คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ANEMOIA CHAPTER 1: Dream Sweet In Sea Major (I)
แอนีมอยอา – คำนาม. ความรู้สึกโหยหาช่วงเวลาที่ไม่รู้จัก
ความฝันอันน่าสะพรึงกลัวของริสะ โซฮาระ เริ่มต้นขึ้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน
วันนั้น เป็นวันที่เธอรู้สึกเหนื่อยสายตัวแทบขาดจากการต้องเร่งทำรายงานใหม่ทั้งหมดเพื่อนำไปพรีเซนต์ในคาบเช้ากับเพื่อนต่างคณะที่ได้จับคู่กันอย่างคาซึยะ โอฮาชิ หลังถูกขโมยแล็ปท็อปตอนที่ลืมทิ้งไว้ในห้องสมุดจนพากันไม่ได้หลับได้นอน พอตกบ่ายก็ต้องไปเข้ากะที่ร้านโดนัทซึ่งเธอทำงานพิเศษอยู่ พร้อมกับลูกค้าที่ไม่รู้ว่าเยอะแยะมาจากไหน ไม่ให้มีเวลาแม้แต่จะปลีกตัวไปงีบที่หลังร้านสักห้านาที และด้วยความที่ไม่ใช่คอคาเฟอีน ริสะจึงไม่สามารถทนกระเดือกกาแฟดำรสขมปี๋ฝีมือไอรีนที่ลูกค้าชื่นชมกันนักหนาเพื่อช่วยให้ตาสว่างได้ สิ่งเดียวที่ริสะทำได้คือการฝืนอดทนจนครบกะ นึกขอบคุณวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะเอเชียที่เธอไม่เคยสนุกกับการเรียนขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อตารางเรียนคาบเช้าของวันพรุ่งนี้ทำให้เธอสามารถขึ้นรถเมล์บึ่งกลับหอพักของมหาวิทยาลัยเพื่อทิ้งตัวลงนอนโดยไม่สนใจจะอาบน้ำหรือแม้แต่ล้างหน้าล้างตาได้ในอีกห้าชั่วโมงให้หลัง
ในความฝันนั้น เธอยืนอยู่ริมสระว่ายน้ำในร่มสีเขียว สีที่เหมือนกับผนังกระเบื้องสี่เหลี่ยมที่ต้องสะท้อนไฟดวงเล็กซึ่งฝังตัวอยู่ ทั้งที่ขนาดของห้องไม่ได้เรียกว่าคับแคบ มันทั้งกว้างขวางและเพดานก็ยกสูง มีช่องทางเปิดไปยังบริเวณอื่นที่เชื่อมต่อกันได้อีกสองเส้นทาง กับช่องว่างตรงกลางซึ่งสามารถมองเลยขึ้นไปเห็นโครงสร้างอาคารของชั้นที่อยู่สูงกว่าซึ่งน่าจะช่วยให้ความรู้สึกโล่งโปร่ง ทว่าสิ่งเดียวที่ริสะรู้สึกได้ในยามนี้กลับมีเพียงความอึดอัดที่แล่นปราดเข้ามาขณะจับจ้องมองดูภาพเบื้องหน้า ทำได้แค่ยืนตัวแข็งค้างอยู่กับที่ด้วยไม่กล้าแม้แต่จะขยับไปไหน หรือกระทั่งพรูลมหายใจแม้แค่เพียงแผ่วผิวออกมา และเมื่อเธอกลั้นใจกะพริบตาปริบเพียงครั้ง ทุกอย่างเหล่านั้นก็หายวับไป
ริสะหาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเองได้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป เธอเลยฝันอะไรที่แปลกประหลาดแบบนั้น มันไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เธอไม่ได้รู้สึกง่วงงุนเหมือนคนนอนหลับไม่เต็มอิ่มในยามที่ตื่นนอนเอาตอนสายๆ มีเพียงความหวาดหวั่นพรั่นพรึงข้างในอกที่ตามติดมาอยู่เป็นครู่ ก่อนที่จะหายลับไปกับความมีชีวิตชีวาของผู้คนที่เธอประสบพบเจอมาตลอดทั้งวัน
ทว่าไม่ใช่กับตอนกลางคืนที่ภาพของสระว่ายน้ำในร่มนั้นหวนกลับคืนมายามที่หลับตา...อีกครั้ง
“และฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันยาวนานขึ้นเรื่อยๆ”
มีผู้คนอยู่เพียงบางตาสะท้อนผ่านบานกระจกของไดเนอร์ที่เธอมานั่งดูดน้ำอัดลมแก้วที่สาม โดยแทบไม่ได้แตะต้องริปอายสเต๊กที่ถูกหั่นไปเพียงน้อยและชืดเย็นอยู่ได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว ริสะไม่ได้ตั้งใจนัดพบกับใครในทีแรก กระทั่งคาซึยะเป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเมื่อแวะไปที่หอพักแล้วไม่เจอทั้งเธอและรูมเมต แต่การที่ได้เจอกับคาซึยะ เพื่อนคนที่สองในแคมปัสที่นิสัยดีและมีน้ำใจมากเกินกว่าที่ริสะเคยได้รับมาจากใคร รับรู้ว่าเขาจะคอยรับฟังเธอไม่ว่าเรื่องใดอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่ตัดสิน ก็ราวกับภูเขาได้ถูกยกออกจากอก เมื่อในที่สุดริสะก็ได้ระบายสิ่งที่คั่งค้างมาเนิ่นนานให้ใครสักคนฟังเสียที
“แล้วเธอรู้สึกคุ้นเคยกับสระว่ายน้ำนั้นไหม? อย่างเช่นว่า...มันเหมือนกับที่ที่เธอเคยไปมาก่อนหรือเปล่า?”
ริสะผินใบหน้ากลับเข้ามาในร้าน เอนหลังพิงพนัก จดประสานสายตากับเขาเมื่อตอบคำถาม “มันดูเหมือนสระว่ายน้ำในร่มทั่วไปก็จริง แต่...” จังหวะขาดหายไปครู่ขณะ เธอเม้มริมฝีปากด้วยท่าทีครุ่นคิด ก่อนที่จะเริ่มเอ่ยต่อในตอนที่เปลี่ยนมายกมือขึ้นกอดอก “ไม่รู้สิ มันยังเหมือนสถานที่ที่เราจะพบได้เฉพาะในฝันร้ายที่สุด หรือไม่ก็ในหนังสยองขวัญ เหมือนอย่างโถงทางเดินในเรื่องเดอะ ไชนิ่ง”
ตลอดคำอธิบายผ่านน้ำเสียงแผ่วเบาของเธอ สีหน้าของคาซึยะที่คอยผงกตามเงียบๆ ก็ดูราวกับว่าเขาเข้าใจต่อความหมายของมัน
“รู้จักลิมินอล สเปซไหม?”
ริสะสั่นหัว ถึงอาจคลับคล้ายคลับคลา แต่เพราะรู้ดีว่าคาซึยะที่ฉลาดกว่ามากย่อมไขข้อข้องใจนั้นให้เองจึงไม่คิดที่จะขัด
“มันเหมือนกับประตูระหว่างสองโลก เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันระหว่างสิ่งที่เธอคุ้นเคยกับความไม่รู้อย่างสิ้นเชิง อย่างเช่นว่าเธอคุ้นชินกับสระว่ายน้ำ ช้อปปิ้งมอลล์ หรือไม่ก็โถงทางเดินในโรงแรมที่มีคนพลุกพล่าน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่แล้วเธอก็ได้ไปอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครเลย ไม่มีอะไรเลย นอกจากเธอที่โดดเดี่ยวอยู่ลำพัง มันคือความขัดแย้งของสิ่งที่เธอรับรู้กับสิ่งที่เธอประสบ ไหนบอกฉันมาสิ ริสะ เธอเคยตามหาทางออกบ้างไหม?”
เพียงแค่คิดว่าตัวเองต้องขยับกล้ามเนื้อมากกว่าแค่การกระพริบตาปริบในความฝันนั้น ก็ทำให้ขนของเธอคล้ายว่าจะลุกชัน ริสะรู้สึกถึงความหนาวสั่นที่แล่นเยือกเข้ามาแม้จะกำลังสวมเสื้อแขนยาวอยู่ก็ตาม
“ฉันกลัวเกินกว่าจะทำแบบนั้น”
“เพราะเธอไม่รู้ว่าปลายทางข้างหน้าจะมีอะไร นั่นแหละ มันคือความกลัวของความไม่รู้”
“แต่...ทำไม...ฉันถึงได้ฝันแบบนั้น?”
