ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi]How dare U D9 me...เรื่องของพี่ไม่เกี่ยวกับผม

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 10 : เธอคนนั้น...

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.พ. 56



    Chapter 11


     

     

               

                เราสองคนนั่งรถรางไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศดีแต่เช้า ไม่มีเค้าของเมฆฝนให้เห็น ทว่า แดดก็ไม่จ้าจัดจนรู้สึกว่าไม่สบายตัว ความที่เป็นวันเสาร์ คนที่เดินตามท้องถนนมีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว ผมกับเขาก็เลยย่นระยะห่างระหว่างกันเข้ามาโดยอัตโนมัติ

                ฮาโลอยู่ในชุดเสื้อกลามสีดำกับกางเกงสีดำสนิทเช่นกัน พร้อมแว่นกันแดดอีกอัน หุ่นเพรียวบางของเขาดูแบบบางกว่าเดิม บวกความเซ็กซี่เข้าไปนิดๆด้วย

                “ถ้าแต่งชุดนี้พี่ไม่ให้ออกจากบ้าน” ผมยื่นคำขาด ยืนขวางประตูห้องเอาไว้สุดฤทธิ์ สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปเอาคาร์ดิแกนโปร่งๆมาสวมทับอีกตัว ส่วนผมโดนเด็กเอาแต่ใจตีไปหลายทีจนแขนน่วม

                ใครมันจะไปยอม

                ขนาดนี้คนบนรถรางยังมองเขาเป็นตาเดียว

                ด้วยหน้าตาแบบลูกครึ่ง ผิวขาวโผล่พ้นเนื้อผ้าก็พอจะเรียกสายตาสาวน้อยสาวใหญ่แถวนั้นมามองได้เป็นพรวนแล้ว ผมสั้นที่ปล่อยสยายตามลม เอวคอดบาง ยิ่งทำให้ผู้ชายแถวนั้นเผลอเหลือบมามองบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ผมเองก็คนหนึ่งที่มักจะเผลอมองผิวเนียนๆของเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

                “อดกาแฟมารึไง”เขาหันมาแหวใส่ผม ท่าทางจะยังโกรธกันอยู่เรื่องเสื้อผ้า

                “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวเดินไปเรื่อยๆก็มีสตาร์บัคให้กินแล้ว ทำไมเหรอ”

                เขาดึงแว่นตากันแดดออก แขวนไว้บนคอเสื้อ ตาสีสวยหรี่มองผม “บนหน้าผมมีอะไรติดอยู่รึไง”

                ผมยิ้ม บีบสันจมูกเล็กอย่างหมั่นไส้

                “นี่แหน่ะ….

               

                ผมไม่ได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์มานานเท่าไหร่แล้วนะ นี่ก็ปาเข้าไป 24แล้ว ทำงานจริงจังมาเกือบสามปีแล้ว รู้สึกจะมีวีคเอนด์แค่ไม่กี่ครั้งเอง หยุดวันรวมญาติบ้าง พักร้อนสองสามครั้ง ลาป่วยรวมๆกันก็แค่ห้าครั้ง แต่ไม่เคยหยุดยาว ไม่เคยพักผ่อนอะไรเลย

                ถึงตอนนี้ก็งงๆตัวเองอยู่บ้างเหมือนกันว่าใช้ชีวิตช่วงที่ผ่านมาได้ยังไง

                “พี่ กินไอติมมะ”

                ฮาโลหยุดซื้อไอศกรีมที่คาเฟ่ เขาชอบช็อกโกแลต แต่ไม่มีดาร์กแบบที่โปรดปราน ผมมองปราดเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่า เขาต้องซื้อช็อกโก้มิ้นท์

                “กินเถอะ อย่ากินเยอะล่ะ เดี๋ยวเป็นหวัด”

                คนเอาแต่ใจทำหน้ากวนประสาท ตักก้อนครีมคำใหญ่ยัดเข้าปากผม

                “ทำไมทำงี้อ่ะ”

                “ตาแก่ขี้บ่น”

                นี่ผมบ่นแล้วเหรอ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ หมอนั้นป่วยแล้วใครเหนื่อย ก็ผม อะไรๆก็มาลงที่ผมหมด ถ้าเกิดพี่ใหญ่รู้ว่าผมทำน้องเค้าเลือดกำเดาไหลเค้าจะมาเอาเลือดหัวผมออกรึเปล่ายังไม่รู้เลยเนี่ย แล้วถ้าเป็นหวัดเพราะกินไอติมผมมิโดนเล่นงานตายเลยหรือ

