คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER TWELVE
MY STORY IS A LIE:: CHAPTER TWELVE
อีก 1 สัปดาห์ 3 วัน 18 ชั่วโมง กับอีก 20 วินาที ก่อนถึงวันเกิดของเจนัว
[ตกเป็นข่าวใหญ่ในขณะนี้เลยนะคะ สำหรับน้องลิลินนางแบบสาวสุดฮอตอันดับต้นๆ ของวงการนางแบบไทยที่จู่ๆ ก็มีคนปล่อยภาพหลุดของเธอที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มกับชายปริศนาที่หน้าตาละม้ายคลายพี่ชายคนละแม่ของเธอที่ผับแห่งหนึ่ง หลังจากที่ภาพหลุดออกไปนางแบบสาวยังไม่ยอมออกมาให้สัมภาษณ์ใดๆ กับนักข่าว....]
“สมน้ำหน้า...” ฉันว่าก่อนจะกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไปช่องอื่น แอบสะใจหน่อยๆ กับข่าวเมื่อกี้นะ ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนทำก็เหอะ ก็ว่าทำไมช่วงนี้ยัยนี่ถึงหายไปจากวงโคจร ...ต้องขอบคุณคนที่ปล่อยรูปจริงๆ น่าจะตบรางวัลให้สักแสน J
ติ๊ด
“พึมพำอะไรอยู่คนเดียว หรือว่ามีความสุขเกินจนเป็นบ้าไปแล้ว -___-” พี่เหมเจ้าเก่าคนเดิมพูดแขวะพลางทำหน้าเซ็งเดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาอีกตัว
“แหงสิ เมื่อวานขิงเพิ่งไปกินข้าวข้างนอกกับเจนัวมา แถมวันนี้ยังมีนัดไปดูหนังกันตอนเย็นอีก โอ้ย... จะสำลักความสุขตายอยู่แล้วเนี่ย -O-” ฉันว่า
“ชิ!” พี่เหมทำเสียงชิชะอยู่ในลำคอแล้วใช้มือผลักหัวฉันอย่างหมั่นไส้
“ถ้าพี่ว่างนักทำไมไม่ออกไปหาหม่อนไหมล่ะ ปล่อยให้คู่หมั่นคอยวิ่งไล่ตามอยู่อย่างนี้เดี๋ยวเกิดตอนจะแต่งงานเธอเล่นตัวไม่ยอมแต่งขึ้นมาขิงจะหัวเราะให้ดู”
“เรื่องของพี่ ขิงอย่ายุ่ง”
เฮอะ... ดูพูดเข้า!
“ขิงอยากยุ่งตายล่ะ! เพราะสงสารหม่อนไหมหรอกถึงพูด”
“เฮอะ เอารีโมตมานี่เลย”
“อะไรเล่า ยังจะมาแย่งน้องอีก นิสัยเสียจริงๆ เลย!”
“แล้วใครบอกว่าพี่นิสัยดี เอามานี่”
“=[]=!!” ฉันง้างปากพะงาบๆ คิดคำด่าพี่ชายตัวเองไม่ออก แล้วในวินาทีต่อมารีโมตที่เคยอยู่ในมือก็ถูกมือหนาของพี่เหมคว้าเอาไป แล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีทันที
ถ้าจะสุภาพบุรุษขนาดนี้ล่ะก็นะ =______=!!
“เมื่อกี้เสียงรถเข้ามาต้องเป็นคุณพ่อแน่ๆ คอยดูเถอะ ขิงจะฟ้องคุณพ่อ” ฉันว่าแล้วลุกขึ้นยืน จะเดินออกไปหาเจ้าของเสียงรถที่เพิ่งขับเข้ามา แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องนี้ พร้อมกับผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามาพร้อมกัน
...คุณพ่อมากับนายหนานเฟย!!!
“นาย!”
“ครับผม J” เขาตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ “สวัสดีครับคุณเหมันต์”
“สวัสดีครับ” พี่เหมกล่าวตอบอย่างสุภาพ
“เดี๋ยวขิงพาคุณหนานเฟยออกไปเดินเล่นในสวนก่อนไป พ่อมีเรื่องจะพูดกับพี่ชายเราซะหน่อย” คุณพ่อหันมาพูดกับฉันที่ยืนนิ่งค้างตั้งแต่เห็นหน้านายหนานเฟยนั่น
คงไม่ต้องบอกหรอกใช่มั้ยว่าฉันไม่ชอบเค้า L
“แล้วทำไมต้องเป็นขิงด้วยล่ะคะ! ให้เด็กในบ้านไปไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ รีบไปเร็ว วันนี้คุณหนานเฟยเค้าจะขอให้เราพาไปเที่ยวที่อื่นด้วย”
“คุณพ่อ!!”
