คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : กลรักอสุรา l บทที่๑๑ ตอน นิมิตลิขิตฝัน {อัพ100%}
ครั้นเมื่อ นิมิตลิขิตฝัน
เหตุอัศจรรย์จึงมาโปรดให้เกิดผล
บันดาลภาพอรชนนารีชน ด้วยตัวตนรูปลักษณ์สุรางคณา
ดวงหน้าสวยต้องตาแต่แรกพบ วนบรรจบพบรักแรกที่โหยหา
ท่าร่ายรำอ่อนช้อยร้อยลีลา มากล้นค่ากว่าบุปผาผกาทอง
……
หรือตัวเรานั้นไซร้คืออัปสร
นารีชนเว้าวอนเฝ้าถามหา
นางครุ่นคิดทวนฝันทุกเพลา หรืออสุราว่าไว้คงจะจริง
คิดแล้วจึงศึกษา หาสาเหตุที่มาให้สับสน
หาที่ปลายเหตุที่มาและตัวตน หวังคลายกังวลให้ดวงใจ
‘ขบวนรำถวายนี้
เป็นของกำนัลจากแดนสรวงแทนสินน้ำใจที่ท่านท้าวอสุเรนทร์เคยช่วยไว้จากการรุกรานเจ้าค่ะ…’
ท่ามกลางการว่ายวนอยู่ในความฝันซึ่งถอดแบบมาจากหนังสือที่ชอบอ่าน
ฉันได้ยินเสียงหวานจากหนึ่งในนางอัปสรกล่าวขึ้นอย่างอ่อนน้อม หลังจากขบวนแห่ร่ายรำชักเท้ามาหยุดอยู่บริเวณกลางสวนกว้าง
หากแต่เสียงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวฉัน
หากแต่มาจากนางอัปสรอีกตนซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับฉันราวกับถอดแบบกันมา
‘หม่อมฉันหวังว่าท่านท้าวจักพอพระทัยกับขบวนแห่สินน้ำใจในครานี้นะเจ้าคะ...’
นอกจะได้ยินเสียงหวานของนางอัปสรตนนั้นแล้ว
ฉันยังได้ยินเสียงไถ่ถามของยักษ์หนุ่มเจ้าเมือง
‘เจ้ามีนามว่าเช่นไรรึ?’ อาจด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็นล่ะมั้ง
ขณะหมอบกราบฉันจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสถานการณ์แสนแปลกตรงหน้า
ทว่า สิ่งที่รอคอยเบื้องหน้าหลังจากตัดสินใจเงยหน้าลอบมอง กลับเป็นนัยน์ตาคมดุดันหากแต่ช่างสังเกตของยักษ์หนุ่มอีกตนในชุดเครื่องทรงสีขาวสะอาดตามันเสียอย่างนั้น
และฉันจำได้แทบจะทันที ว่าเขาคือใคร
‘หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ
ท่านท้าวอสุเรนทร์’
ทั้งที่จิตนึกคิดในภาพฝันกำลังสั่งการให้ก้มลงหมอบกราบดั่งเก่าเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษ
แต่ว่า สายตาของท่านอสุราในตอนนั้นคล้ายกับมีมนต์สะกด พานให้ร่างกายทุกส่วนแข็งทื่อจนไม่สมเป็นตัวของตัวเอง
ที่ไม่ต่างจากโลกความจริงเลยเห็นที่คงจะเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่เริ่มรุนแรงขึ้น
ตลอดที่นัยน์ตาคู่นั้นของเขาจับจ้อง
และท่านอสุรายังคงจ้องมองฉันอยู่แบบนั้น
แม้ว่าปากของเขากำลังเอ่ยชมแม่หญิงนิมมานรดีคนรักของตัวเอง
‘เหตุใดชื่อเจ้าจึงได้เพราะเสนาะหูนักเล่า
แม่นิมมานรดี ?’ ที่น่าตลกก็คือ
ในฝันมันคือฉันเสียเองที่เป็นฝ่ายอยากสบสายตากับเขาเช่นนั้นให้เนิ่นนานที่สุด
แต่แล้วภาพของขบวนแห่และบทสนทนาภายในสวนหลวงหลังวังก็มีอันแปรเปลี่ยนไป
จากภาพสวนสวยซึ่งทั่วบริเวณคับคั่งไปด้วยเหล่าหมู่ยักษ์และนางอัปสร บัดนี้เหลือเพียงแค่ฉันเพียงลำพังพร้อมด้วยพานทองบรรจุดอกบัวสดในมือขณะกำลังเร่งฝีเท้าไปตามเส้นทางหินลัดเลาะกำแพงสีขาวสูงตระหง่าน
แม้ไม่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นทำไมภาพตัวเองในฝันถึงดูรีบร้อนนัก
ถึงอย่างนั้นร่างกายก็ไม่วายขยับเคลื่อนไหวตามความรู้สึกที่ได้รับจากภาพฝันอยู่ดี โดยขณะที่สองเท้าเร่งจ้ำไปข้างหน้า
มือและสายตาก็เอาแต่วุ่นวายกับดอกบัวบนพานทองไปด้วย แล้วตอนนั้นเอง…
ตึก… ตึก…
ความรีบร้อนและไม่มองทาง
ก็นำพาความซวยมาเยือน เมื่อโถงประตูตรงหน้ามีร่างสูงของใครอีกคนเดินแทรกตัดหน้าออกมาพอดิบพอดี
พลอยให้ฉันซึ่งเร่งรีบและไม่ได้ดูทางเดินชนเขาเข้าอย่างจัง
ตุบ! เกร้ง!
