คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Dog Training
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจรู้ได้ โดโลเรสไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายามนี้กลางวันหรือกลางคืนเพราะทุกอย่างมืดไปหมด ไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานแล้วและเธอก็หิวจนแทบบ้า แต่ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ทำได้เพียงขดตัวนอนนิ่งอยู่บนเตียงเก่าๆ เหม็นอับอย่างสิ้นหวัง
หลายครั้งที่เธอมักจะคิดถึงคนอื่นที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต(ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น) แม่ หมอไอเบิร์ต แล้วก็เซบาสเตียน โดโลเรสเกิดสงสัยว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรเมื่อลูกสาวหายตัวไปเช่นนี้ หล่อนจะเศร้าเสียใจและร้องไห้ให้กับเธอหรือเปล่า มันคงเป็นเรื่องตลกน่าดูถ้าหากว่าแม่ร้องไห้ให้กับเธอจริงๆ และน่าเสียดายที่เธอคงไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างนั้น
หมอไอเบิร์ตจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะเสียใจไหมที่ไม่อาจช่วยเหลือเธอได้ เขาจะโทษตัวเองหรือเปล่าที่ชักนำบิลเข้ามาในชีวิตของเธอจนทำให้ทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้ เด็กสาวรู้ดีว่านั้นไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด เป็นความผิดของเธอเองต่างหากที่อคติกับเขาเกินไป โดโลเรสทำเรื่องไม่ดีกับอีกฝ่ายเอาไว้มากมายเหลือเกิน แต่รู้สึกผิดตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว บางทีหมอไอเบิร์ตคงจะไม่เสียใจแต่ดีใจที่ตัวปัญหาอย่างเธอได้จากไปแล้วก็ได้
เซบาสเตียนล่ะ? โดโลเรสไม่เชื่อเรื่องโลกหลังความตายหรือภูตผี
แต่หลังจากที่ได้เห็นคนใกล้ตัวถูกฆ่าตายต่อหน้า การคิดว่าวิญญาณมีจริงดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาไม่ให้เธอต้องรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้
เด็กสาวยอมรับไม่ได้ว่าเซบาสเตียนได้จากไปแล้ว
อย่างน้อยที่สุดเธอก็หวังว่าเขาจะยังมีวิญญาณหลงเหลือ คอยเฝ้ามองและเป็นห่วงเธออยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
เพราะการหลอกตัวเองว่าเขายังคงใกล้ๆ ทำให้เธอคลายความหวาดกลัวลงไปได้มาก
“วิบวิบ วับวับ เจ้าดาวดวงน้อย เจ้าล่องลอยอยู่ได้อย่างไร เหมือนเจ้าลอยอยู่บนฟ้าไกล เป็นเพชรใสส่องแสงแวววาว”
ความเงียบสนิทกำลังทำลายสมองเธออย่างช้าๆ โดโลเรสคิดว่าตัวเองกำลังสูญเสียสติที่มีไปทุกขณะ และอีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นบ้าอย่างสมบูรณ์แบบ เด็กสาวจึงเลือกดึงสติและทำลายความเงียบนั้นด้วยเพลงกล่อมเด็กโง่ๆ ที่เคยได้ยินตอนเด็กๆ เธอเอาแต่ร้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนว่าน้ำเสียงจะแหบแห้งและโรยรามากแค่ไหน เพราะเสียงคือเพื่อนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่โอบกอดเธอไว้ท่ามกลางนรกอันมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนี้
“วิบวิบ วับวับ เจ้าดาวดวงน้อย เจ้าล่องลอยอยู่ได้อย่างไร เมื่อสิ้นแสงอาทิตย์ลาไป ฟ้าสดใสกลับมืดมิดพลัน และเจ้านั้นจะคอยส่องแสง เป็นแสงงามแห่งยามค่ำคืน”
การฝืนเปล่งเสียงร้องเพลงไม่ได้ยืนยาวนัก
เพราะไม่นานเธอก็เงียบเสียงลงไปจนได้เพราะสูญเสียพลังงานไปเกือบหมดสิ้น