สุดท้ายฉันก็ต้องพาอีตานั่นมาเดินเล่นในสวนจนได้ ร่างสูงเดินตามหลังฉันโดยที่ไม่พูดอะไร ส่วนฉันเองก็เดินนำหน้าเขาโดยไม่คิดที่จะหันหลังกลับไปมองเขาแม้แต่น้อย!
“คุณจะรีบเดินไปไหนเนี่ย” เสียงร่างสูงถามดังมาจากข้างหลัง ฉันหยุดชะงักเท้าก่อนจะหันกลับไปมองเขาตาขวาง พอเห็นสายตาของฉันเขาจึงละความสนใจจากกล้องโปรที่ถืออยู่ในมือทันที
“ฉันมีแฟนแล้ว” ฉันพูดแล้วกอดอกยืนจ้องหน้าเขา
“อะไรของคุณ จู่ๆ มาบอกผมทำไม?” เขาทำหน้างง แล้วถามฉันกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ!
“ฉันอยากบอก นายจะทำไม รู้แล้วก็กลับบ้านนายไปได้ล่ะ แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก! เพราะฉันไม่ชอบหน้านาย แล้วก็ไม่มีวันชอบด้วย!” ฉันพูดเสียงดัง ในขณะที่เขากลับทำหน้ากลั้นหัวเราะแบบสุดๆ
แบบนี้มันหมายความว่ายังไงฮะ!!!
“นี่คุณ ผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนนะ ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำเลย แล้วดูสิ คุณเล่นพูดมาเป็นชุดเลย”
“แล้วนายจะทำไม!?”
“ก็ไม่ทำไม ผมก็แค่จะบอกว่าผมไม่เคยสนใจเรื่องที่คุณจะมีแฟนแล้วหรือไม่มี ที่จริงคุณไม่ต้องเสียเวลาบอกผมเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงยังไงผมก็คิดกับคุณเหมือนเดิม J”
“เหมือนเดิม?! นายหมายความว่ายังไง!!”
“ก็ผมชอบคุณไง”
“ชอบฉัน! ทั้งๆ ที่ฉันบอกว่าไม่ชอบหน้านายเนี่ยนะ!?”
“เฮ้ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยนี่คุณ ผมก็แค่บอกว่าชอบ ยังไม่ได้บอกว่ารักซะหน่อย จะโวยวายไปทำไม เดี๋ยวคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาได้ยินคิดว่าผมทำมิดีมิร้ายคุณก็แย่กันพอดี” เขาพูดหน้าตาเฉยก่อนจะยกกล้องที่ตัวเองละความสนใจมาเมื่อครู่ขึ้นถ่ายรูปฉัน!
“หยุดเลยนะ! ฉันไม่ให้ถ่าย!!”
“แต่ผมถ่ายไปแล้ว ดูสิ คุณดันขยับตัวซะก่อน ภาพออกมาน่าเกลียดมากเลย” เขาพูดแล้วหันภาพมาให้ฉันดู
ขอสงบสติอารมณ์ก่อนนะ....
อีตานี่นี่มันยังไง =______=!!!
“ฉันไม่สนใจนายแล้ว!! นายจะถ่ายนกถ่ายปลาอะไรในสวนนี้ก็เชิญ แต่ฉันขอตัว!!!”
“ที่บอกว่าจะไม่สนใจผมแล้ว งั้นแสดงว่าเมื่อกี้คุณสนใจผมเหรอ?” เขาหันมาถามแล้วยิ้ม ฉันหยุดชะงักเท้าที่กำลังเดินกึก ก่อนจะหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่คนพูดทันที “อย่ามองผมแบบนั้นสิ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนคุณอยากจะกินผมเข้าไปทั้งตัวเลยรู้มั้ย J” รอยยิ้มซุกซนผุดขึ้นบนใบหน้าทะเล้น น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกสนุกที่ทำให้ฉันโกรธได้!
“ไอ้บ้า!!”
“ครับ ว่าไง? J”
!!!!!!!
ฉันกำมัดแน่น นึกอยากจะชกหน้าเขาสักหมัดให้หงายคว่ำลงไปนอนกับพื้น แต่ก็ทำไม่ได้ตามที่คิดจึงทำได้แค่จ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้
ขอยอมรับตรงๆ เลยว่าตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครที่กวนประสาทฉันได้เท่านายนี่มาก่อนเลย!!!!