คราวนี้เป็นทีของคาซึยะได้สั่นหัวให้กับคำถามที่เขาไม่สามารถหาคำตอบใดที่จะสมเหตุสมผลมาให้ได้ หากสิ่งที่เขาทำได้ก็คือการล้วงกระเป๋าเงินขึ้นหยิบธนบัตรวางลงบนโต๊ะ อย่างที่ริสะเข้าใจว่าเขากำลังจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารที่เธอกินแทบไม่ลงในคืนนี้ให้ และก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันเอ่ยปากห้าม ด้วยความไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบใคร ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เธอนับเป็นเพื่อนถึงต่อให้เขาจะร่ำรวยมากจนเทียบไม่ติดก็ตาม แต่คาซึยะก็จะลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง บอกกับเธอเพียงว่า “ไปกันเถอะ” ด้วยความปุบปับรวดเร็วไม่แพ้กัน ให้ริสะจำต้องรีบวิ่งตามคนที่ผลักประตูนำไปก่อนแล้วออกไปอย่างเสียไม่ได้
เป็นค่ำคืนแรกในรอบห้าวันที่ริสะเกือบเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องราวฝันร้ายสุดสยองใดๆ เข้ามาแผ้วพาน และทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะคาซึยะ
ถึงริสะจะยอมรับว่าเธอรู้สึกดีใจที่มีคนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยในช่วงเวลาที่มืดมิดทั้งในความหมายทางตรงและโดยอ้อม ไม่เหมือนกับรูมเมตตัวดีที่หลังจากมีแฟนใหม่ก็ดูเหมือนจะหายหัวไปให้เธอเฝ้าห้องอยู่คนเดียวเป็นเดือนแล้วได้เลย แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ริสะจำได้ว่าพรุ่งนี้เขามีเรียนตอนเช้า การนั่งรถเล่นไปกับคาซึยะที่ขับไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีจุดหมาย ชวนเธอคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป บ้างบางครั้งก็ปล่อยให้มีเพียงเสียงร้องครวญของศิลปินสาวจากบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาครอบครองพื้นที่ ทั้งหมดเหล่านั้นก็ทำให้ริสะรู้สึกดีขึ้นมาได้ เหมือนอย่างที่คาซึยะทำได้มาตลอด แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เธอจะทำตัวเอาแต่ใจด้วยได้
“ฉันไม่อยากทิ้งริสะ”
ริสะไม่รู้เลยว่าควรทำตัวอย่างไรจากคำพูดและสถานการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนจากคนข้างตัวแบบนี้ เธอเคยเป็นคนเข้มแข็งและไม่กลัวเกรงต่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องเหนือธรรมชาติที่ไม่มีคำอธิบาย บ่อยครั้งที่ริสะคิดว่าอยากจะเจอประสบการณ์ลี้ลับกับตัวสักครั้งเลยด้วยซ้ำถ้าเป็นไปได้ ครั้นพอได้ประสบเข้าจริงๆ กับความฝันถึงสถานที่เดิมๆ ต่อเนื่องยาวนานถึงทำให้เธอได้ตระหนัก มันทำให้การนอนหลับหรืออยู่คนเดียวในห้องหลังอาทิตย์ตกกลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น เพราะอย่างนั้นริสะถึงได้ออกมานั่งแกร่วอยู่ที่ไดเนอร์เพื่อให้ได้รู้สึกถึงความเป็นไปของผู้คนแม้เพียงสักนิดก็ยังดี
มือที่วางอยู่บนตักของเธอสั่นเล็กน้อยตอนที่ก้มลงดูมัน อาจเหมือนกับเนื้อตัวตอนที่รู้สึกได้ถึงเงาร่างที่เบียดบังภาพของดวงไฟบนท้องถนนเบื้องหน้าที่เขาขับมาจอดอยู่ข้างทาง แล้วต่อจากนั้นคือริมฝีปากยามเธอแหงนเงยขึ้นไป เป็นจูบที่ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมากไปกว่าแค่การขบเม้มและแตะสัมผัส หากเมื่อเธอไม่ได้ปฏิเสธ คาซึยะจึงผละออกไปพร้อมกับรอยยิ้มในตอนที่บอกว่า “คืนนี้อยู่กับฉันนะ”