โดโลเรสรู้สึกถึงลมหายใจของตัวเองที่แผ่วเบาจนน่ากลัว และทั่วทั้งตัวก็ร้อนจัดเพราะพิษไข้
ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่มีหน้าต่างแต่ก็ยังหนาวเหน็บจนเกินไปสำหรับเธออยู่ดี
ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องนี้กำลังฆ่าเธอให้ทั้งเป็นอย่างช้าๆ
โดโลเรสไม่ได้คิดหวาดกลัวความตายเลย
ตรงกันข้ามเธอคิดว่ามันเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้เธอหลุดพ้นจากนรกที่นี่
เด็กสาวปรารถนาทุกชั่วขณะให้ลมหายใจของตัวเองหยุดลงเสียที
เธอไม่เคยเชื่อในพระเจ้าเลยจนกระทั่งในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ที่เธอเอาแต่พร่ำอ้อนวอนภายในใจเพื่อขอให้พระเจ้าเมตตาให้เธอตายอย่างสงบไปอย่างไวๆ
แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ฟังคำขอร้องของเธอเลย
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับแสงจากหลอดไฟที่สว่างเจิดจ้าทำให้โดโลเรสผู้อาศัยอยู่ในความมืดมานานปวดตาจนรู้สึกเหมือนเบ้าตาจะหลุดออกมา ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับสายตาให้ชินกับความสว่างได้ เด็กสาวกอดกระชับร่างกายของตัวเองเมื่อสัมผัสได้ถึงไอหนาวยะเยือกจากอากาศด้านนอกที่พรั่งพรูเข้ามาด้านใน มันหนาวจนทำให้ปากและคอของเธอสั่นไปหมด
เด็กสาวมองเห็นบิลที่เดินเข้ามาในห้อง เขาทิ้งตัวลงบนฟูกที่เธอนอนอยู่แล้วยกฝ่ามือขึ้นมาแตะตัวเธออย่างแผ่วเบา โดโลเรสสะดุ้งเล็กน้อย คิดไปต่างๆ นาๆ ด้วยความหวาดกลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีกับเธออีก แต่เพียงแปบเดียวอีกฝ่ายก็ละมือจากเธอแล้วออกไปนอกห้องโดยที่ไม่พูดอะไร
โดโลเรสนึกโล่งใจได้เพียงไม่นานเขาก็กลับมาอีกครั้ง เด็กสาวได้กลิ่นอันหอมหวนลอยมาในอากาศ มันเป็นกลิ่นของซุปไก่ที่อยู่ในมือบิล และมืออีกข้างของเขาก็ถืออ่างเล็กๆ ที่ถูกใส่น้ำจนเต็มพร้อมกับผ้าขนหนูอีกหนึ่งผืน เขาวางทั้งหมดลงบนเตียงท่ามกลางความประหลาดใจอย่างยิ่งของโดโลเรส
ทั้งหมดนี้เขาทำให้เธออย่างนั้นเหรอ?
บิลตักซุปขึ้นมาแล้วยื่นมันมาตรงหน้าเธอ เป็นการยืนยันว่าความสงสัยของเธอนั้นถูกต้อง โดโลเรสไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาช่างโหดร้ายกับเธอเหลือเกิน แต่ตอนนี้กลับมาทำดีต่อกันเสียอย่างนั้น
“กินซะสิ”
เสียงเร่งเร้าจากอีกฝ่ายทำให้โดโลเรสยอมรับการป้อนจากชายตรงหน้า เด็กสาวไม่อยากขัดใจเขาเพราะกลัวว่าจะโดนทำร้ายร่างกายอีก และอีกอย่างตอนนี้เธอหิวโซจนแทบจะแทะเนื้อของตัวเองออกมากินได้เลยด้วยซ้ำ สัมผัสของน้ำซุปไก่ที่อยู่ในปากทำให้เธอน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ สำหรับคนที่ขาดอาหารมานานเพียงแค่ซุปธรรมดาก็ดูเหมือนว่าจะอร่อยที่สุดในชีวิตเสียแล้ว
ซุปหมดไปอย่างรวดเร็ว โดโลเรสยังไม่อิ่มท้องแต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยปากขอเพิ่ม บิลยกถ้วยชามออกไปจากห้องก่อนจะกลับมาพร้อมกับขวดยาและแก้วน้ำในมือ เด็กสาวอ้าปากรับเม็ดยาจากมือของเขาด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย แม้ท่าทางของอีกฝ่ายในวันนี้จะไม่ได้น่ากลัวเหมือนก่อนหน้านั้น แต่เธอก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดีกับการอยู่ใกล้เขา
มีใครบ้างล่ะที่จะรู้สึกดีเมื่อต้องมาอยู่กับฆาตกรอย่างนี้?
