน่นจนเล็กจิกเข้าไปในอุ้งมือ
‘ฉันให้เวลาแค่ถึงพรุ่งนี้ เลิกกับมันซะ’ ร่างสูงโย่งของผู้เป็นพ่อเดินขึ้นห้องไปหลังจากทิ้งคำสั่งด้วยเสียงและท่าทางวางอำนาจ ร่างของผมทรุดเกาะโซฟาใกล้ตัว แม่บ้านเข้ามาปลอบประโลมและซับน้ำตาให้
“...ถ้าเป็นครั้งสุดท้าย...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง ปลายนิ้วอุ่นไล้ตามกรอบหน้าเรียวอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม “ผมคงทำทุกวิถีทางให้พี่ไม่ไปจากผมล่ะมั้ง”
น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าให้เปียกชื้นอีกครั้ง ผมมองแจฮยอนผ่านม่านน้ำตาแล้วพึมพำตอบ
“ก็ทำสิ...แล้วฉันจะไม่ไปจากนาย”
จบคำพูดนั้นแจฮยอนก็ย้ายร่างตัวเองมานั่งข้างๆแล้วกุมมือผมไว้ ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากเบาๆ ก่อนจะลากไล้ลงมาตามสันจมูกแล้วกดแรงลงไปที่ปลาย เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงเพื่อรับความอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วจากปากของเขา
ใบหน้าขาวผละออกไปก่อนจะทาบทับริมฝีปากลงมา เพียงแค่นั้นหัวใจก็เต้นรัวเร็ว และยิ่งเร็วกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการดูดเม้มจนปากบวมเจ่อ สิ้นสากรุกเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานไปดังเช่นทุกครั้ง
“โดยอง” เสียงขุ่นๆของคุณพ่อเรียกขึ้นเมื่อผมก้าวเข้าไปในบ้าน ร่างของเขานั่งจ้องผมอยู่ที่โซฟา “แกไปไหนมา ทำไมกลับดึกดื่นเอาป่านนี้”
“...” ผมเลือกที่จะไม่ตอบและเดินผ่านท่านไปเหมือนอากาศ ขาก้าวขึ้นบันไดด้วยความปวดร้าว
“แกไปเลิกกับมันมาแล้วใช่มั้ย?”
“...” อีกครั้งที่ผมไม่ตอบ และดูเหมือนท่านจะไม่พอใจ แรงกระชากที่แขนทำให้ร่างของผมเซถลาลงจากบันไดที่เพิ่งขึ้นไปได้เพียงสองขั้น
“โอ๊ย...” ผมเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บจี๊ดที่แล่นเข้ามา เรียวคิ้มเข้มของผู้ชายตรงหน้าขมวดเข้าหากันก่อนจะเบิกตากว้างแล้วกระซิบถามลอดไรฟัน
“นี่แกกับมัน...ได้กันแล้วเหรอ” แรงบีบที่แขนมากขึ้นเรื่อยๆจนเกิดรอยแดง น้ำตาที่สกัดกลั้นมานานค่อยไหลลงมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงและชุ่มน้ำ
“ป๊าไม่ต้องมายุ่ง...” ผมพยายามเหวี่ยงแขนเพื่อสะบัดมือใหญ่ที่ออกแรงบีบมากเรื่อยๆ “โอ๊ยป๊า! ผมเจ็บ!!”