‘ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านนายทหาร…’ คำขอโทษแสดงความรู้สึกแสนสุดภาพถูกเอ่ยขึ้นแทบจะวินาทีนั้น ขณะรีบทรุกตัวลงนั่งก้มหน้าก้มตาเก็บพานทองที่ทำหลุดมือและดอกบัวสดบนพื้นเก็บกลับเข้าที่
แต่แล้วหลังจากก้มเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดเข้าที่ได้สำเร็จ และเงยหน้าขึ้น มันก็เป็นฉันเสียที่ต้องตกใจ
เมื่อร่างสูงใหญ่ที่ฉันในฝันเข้าใจว่าเป็นทหารวังกลับเป็นคนอื่นที่อยู่เหนือความคาดหมาย
‘เหตุใดจึงมองเหม่อหาได้มีสติดูทางเช่นนี้เล่า
นางอัปสร…’ ท่านอสุราว่าขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ท่าทางเขาขณะไถ่ถามนั้นปราศจากอาการไม่พอใจให้ได้เห็น หากแต่กลายเป็นฉันเสียเองที่ดันหวาดกลัวต่อความผิดของตัวเอง
แม้อีกฝ่ายจะมีสีหน้าเปื้อนยิ้มก็ตาม
‘ขออภัยเจ้าค่ะท่านอสุรา
หม่อนฉันรีบเร่งจึงมิได้มองเส้นทางเบื้องหน้า กรุณาอย่างลงโทษหม่อมฉันเลยนะเจ้าคะ…’ สิ้นเสียงร้อนรนซึ่งดังลอดผ่านปาก ผู้ฟังกลับขยับยิ้มกล่าวถ้อยกลับมา
‘เหตุเพียงแค่หยิบมือ
เหตุใดเราจึงต้องคาดโทษเจ้าด้วยเล่านางอัปสร ?’ ไม่ใช่แค่พูดแต่ท่านอสุราในภาพฝัน
ยังถือโอกาสเคลื่อนมือมาหยิบดอกบัวบนพานขึ้นไว้กับตัวดอกหนึ่ง แล้วกล่าวเสริม ‘เจ้าเห็นหรือไม่ ว่าดอกบัวในพานทองนี้ กำลังช้ำ’
‘หะ เห็นเจ้าค่ะ’
‘แล้วเจ้าคิดหรือ ว่าท่านพี่อสุเรนทร์จะโปรดปราน ดอกบัวช้ำเหล่านี้?’ และคำพูดของเขามันก็ทำให้ฉันเริ่มรู้เหตุผลความเร่งรีบของตัวเองในความฝัน
‘ท่าให้ดี เราเกรงว่าเจ้าควรจัดเตรียมดอกบัวพวกนี้มาใหม่เสีย’
ว่าจบท่านอสุราก็วางดอกบัวกลับคืนลงพานทอง
ก่อนละสายตาจากกลีบดอกช้ำๆ เป็นการมองหน้าฉันโดยตรง อีกทั้งยังเป็นฝ่ายตั้งคำถาม
‘ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร
มีชื่อเสียงรายนามเช่นไรงั้นรึ ?’ ไม่รู้ว่าทำไมการเผชิญหน้ากับระหว่างฉันกับท่านอสุราในฝันถึงได้ให้ความแตกต่างจากชีวิตชนิดที่ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น
บรรยากาศระหว่างเราตอนนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน
ซ้ำมันก็เป็นฉันเสียที่ยังคงรู้สึกหวาดกลัวความผิดของตนเมื่อครู่ และเมื่อถูกถามแบบนั้น
ปากจึงเริ่มขยับ โดยได้ความรู้สึกที่มีในตอนนั้นร้องบอกว่า หากเอ่ยชื่อนี้ออกไป
บางทีโทษทัณฑ์ซึ่งยังรู้สึกผิดทางความคิดจะลดน้อยลงไปได้บ้าง
‘หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา’
ที่น่าแปลกก็คือ
ความฝันประหลาดที่คล้ายกับว่าฉันเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าของตำนานท้าวอสุเรนทร์ซึ่งไม่เคยถูกบันทึกวัน
ยังคงติดตรึงและอยู่ในความคิดแบบนั้น แม้ว่าจะตื่นจากความฝันและกลับมาอยู่ในโลกความจริงแล้วก็ตาม
เวลา 10.40 นาฬิกา
ห้างสรรพสินค้า K
“ไปทานกันเยอะๆ นะคะ !”