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มือของบิลก็ยื่นเข้ามาจับที่เสื้อของเธอและพยายามที่จะถอดมันออก ด้วยความตกใจโดโลเรสพยายามที่จะขัดขืน แต่เพราะเรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดจากอาการป่วยทำให้เด็กสาวไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย บิลจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เพียงไม่นานร่างกายของเธอก็เปลือยเปล่า โดโลเรสตัวสั่นเทา ยกมือขึ้นปกปิดร่างกายตัวเองแม้จะรู้ดีว่ามันไม่ช่วยอะไรก็ตาม เธอจ้องใบหน้าอันเรียบเฉยที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เธอทั้งหวาดกลัวและสับสนว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่
บิลไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยสักประโยคเดียว
เขาหันไปหยิบผ้าขนหนูมาชุบน้ำในอ่างก่อนจะบรรจงเช็ดตัวให้เธออย่างแผ่วเบา สัมผัสที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้เองทำให้เด็กสาวเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ความอ่อนโยนที่ได้รับจากชายที่แสนร้ายกาจคนนี้ก่อให้เกิดความสับสนปั่นป่วนขึ้นมาในจิตใจ
ชั่วขณะหนึ่งเธอได้นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ขึ้นมา ช่วงเวลาตอนที่เธอยังรักเขาอยู่ ช่วงเวลาก่อนที่จะรู้ว่าเขาคือฆาตกร
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นฝันมากกว่าความจริง
“ทำไม” น้ำเสียงแหบแห้งจากคนตัวเล็กทำให้อีกฝ่ายต้องชะงักมืออย่างเสียไม่ได้ ดวงตาสีดำสนิทหันมาที่เธอ โดโลเรสกลั้นกลืนความหวาดกลัวก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทำไมนายถึงไม่ฆ่าฉันทั้งที่นายเกลียดฉัน”
“ฉันเคยพูดงั้นเหรอว่าฉันเกลียดเธอ?”
โดโลเรสรู้สึกหงุดหงิดกับการยอกย้อนของอีกฝ่าย อยากจะบอกกับเขาเหลือเกินว่าเมื่อหลายวันก่อนนี้เขาพึ่งอาละวาดตบตีเธอไปเพราะเรื่องประธานนักเรียนอยู่แท้ ๆ แต่เพราะความกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่จึงทำให้เด็กสาวเลือกที่จะเงียบแทน
“โดโลเรส” บิลเอ่ยชื่อของเธออย่างเชื่องช้าเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฝ่ามือที่ถือผ้าขนหนูยังคงเช็ดไปที่ใบหน้าของเด็กสาวบนฟูก “เธอไม่คิดบ้างเหรอว่าเรามีอะไรคล้ายกัน”
“ยังไง”
“เราเป็นโรคจิตทั้งคู่ เราอยู่ในสถานบำบัดเดียวกัน เราอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน เรามีครอบครัวที่ห่วยแตกเหมือนกัน เราเกลียดโลกนี้เหมือนกัน” โดโลเรสเห็นว่าเขากำลังยิ้ม “เรานี่มันเนื้อคู่ชัดๆ ว่าไหม?”
“ไม่ เราไม่เหมือนกัน” เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยค้านออกไปแม้ว่าจะรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ อยู่ก็ตาม “ฉันไม่เคยฆ่าใครเหมือนนาย”
ตอนนั้นเองบิลก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาทำให้เธอตัวสั่นขึ้นมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูบ้าคลั่งเสมือนเสียงของปีศาจในหนังสยองขวัญ
“โรงเรียนคือสังคมแห่งการเสแสร้งและมีแต่พวกสวะทั้งนั้น ทั้งพวกที่แกล้งเธอ พวกที่เคยแกล้งฉัน พวกที่เคยแกล้งคนอื่นๆ เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้เกลียดโรงเรียน ไม่ได้เกลียดพวกเขาเลยงั้นเหรอ?”