                เราเดินไหลไปกับฝูงชน ไปเรื่อยๆ อยากกินอะไรก็หยุดซื้อ สนใจอะไรก็หยุดดู ไม่รีบไม่ร้อน แรกๆผมก็มองนาฬิกาข้อมือบ่อยๆ แต่ไปๆมาๆผมก็เริ่มปล่อยให้ตัวเลขเดินไปข้างหน้าของมัน หันมาสนใจกับความวุ่นวายรอบตัวที่ดูจะต่างไปจากทุกวัน

                เจ้าคนตัวเล็กชอบหยุดดูร้านนั้นร้านนี้อย่างสนอกสนใจ บางทีก็วิ่งนำหน้าผมไปไกลจนรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ก่อนที่เขาจะปรี่เข้าหาร้านเบเกอรี่ ผมต้องรีบคว้าข้อมือเรียวบางเอาไว้ซะก่อน

                เขาแค่ชะงัก แต่ไม่หันกลับมา

                อีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าระหว่างเรามันมีกระจกใสกั้นอยู่ระหว่างกันและกัน มือของเรากุมกันไว้ รู้สึกได้ถึงความอุ่นข้างในใจกลางฝ่ามือ แต่สักพัก ความเย็นเยียบของอะไรบางอย่างก็เข้ามาแทนที่ เขาเดินนำหน้า ผมเดินตามหลัง ก้าวของเราสอดประสานกัน แต่ก็คล้ายกับว่าเราไม่ได้เดินไปด้วยกัน

     


     

                เราหยุดดูทะเลกว้างที่ถนนดวงดาว

                ลมเย็นๆพัดผมของเขาพลิ้วไสว ฮาโลท้าวศอกเข้ากับที่กั้น ทอดสายตามองไปอย่างไม่สิ้นสุด

                ผมจิบกาแฟร้อนๆ สูดกลิ่นจางๆของทะเล

                เราอยู่ห่างกันแค่เอื้อม แต่ก็ราวกับคนแปลกหน้า

                ผมพยายามหาคำตอบ

                ผมอยากรู้ว่าทำไม ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในชีวิตผม เพียงแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่คืน ข้างในใจของผมถึงได้รู้สึกปั่นป่วนมากมายราวกับมีมหาสมุทรตั้งอยู่ข้างใน

                ใบหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกอะไร ดวงตาคู่สวยไม่ฉายแววใดๆ

                บางเวลา ผมอยากหยุดวินาทีไว้ที่ตรงนี้ แต่บางเวลา ผมก็อยากลืมมันไปซะ

                ผมไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง

                ผมมีคำตอบสำหรับเขาอยู่ในหัวใจ ตั้งนานมาแล้ว ผมรู้ว่ามันคืออะไร เหมือนสลักคำพูดบางอย่างไว้บนก้อนหิน บอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน จะไม่มีอะไรมาสั่นคลอนความรู้สึกของผมได้

                แต่เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง

                ราวกับว่าเขาค่อยๆเอาน้ำกรดราดรดบนหินก้อนนั้น

                คำตอบที่ผมเคยมีให้กับตัวเองค่อยๆจางหายไป จนผมกลัวเหลือเกินว่า ปลายทางมันอาจจะสุดอยู่ที่การจากลา

                สายลมสงบลง คล้ายจะเข้าใจความคิดของผม

               

                “ตอนกลางคืน ที่นี่มีพลุด้วยใช่มั้ยล่ะ” เขาเปรยขึ้นมาเบาๆ ระบายยิ้มจางๆบนใบหน้า “ยังไงผมก็ยังอยากดูพลุ ผมจะรออยู่แถวนี้แล้วกันนะ”

                ผมผงกศีรษะรับ ถือแก้วกระดาษเดินไปเรื่อยๆ พยายามไม่คิดอะไรเพลินๆ โดยเฉพาะความคิดที่จะเชื่อมโยงไปถึงเขา

                “ไฮ เลห์ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

                “จีเซล”

                หญิงสาวผมสีฟางร้องทัก เธอนั่งเล่นไอแพดอยู่บนม้านั่งตรงมุมร่มๆ ข้างกายเธอเป็นรถเข็นที่มีเด็กน้อยน่ารักในชุดสีชมพูฟูฟ่องนอนหลับปุ๋ยอยู่

                ผมนั่งข้างเธออย่างถือวิสาสะ จีเซลรู้จักกับผมมานานแสนนาน นานจนผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าเรารู้จักกันได้ยังไง เจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้ตัวอีกที เธอก็ทำตัวเป็นเหมือนคนคนหนึ่งในครอบครัวของเราซะแล้ว แต่เป็นแบบคุณแม่อะไรอย่างนี้ซะมากกว่า