เสียงของฉันดังไปทั่วพื้นที่บริเวณลานกว้างของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
ในมือพลางหยิบยื่นใบปลิวและส่วนลดของร้านพีพีมุกชาส่งให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการห้างในเวลานั้นด้วย
เหตุที่ฉันสามารถกล้าส่งเสียงดังในลักษณะนี้ได้ก็เพราะ การแจกใบปลิวของร้านนั้น
ไม่ใช่การยืนแจกด้วยเครื่องแต่งกายปกติ แต่ต้องใส่ชุดมาสคอตของหมีสีน้ำตาลติดโบว์สีชมพูอ่อนสัญลักษณ์ของร้านเพื่อดึงดูดผู้คนให้สนใจไปด้วย
ด้วยเพราะกองถ่ายต้องพักกองไปหนึ่งอาทิตย์
สิ่งที่ฉันทำฆ่าเวลาเพื่อไม่ให้อดอยากปากแห้งจึงเป็นการมาตามนัดงานที่ทางร้านโทรเรียก
แม้ว่าฉันจะต้องสวมชุดมาสคอตเดินวิ่งวุ่นแจกใบปลิวของทางร้านไปรอบๆ ลานกว้างของห้าง
ถึงอย่างนั้นทุกช่วงเวลาการทำงานก็ยังสามารถถูกผู้จัดการร้าน
พีพีมุกชาจับจ้องได้อยู่ตลอดเวลาอยู่ดี
เนื่องจากร้านชานมร้านนี้ส่วนใหญ่มักจะเปิดสาขาใหญ่ๆ
อยู่ในห้าง นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไม คุณนกที่โทรเข้ามาถึงบอกฉันบอกกับทางผู้จัดการร้านว่าฉันได้งานมาจากเธอ
แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แต่
สุดท้ายมันก็ไม่สำคัญเท่ากับเงินที่จะได้หลังเลิกงานนักหรอก
ถึงแม้จะบอกตัวเองว่าไม่ต้องคิดอะไรเยอะ
นอกจากตั้งใจทำงานของตัวเองให้เต็มที่ก็ตามที
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่สามารถสลัดให้ออกจากหัวได้นักตั้งแต่ตอนตื่น เห็นที่คงไม่พ้นเรื่องความฝันแปลก
ซึ่งตอนนี้ยังติดอยู่ในความคิดชนิดที่ว่าพยายามสะบัดให้ออกอย่างไรก็ไม่มีทางหลุด
จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่า
ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ฝันเป็นตุเป็นตะแบบนั้นได้…
แม้จะสงสัย แต่ตอนตื่น ฉันก็ใช่ว่าจะบอกเล่าเรื่องความฝันแสนแปลกนี้ให้กับใครอีกคนที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันให้ได้รู้หรอกนะ
ในเมื่อภาพฝันที่มองเห็นมันมีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ดูจะคล้ายคลึงกับตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่เคยอ่าน
นอกนั้นมันคือเรื่องราวที่เหมือนกับจิตนึกคิดปรุงแต่งเองเสียมากกว่า
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างความฝันกับความจริงก็คงจะเป็นเรื่องของแม่หญิงนิมมานรดี
ที่ไม่ว่าจะในฝันหรือเรื่องจริง ก็ยังปรากฏให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ
ว่าฉันน่ะไม่ใช่คนรักที่ท่านอสุราตามหา
แล้วอะไรกันล่ะ
ที่ทำให้เขาคิดว่าฉันใช่แบบปักใจถึงขนาดนั้น…
‘กลิ่นกายเจ้า...หอมหวานดั่งดอกสร้อยทองรุ่งอรุณมิแปรเปลี่ยน…’
เพราะกลิ่นตัวงั้นเหรอ…
พอคิดแล้ว
ฉันก็เผลอยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเพื่อทดสอบกลิ่นกายของตัวเองไม่ได้ ใช่ค่ะ ทดสอบทั้งที่ยังสวมชุดมาสคอตหมีนี่หล่ะ!
แต่แล้วขณะที่กำลังพิสูจน์กลิ่นของตัวเองอยู่นั้น
จู่ๆ ผู้จัดการซึ่งน่าจะอยู่ในร้านก็ส่งเสียงดังขึ้น จำตัวรีบลดแขนข้างหนึ่งลง
แล้วหันมองไปทางเธอด้วยความสงสัย
“ทับทิม ทำไหวหรือเปล่า ?” คำถามของเธอ
ทำฉันรีบจ้ำเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาทันที
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมถอดหัวหมีขนาดใหญ่ออกจากหัวเพื่อที่จะได้มองหน้าค่าตากันได้ถนัดๆ
“ไหวค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“วันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยนะ
พอดีคนที่สมัครไว้อีกคนดันมาไม่ได้น่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำไหว
ให้ฉันแจกแทนของอีกคนก็ได้นะคะ” ฉันเสนอ
“จะไหวเหรอ หมื่นกว่าใบเชียวนะ”
“ไหวอยู่แล้วค่ะ แค่นี้เอง”
“เอางั้นเหรอ…” ผู้จัดการร้านถามคล้ายกับลังเล
เธอคิดอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนเสนอสิ่งที่น่าสนใจอย่างสุดๆ ให้ได้ยิน “เอางั้นก็ได้ ถ้าทับทิมแจกครบทุกแผ่น เดี๋ยวเลิกงาน ฉันจะให้ค่าแรงเธอ 2
เท่าก็แล้วกัน”
“ตกลงค่ะ!” สิ้นเสียงรับปากสิ่งที่ฉันได้กลับมาจากผู้จัดการคือรอยยิ้มที่คล้ายกับจะฝากฝัง
และเมื่อยิ่งรู้ตัวว่าหากจบงานนี้
ฉันจะได้เงินเพิ่มจากที่คิดไว้อีกเท่าตัวด้วยแล้ว
มันก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมเข้าไปใหญ่
เพราะรู้สึกแบบนั้น หัวหมีในมือจึงถูกบรรจงสวมครอบหัวอีกครั้งพร้อมทั้งรีบหันกลับไปยังลานกว้างตรงหน้าเพื่อทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ
แต่แล้วตอนนั้นฉันกลับต้องเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงหน้าด้วยเครื่องทรงยักษ์สีนวลแสนคุ้นตา
ท่ามกลางฝูงชนที่เริ่มทยอยเข้ามาภายในห้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งที่อยู่ไกลกัน แต่จากตรงนี้ฉันกลับสามารถมองเห็นรอยยิ้มบนหน้าของเขาได้ชัดไม่ต่างจากตอนอยู่ใกล้ๆ
จนอดคิดไม่ได้ว่า เหตุผลที่คนงานอีกคนมาทำงานไม่ได้วันนี้
เป็นเพราะฝีมือเขาหรือเปล่า ?