E & E Café
ตอนบ่ายฉันมาหาอีสเตอร์ที่ร้าน แน่นอนว่าในช่วงเช้าฉันหงุดหงิดเรื่องนายหนานเฟยนั่น เอาเถอะ อย่าไปคิดถึงหมอนั่นเลย แค่นี้ฉันก็อารมณ์เสียจะแย่อยู่แล้ว เพราะอะไรน่ะเหรอ...
ก็เพราะคุณพ่อสั่งให้ฉันพาอีตานั่นไปเทียวต่อไง!?
ฉันค้านหัวชนฝาว่ายังไงก็ไม่ยอมไปเด็ดขาดแล้วก็หนีออกมานี่แหละ -____-
“เธอก็เลยเกลียดหน้าเขา?” อีสเตอร์ถามพลางขมวดคิ้วมุ่น เดินเอาน้ำปั่นมาเสริฟให้ฉันก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
“ใช่สิ จะไม่ให้เกลียดได้ยังไง แค่คิดถึงหน้าหมอนั่นฉันก็หงุดหงิดขึ้นมาแล้วเนี่ย!”
“ไม่เอาน่า ไหนวันนี้บอกว่าจะไปดูหนังกับเจนัวไง” อีสเตอร์ยิ้มมุมปากถามก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เคยบึ้งตึงของฉันเปลี่ยนไปเป็นยิ้มเขินๆ แทนหลังจากที่ถูกเขาถาม
“อือ... ตอนแรกฉันก็แค่ลองพูดลอยๆ ไม่คิดว่าเจนัวจะสนใจ เพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว จนกลายเป็นความรู้สึกเก้อเขินกันยังไงก็ไม่รู้”
ฉันพูดแล้วยิ้ม... รู้สึกเหมือนตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ตื่นเต้นมากขนาดนี้ ก็แค่ไปดูหนังเองนี่น้ำขิง มันก็เป็นเรื่องปกติของคู่รักไม่ใช่เหรอ???
“ก็ดีแล้วนี่ ทั้งเธอแล้วก็ไอ้เจจะได้มีความสุขกันสักที” รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ้มมาทำให้ฉันรู้สึกอดเห็นใจเขาขึ้นมาอีกไม่ได้
อีสเตอร์ทำให้ฉันหันมองกลับมาดูความรักของตัวเองกับเจนัว แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องราวของฉันนั้นหากเทียบกับเขาแล้วคงเทียบไม่ติดแน่ๆ
....ฉันโชคดีกว่าเขา
มันเลยเป็นเสมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้ฉันอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองเพื่อความรักครั้งนี้ดูบ้าง เหมือนที่เขาทุ้มทั้งใจรักผู้หญิงคนหนึ่งทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีหวังแต่ก็ขอเพียงเพื่อได้ทำเพื่อเธอเท่านั้น....
“ขอบคุณนะอีสเตอร์ที่นายทำให้ฉันยิ้มได้อยู่ตอนนี้” ฉันพูดแล้วยิ้มบางๆ ให้กับเขา ร่างสูงยิ้มตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันได้ยินไม่ถนัดนักออกมา
“เห็นทีแผนของเรย์คงต้องเก็บเข้าตู้แล้วล่ะ J”
“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ เรย์ทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ...ก็แค่เรื่องตลกที่พูดในวงเหล้าน่ะ ว่าแต่เธอจะนั่งรอเจนัวอยู่นี่จนถึงตอนเย็นเลยหรือว่าจะไปที่ไหนฆ่าเวลาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ นี่ก็เพิ่งจะเที่ยงกว่าๆ เอง นายว่าฉันแต่งตัวเป็นยังไงบ้างอ่ะ ธรรมดาเกินไปหรือเปล่านี่ฉันรีบออกมายังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย -___-“
“แค่นี้ก็น่ารักแล้ว” อีสเตอร์ตอบพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆ มองฉัน รอยยิ้มล้อเลียนผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ เพียงแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาก็เท่านั้น
“ส่ายหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไงยะ -__-+” ฉันถามทำตาเขียวปัดใส่อีกคน ซึ่งสิ่งที่ได้ตอบกลับมาก็คือเสียงหัวเราะเบาๆ และแววตาที่มองฉันอย่างเอ็นดูของเจ้าของเสียงหัวเราะ
ขอเถอะ! ฉันอายุยี่สิบสี่แล้วนะ -____-
“เดี๋ยวฉันไปหาหนังสือมาให้เธอนั่งอ่านฆ่าเวลาดีกว่า J” อีสเตอร์ไม่ตอบคำถามแต่พูดอีกเรื่องแล้วลุกขึ้นเดินออกไป ฉันมองตามแผนหลังร่างสูงก่อนจะยกแก้วน้ำปั่นทรงสูงขึ้นดื่มแล้วก็อดอมยิ้มออกมากับตัวเองไม่ได้เมื่อขึ้นอะไรบางอย่างได้
ก็คนอย่างฉันเคยไม่มั่นใจเรื่องการแต่งตัวจนต้องถามคนอื่นซะเมื่อไหร่ล่ะ?!
