คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่10 ก็แบบว่าเขินนะ
บทที่10 ก็แบบว่าเขินนะ
สัปดาห์ต่อมา
เช้าวันใหม่ย่างเข้ามาพร้อมกับสายฝนอันชุ่มช่ำ เสียงฝนทำให้พิมพ์ชนกตื่นขึ้นมาและหันมองไปที่หน้าต่างห้อง วันนี้เป็นวันแรกของเดือนมิถนายนเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนอย่างจริงจังแล้วเสียงฝนและสภาพอากาศแบบนี้ถ้าอยู่บ้านเธอคงยังนอนซุกตัวหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มเป็นแน่ วันนี้แล้วซินะที่เธอจะได้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านหลังจากนอนโรงพยาบาลมาหนึ่งเดือนเต็มๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายแถมยังรู้สึกตื่นเต้นด้วย น้องสาวทั้งสองชอบมาเล่าให้ฟังถึงการเตรียงานแต่งของเพลิงตะวันจนเธออยากจะเห็นแต่...อยากรู้จริงฝนนี่จะเป็นอุปสรรคของการเตรียมงานในสวนรึเปล่า ในขณะเดียวกันก็ใจหายที่ต้องออกจากโรงพยาบาล สายตาที่มองสายฝนผ่านทางหน้าต่างหันกลับมาในห้องก่อนที่สายตาจะหันไปที่โซฟา
หนึ่งเดือนที่นอนติดแงกอยู่ในโรงพยาบาลพิมพ์ชนกมีทั้งความสุขและสับสนในหัวใจ พายัพเมฆเข้าออกห้องนี้บ่อยยิ่งกว่าพ่อกับแม่และน้องๆเธอซะอีก ทุกเย็นเขาจะมานั่งเล่นชวนเธอคุยจนกระทั่งเธอหลับตอนแรกคิดว่าพอเธอหลับเขาต้องกลับบ้านแน่ๆเพราะเช้ามาพายัพเมฆก็ไม่อยู่แล้วแต่เธอคิดผิดถนัดเมื่อสามวันก่อนเธอรู้สึกหิวน้ำจึงตื่นขึ้นมากลางดึกจึงได้เห็นว่าเขานอนเฝ้าเธออยู่ที่โซฟาและออกไปในตอนเช้าตรู่วันนี้ก็คงเป็นแบบนั้นแต่พายัพเมฆยังคงนอนหลับอยู่ที่ประจำของเขา
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาพายัพเมฆทำให้เธอรู้สึกเขินอยู่ได้เรื่อยๆ เคยถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมหนอทำไมน้าพลายต้องมาทำดีด้วยทำให้เขินอยู่เรื่อยๆแบบนี้ทั้งที่เมื่อก่อนแถมจะแยกเขี้ยวใส่ รอยยิ้มน่ะแทนจะไม่มีให้ จะเพราะเขารู้สึกดีๆกับเธอขึ้นมาหรือเพราะคิดว่าไหนๆก็หนีการแต่งงานกับเธอไม่ได้แล้วทำใจทำดีด้วยจะได้อยู่กันไปอย่างเข้าใจกันนะ หรือไม่ก็เพราะลุงเพลิงตะวันบังคับมาก็เป็นไปได้ แต่ยิ่งคิดยิ่งถามตัวเองและหาคำตอบก็ยิ่งฟุ้งซ่านเธอจึงบอกตัวเองว่าไม่ต้องคิดอีกแล้ว ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ ปล่อยให้พระพรหมกำหนด และปล่อยให้หัวใจเป็นตัวหาคำตอบดีกว่า
"แอบมองแบบนี้อยากให้มอนิ่งคิสเหรอครับดาร์ลิงค์" เสียงถามทะเล้นๆดังมาจากคนที่นอนอยู่บนโซฟาทำให้พิมพ์ชนกสะดุ้ง