                “พาแพตตี้ออกมาเดินเล่น นายล่ะ ลมอะไรหอบมานี่”

                ผมกำลังจะอ้าปากตอบ ตัวเจ้าปัญหาก็เดินทำหน้าบูดมาที่ผม จีเซลพยักหน้าหงึกๆทันที่ที่เห็นหน้าชัดว่าเขาคือน้องชายของเฮียฮาซัน

                “หวัดดีฮาโล”

                “ไม่ต้องมายุ่ง”เขาสวนกลับทันทีด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าอะไรทำสามารถทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นได้ในพริบตา แต่ผมโทษจีเซลไว้ก่อน

                “โอเค งั้นชั้นไปแล้วนะ บ๊ายบายแพตตี้”

                ผมโบกมือให้หลานตัวน้อยที่กำลังพริ้มหลับอย่างเป็นสุขอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ฮาโลจ้องเด็กคนนั้นนิ่ง จ้องนานจนผมเริ่มใจไม่ดี

                “แพทตี้ หลานนายไงฮาโล”

                น้ำตาใสร่วงจากตาคม เขาตวัดมองผมอย่างเดือดดาล เค้นเสียงเย็นพูดกับผม

                “ผมไม่เคยมีหลาน พี่ชายของผมไม่เคยแต่งงาน เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นญาติกับผม ได้ยินรึเปล่า

                พูดไม่ออก ผมไม่คิดว่าฮาโลจะรู้สึกกับเธอได้ขนาดนี้

                “เหมือนกับที่ผมไม่เคยนับผู้หญิงคนนั้นเป็นญาติ แม่ของเด็กคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวผม รู้รึเปล่า ได้ยินมั้ย”

                “แต่ว่ากาเบรียล”

                เพียะ

                หน้าของผมหันตามแรงฝ่ามือ มันชา ชาจนผมคิดว่าตัวเองไร้ความรู้สึกไปแล้ว

              “อย่าเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นอีก ยัยคนนั้น คนที่แย่งพี่ใหญ่ไปจากผม แย่งคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างไป เอาความรักไป เอาความใส่ใจไปจากผมจนหมด แม้แต่หัวใจพี่เธอก็เอาไป เอาคนที่ผมรักไป เอาไปทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเกลียดเธอ รู้มั้ยว่าผมเกลียดเธอ เกลียดจนอยากฆ่าเธอให้ตายเองเลย ”

                เวลานี้ผมอับจนด้วยคำพูด

                คำพูดของเขาแทงเข้ามาในใจผม ด่าทอผู้หญิงคนเดียวที่ผมจะรักเธอตลอดไป บอกว่าอยากฆ่าเธอให้ตายด้วยมือตัวเอง ตะโกนซ้ำๆว่าเกลียดเธอแทบตาย

                แต่ผมไม่รู้สึกอะไร

                มันคงเจ็บจนด้านชาไปแล้ว ต่อให้เขาตบหน้าผมอีกสักกี่รอบ พูดว่าร้ายกาเบรียลอีกสักกี่หน ผมรู้สึกว่ามันยังพอจะทานทนได้

                แต่น้ำตาของเขา ทำให้ผมอยากระเหยไปจากจุดที่ผมยืนอยู่

                อยากให้พระอาทิตย์แผดเผาลงมา ไหม้ผมเป็นจุณไปตอนนี้เลย

                น้ำตาของเขา ที่มาจากความรู้สึกแท้จริงข้างใน

                มันเกินกว่าที่ใจผมจะรับรู้จริงๆ










    แวะมาอ่านก่อนเรียนยาวช่วงบ่าย
    เห็นคอมเมนต์แล้วใจชื้นขึ้นเยอะ
    เลยเอาเวลาหลังทำเคสเสร็จมาปั่นมาม่าถ้วยนี้อย่างจริงจัง
    ไม่ดราม่าเท่าไหร่ แต่คนเขียนนั่งทำงานไป พิมพ์ฟิกไปด้วยอารมณ์ปวดร้าวมากๆ
    อยากปั่นให้ได้วันละบท ตอนนี้เหลือสัปดาห์ละบท
    ...กระดื้บๆไปด้วยกันนะคะ คนอ่านทุกคน


     

     



















    ขอบคุณธีมสวยๆจาก

    ©
    Tenpoints!

    เช่นเคยคร่า
    ธีมสวยโคตร
    คนเขียนไปเรียนภาษาซีอีกกี่ชาติก็คงทำได้ไม่เท่านี้
    (อีนี่เวอร์ ... ปล่อยฉันไปเถอะเค่อะ)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×