“ฉัน..” โดโลเรสอ้ำอึ้ง เธอไม่อาจปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายได้ ก่อนหน้านี้เด็กสาวแสนจะเกลียดชังโรงเรียนเสียยิ่งกว่าอะไรดี แน่นอนว่ารวมไปถึงคนที่เคยกลั่นแกล้งเธอด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ลงมือฆ่าพวกเขาอย่างที่บิลทำเสียหน่อย “ฉันไม่ได้ฆ่าพวกเขา!”
“เธอไม่ได้ฆ่า แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเคยคิดอยากให้พวกนั้นตายใช่ไหม”
เป็นอีกครั้งที่โดโลเรสต้องจนด้วยคำพูดเมื่อได้สบกับดวงตาสีดำสนิทของคนตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นเสมือนว่ากำลังอ่านใจเธออยู่ และเขาก็อ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่งเสียด้วย ลึกๆ ในใจของเด็กสาวรู้ดีว่าในบางครั้งเธอเองก็เคยมีความคิดชั่วร้ายเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน ความคิดที่อยากจะฉีกกระชากคนพวกนั้นให้กลายเป็นชิ้นๆ อยากจะทรมานคนพวกนั้นให้สาสมกับความเจ็บปวดทางจิตใจที่เธอเคยได้รับ แต่โดโลเรสก็เลือกที่จะระบายความโกรธแค้นนั้นกับร่างกายตัวเองแทนที่จะทำร้ายคนอื่น เพราะว่าเธอไม่กล้าพอที่จะทำร้ายคนอื่น ไม่มีใครเคยรู้ถึงความคิดจริงๆ ภายในใจเธอแม้กระทั่งหมอไอเบิร์ตก็ตาม...
แต่บิลรู้ เขารู้ได้ยังไง?
“อย่าปฏิเสธไปเลยโดโลเรส เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ เอื้อมมือมาปัดปอยผมที่ปรกอยู่บนใบหน้าของเธอออกอย่างนิ่มนวล “ฉันบอกแล้วว่าเธอกับฉันเหมือนกัน”
หยาดน้ำใสคลอหน่วยในดวงตาก่อนจะไหลหลากราวกับแม่น้ำเชี่ยวกราก โดโลเรสเริ่มร้องไห้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ปะปนกัน เธอเกลียดชังผู้ชายคนนี้เช่นเดียวกับที่เธอเกลียดชังตัวเอง และเกลียดความจริงที่ว่าเขารู้ตัวตนของเธอดีพอๆ กับที่เธอรู้ตัวตนของเขา เกลียดที่สิ่งที่เขาพูดคือความจริง
เธอก็เป็นปีศาจไม่ได้ต่างจากเขาเลย
ในขณะที่โดโลเรสกำลังร้องไห้ บิลก็ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ราบเรียบและชวนให้ยะเยือก เขาสวมกอดร่างของเด็กสาวที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่น แม้ว่าในใจของโดโลเรสจะนึกชังชิงผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน แต่ตอนนี้เธอกลับตอบรับอ้อมแขนของเขาด้วยความเต็มใจอย่างไม่รู้ตัว
................................
ปัง! ปัง! ปัง!