ขณะเดียวกัน
พอได้เห็นท่านอสุราปรากฏตัวขึ้นกลางลานกว้างของห้างแบบนี้แล้ว
ในหัวมันก็ดันเผลอนึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาอีกเสียได้
‘ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร มีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไรงั้นรึ
?’ เสียงของเขาในฝัน ยังดังอยู่ในหัวให้ได้ยินชัด
เช่นเดียวกับเสียงของฉันในฝัน ที่เอ่ยตอบคำถามเขากลับไป
‘หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา’ และพอนึกได้ มันก็พาให้เกิดเป็นคำถามขึ้นในหัวอย่างไม่อาจห้ามได้
ว่าเพราะเหตุใด ในฝันฉันจึงตอบถ้อยท่านอสุรากลับไปแบบนั้น
กึก…
เสียงฝีเท้าหนักๆ
ซึ่งเหมือนจะดังชัดขึ้นกว่าฝีเท้าของคนอื่นๆ ทำฉันสะดุ้งจากวังวนความคิด
มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เมื่อร่างสูงของยักษ์หนุ่มที่ตามองเห็นนั้นกำลังก้าวเดินเข้ามา
กว่าจะคิดได้ว่าควรจะทำอะไร ฝีเท้าหนักๆ ของเขาก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
“เหตุใดการออกเดินทางหนนี้ แม่ทับทิมหาได้เอ่ยปากบอกพี่เช่นที่เคยทำไม่
?” แถมเขายังเอ่ยปากถาม
ด้วยเพราะสถานการณ์กลางห้างในช่วงเวลาที่ลูกค้ากำลังเข้าใช้บริการ
มันดูไม่สมควรนักที่จะพูดคุยด้วย เหตุผลก็เพราะ
ในเมื่อมีเพียงฉันเท่านั้นที่มองเห็น คนอื่นคงจะหาว่าบ้ากันพอดี ด้วยเหตุนั้นสิ่งที่ฉันทำหลังถูกถาม
จึงเป็นการรีบครอบหัวหมีและเลี่ยงเดินไปทางอื่นทันที
มันก็จริงอย่างที่ท่านอสุราทักท้วงนั่นหล่ะ
ปกติแล้วไม่ว่าจะออกไปไหนหรือทำอะไร ฉันมักจะยกมือไหว้แล้วบอกอยู่เสมอๆ เพื่อให้ท่านคุ้มครองและช่วยให้สิ่งที่คิดจะทำในแต่ละวันราบรื่นไม่ติดขัด
แต่นั่นไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่ฉันสามารถพูด มองเห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือได้แบบระบบคมชัด
HD
เพราะยังไม่รู้สึกกับการมีท่านอยู่ใกล้ๆ
สักที วันนี้นับตั้งแต่ตื่น ฉันจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกจากบ้านทันที
ไม่ได้บอกกล่าวอย่างที่เคยทำ
นี่หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่าการถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทวงน่ะ…
และถึงแม้จะหลบเลี่ยงที่จะพูดคุยด้วยเหมือนปกติ
หากแต่การทำเช่นนั้นก็ใช่จะทำให้เขายอมลดละการตามติดลงเสียไหน
ท่านอสุรายังคงเหยียบตามรอยเท้าที่ฉันเดินหลบหนี ซึ่งแม้ไม่ได้เหลียวหลังมอง ฉันก็ยังรับรู้ได้ถึงการถูกติดตาม
โดยเฉพาะกับเสียงไถ่ถาม ราวกับอยากจะชวนพูดคุย
“สถานที่แปลกตาแห่งนี้
มีชื่อเรียกขานว่าเช่นไรงั้นรึแม่ทับทิม
เหตุใดจึงมากล้นด้วยมวลมหาปุถุชนถึงเพียงนี้เล่า ?” สิ้นเสียง
หางตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองเจ้าของเสียงถามไถ่ผ่านช่องดวงตาของชุดมาสคอตไม่ได้
ก่อนพบว่าท่านอสุรายังคงปรากฏตัวอยู่ในระยะใกล้ตามอย่างที่คิด
แต่ว่าสิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เวลานี้กลับไม่ใช่ฉันเหมือนอย่างทุกที แต่ว่าเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวเสียมากกว่า
ไม่ใช่แค่ท่าทีเท่านั้นที่อีกฝ่ายให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัว
แต่แววตาและสีหน้ายังสะท้อนอารมณ์ซึ่งบอกถึงความสนอกสนใจและประหลาดใจให้ได้เห็นอีกด้วย