"ใครแอบมอง ไม่มี๊ คิดไปเองหรอก" พิมพ์ชนกบอกก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งและเบนสายตาไปทางหน้าต่างห้อง จั๊กจี้หัวใจกับคำว่าดาร์ลิงค์ของเขาจริงๆ
"แน่เหรอ" ถึงกับสะดุ้งที่อยู่ๆเสียงของคนที่เรียกเธอว่าดาร์ลิงค์ก็มากระซิบอยู่ข้างหู เธอรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆที่รินรดริมใบหูจนรู้สึกหายใจติดขัดยิ่งรู้สึกได้ว่าใบหน้าคมใกล้เข้ามาใกล้ๆยิ่งรู้สึกว่าหัวใจกำลังทำงานหนักในการเต้นรัวๆ เธอหลับตาปี๋ราวกับรู้ว่าเขาจะทำอะไรก่อนที่กลีบปากนุ่มจะสัมผัสลงที่แก้มที่นุ่มยิ่งกว่า นั่นไง เธอเดาผิดที่ไหนพายัพเมฆต้องจุ๊มแก้มจริงๆ ผู้ชายขี้ขโมย เธอยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ
"เอาหน้าออกไปห่างๆแก้มลูกสาวฉันเลยนะไอ้พลายถ้ายังอยากมีชีวิอยู่" เหมือนสวรรค์ยังเมตตาให้พิมพ์ชนกไม่ต้องเขินจนหัวใจวายไปก่อนวัยอันควรเสียงของธนกฤตจึงดังขึ้นเหี้ยมๆโหดๆมาจากด้านทางเดินเข้าประตู
พายัพเมฆถอยย่อนไปยืนห่างๆอย่างหัวเสีย อยากจะตะโกนถามธนกฤตดังๆจริงว่าชาติที่แล้วเกิดเป็นสก็อตไบล์รึไงถึงได้ขัดจริง หรือชาติที่แล้วเขาไปขัดขวางความสุขของว่าที่พ่อตาในอนาคตอันใกล้นักหนาถึงได้ขัดขวางขัดคอเขาเหลือเกิน
"ไปล้างหน้าล้างตาดีกว่าค่ะพริกไทย พ่อขาเหมือนเห็นแมลงวันมันเกาะแก้มหนูเมื่อกี้ แมลงวันนี่มันตัวเชื้อโรค เอ้ย ตัวนำเชื่อโรคเลยนะคะ" คุณพ่อขี้หวงเอ่ยบอกทำให้แมลงวันที่บังอาจมาเกาะแก้มพิมพ์ชนก เอ้ย พายัพเมฆถึงกับหน้าชา แมลงวันเอย ตัวเชื้อโรคเอย แหม่พูดซะเหมือนไม่ใช่ลูกชายเพื่อนเล้ย
"เจ้าแมลงวันตัวนี้มันช่างอยู่ดีไม่ว่าดี นี่ถ้าไม่ใช่วันพระนะพ่อจะจับมาเหยียบแล้วก็ขยี้ๆให้มันแหลกเป็นผงเลย" ยังไม่เท่านั้น คุณพ่อจอมหวงยังคงบ่นขณะพาลูกสาวเดินเข้าห้องน้ำ ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาทำให้พายัพเมฆลอบกลืนน้ำลายแต่มีเหรอเขาจะกลัว โบราณว่าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าทำเสือ แต่เขาขอเติมว่า อยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ อยากได้ลูกสาวทหารเรือนามธนกฤตต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้อย่าไปกลัว
"พูดอะไรอย่างนั้นอาธามมม เจ้าแมลงวันตัวนั้นมันมีสิทธิ์นี่น่า อีกอย่างแมลงวันตัวนั้นเป็นลูกมีพ่อมีแม่และกำลังจะมีเมียน๋าาจะไปจับเหยียบและขยี้ง่ายๆได้ยังไง ไม่สงสารว่าที่เมียแมลงวันตัวนั้นเหร้อที่จะต้องเป็นม้ายขันหมากน่ะ" พายัพเมฆบอกก่อนที่จะทำหน้าตาไม่รู้สึกรู้สาเดินไปนั่งทะเล้นอยู่ที่โซฟา ธนกฤตหัวเสียกับท่าทีกวนประสาทจนต้องรีบพาพิมพ์ชนกเข้าห้องน้ำไปก่อนที่จะเดินกลับออกมาคนเดียว