โดโลเรสลืมตาโพล่ง เธอหอบหายใจจนตัวโยน กอบโกยเอาอากาศเข้าปอดและยกมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างโล่งใจเมื่อพบว่าเสียงปืนดังกึกก้องที่ได้ยินนั้นเป็นเพียงแค่ฝันร้ายอีกครั้งหนึ่งก็เท่านั้น
โดโลเรสไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืนเดียว ทุกครั้งที่หลับตา ภาพการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนที่เธอได้ประสบพบเจอมากับตัวก็จะย้อนกลับมาเข้ามาหัวทุกครั้ง ทุกอย่างช่างดูสมจริงราวกับได้ย้อนเวลาไปอีกครั้ง ย้อนไปดูตอนที่ทุกคนกำลังกรีดร้อง ย้อนไปดูตอนที่เซบาสเตียนตาย ย้อนไปดูตอนที่บิลยืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับปืนลูกซองกระบอกนั้น
โดโลเรสจำไม่ได้แล้วว่านับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอร้องไห้ไปมากมายแค่ไหน เด็กสาวคิดถึงบ้าน คิดถึงโลกภายนอกใจจะขาด มันน่าตลกที่ก่อนหน้านี้เธอได้ระบายความรู้สึกกับหมอไอเบิร์ตไปว่าเธอเกลียดบ้านและโลกภายนอกมากแค่ไหนและอ้อนวอนให้เขาเอาตัวเธอไปขังไว้ที่สถานบำบัดจิตเหมือนเดิม แต่ในเวลานี้เธอกลับโหยหาอิสรภาพภายนอกเสียอย่างนั้น นับเป็นความย้อนแย้งที่ตลกร้ายสิ้นดี
เด็กสาวผลักดันร่างอันผอมแห้งของตัวเองลงจากฟูกท่ามกลางความมืดมิด สองมือคลำไปที่ผนังก่อนจะกดปุ่มเปิดไฟอย่างคุ้นชิน เธออาศัยอยู่ที่นี่มานานมากพอจนแทบจะรู้ทุกซอกทุกมุมภายในห้องนี้แล้ว มันเป็นห้องเล็กๆ ที่มีห้องน้ำอยู่ในตัว โชคดีที่อย่างน้อยโซ่ที่บิลล่ามไว้ก็ยาวพอจะทำให้เธอเดินไปทั่วทั้งห้องได้โดยไม่สะดุดเสียก่อน
โดโลเรสตรงไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้าแปรงฟันตามปกติก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก สิ่งที่จ้องกลับมาคือสภาพอันทรุดโทรมน่าเวทนาของผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนมีดวงตาลึกโหล ผิวหนังแห้ง ริมฝีปากแตกระแหง และร่างกายผ่ายผอม มันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะวันๆ หนึ่งเธอแทบจะไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำ บิลให้เธอกินอาหารเพียงน้อยนิด(ที่รสชาติห่วยบรรลัย)และบางวันเขาก็ลืมที่จะให้อาหารเธอด้วย นั่นทำให้เด็กสาวกำลังตกอยู่ในสภาวะขาดสารอาหาร เธอมักจะพบเส้นผมของตัวเองร่วงเป็นกำๆ อยู่บนที่นอนเสมอ จนบางทีก็อดจะจินตนาการไม่ได้ว่าสักวันหนึ่งเธออาจจะได้นอนตายอยู่บนฟูกในห้องนี้อย่างแน่นอน
เด็กสาวกลับมานั่งอยู่บนฟูกอีกครั้ง โดโลเรสเริ่มเคยชินกับวิถีชีวิตที่ถูกกักขังอยู่ในห้อง นั่งๆ นอนๆ ด้วยความเบื่อหน่ายและปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า มันทำให้เธอเข้าใจหัวอกของคนที่ถูกขังอยู่ในคุกได้ดีทีเดียว การต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางความเงียบเหงาแบบนี้มันช่างทรมานสิ้นดี
ความหวาดกลัวที่มีต่อบิลเริ่มลดน้อยลงและแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เพราะความเลวร้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอล้วนมีสาเหตุมาจากเขาทั้งสิ้น โดโลเรสคิดว่าถ้าหากเธอมีมีดหรือปืนในมือคงไม่ลังเลที่จะฆ่าเขาแน่นอน หรือบางทีอาจจะใช้มันฆ่าตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นไปจากเรื่องบ้าๆ นี่สักที
มันน่าประหลาดที่เธอสามารถคิดอะไรเลวร้ายออกมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ ราวกับว่าโดโลเรสได้สูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองนับตั้งแต่ที่ตกมาอยู่ในนรกแห่งนี้กับเขา เธอรู้ดีว่าตัวเองเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่บิลบอกกับเธอว่าเธอไม่ได้ต่างจากเขา บางทีมันก็ทำให้โดโลเรสนึกกลัวตัวเองขึ้นมา
เธอกลัวที่จะต้องกลายเป็นแบบเขาสักวันหนึ่ง