ครืด~ ครืด~ ครืด~
ฉันปลายตามองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะก่อนจะรีบกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาว่าเป็นใคร ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะลังเลไม่กล้ากดรับแน่
“ฮัลโหล เจนัว!”
[วันนี้ฉันติดงานด่วนคงไปดูหนังด้วยไม่ได้แล้ว ....ขอโทษนะ] เสียงปลายสายบอกกล่าวอย่างเรียบๆ แต่สำหรับคนฟังที่วาดฝันไว้แล้วกลับรู้สึกผิดหวังจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลย...
ฉันต้องตอบกลับนายว่ายังไงล่ะเจนัว? ฉันขอร้องให้นายทิ้งงานมาหาฉันได้มั้ย?
เพล้ง!
เสียงแก้วน้ำปั่นที่ตกลงกระแทกกลับพื้นดึงสติที่กำลังเบลอไปชั่วขณะของฉันให้กลับมาก่อนจะพยายามข่มเสียงที่เริ่มสั่นให้เป็นปกติแล้วตอบกลับปลายสายไป
“อืม ไม่เป็นไร” ...ซะที่ไหนกัน
ฉันต่อประโยคข้างหลังในใจก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองเป็นฝ่ายตัดสายเขาทิ้งไปแล้ว...
ฉันไม่ได้ระแวง... เพียงแต่ไม่อยากเชื่อ บางทีเขาอาจจะติดงานด่วนจริงๆ ก็ได้ ฉันต้องเชื่อใจเขา... แต่ทั้งๆ ที่อยากจะเชื่อในใจมันกลับคิดระแวงและไม่อยากเชื่อคำพูดของเขาเลยสักนิด และที่สำคัญมันมีความรู้สึกน้อยใจปนมากับความระแวงนั่นด้วย...
“เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันได้ยินเสียงแก้ว...” ท้ายประโยคของอีสเตอร์ขาดหายไปเพราะคงเห็นต้นตอของเสียงที่ว่าแล้ว “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามแล้วเดินเขามาใกล้ในมือถือหนังสือเล่มหนาเพื่อเอามาให้ฉันอ่านฆ่าเวลารอนัดของเจนัว ด้านหลังมีพนักงานหญิงเดินตามมา
“เปล่า... ฉันแค่เผลอทำมันหลุดมือน่ะ” ฉันตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงตรงหน้าเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้น “ขอโทษนะ ...เดี๋ยวฉันเก็บให้เอง”
“เธอลุกขึ้นดีกว่า เดี๋ยวจะโดนเศษแก้วบาดเข้า” เขาว่าแล้ววางหนังสือไว้บนโต๊ะ “น้ำขิง...”
“ฉันไม่เป็นไร” ฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกคนในขณะที่มือก็เก็บเศษแก้วที่แตก แต่พอหันหน้ากลับมามองในมือของตัวเองอีกทีก็เห็นเลือดสีแดงค่อยๆ ซึมออกมาซะแล้ว ฉันปล่อยเศษแก้วในมือลงกับพื้น
“เจ็บหรือเปล่า?” อีสเตอร์รีบเข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นไร”
“เอ่อ... เดี๋ยวตรงนี้ดิฉันเก็บเองค่ะ คุณอีสพาคุณน้ำขิงไปนั่งที่โซฟาด้านนู้นก่อนเถอะนะคะ แล้วเดี๋ยวกิ่งจะไปเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้” พนักงานที่เดินตามหลังอีสเตอร์มายกมือขึ้นอาสา
“อืม ฝากด้วยนะกิ่ง” เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินพาฉันไปนั่งที่โซฟามุมห้อง
“ฉันไม่เป็นไร นายไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรอก” ฉันบอกตอนที่อีสเตอร์ฉันพามานั่งลงที่โซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องโถง
“แต่เธอทำหน้าไม่ค่อยดีเลย มีอะไรหรือเปล่า เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย” เขาถามพลางใช้กระดาษทิชชูเช็ดเลือดในมือให้
“เจนัวโทรมาบอกว่ามีงานด่วน ...คงไปดูหนังด้วยกันไม่ได้แล้ว” ฉันตอบเสียงเบาหวิว
“เธอ....”