อาจเพราะที่ที่เขาจากมานั้น คงไม่มีข้าวของหรือสถานที่แบบนี้ให้เห็นบ่อยนัก
จึงไม่น่าแปลกใจหากยักษ์โบราณเช่นเขาจะแสดงทีท่าประหลาดใจกับทุกสิ่งรอบตัวให้ได้
ผลพลอยจากการทำงานเป็นผู้ช่วยชั่วคราวในกรมศิลป์
ทำให้ผู้ซึ่งถูกถามและมักคอยทำหน้าที่อธิบายสิ่งต่างๆ
ให้ผู้ไม่รู้ได้เข้าใจอย่างฉันจึงเผลอต่อปากต่อคำ อย่างอดไม่ได้
“ที่นี่คือห้างสรรพสินค้าเจ้าค่ะ”
“ห้างสรรพสินค้างั้นรึ? ไยจึงฟังดูพิลึกซ้ำยังเรียกขานยังนัก”
แม้ว่าเขาจะยอกย้อนกลับมาเช่นนั้น
หากแต่ไม่ใช่กับสายตาที่ยังเอาแต่ปรายมองไปรอบตัวอย่างสนอกสนใจ
“แปลกตรงไหน เพราะที่ที่ท่านอยู่ไม่มีล่ะสิ
ถึงได้มองว่ามันแปลก…อะ” แต่ครั้นพอจะยอกย้อนกลับไปบ้าง
มันก้เป็นฉันเองที่ต้องเงียบเสียงลงในช่วงท้ายประโยค
เพราะทันทีที่สายตาเลื่อนละจากคนตัวใหญ่ไปยังทางเบื้องหน้า
ฉันกลับต้องตกใจเมื่อลูกค้าหญิงคนหนึ่งกำลังแสดงสีหน้าตกใจ
ที่สำคัญเธอกำลังยื่นมือมารับใบปลิวจากมือฉันเสียด้วย
“พะ พูดกับฉันหรือเปล่าคะ ?” นอกจากนั้นแล้ว
ยังตั้งคำถาม โดยเฉพาะแววตาที่ลูกค้าสาวใช้มองนั้น
มันกำลังบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังแปลกใจและสงสัย
บ้าเอ้ย!
เพราะแบบนี้ยังไงล่ะ ฉันถึงได้เลี่ยงที่จะคุยกับเขา!
“ค่ะ!” และเพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนั้นจึงเป็นการแถ พลางผายมือเชื้อเชิญไปยังหน้าร้านเปลี่ยนจากการถูกมองอย่างสงสัย
ให้กลายเป็นการเรียกลูกค้าเข้าร้านมันเสียเลย “หากที่ที่ท่านอยู่ไม่มีร้านชานมที่อร่อยที่สุดในโลกอย่างพีพีมุกชาแล้วล่ะก็
แต่นแต้นนนน ทานวันนี้ได้ส่วนทันที 50% วันนี้นะเอออ...”
มันใช่เรื่องที่ฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้นอกเหนือจากการแจกใบปลิวไหมเนี่ย!
ทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่ใครจะนึกล่ะว่า หลังจากส่งเสียงออกไปแบบนั้น
มันจะแปรเปลี่ยนการแจกใบปลิวธรรมดาให้การมาเป็นการเรียกลูกค้าเข้าร้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“มีส่วนลดด้วยใช่ไหมคะ ฉันขอใบหนึ่งคะ…”
“ขอด้วยค่ะ !”
“ฉันด้วย!” จากการที่ต้องคอยวิ่งแจกใบปลิวและส่วนลด
กลับกลายเป็นว่าตรงจุดที่ฉันยืนอยู่นั้น กลับกลายเป็นที่สนใจของบรรดาลูกค้าบางส่วนที่ชื่นชอบการดื่มชานมไข่มุกไปโดยปริยาย
โดยเฉพาะกับพวกเด็กๆ
“ขอโทษนะคะ
รบกวนถ่ายรูปกับลูกสาวดิฉันหน่อยได้หรือเปล่า ?”
“ได้สิคะ” ปากน่ะให้การตอบรับ
หากแต่ไม่ใช่กับที่มียังสาละวนหยิบยื่นใบปลิวในมือส่งให้กับลูกค้าที่แห่กันเข้ามาด้วยความสนใจ
ทว่า ท่ามกลางฝูงชนที่รุมแห่กันเข้ามาเพื่อขอส่วนลดลิ้มรองรสชาติชานมจากร้านพีพีมุกชาอยู่นั้น
“อย่าลืมลองไปทานพีพีมุกชากันเยอะๆ
นะคะ อะ…”
ฟึ่บ!
กลับมีหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นทำเรื่องน่าตกใจ
ด้วยการกระชากใบปลิวจำนวนหนึ่งไปจากมือฉันอย่างถือวิสาสะ
พานให้ต้องรีบตวัดสายตาไปยังเจ้าของการกระทำไร้มารยาทดังกล่าวทันทีแบบไม่ต้องคิด
แต่ก่อนที่ปากจะทันได้ขยับต่อว่า
เจ้าของการกระทำดังกล่าวกลับส่งเสียงแทรกขึ้นท่ามกลางกลุ่มฝูงชนเสียก่อน
“เจ้าข้าเอย! บัดนี้มีชาจอกใหญ่รสเลิศให้ลิ้มลอง
พวกเจ้าทุกตนจงแห่แหนลองลิ้มชิมชารสเลิศกันบัดเดี๋ยวนี้เถิด!”