“ฉันบอกแกว่าไง?!! ไป! เลิก! กับ! มัน! ซะ!” ใบหน้าแดงก่ำแสดงความกราดเกรี้ยวออกมาแล้วตะคอกเสียงดัง ความทรงจำที่ถูกตรงตรึงอยู่ในสมองค่อยๆแล่นเข้ามาทีละภาพทีละเหตุการณ์ราวกับหนังที่ถูกฉายอยู่ในหัว
ร่างเล็กของผมถูกคุณพ่อลากเข้าบ้านมาด้วยความรุนแรงจนแม่บ้านยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตาทุกคนที่เราเดินผ่านมาเบิกกว้างด้วยความตะลึงงัน ผมก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าชุ่มน้ำตาไว้ไม่ให้พ่อเห็น
‘อธิบายมา ว่าสิ่งที่ฉันเห็นเมื่อกี้คืออะไร’
สิ่งที่พ่อเห็น...ภาพที่ริมฝีปากของผมถูกครอบครองโดยเพื่อนข้างบ้าน เพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่อนุบาลจวบจนถึงตอนนี้ ซึ่งจะจบประถมปลายแล้ว
‘ผมกับแทยงแค่เล่นกันเฉยๆ...’ ผมตอบเสียงแผ่ว ชายตรงหน้าเงื้อมือขึ้นแล้วตบหน้าผมจนร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้น หยาดน้ำตาใสไหลรินลงมาทาบทับแผลราวกับจะปลอบประโลม
‘ว๊าย! นี่คุณ!! ตบลูกทำไม?!’ คุณแม่ที่เพิ่งเปิดห้องเข้ามาโถมตัวลงมากอดผมไว้ เธอใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ‘ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไรนะครับคนดีของม๊า’
‘มัวแต่โอ๋ลูกอย่างนี้ไง...ลูกมันถึงจะกลายเป็นตุ๊ดไปแล้วน่ะ!!’
‘แล้วไง! ลูกเป็นแล้วไง ลูกเราหรือเปล่าล่ะ!!’
‘เหอะ...’ พ่อหัวเราะในลำคอพลางใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ดวงตาโกรธเกรี้ยวเหลือบมองผมก่อนจะพูดเสียงต่ำ เขาชี้หน้าผมเหมือนจะขู่ ‘อย่าให้ฉันเห็นอีกนะ’
แล้วหลังจากนั้นร่างของเขาก็เดินออกไปจากห้อง เสียงปิดประตูดัง ปัง! ทำให้ผมสะดุ้ง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยแรงสะอื้น คุณแม่กอดผมและลูบหัวไปพลาง เสียงหวานกระซิบบอกข้างหู
‘ไว้ออกไปจากที่นี่กันนะ...’
แล้วคุณแม่ก็ไปจริงๆ แต่บางทีเธออาจจะลืมบางอย่างไว้...
เธอลืมพาผมไปด้วย
“ไม่! ป๊าไม่มีสิทธิ์มาสั่งอะไรผม!” ผมตวาดเสียงดังแล้วบิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุม ก่อนจะจ้องดวงตาที่ฉายความไม่พอใจชัดเจนแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไป เสียงเข้มตะโกนไล่หลังขึ้นมาเสียงดัง
“แกอย่าลืมนะว่าอยู่บ้านใคร! ฉันมีสิทธิ์สั่งตราบใดที่แกยังอยู่บ้านฉัน!!”
“เดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่อยู่แล้ว” ผมพูดตอบด้วยเสียงธรรมดา พยายามแผ่วให้ค่อยแต่คุณพ่อกลับได้ยิน ผมเหลือบมองคนข้างหลัง นัยน์ตาของเขาเหมือนถูกกระตุกไปชั่ววูบ เหมือนจะมีความรู้สึกผิด...แต่จู่ๆมันก็ถูกถาโถมด้วยความเกรี้ยวกราดเช่นเดิม
“แกว่าไงนะ!!”
ผมเร่งฝีเท้าให้ถึงห้องเร็วที่สุด อุ้งมือจับลูกบิดประตูแล้วเปิดออกก่อนจะโถมตัวเข้าไป ผมใช้ทั้งร่างดันประตูให้ปิดลงจากนั้นก็ล็อกมันซะ เหมือนขาจะอ่อนแรงไปชั่วขณะ ผมทรุดตัวไถลลงกับประตูพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรงก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้น มือยกขึ้นปาดน้ำตาลวกแล้วค่อยๆเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก ผมเขย่งปลายเท้าเอื้อมมือไปกวาดกระเป๋าบนหลังตู้แล้วเปิดมันออกกางไว้บนเตียง มือทั้งสองดึงเสื้อผ้าออกมาแล้วขยำโยนลงไปในกระเป๋า
ปัง! ปัง! ปัง!
“ไอ้โดยอง!! แกคิดจะทำอะไร?!!” เสียงกระหน่ำทุบประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงด่าทอด้วยความโมโห ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้หลุดสะอื้นออกมา น้ำตาที่เหือดแห้งไปไหลกลับมาอีกรอบ และดูเหมือนจะมากกว่าเดิม
“อึก...ฮะ ฮึก...”