ลักซัวรี่อพาร์ตเมนต์สามห้องนอนสไตล์ทัสคานีของคาซึยะตั้งอยู่นอกแคมปัสไม่เหมือนกับหอพักราคาย่อมเยาว์ของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อแลกมาด้วยความหรูหรา บรรยากาศร่มรื่น อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน (แน่นอนว่าด้วยราคาที่แพงหูฉี่ แม้จะมองในแง่ที่ว่าเขาหารมันกับเพื่อนอีกหนึ่งหรือสองคนก็ตาม) ทั้งหมดเหล่านั้นก็ทำให้ริสะเข้าใจได้ว่าทำไมคาซึยะจึงได้ดูมีความสุขกับชีวิตเป็นนักหนา เขาไม่เคยต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับเสียงอึกทึกทุกรูปแบบของเพื่อนร่วมหอพักจนต้องระเห็จไปอ่านหนังสือในห้องสมุดที่ก็ไม่ได้ช่วยให้มีสมาธิสักเท่าใดนัก เมื่อใดก็ตามที่หัวสมองอันหนักอึ้งเหนื่อยล้าจากการเรียน แค่กลับมาที่นี่ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่ในรีสอร์ตไปทุกๆ วัน กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เธอนึกอิจฉาเขามากอย่างที่คิดว่าตัวเองจะเป็น เพราะรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่แต้มแต่งอยู่เกือบตลอดเวลาของคาซึยะก็เหมาะสมกับเขาดีแล้ว
“อ้าวไคโตะ นึกว่าวันนี้นายไม่อยู่ซะอีก”
แสงสว่างภายในห้องนั่งเล่นโอ่โถงไม่ได้มาจากโคมไฟเหนือเพดานที่แขวนห้อยลงมา แต่เป็นเพียงแสงสีส้มอ่อนจางจากโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างโซฟากับจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เท่านั้น ความตื่นเต้นกับสถานที่และอาจรวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ของริสะสลายหายวับไปทันทีที่ได้เห็นภาพบนจอ ดึงรั้งทุกความสนใจของหญิงสาวให้ยึดตรึงไว้อยู่กับที่ เธอไม่ได้มองดูคนที่แหงนคอกลับหัวมองพวกเขาแล้วตอบกลับด้วยเสียงยานคางว่า “พวกนายไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เพราะหญิงสาวเปลือยเปล่าที่เลื่อนม่านอ่างอาบน้ำอยู่ในห้อง 237 ของโรงแรมโอเวอร์ลุค ถึงอาจจะไม่ใช่บนโถงทางเดินของแดนนี่น้อยที่กำลังปั่นรถสามล้อเคลื่อนไปบนผืนพรมลายตาตลอดเส้นทางน่าขนลุก แต่มันคือห้องน้ำสีเขียวที่เหมือนกับในฝันร้ายที่สุดของเธอ สีเขียวที่ริสะเคยคิดว่าเป็นสีของธรรมชาติอันเงียบสงบ เยือกเย็น ชวนให้รู้สึกสบายใจ มาบัดนี้สิ่งเดียวที่ริสะรู้สึกได้กลับมีเพียงความพรั่นพรึง
มือของเธอชื้นไปด้วยเหงื่อ ร่างกายเองก็สั่นเทาไม่ยอมหยุด แม้เมื่ออยู่ในอ้อมกอดและริมฝีปากของคาซึยะที่พยายามช่วยปลอบประโลม ขณะลูบเส้นผมยาวอย่างแผ่วเบาและพึมพำกระซิบอยู่ข้างใบหูว่าเขาจะอยู่ข้างๆ เธอจะไม่เป็นไร