ภาพที่บังเกิดอยู่ตรงหน้าทำฉันตาโตด้วยความตกใจใส่เจ้าของเสียงแทบจะวินาทีนั้น
หากแต่กริยาทางตาเช่นนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ถูกมองรู้สึกสนใจสักเท่าไหร่นัก
เพราะสิ่งที่เขากำลังทำคือการถือใบปลิวของร้านไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
ขณะใช้อีกมือหยิบยื่นใบปลิวเหล่านั้นส่งให้แก่ผู้ที่เดินผ่านไปมา
ไม่รู้เลยว่าระหว่างที่ท่านอสุรากระทำการเลียนแบบการแจกใบปลิวของฉันอยู่
สิ่งที่สายตาคนนอกมองเห็นจะออกมาในรูปแบบไหน จะเหมือนกับในหนังผีที่เห็นเพียงกองกระดาษลอยไปมารึเปล่า
หรืออาจมองไม่เห็นราวกับสิ่งที่คนตัวใหญ่กำลังทำนั้นเป็นเพียงธาตุอากาศ
เหตุที่คิดแบบนั้นก็เพราะ
ลูกค้าบางกำลังกำลังหน้าตกใจผ่านสีหน้าและแววตาอย่างเห็นได้ชัด
บ้างก็มองแล้วหันไปซุบซิบ
ขณะที่บ้างก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วหันกล้องโทรศัพท์ส่งตรงไปยังจุดที่ท่านอสุรายื่นอยู่
ทว่า วินาทีที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดแจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้สงบลงได้ด้วยวิธีใด
ตอนนั้นเองลูกค้าบางคน ซึ่งตอนแรกยืนออกเพื่อขอรับใบปลิวจากฉัน
กลับเริ่มหันเหและเปลี่ยนทิศทางอย่างพร้อมเรียง
ที่น่าตกใจกว่าสิ่งที่ท่านอสุราทำอยู่นั้น
คงไม่พ้นกับเรื่องหมู่มหาประชาชนซึ่งต้องการส่วนลดของร้านชาเปิดใหม่
เริ่มทยอยกันแห่ไปรับใบปลิวจากชายหนุ่มในชุดเครื่องยักษ์ข้างกายพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา
“ขอแผ่นหนึ่งค่ะ!” มิหนำซ้ำลูกค้าบางคนยังส่งเสียงร้องขอใบปลิวจากเขาราวกับว่ามันเรื่องปกติ
ทำไมล่ะ ? คนพวกนี้เห็นเขางั้นเหรอ
?
แม้จะรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดไม่หาย
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยู่ในหน้าที่ของตัวเอง เพราะเมื่อมีเสียงลูกค้าร้องขอใบปลิวและส่วนลดจากคุณหมี
สิ่งที่ฉันพึงจะทำมากกว่าจะนิ่งเพราะภาพที่เห็น จึงเป็นการหยิบยื่นใบปลิวในมือส่งให้อย่างเสียไม่ได้
ตลอดการทำงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ่อยครั้งที่ฉันมักจะเหลือบมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องทรงยักษ์ขณะหยิบยื่นใบปลิวในมือให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในห้างอย่างไม่ถือตัว
ซึ่งหากไม่นับเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับบนตัวเขานั้น
ท่านอสุราเวลานี้ดูไม่ต่างจากผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งตรงไหน…
เวลา 12.50 นาฬิกา
“ทานนี่ก่อนสิเจ้าคะ…”
แก้วชานมขนาดเหมาะมือซึ่งถูกติดโลโก้ของพีพีมุกชา
ถูกฉันหยิบยื่นให้กับชายหนุ่มข้างกาย
ที่เวลานี้ยังคงให้ความสนอกสนใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะวุ่นวายอยู่กับการช่วยแจกใบปลิวมาหมาดๆ ก็ตาม
ถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงสายที่ท่านอสุราจะทำ
จะพาให้คนที่เห็นเช่นฉันรู้สึกตกใจมากแค่ไหนก็ตาม ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่กล้าที่จะต่อว่าเขาอยู่ดี
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ
นับตั้งแต่ที่ท่านอสุราปรากฏตัวแล้วช่วยแจกใบปลิวจนไม่สมฐานะยักษ์แบบนั้น