แกร๊ก...
ผมเบิกตากว้างแล้วหันไปมองร่างที่ยืนขวางอยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาซีดเผือดแล้วพุ่งเข้ามากระชากแขนผมอย่างแรงจนเซ
“ป๊า!! ผมเจ็บ!!!”
“ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าคิดจะหนีอีก...เจอดีแน่” เสียงฟันครูดกันดังมาจากในปากที่สั่นระริดของพ่อ ผมมองหน้าเขาผ่านม่านน้ำตาที่ทำให้ทุกอย่างมัวหมอง ตัวของผมสั่นสะท้านแม้แขนทั้งสองจะถูกจับยึดไว้ก็ตาม
“ป๊าจะทำอะไร...” เขาปล่อยผมแล้วเดินไปที่ประตู ผมถามเสียงแผ่วเมื่อเห็นร่างนั้นค่อยเดินไปที่ประตูแล้วแง้มปิดลง ดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธโมโหมองผมผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มไว้แล้วตอบกลับมา
“ถ้าคิดจะหนีออกไปนัก ก็อยู่ในนั้นไปนั่นแหละ”
กึก!
เสียงล็อกประตูจากข้างนอกดังขึ้น ผมพุ่งตัวไปกระชากประตูให้เปิดออกหลายครั้ง แต่มันก็ไม่แม้แต่สะเทือนด้วยซ้ำ แขนทั้งสองข้างกระหน่ำทุบประตูด้วยแรงที่มีพลางตะโกนออกไป
“ป๊าทำแบบนี้ไม่ได้นะ!!! ปล่อยผมนะป๊า ผมโตแล้ว!!” ผมพูดเสียงดังแล้วสะอึกก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เสียงเย็นพูดโต้กลับมาจากอีกฝั่งของประตู
“โทรศัพท์ของแกอยู่กับฉัน แล้วฉันจะจัดการให้แล้วกัน”
“ป๊า!!!” สิ้นเสียงตระโกนของผมเงาที่ทอดกายลงบนพื้นก็หายลับไป ผมเดินโอนเอนไปทิ้งตัวลงบนเตียงที่ไร้ความอบอุ่น น้ำตาไหลอาบที่ผ้าปูสีขาวจนเปียกชุ่ม
ผ่านไปสักพักผมก็นึกอะไรขึ้นได้ ผมลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปที่โต๊ะเครื่องเขียน เปิดลิ้นชักออกมา หากดูผ่านไม่ตรวจสอบอะไรมันก็แค่ลิ้นชักเปล่าๆธรรมดา แต่มันไม่ใช่ ผมหยิบแผ่นไม้ที่ควรจะเป็นพื้นรองออก แล็ปท็อปสีเงินวาวที่ผมซ่อนมันไว้ตลอดตั้งแต่เพิ่งซื้อมาวางแน่นิ่งอยู่ที่ก้นลิ้นชัก ผมยิ้มกว้างออกมา มันมีขนาดเล็กกว่าความกว้างลิ้นชักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผมวางมันลงบนเตียงก่อนจะเปิดมันออก ฝุ่นเกรอระกรังที่ติดอยู่กับแล็ปท็อปเปื้อนที่นอนผมเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมเปิดเบราว์เซอร์ที่ใช้ประจำขึ้นมา โชคดีที่เชื่อมเน็ตไว้แล้วและไม่มีใครไปปิดมันเสียก่อน
สีน้ำเงินของเว็บไซต์สื่อสารทำให้ผมตาสว่างและลุกแวววาวขึ้นมา ผมไล่หาชื่อแจฮยอนก่อนจะกดคลิก กล่องแชทเด้งขึ้นมา ผมจรดปลายนิ้วจะพิมพ์แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้อีก...
ถ้าอย่างนั้นป๊าก็รู้สิ...