“ทั้งๆ ที่นานๆ ที จะเข้าใจกันได้และได้ใช้เวลาอยู่ด้วย แต่เขาก็กลับเห็นงานสำคัญกว่า ไม่สิ ไม่แน่ว่าโทรมาบอกฉันว่าติดงานด่วนแต่กลับแอบไปปลอบใจยัยนั่นก็ไม่รู้” ฉันพูดไปถึงยัยลิลินและเผลอกำมืออีกข้างไว้แน่น...
จริงด้วยสิ... เขาต้องไปหายัยนั่นแน่!!
พอคิดได้แบบนี้ความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้ามาเต็มไปหมด
“น้ำขิง” อีสเตอร์เรียกชื่อฉันคล้ายต้องการจะเตือนสติไม่ให้ฉันคิดมากไปก่อน
“ฉันจะไปหาเจนัวที่บริษัท ถ้าเขาติดงานจริงฉันจะกลับ แต่ถ้าไม่ ...ฉันจะอาละวาดให้ดู!” ฉันพูดแล้วชักมือที่ถูกอีสเตอร์จับไว้อยู่ออกก่อนจะลุกขึ้นยืน ร่างสูงรีบลุกขึ้นตามจับแขนฉันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“อย่าใจร้อนได้ไหม เธออยากให้ทุกอย่างพังแล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิมงั้นเหรอ”
“แต่ฉัน...!”
“เชื่อใจคนที่เธอรักเหมือนที่เธอเชื่อใจตัวเองบ้างสิน้ำขิง... ” สายตาจริงจังของคนพูดทำให้ฉันยอมสงบลง คำพูดใจร้อนที่เตรียมจะพูดออกมาถูกกลืนลงคอทันที
“ฉันพยายามแล้ว ...แต่ฉันทำไม่ได้” ฉันพูดพลางจ้องตอบกลับแววตาสุขมของอีสเตอร์ที่มองมา
“เธอทำได้น้ำขิง” เขาพูด “แค่สงบสติอารมณ์ก่อน”
“..............”
“น้ำขิง...” อีสเตอร์ทอดเสียงยาว แฝงทั้งความเหนื่อยอ่อนและเอ็นดู
“...ฉันทนไม่ได้จริงๆ ถ้าต้องนั่งอยู่เฉยๆ ทั้งๆ ที่ในใจกลับร้อนรนคิดระแวงเขาอยู่แบบนี้”
“เธอทำได้แต่เธอไม่ทำต่างหาก”
“ฉัน...”
“รู้อะไรมั้ย เธอตัดสินไปแล้วน้ำขิง แววตาของเธอมันฟ้องว่าเธอตัดสินไปแล้วว่าเจนัวโกหก เพราะอย่างนั้นต่อให้ความจริงจะเป็นยังไง ...เจนัวก็คือคนโกหกอยู่ดี” อีสเตอร์พูดแทรกขึ้นก่อนที่ฉันจะทันได้พูดอะไร
ฉันจ้องมองแววตาของอีสเตอร์กลับ หากแต่ว่าสุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาเขาเสียเอง
สิ่งที่อีสเตอร์พูดมาไม่ต่างอะไรไปจากปลายมีดที่เฉียบคมเลย นั่นสินะ...เขาพูดถูก ฉันตัดสินไปแล้ว ตัดสินทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง และถึงต่อให้จะรู้ได้ เจนัวก็คือคนโกหกในความคิดของฉันอยู่ดี... ทำไมนะน้ำขิง เธอตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอจะเชื่อใจเขา และจะเชื่อทุกคำที่เขาพูดน่ะ...
“เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว....” อีสเตอร์พูด น้ำเสียงและแววตาตาคล้ายจะตำหนิของเขาทำให้ฉันถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมา “อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะความเคยชิน ในเมื่อเธอคิดจะแก้ไขแล้วก็อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำทุกอย่างพังอีกเลยนะน้ำขิง”
11.22 P.M
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไปหาเจนัวที่บริษัท แต่กลับเปลี่ยนแผนมานั่งรอเขาอยู่ที่คอนโดฯ แทน ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองคงนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ แต่ฉันกลับนั่งรอเขาอยู่ที่นี่มาแล้วตั้งแปดชั่วโมง
ตลอดเวลาที่ฉันพยายามข่มความคิดที่จะไม่ไว้ใจเจนัว คำพูดของอีสเตอร์ก็ยังคงดังก้องอยู่ให้หัวเสมอ
‘เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว... อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเพราะความเคยชิน ในเมื่อเธอคิดจะแก้ไขแล้วก็อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำทุกอย่างพังอีกเลยนะน้ำขิง’
‘รู้อะไรมั้ย เธอตัดสินไปแล้วน้ำขิง แววตาของเธอมันฟ้องว่าเธอตัดสินไปแล้วว่าเจนัวโกหก เพราะอย่างนั้นต่อให้ความจริงจะเป็นยังไง ...เจนัวก็คือคนโกหกอยู่ดี’
ใช่... ฉันตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่เชื่อเขา ไม่ใช่เพิ่งตอนนี้แต่มันตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ มันเลยเป็นคล้ายความเคยชินที่บีบให้ฉันเชื่อแบบนั้นและแก้ไขได้ยาก....
มาถึงตอนนี้มีหลายครั้งที่ฉันก็รู้สึกผิดต่อเขาและอยากขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำลงไป หากแต่ไม่นานความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปเมื่อคิดถึงภาพที่เขามีผู้หญิงคนอื่น แต่ ณ จุดนั้นฉันจะพยายามไม่กลับไปคิดถึงอะไรอีกแล้ว เพราะจะกลายเป็นการหาเรื่องทะเลาะกับเขาอีก เพราะงั้นตอนนี้ เวลานี้ ฉันจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น ไม่สิ ต้องพูดว่าฉันจะพยายามไม่คิดอะไรทั้งนั้นมากกว่า เข็มนาฬิกายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ฉันก้มมองโทรศัพท์ในมือครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้เหตุผล
แกรก
เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงของเจนัวที่เดินเข้ามาข้างใน ฉันรีบลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาเขา มีคำถามมากมายที่อยากจะถามอยู่เต็มหัวไปหมด แต่พอเห็นหน้าเขาแล้วฉันก็ลืมคำถามพวกนั้นไปเสียหมด กลายเป็นความรู้สึกคล้ายอยากจะร้องไห้เข้ามาแทน แต่ก็ยังอดกลั้นไม่แสดงมันออกมาให้เขาเห็น
“วันนี้ฉันเหนื่อย ไม่อยากทะเลาะด้วย” เสียงทุ้มกล่าว แววตาและสีหน้าอ่อนล้าเต็มทน ฉันเม้มปากแน่น อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่าฉันทำให้เขาเหนื่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่ลังเลที่จะสวนเขากลับด้วยคำพูดที่แสบสัน แต่เพราะว่าตอนนี้ฉันคิดที่จะ ‘เปลี่ยน’ ตัวเองแล้ว คำพูดเหล่านั้นจึงต้องถูกเก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุดในเส้นหยักสมอง
ฉันอมยิ้มบางๆ พลางเอื้อมมือไปคลายปมเนกไทให้เขาโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้า แต่ถ้าให้ฉันทายเขาต้องทำหน้างงมากแน่ๆ
ฉันเคยคิดว่าอยากทำแบบนี้ให้เขา... แต่ก็ไม่เคยได้ทำมันเลยสักครั้งจนกระทั้งวันนี้ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากทำไม่แพ้ไปกว่ากันเลย... พอคลายปมเนกไทเสร็จฉันก็เขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่เคยคิดไว้แต่ไม่มีโอกาสได้พูดมันสักที
“เหนื่อยมากมั้ย? เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้นะ” ฉันพูดแล้วฝืนส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ก่อนจะเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมารินใส่แก้วแล้วยกไปให้เจนัวที่ตอนนี้เดินไปนั่งอยู่ที่โซฟาแล้ว เขารับแก้วน้ำไปจิบก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะรับแขก ร่างสูงไม่ได้มีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้ แต่เป็นใบหน้านิ่งๆ ที่บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าของใบหน้าไม่ได้ต่างหาก ฉันยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
บรรยากาศในห้องเงียบสนิทมีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจหนักๆ ของเขาเท่านั้นที่ฉันได้ยินชัดเจน ร่างสูงนั่งนิ่งราวกับว่าเขาเองก็รอให้ฉันเป็นฝ่ายพูดอะไรขึ้นมาก่อนเหมือนกับฉันที่รอให้เขาเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านี้ ฉันเผลอเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ทั้งกลัวว่าพูดไปแล้วเขาจะไม่เข้าใจ เลยตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไปดีกว่า
พอคิดได้แบบนี้แล้วฉันควรจะกลับเลยหรือเปล่าในเมื่อเขาก็กลับมาแล้วนี่ จะอยู่ต่อก็คงจะทำให้เขาเหนื่อยใจไปอีกสินะ...