กลับกลายเป็นตัวดึงดูดชักชวนผู้ที่ผ่านไปมาสนใจได้มากกว่าที่ฉันคิดนัก ซ้ำยังทำให้ใบปลิวจำนวนครึ่งหมื่นตามข้อตกลงที่ต้องแจกในตอนแรก
หมดไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
“ในมือน้อง คือสิ่งใดงั้นรึ ?” ท่านอสุราถามขึ้นทันทีที่หันมาตามเสียงเรียก อีกทั้งยังจับจ้องสายตามายังแก้วชานมไข่มุกในมือฉันอย่างสนอกสนใจ
“กะ ก็เครื่องดื่มไงเจ้าค่ะ มันคือชาที่ท่านตะโกนบอกคนพวกนั้นให้ลองมากินน่ะ”
พูดจบ คนตัวใหญ่จึงเคลื่อนมือมารับแก้วชานมไปจากมืออย่างว่าง่าย
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ยกขึ้นดูดตามอย่างที่ควรทำ
แต่ท่านอสุราเลือกที่จะถือแก้วชานมไว้ในมือแบบนั้นนิ่งๆ โดยใช้เพียงแค่สายตากวาดสำรวจไปรอบๆ
รูปทรงของแก้ว
พอเห็นเขาเอาแต่มองแก้วชาอยู่แบบนั้นแล้ว
มันก็อดถามไม่ได้…
“ทานได้หรือเปล่าเจ้าคะ
หรือว่าฉันต้องจุดธูปเรียกก่อน…” คำถามของฉันหนนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นการยียวนกวนประสาทผู้ถูกถาม
แต่เปล่าเลย ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ซึ่งขณะเดียวกันท่านอสุราเองก็คล้ายกับเข้าใจ
เขาถึงได้ตอบกลับมาแบบนั้น
“ตัวพี่นั้นอิ่มทิพย์ หาได้ต้องการเครื่องเซ่นเหล่านี้ประทังชีวิตไม่”
ได้ฟังอีกฝ่ายพูดแบบนั้น
สิ่งที่ฉันเลือกทำจึงเป็นการดูดชานมแก้วที่เหลือในมือตัวเองหนึ่งที
โดยที่ยังถูกเขาจ้องอยู่ แต่พอถูกอีกฝ่ายจ้องมากเข้า จู่ๆ
มันก็กลับรู้สึกเขินขึ้นมาเสียดื้อๆ จำต้องเป็นฝ่ายละสายตาจากเขาด้วยตัวเอง
“ยามนี้ เมืองมนุษย์ยามนี้ผิดแปลกจากเก่ามากนัก
หาใช่ดินแดนเช่นที่เคยคุ้นไม่…” แต่แล้วมันก็เป็นท่านอสุราเองนั่นหล่ะที่กล่าวขึ้น
“ดูเช่นชาจอกใหญ่ในมือพี่นี้สิ เริ่มเดิมทีหาใช่จักมีขนาดมโหฬารเช่นนี้ไม่
ซ้ำยังมิอุ่นร้อน แต่กลับเย็กเฉียบจนดูจืดชืด”
คำพูดราวกับต้องการจะบอกความรู้สึกและความคิดที่มีต่อยุคสมัยปัจจุบันของท่านอสุรา
ทำฉันอดที่จะเหลือบมองเขาอีกครั้งไม่ได้ และเหมือนเดิม
เขายังคงเพ่งพินิจพิจาณาแก้วชานมในมืออยู่แบบนั้นราวกับแก้วชานมไข่มุกทั่วๆ
ไปคือสิ่งวิเศษวิโส
“ถ้าท่านไม่ลองทาน แล้วท่านจะรู้ได้ยังไงล่ะเจ้าคะ
ว่ารสชาติของชาในเมืองมนุษย์เป็นยังไง ?” ท่านอสุราไม่ตอบแต่เลือกที่จะปรายตามองมาที่หน้าฉันแบบตรงๆ
เขาไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกที่บ่งบอกถึงการอยากลองชิมชานมในมือเลยแม้แต่นิด
แต่มันก็อย่างที่ฉันบอกนั่นหล่ะ ถ้าไม่ลองก็คงไม่รู้จริงไหม?
“ลองดูดสักปื๊ดสิเจ้าคะ จะได้เอาไปบอกเล่าต่อๆ
กันว่า ชาในเมืองมนุษย์รสชาติอร่อยแค่ไหน ?”
คราวนี้พอถูกคะยั้นคะยอหนักขึ้น
ท่านอสุราก็เกิดอาการลังเลให้ได้เห็น
เขาหลุบตามองแก้วชานมในมือตนเองสลับกับหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่ง
แต่แล้วก็ยอมยกแก้วในมือขึ้นสูงระดับริมฝีปากในที่สุด
แต่ใช่ว่าทำแล้ว
เขาจะเริ่มกินมันตามเสียงเร่งเร้าเสียที่ไหน เพราะสิ่งที่ยักษ์หนุ่มต่างภพทำคือการปรายตามองท่าทีฉันอยู่ตลอดเวลา
และในตอนที่ฉันยกแก้วชานมขึ้นดูดเป็นหนที่สองนั่นแหละ เขาถึงได้ยอมที่จะคาบปากลงบนปลายหลอดแล้วดูดเครื่องดื่มที่ตนเองกล่าวหาว่าแปลกประหลาดเข้าปาก
ทว่า แป๊บเดียวเท่านั้นท่านอสุราก็สำลักออกมา
ซ้ำยังโวยวาย สีหน้าเหยเก
“มะ เม็ด…แค่กๆ เม็ดสีนิลเหล่านี้ติดคอพี่!”
“คะ ใครใช้ให้ท่านกลืนไข่มุกลงคอแบบนั้นล่ะเจ้าคะ!?”