“บ้าเอ๊ย...ไลน์ก็ไม่ได้ เฟซก็ไม่ได้” ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับแสงจากภายนอกที่สาดเข้ามา ผมรีบยกแล็ปท็อปลงวางกับพื้นแล้วใช้ปลายนิ้วดันมันเข้าไปใต้เตียงก่อนจะหันไปมองหน้าแม่บ้านที่วางถาดอาหารลง
“เผื่อคุณหนูหิวค่ะ...” เธอยิ้มเจื่อนๆเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของผม สายตาของแม่บ้านไล่มองจนเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นรอยแผลที่มุมปากรวมถึงรอยแดงที่แก้ม “อ๊ะ...เดี๋ยวป้าเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้นะคะ”
ผมพยักหน้ารับเบาๆ เธอปิดประตูลง ผ่านไปสักพักหนึ่งผมนั่งนิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ล็อก แต่แล้วเสียงกดล็อกก็ทำลายความหวังนั่นลง ผมถอนหายใจออกมาอย่างห่อเหี่ยวใจ
ผ่านไปไม่กี่นาทีเสียงปลดล็อกดังกริ๊กกับร่างแม่บ้านพร้อมด้วยอุปกรณ์ทำแผลในมือก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตู ผมเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อยก่อนจะเบือนหนีเมื่อน้ำตามันกำลังไหลลงมาอีกครั้งอย่างเงียบงัน แม่บ้านวางกล่องปฐมพยาบาลลงแล้วพูดขึ้นเสียงอ่อนโยน
“อย่าลืมทานอาหารด้วยนะคะคุณหนู อย่าฝืนตัวเองเลย” ผมพยักหน้าเล็กน้อย ร่างนั้นยิ้มให้ผมบางๆแล้วเดินออกไป...
โดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูไว้เช่นเดิม
เวลาผ่านไปจนกระทั่งแสงแรกของเช้าวันใหม่สาดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานใส ผมที่นอนขนตัวอยู่บนเตียงเย็นเยือกค่อยๆลืมตาขึ้นมา ผมยังอยู่ที่เดิม ในชุดเดิม ถาดอาหารที่ถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืดยังคงอยู่ที่เดิม
คุณพ่อเดินมาถอนหายใจฟืดฟาดอยู่หน้าประตูห้องอยู่หลายหน ดูเหมือนเขากำลังลังเลที่จะทำอะไรบางสิ่ง
ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้น แขนไร้เรี่ยวแรงปวดขึ้นมาจนเหมือนจะแตกสลายเสียให้ได้ ผมทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนยับยู่ยี่อีกครั้งแล้วหลุบตาลงมองแขนเล็กของตัวเอง มุมปากยกขึ้นช้าๆเหมือนจะเย้ยหยันในความสมเพช
ดวงตากลมกวาดมองไปทั่วห้อง ช่องทางหนีเหมือนจะถูกปิดกั้นไปทุกทาง ราวกับเป็นกระต่ายตัวเล็กๆที่ติดกับอยู่ในกรงซึ่งไม่มีทางออก
“ฮ่า...” ผมเดินไปเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นพัดเข้ามาปะทะหน้าผม อากาศเย็นที่เคยสูดแล้วสดชื่น บัดนี้กลับแหลมคมและบาดจมูกจนแสบไปหมด ผมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อหันกลับไปมองในห้องมืดไร้แสงไฟ แปลก...ถึงแม้ตอนนี้จะสว่างแล้ว แต่ในห้องกลับหม่นแสง เหมือนคุกที่มีเครื่องใช้พร้อมดีๆนี่เอง
ในขณะที่ตัดพ้ออยู่ในใจนานนับนาที ท้องก็ร้องประท้วง ผมปิดบานหน้าต่างลงแล้วไปนั่งกอดเข่าข้างๆถาดอาหารของเมื่อวานเพื่อรอเวลาอาหารเช้า ผมเชื่อว่าถ้าถึงเวลาอาหารเช้ายังไงก็ต้องมีแม่บ้านสักคนยกถาดอาหารอุ่นๆมาให้ ถ้าหากไม่มีก็คงต้องกินซุปเย็นๆนี้ประทังชีวิตไป
แอ๊ด...