เสียงกุกกักดังขึ้นแผ่วเบาจากทางประตูเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ‘เขา’ มาแล้ว โดโลเรสทะลึ่งพรวดจากเตียงทันที แผ่นหลังเหยียดตรงพร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งตึงเครียดและกดดัน มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับบิล เหมือนกับกวางที่แสร้งยืนตัวแข็งต่อหน้าสิงโตที่กำลังจะกินเนื้อกวางเป็นมื้ออาหารมื้อใหญ่
บิลมักจะปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยโดยไม่มีสาเหตุและไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจะมาตอนไหน ไม่มีใครคาดเดาความคิดของชายคนนี้ได้หรอก โดโลเรสคิดพลางจ้องชายตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจในขณะที่เขาเดินเข้ามาหาเธอ
“ฉันมีของฝากมาให้” อีกฝ่ายเอ่ยปากท่ามกลางความเงียบ ตอนนั้นเองที่เด็กสาวมองเห็นหนังสือในมือของเขา มันเป็นหนังสือนวนิยายประโลมโลกที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า “ฉันกลัวเธอเบื่อ เลยซื้อมาให้อ่าน”
โดโลเรสไม่เอ่ยปาก ไม่แม้แต่จะยื่นมือออกไปรับหนังสือ บิลจึงถอนหายใจก่อนจะว่างหนังสือเล่มนั้นใกล้กับตัวของอีกฝ่าย “ไม่คิดจะขอบคุณฉันสักหน่อยเลยเหรอ”
“ทำไมฉันต้องขอบคุณไอ้สารเลวที่ทำลายชีวิตฉันด้วย”
สิ้นคำพูดของโดโลเรส เด็กหนุ่มที่มีท่าทีที่สงบนิ่งในตอนแรกก็ค่อยๆ แสยะยิ้ม ในตอนนั้นเองเขาก็เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ในขณะที่เด็กสาวก็หนีถอยหนีเขาอย่างรวดเร็ว “ดูเหมือนว่าเธอจะขี้โมโหขึ้นเยอะเลยนะ”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกผลักดันให้ความหวาดกลัวที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง โดโลเรสถอยต่อไปไม่ได้อีกแล้วเมื่อแผ่นหลังของตัวเองชิดติดกับผนัง เด็กสาวพยายามหันหน้าหนีเมื่อมือของคนตรงหน้าเอื้อมมาจับคางของเธอแม้จะรู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีทางหนีเขาพ้นอีกแล้ว
ท่าทางที่แสดงออกถึงความรังเกียจอย่างชัดเจนของโดโลเรสล้วนปรากฏชัดเจนในสายตาของบิล
และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มฉุนขึ้นมาเล็กๆ
ฝ่ามือของคนตัวสูงกว่าบีบคางของคนตรงหน้าแน่นก่อนจะจัดการบังคับให้อีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าเขา
“รังเกียจแฟนตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แกไม่ใช่แฟนฉัน เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
“อะไรกัน เราออกจะมีความหลังหวานชื่นกันตั้งหลายอย่าง เธอลืมไปแล้วหรือไง”
“ฉันไม่อยากจำอะไรเกี่ยวกับแกทั้งนั้น!”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจเมื่อโดโลเรสพูดจบ ชั่วครู่หนึ่งเธอมองเห็นสีหน้าที่เหมือนจะเศร้าสร้อยของบิล แต่มันเป็นเพียงเหตุการณ์แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจ้องมองเธอด้วยแววตาวาวโรจน์
โดโลเรสไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อคนตัวสูงกว่ากระชากตัวเธอกดลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว
ทั่วทั้งร่างกระแทกกับฟูกอย่างแรงจนรู้สึกแข็ง เด็กสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
อยากจะกรีดร้องออกมาแต่เมื่อสบตากับดวงตาสีดำของบิลเธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาด้วยซ้ำ
บิลไม่เคยดูโกรธมากขนาดนี้มาก่อน
ภายใต้ใบหน้าและดวงตาของเขาเป็นความเรียบนิ่งดูน่ากลัว มันเหมือนกับคลื่นทะเลที่สงบเงียบรอเวลาที่จะเกิดสึนามิ
ตอนนี้โดโลเรสนึกเสียใจอย่างยิ่งที่ทำให้บิลโมโหขนาดนี้
“ฉะ..ฉันขอโทษ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ”
เด็กสาวพยายามไขว้คว้าหาทางรอดให้กับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ บิลไม่ยอมปล่อยเธอ ตรงกันข้ามเขาดูสะใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นความกลัวของเธอ เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่อยู่บนเตียง
“เธอเคยเลี้ยงหมาไหม รู้วิธีฝึกหมาหรือเปล่า?”