“ฉันกลับก่อนดีกว่า นายเหนื่อยคงอยากพักผ่อน...” ฉันพูดแล้วหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกขึ้นมาสะพาย รู้สึกจุกแน่นอยู่ในอกพร้อมๆ กับที่น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาเอ่อคลอ
...เธออ่อนแอเกินไปแล้วน้ำขิง
แต่เขาเองก็ใจร้ายเกินไปแล้วที่ไม่พูดอะไรสักคำเลยแบบนี้น่ะ ฉันก็แค่หวังว่าเขาจะพูดอะไรบ้างก็เท่านั้นเอง อย่างน้อยพูดอะไรก็ได้ เขาไม่รู้เลยสินะว่าตลอดเวลาแปดชั่วโมงที่ฉันนั่งรอเขาอยู่ที่นี่มันทรมานแค่ไหนน่ะ... ฉันมองเขาที่ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่อีกครั้ง ก่อนจะตัดใจหันหลังเดินออกมา จู่ๆ ความรู้สึกห่างเหินก็ถาโถมเข้ามา ความไม่แน่ใจเริ่มต้นขึ้น
เขารักฉันหรือเปล่า?
ตึก... ตึก... ตึก...
หัวใจข้างในเต้นแรงขึ้นมากับคำถามที่ถูกตั้งขึ้นตรงกันข้ามกับขาทั้งสองข้างที่เริ่มหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ความรู้สึกมากมายถาโถมเขามาจนฉันเริ่มสับสน ...เขาเคยบอกรักฉันแล้วนี่ เขาต้องรักฉันสิ แต่ว่านั้นมันก็ตั้งแต่ตอนที่เราคบกับแรกๆ
แล้วตอนนี้ล่ะ? เขาเคยบอกว่ารักแต่ก็ไม่ได้แปลว่าตอนนี้จะยังรักอยู่นี่?
พรึบ
!!!!
ขาทั้งสองข้างของฉันที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักทันทีเพราะจู่ๆ ก็ถูกฝ่ามือหนาดึงเข้าไปโอบกอดจากทางด้านหลัง
“อย่าเงียบแล้วเดินหนีไปอย่างนี้ได้มั้ย อย่างน้อยต่อว่าฉันอย่างที่เธอเคยทำก็ได้ ฉันไม่ชินเลยที่เธอเงียบไปอย่างนี้” เสียงทุ้มของเจ้าของอ้อมแขนกระซิบบอกข้างหู
ฉันยืนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับถูกสาป น้ำตาเริ่มเอ่อล้นไหลออกมาจนได้ ความรู้สึกแปลกใจและเสียใจปะปนกันไปหมด
...เขากำลังทำให้ฉันสับสนอีกแล้ว
“ฮึก.... นายหายไปไหนมา ไปทำงานจริงๆ ใช่มั้ย? ฮึก ...ไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย? ...ฮือ” พอได้ยินคำพูดของอีกคนคำถามที่คิดว่าจะไม่ถามสุดท้ายก็ถูกถามออกไปจนได้ ถึงแม้จะกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจและกลายเป็นทะเลาะกันไปอีกแต่ก็ห้ามปากไว้ไม่ได้อีกแล้ว ร่างสูงคลายอ้อมแขนลงพอที่จะทำให้ฉันพลิกตัวหันไปเผชิญหน้ากับเขาได้ ยิ่งพอได้สบตาเขาตรงๆ น้ำตามากมายก็ยิ่งไหลพรั่งพรูออกมา
“วันนี้จู่ๆ คุณปู่ก็กลับมาจากอิตาลี ทั้งบริษัทเลยวุ่นวายกันไปหมด รามทั้งฉันด้วย” เขาอธิบายเหตุผลพลางใช้นิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ฉัน ไม่ได้มีสีหน้าโกรธหรือรำคาญเหมือนอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ ถึงแม้แววตาที่มองมาจะไม่ได้อ่อนโยนมากมาย แต่ทว่าแค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ฉันร้องไห้ได้แล้ว....