กระทั่งความนึกคิดของริสะเริ่มกลับมาสงบได้อีกครั้งหลังจากคำพูดที่ราวกับเวทมนตร์นั้น ไม่มีความเร่งร้อนใดๆ ในทุกการกระทำ เหมือนกับทุกครั้งคราวที่เขาทำให้รู้สึกดีได้เสมอ ภายในห้องที่มืดสนิทและมีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์สาดส่องเข้ามา ในความมัวพร่าของการกอดรัดก่อนถึงช่วงสุดท้ายของห้วงอารมณ์ที่กำลังจะระเบิด ผ่านเสียงหอบหายใจที่สอดประสานอย่างแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน ริสะก็เกือบแน่ใจว่าเธอได้ยินเสียงแว่วแผ่วที่ขับขาน ‘แม้ว่าเราจะแยกจากกัน เธอก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของใจฉัน และคืนนี้เธอเป็นของฉัน’ ของบทเพลงเก่าที่เธอจดจำได้ว่ามันคือเพลง ‘ทูไนท์ ยู บีลอง ทู มี’ ทะลุผ่านกำแพงห้องเข้ามา
“ริสะ”
แต่ครั้งครานี้เธอแน่ใจว่าเสียงร้องเรียกชื่อเธอซ้ำๆ ไม่ได้มาจากน้ำเสียงของคาซึยะซึ่งทิ้งตัวลงมาหลังจากที่เขาตามมาถึงปลายทาง เขายังคงกกกอดร่างกายที่ร้อนผ่าวเอาไว้อย่างแนบแน่น กดริมฝีปากลงที่ข้างลำคอ ก่อนเลื่อนขึ้นมาเป็นอวัยวะเดียวกันอย่างรุกเร้าโดยไม่สนใจว่ากำลังปิดกั้นเส้นทางอากาศของเธอไป หากเปลือกตาของริสะก็หนักอึ้งเช่นเดียวกับเรี่ยวแรงจนเธอไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้นอกจากจำยอมรับความทรมานที่ก็สุขสมนั้นไว้ อาจยาวนาน หรือไม่ก็แสนสั้นเมื่อเขาผละจาก คำพูดสุดท้ายที่เธอได้ยินก่อนสติจะหลุดลอยไปราวกับมีความโกรธชังอยู่ในนั้น
“เธอเป็นของฉันแค่คนเดียว”
ครั้นลืมนัยน์ตาเบิกโพลงขึ้นมาราวกับการถูกกระชากขึ้นจากหลุมลึก ภาพที่ริสะได้เห็นอยู่เบื้องหน้าก็คือสระว่ายน้ำในร่มสีเขียว ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าเธอกลับมาอยู่ในความฝันซ้ำเดิมนั้นอีกค่ำคืนหนึ่ง ให้ริสะได้ตระหนักว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใคร — หรือว่าสิ่งใด — จะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากมันได้
ไม่แม้แต่ผู้ชายคนที่เดินออกมาจากเงามืดของฟากฝั่งตรงกันข้าม ก่อนใบหน้าของเขาจะปรากฏขึ้นชัดเจนในแววตาที่วูบไหว หากไม่มีช่องว่างให้กับความโล่งใจใดๆ เมื่อริมฝีปากที่ยกขึ้นของเขาจะค่อยๆ ฉีกกว้างขึ้นไป มันไม่ได้ยืดไปถึงรูหูแล้วให้ความรู้สึกผิดธรรมชาติเหมือนกับปีศาจในหนังสยองขวัญ แต่ก็สร้างความสยองขวัญให้แก่มนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้าเธอในยามนี้ได้จนความเย็นเฉียบแล่นลึกเข้าไปถึงกระดูก รอยยิ้มสดใสที่ไม่ว่าเมื่อใดก็จะทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและวางใจได้ไม่ว่าจะเผชิญสิ่งใดมา บัดนี้มันกลับสร้างความหวาดกลัวที่ฝังแนบแน่นลงไปลึกถึงระดับความทรงจำ ไม่ใช่เพียงแค่ในฝันร้ายที่สุดซึ่งจะทุเลาลงไปเองเมื่อลืมตาตื่น เพราะร่างกายที่สั่นเทาอย่างหน่วงหนักกับน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าสีแดงก่ำของเธอ กรีดร้องตะโกนซ้ำไปซ้ำมาจนปลุกเพื่อนของเขาให้วิ่งมาดูว่า “ไม่! ออกไป! อย่าแตะต้องฉัน!” ด้วยท่าทีที่แสดงความหวาดกลัวอย่างสุดขีดในยามที่คาซึยะพยายามจะกอดปลอบเธอจากสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นฝันร้าย แต่เขาไม่มีวันที่จะล่วงรู้ว่ามันเลวร้ายมากเพียงไร
ตรงกันข้ามกับริสะที่รับรู้ว่าเธอจะไม่มีวันมองหน้าของคาซึยะได้อีก เขาจะไม่มีวันทำให้เธอรู้สึกวางใจได้อีก จนกว่าความฝันถึงสระว่ายน้ำในร่มสีเขียวนั้นจะหายไปตลอดกาล
_______________
ความคิดเห็น