ฉันย้อน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ที่จะห่วงอาการที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นไม่ได้อยู่ดี
“ท่านต้องเคี้ยวก่อนเจ้าค่ะ มันจะหนึบๆ แล้วก็มีรสหวาน”
อีกหนที่คนฟังตัดสินใจดูดชาเข้าปากอีกครั้ง
หากแต่ในหนนี้สังเกตได้ว่าปากของเขากำลังขยับ คล้ายกับกำลังทำตามสิ่งที่เพิ่งถูกบอกอย่างไรก็อย่างนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าและอาการที่เขาแสดงผ่านใบหน้าไปในทางที่ดีขึ้น
ฉันจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถามอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ ถูกปากท่านบ้างไหม ?” ท่านอสุราส่ายหน้าน้อยๆ หลังถูกถาม แม้ว่าเขาไม่ได้ตอบออกมาด้วยคำพูด
แต่เพียงแค่การส่ายหน้าปฏิเสธกับสีหน้าที่คล้ายกับครุ่นคิดอะไรตลอดเวลาเคี้ยวเม็ดไข่มุกในปาก
เท่านั้นมันก็มากพอแล้วล่ะสำหรับคำตอบที่ฉันต้องการ
ทั้งที่คำตอบออกมาเป็นคำว่าไม่แท้ๆ
แต่ฉันกลับหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“แม่ทับทิมหัวร่อสิ่งใดรึ ?” และแน่นอนว่าคนที่ทำตัวไม่ถูกกับยุคสมัยที่กำลังเป็นนั้น
ก็รีบถามแทรกขึ้นโดยทันที
“หัวเราะท่านยังไงล่ะเจ้าคะ มันก็แค่ชาไข่มุกเอง แต่ทำไมท่านถึงได้ดูลำบากกับการกินขนาดนี้ก็ไม่รู้”
“พี่ดูน่าหัวร่อมากถึงเพียงนั้นเลยรึ แม่ทับทิม?”
ในหนนี้ฉันส่ายนิดๆ แทนคำตอบ และยอมหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองลง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะให้คำตอบกลับไป
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ แต่น่าเอ็นดูมากกว่า”
นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มทานชานมเข้าไป
สังเกตได้ว่าท่านอสุรามักแสดงอาการประหม่าให้ได้เห็น ไม่ว่าจะผ่านสีหน้าหรือแววตา
ล้วนแล้วแต่บอกได้เป็นอย่างดี ยักษ์หนุ่มตนนี้ค่อนข้างเกร็งและดูไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมรอบข้างนัก
“เรื่องที่ท่านไม่ชินกับยุคสมัยของที่นี่น่ะ
มันไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะ ฉันเข้าใจ…” พอรู้สึกแบบนี้
ฉันจึงพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของตัวเองออกไปบ้าง “แต่ที่แปลกน่ะก็คงเพราะ
ทั้งที่ท่านไม่ชินแล้วทำไมถึงยังปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่น แล้วทำเรื่องแบบนั้นต่างหาก”
จนถึงตอนนี้ เรื่องที่เขาปรากฏตัวในสภาพสวมใส่ชุดเครื่องยักษ์ต่อหน้าคนอื่น
นั้นยังทำให้ฉันรู้สึกตกใจไม่หาย แต่พอคิดมาคิดไป
สำหรับท่านอสุราแล้วมันคงไม่แปลกอะไร หากจะใช้อิทธิฤทธิ์ที่ตนเองมีในการทำเรื่องเหล่านี้
ฉันไม่ชินกับการใช้อิทธิฤทธิ์ของเขาที่มีตั้งแต่ยุคสมัยอื่น
ขณะที่เขาไม่ชินกับการกินชานมไข่มุกของเมืองมนุษย์
พูดง่ายๆ เราสองคนก็คงเจ๊ากันล่ะมั้ง…
“เหตุเพราะพี่หมายจักช่วยแม่ทับทิม
ทำการงานให้สำเร็จลุล่วงโดยพลันเพียงเท่านั้น จึงกระทำการไปโดยมิทันได้บอกกล่าว…”
แต่แล้วในช่วงที่บทสนทนาระหว่างขาดช่วงลง มันก็เป็นท่านอสุรานั่นแหละที่กล่าวขึ้นเพื่อต่อยอดบทสนทนาของเราให้ดำเนินต่อไป
มิหนำซ้ำน้ำเสียงของเขายังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด “เช่นนี้แล้ว
แม่ทับทิมยังมั่นหมายจักชกพี่อีกหรือไม่ ?”
โดยเฉพาะกับคำกล่าวอ้างที่ฉันเคยพูดขู่ไว้เมื่อวาน…
“จะบ้าเหรอท่าน ฉันก็แค่ขู่ไปอย่างงั้นเอง
ใครจะไปกล้าชกท่านล่ะ” เอาเข้าจริง ฉันก็เคยชกเขาไปแล้วหนหนึ่งเหมือนกันนะ…
“เหตุใดจึงหวั่นเกรงด้วยเล่า ในเมื่อพี่อนุญาตแม่ทับทิมให้ยกตนเทียบเคียงเสมอพี่”
“ก็แหม…ท่านเป็นถึงน้องชายยักษ์เจ้าเมืองไม่ใช่หรือเจ้าคะ
ฉันก็ต้องหวั่นเกรงเป็นธรรมดาน่ะสิ ?” ทว่า
คราวนี้ทันทีที่พูดจบ ท่านอสุรากลับนิ่งไป ซ้ำยังไม่เอ่ยวลีใดตอบโต้ให้ได้ต่อปากต่อคำด้วยเหมือนทุกที
เขาเอาแต่มองหน้าฉัน และจ้องอยู่แบบนั้น
สัมผัสได้ว่าสายตาที่ท่านอสุราใช้มองมาเวลานี้เต็มไปด้วยหลายๆ ความรู้สึก
แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เขาก็พึมพำบางอย่างขึ้นมา
บางอย่างซึ่งฟังเหมือนกับเป็นชื่อเรียก
“แม่จันทน์ผา…”
Talk1 เอ๊ะยังไงกันน้าาาาาาาาาาาา
Talk2 ทำไมอยู่ๆ เหมือนจะกลายเป็นนิยายตลกไปได้ล่ะท่าน 5555555
Talk3 จันทร์ผาคือใครน้อออออ
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น