“ฮึก... ฮือ”
“.............” ร่างสูงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เหมือนกับที่ฉันเองก็พูดอะไรไม่ออกเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น เจนัวใช้มือเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาให้ฉันอย่างเบามือก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอดไว้อีกครั้ง แล้วจึงพูดขึ้น
“รู้มั้ย ตอนที่ฉันกลับมาแล้วเจอเธอนั่งรออยู่ ฉันคิดว่าเธอต้องโวยวายแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ เธอกลับไม่โวยวายหรือต่อว่าอะไรฉันสักคำ”
“ก็ฉันกลัวว่าเราจะทะเลากันอีกนี่ ฮึก... กลัวไปหมด ฮือ... กลัวนายบอกว่ารำคาญด้วย ฮึก... ฮือ” ฉันพูดแทบไม่เป็นภาษา แต่ก็เถียงเขาไม่ได้ว่าเมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น
“ฉันใจร้ายมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ร่างสูงถามพลางผลักฉันออกจากอ้อมกอดเบาๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องฉันนิ่ง แต่แววตานั้นเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นแววตาเปื้อนยิ้มจางๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก ฉันยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะกระโดดกอดคอเขาไว้แน่น เจนัวจึงโอบรอบเอวฉันไว้ก่อนจะถามต่อ
“ให้กอดขนาดนี้แล้วยังใจร้ายอยู่มั้ย?”
ฉันยิ้มกว้างกับคำถามของเขา น้ำตายังไหลออกมาไม่หยุด แค่เห็นรอยยิ้มของเขาความกลัวทุกอย่างก็หายไปจนหมด แต่ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่มั่นใจและอยากได้ยินมันจากเขาอีกครั้งจึงตอบคำถามไปว่า
“ใจร้าย”
“แล้วไม่ใจร้ายต้องทำยังไง?”
“ตอบคำถามฉันก่อน”
“ถามมาสิ”
“นายรักฉันมั้ย?”
“ทำไมถึงถาม?” เจนัวถามกลับ
“เพราะฉันรักนาย แต่ไม่รู้ว่านายรักใคร”
“งั้นก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ฉันรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท เป็นคนใจร้อน ชอบคิดมาก ไม่ชอบไว้ใจใคร ขี้วีน ขี้หึง เวลาโมโหจะชอบร้องไห้แล้วก็ทุบตีฉันทุกครั้ง และก็เป็นผู้หญิงที่ฉันคิดว่าในชีวิตนี้คงหาไม่เจออีกแล้ว เพราะว่ามีอยู่แค่คนเดียวในโลก ...ผู้หญิงคนนั้นใช่เธอหรือเปล่าน้ำขิง?”
ผู้หญิงคนนั้นใช่เธอหรือเปล่าน้ำขิง?
ใช่หรือเปล่าน้ำขิง?
“อือ...” ฉันตอบก่อนจะปล่อยโฮออกมาหนักยิ่งกว่าเดิม หัวใจข้างในเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ สองแขนที่โอบรอบคอเขาอยู่รัดแน่นยิ่งกว่าเดิมซะอีก
ถ้าฉันเป็นผู้หญิงที่มีอยู่แค่คนเดียวในโลกเหมือนที่เขาพูดถึง เขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกเหมือนกันที่ทำให้ฉันร้องไห้ได้ทุกครั้งเพราะเขา
ใช่มั้ยเจนัว?
Talk To U
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยก้อยต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่อัพช้ามากกว่ากำหนดที่บอกไปตั้งสองวัน!! =[]=;;
มันมีเหตุคือตอนแรกก้อยแต่งจบไปแล้ว แต่กลับมานั่งแก้ไปแก้มา เฮ้ย มันเริ่มไม่ใช่แล้ว อารมณ์ของตัวละครมันไม่น่าจะเป็นงี้ สุดท้ายเลยแก้ใหม่มันทั้งตอนเลย -___-++
ไม่อยากจะบอกว่าขนาดแก้แล้วก้อยยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่อยู่ดี แต่งเอง สร้างอิมเมจเองแต่ก้อยกลับสับสนกับตัวละครที่ก้อยสร้างขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งน้ำขิงหรือเจนัว
น้ำขิงยังพอๆ จะเข้าใจอยู่บ้าง แต่เจนัวเนี่ย ก้อยเดาอารมณ์ไม่ออกเลย =___=!!
ถ้าอ่านกันไปแล้วเกิดสับสนก้อยต้องขออภัยด้วยนะคะ YY
ความคิดเห็น