ตามคาด เมื่อถึงเวลาแม่บ้านคนเดิมก็ถือถาดอาหารเข้ามา เมื่อเธอเหลือบเห็นอาหารของเมื่อวานที่ไม่ลดลงเลยก็เบิกตากว้างแล้วร้องขึ้น
“ว้าย...คุณหนูยังไม่กินอาหารอีกเหรอคะ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะเอา”
“เมื่อวานผมไม่หิวน่ะครับ...แต่พอมาหิวเอาตอนนี้ก็กินอาหารที่เย็นแล้วไม่ลง เลยมานั่งรอถาดอาหารใหม่” ผมตอบพลางยิ้มน้อยๆแล้วเอื้อมมือไรับถาดอาหารจากแม่บ้าน เธอส่ายหัวช้าๆแล้วยิ้มรับบางๆ
“ค่ะ ทานให้อร่อยนะคะคุณหนู”
ผมใช้ช้อนตักข้าวต้มขึ้นมา ความอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วโพรงปากและลำคอเมื่อผมกลืนมันลงไป อย่างน้อยก็มีสิ่งที่ทำให้ยิ้มได้นิดหน่อย
หลังจากที่ได้ทานอะไรแล้วดูเหมือนว่าสมองจะแล่นขึ้นมา ดวงตาที่เคยกวาดมองแล้วดูเหมือนทุกสิ่งจะว่างเปล่าและไร้ค่ากลับดูเป็นทางออกขึ้นมา
บานหน้าต่างใหญ่ที่พวกเขาไม่ได้ล็อก ด้วยความที่อยู่ชั้นสอง พวกเขาคงไม่คิดว่าผมจะสามารถหรือกล้าปีนลงไป แต่ขอบหน้าต่างของห้องข้างล่างซึ่งอยู่ตรงกันพอดีก็ทำให้ทุกอย่างดูไม่น่ากลัว
ผมจะออกไปจากที่นี่ในตอนกลางคืนหลังจากที่แม่บ้านนำอาหารเย็นเข้ามาให้แล้ว และแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาอีก ผมจะสวมหมวกและแต่งกายให้เป็นโทนมืด หลังจากลงไปได้ผมก็จะปีนข้ามรั้วไป โชคดีที่รั้วไม่ได้สูงนัก
ผมเอาของใส่กระเป๋าเป้ไปเท่าที่จำเป็น แน่นอนว่ารวมถึงเงินสำรองและแล็ปท็อปของผมด้วย ส่วนบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิตต่างๆมีอยู่ในกระเป๋าสตางค์ผมอยู่แล้ว ผมหวังว่าเขาจะไม่ใจร้ายจนถึงขั้นไม่ให้ลูกตัวเองใช้เงินในบัญชี
ภายในห้องมือลงอีกครั้ง แม่บ้านยกถาดอาหารเย็นมาให้เช่นเดิม เมื่อถึงเวลาสองทุ่มผมนั่งเขย่าขาแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมาจากอก เมื่อเห็นว่าสมควรแล้วผมก็แปะโพสต์อิสลงกับโต๊ะเครื่องเขียน
ลมเย็นที่ถูกพัดเข้ามาเสียดสีกับร่างกายในตอนนี้ทำให้รู้สึกขนลุกพิกล ผมหย่อนขาลงไปวางบนขอบหน้าต่างที่ยื่นออกมาเล็กน้อยแต่พอยืนได้ และเป็นโลคดีอีกครั้งที่ห้องนี้เป็นเพียงห้องเก็บของซึ่งถูกทิ้งไปนานแล้ว
ขาข้างที่สองก้าวตามลงไป ผมใช้มืออีกข้างที่ไม่เจ็บคว้าขอบหน้าต่างข้างบนไว้ บ้านของผมใหญ่และมีฐานะก็จริง แต่เราไม่ได้ถึงขั้นจ้างบอร์ดี้การ์ดมายืนเฝ้าเหมือนในหนังหรือละคร
มือเท้าทั้งสองแตะถึงพื้นผมก็เดินเลี่ยงจุดที่มีกล้องวงจรปิดแล้วปีนข้ามรั้วไปสบายๆ ผมลอบถอนหายใจก่อนจะเดินเท้าไปในทางที่คุ้นเคย จนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นตึกสูงตระหง่าน
คอนโดของแจฮยอน...
ผมถอดหมวกออกแล้วเดินก้าวเข้าไป พนักงานสาวที่คุ้นเคยกับดีทักขึ้น
“มาหาแจฮยอนเหรอ?”