สีหน้าของโดโลเรสเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มที่เมื่อฝ่ามือสากๆ ของคนตัวสูงกว่าเริ่มแตะไปบนใบหน้าไล้มาจนถึงลำคอ แขนเล็กๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะดันร่างกายของเขาออกไป แต่มันก็เหมือนกับเศษไม้ที่ดันก้อนหิน นอกจากจะไม่ขยับเขยื้อนแล้ว แรงกดจากน้ำหนักของคนตรงหน้าทำให้แขนของเธอล้าไปหมด
“หมาจะเห่าเมื่อมันรู้สึกมีอำนาจ ฉะนั้นสิ่งที่เจ้าของทำเวลาหมาแสดงความก้าวร้าวใส่ คือต้องแสดงให้มันเห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นจ่าฝูง”
บิลปัดแขนของคนตัวเล็กกว่าออกอย่างง่ายดายเหมือนกำลังปัดแมลงที่น่ารำคาญออกไป ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมากดประทับริมฝีปาก โดโลเรสนิ่วหน้าเมื่อถูกช่วงชิงลมหายใจออกไปอย่างกระทันหัน จูบของเขาเป็นรสขม รสขมของบุหรี่ที่อบอวลอยู่ในปากส่งผ่านมาทางลิ้นของเขา และเธอไม่ชอบมันเลย เธอรังเกียจมัน แต่เธอไม่อาจปฏิเสธได้
“ถ้าเธอทำตัวดีๆ กับฉัน เธอก็จะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน”
เสียงกระซิบแหบพร่าของบิลดังอยู่ที่ข้างหู “แต่ถ้าไม่..เดี๋ยวเธอก็จะได้รู้เอง”
ความหวาดกลัวแล่นไปทั่วร่างเปรียบเสมือนกับไอเย็นที่ทำให้ร่างกายของเด็กสาวแข็งทื่อยามถูกฉีกกระชากเสื้อผ้าออกไป ทุกการกระทำล้วนรุนแรงปราศจากความปรานี โดโลเรสสะอื้นไห้เพราะรู้ดีว่าไม่อาจต่อต้านคนตรงหน้าได้เลย ไม่มีกวางตัวไหนสามารถชนะสิงโตได้ และตอนนี้กวางตัวเล็กๆ ก็กำลังจะกลายเป็นอาหารให้กับสิงโตตัวนั้นแล้ว
ร่างบอบบางสะดุ้งเฮือกเมื่อไหล่ถูกฝังคมเขี้ยวเต็มแรง เขากัดเธอ และจูบของเขาก็ทั้งรุนแรงและดุดัน ทิ้งร่องรอยอันบอบช้ำไปทั่วร่าง ครั้งหนึ่งบิลเคยทะนุถนอมและอ่อนโยนกับเธอมากกว่านี้ แต่ตอนนี้บิลคนเดิมไม่มีอีกแล้ว เขากลายเป็นสัตว์ป่าประหายเลือด บีบบังคับให้เธอตอบสนองต่อการระบายอารมณ์และความหิวกระหายของเขา รสรักของเขาที่ยัดเยียดให้แก่เธอมันทั้งแสบและชา มันทำให้เธอเจ็บปวดทั้งกายและใจ
โดโลเรสหลับตาลง อยากจะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเพียงเท่านั้น และฝันร้ายก็คงจะจบลงในอีกไม่นานนี้ แค่ต้องอดทนเท่านั้น มันคือความคิดที่เธอเอาไว้ปลอบใจตัวเองเพื่อให้สามารถผ่านพ้นความทรมานนี้ไปได้
____________________
ความคิดเห็น