“อืม...อย่าบอกใครนะว่าฉันมาที่นี่...ห้ามบอกเด็ดขาด” ผมกระซิบเสียงแผ่วให้ได้ยินเพียงเราสองคน ด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจังของผมทำให้เธอพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย ผมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะขึ้นลิฟต์ไป เมื่อถึงหน้าห้องผมก็เคาะประตู เงาของคนข้างในขยับอยู่หน้าประตูเล็กน้อยก่อนที่มันจะเปิดออกแล้วตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
อ้อมกอดอุ่นที่ผมโหยหามาตลอดเกือบสองวันทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ผมยกมือขึ้นสวมกอดร่างสูงตรงหน้าแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาช้าๆ
“หายไปไหนมา...ไหนบอกจะกลับไปเก็บของแล้วจะรีบมาหาไง...ผมรอตั้งนานนะรู้มั้ย” แจฮยอนกระซิบเสียงสั่นเครือ แขนแกร่งกระชับอ้อมกอดแน่น
“ถูกกักบริเวณน่ะ...อา...ไม่สิ ถูกขังน่ะ เลยหนีออกมา”
น้ำอุ่นที่กระทบลงบนไหล่เล็กทำให้ผมเบิกตากว้างชึ้นเล็กน้อย เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้นจากคนที่กำลังกอดผมแน่น
“ผมทำให้พี่ลำบากหรือเปล่า...?”
“ไม่หรอก...อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ” ผมพูดเสียงแผ่วก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “มีคนใช้เฟซฉันบอกเลิกนายหรือเปล่า?”
“ไม่นี่...แชทพี่เงียบมากอะ”
“จริงเหรอ...ขอดูโทรศัพท์หน่อยสิ” ผมผละออกก่อนจะแบมือไปตรงหน้า แจฮยอนยกยิ้มน้อยๆก่อนจะควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงมาวางแหมะบนมือผม ผมเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟาตามด้วยร่างสูงที่มานั่งคลอเคลียใกล้ๆ
ผมต้องมองแชทตัวเองที่ไม่มีการตอบกลับมา ข้อความล่าสุดที่แจฮยอนส่งไปไม่มีเครื่องหมายอ่านขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อเห็นอย่างนี้ผมก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่พ่อไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง
ร่างของชายวัยกลางคนเดินบีบมือตัวเองจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่ง ความรู้สึกผิดฉายชัดอยู่ในดวงตาสีดำสนิท เขายืนลังเลอยู่สักพักก่อนที่จัดสินใจปลดล็อกแล้วเปิดประตูเข้าไป
ลมเย็นพักปะทะหน้าขาวซีดเป็นการต้อนรับ ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นหน้าต่างบานใสเปิดค้างไว้ ถายในห้องว่างเปล่าไร้วี่แววคนตัวเล็ก เขาถลาตัวเข้าไปคว้าโพสต์อิสบนโต๊ะเครื่องเขียนขึ้นมาอ่าน
ผมทนไม่ไหวแล้ว
ไม่ต้องตามหาผม เพราะผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นจะยังอยู่หรือเปล่า
แต่ต่อให้ผมยังอยู่...ผมขอร้อง อย่าตามหาผม
อย่ามายุ่งกับผมอีกเลย
โดยอง
น้ำอุ่นใสไหลลงมาโดยไร้ซึ่งเสียงสะอื้น ร่างทั้งร่างทรุดลงข้างเตียงแล้วใช้หน้าแนบกับผ้าปูสีขาวยับยู่ พยายามซึมซับความอบอุ่นของเจ้าของเตียงแต่มันกลับเยือกเย็น
บางทีเราก็ไม่สามารถเลือกอะไรให้ถูกได้เสมอไป
แต่สิ่งที่พึงคำนึงถึงก็คือ เลือกสิ่งที่จะไม่ทำให้เราเสียใจในภายหลัง
สิ่งที่จะไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจกับการเลือกของเรา
เพราะไม่เช่นนั้น บางทีเราอาจจะต้องจมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
อะไรคือคำคมตอนจบคะ
ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มันแวบเข้ามา
(. . )(. .)( . .)
(. . )(. .)( . .)
ขอให้ชอบนะคะ ดองนานมากๆจริงๆ
ไรท์ขอโทษจ้า T-T
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น