"ไอ้พลาย" ธนกฤตส่งเสียงเรียกอย่างหงุดหงิดและยิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อได้รับเสียงตอบกลับอย่างกวนๆจากพายัพเมฆ
"คร๊าบบบบ คุณว่าที่พ่อตา มีอะไรให้ว่าที่ลูกเขยรับใช้ครับบบบบบ" หนุ่มใหญ่เอ่ยลากเสียงยาวท่าทียียวน
"อย่ามาเรียกว่าว่าที่พ่อตานะเว้ย อาไม่รับแกเป็นลูกเขย" คนโดนเรียกว่าที่พ่อตาตวาดว่า
หนุ่มใหญ่ยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนที่จะบอก "ไม่เป็นไร อีกสิบสี่วันจะรับไม่รับผมก็เป็นลูกเขยคุณพ่อตาอยู่ดี"
"ฮึย ไม่รับเว้ย ไม่รับ" ปฏิเสธทันที เรื่องอะไรเขาจะรับไอ้กวนประสาทนี่เป็นลูกเขย ไม่มีทาง
"ไม่สนครับ" บอกอย่างกวนประสาท ทำไมต้องสนรอพิมพ์ชนกเรียนจบก่อนเถอะเสกหลานให้สักคนขี้คร้านจะเรียกเขาไอ้ลูกเขย ต่อให้ไม่ยอมรับถึงเวลานั่นก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว
"ไอ้ผีพราย" ธนกฤตตวาดลั่นสีหน้าจริงจังแต่แล้วก็เจอลากเสียงยาวขานรับ
"คร๊าบบบบบ" ยิ้มอย่างยียวนแล้วยักคิ้วให้ อย่างอาธามที่รักต้องเจอแบบนี้ หึหึหึ
"อย่ามากวนตีนใส่นะเว้ยยยย" ว่าเข้าให้อย่างหัวเสีย
"วู๊ววววว" นอกจากไม่สนใจพายัพเมฆยังผิวปากอย่างกวนประสาทใส่จนธนกฤตอยากจะยกเท้ายัน
ธนกฤตจ้องหน้าเจ้าคนกวนประสาทแว่บนึงก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ เขาต้องคุยกับมันอย่างใจเย็น เมื่อเย็นลงจึงเอ่ยเรียก"พลาย"
คร๊าบบบบบ" ไม่วายลากเสียงยาวใส่ยั่วอารมณ์แต่คราวนี้ธนกฤตพยายามข่มใจไม่เต้นไปในแบบที่ไอ้คนกวนต้องการ
"ฉันขอสั่งให้แกห้ามแต๊ะอั๋งลูกสาวฉันอีกเข้าใจมั้ย ห้ามจูบห้ามหอม ห้ามล่วงเกินพริกไทยเด็ดขาด" เขาบอกด้วยท่าทีจริงจังและออกคำสั่ง
พายัพเมฆหุบยิ้มแล้วนิ่งไปสามวินาทีก่อนจะส่งเสียงถาม "ทำไมผมต้องปฏิบัติตาม"
"ถ้าแกหวังดีกับพริกไทยแกต้องทำ" ตอบไม่สั้นไม่ยาวและคิดว่าพายัพเมฆจะเข้าใจแต่สิ่งที่ได้รับคือใบหน้างงๆ"ไม่เข้าใจ?"
พายัพเมฆไม่ตอบแต่ใบหน้าไม่คลายความสงสัยจนคุณพ่อจอมหวงต้องอธิบาย "ถ้าแกไม่อยากให้พริกไทยเสียการเรียนเพราะเรื่องรักๆใคร่ๆแกก็ต้องทำ"
"เหรอ" เสียงตอบกลับราวกับไม่เชื่อดังมาจากพายัพเมฆจนคุณพ่อจอมหัวต้องเรียกเสียงดุ "ไอ้พลาย"
"ที่อายังทำเลย หรืออากล้าปฏิเสธว่าสมัยพี่พริกหวานยังเรียนม.5-ม.6น่ะอาไม่เคยจูบไม่เคยหอมเธอหรืออะไรอะไรอย่างนั้นกัน " พายัพเมฆย้อน จะให้เขาพูดมั้ยสมัยก่อนธนกฤตยังกอดจูบพิมพ์ลภัสอยู่บ่อยๆเลยทั้งที่สมัยนั้นพิมพ์ลภัสอายุน้อยกว่าพิมพ์ชนกตอนนี้เลย
"อย่ามาย้อนฉันซิวะ" นายพลใหญ่ตวาดหัวเสีย จะปฏิเสธไอ้คนกวนได้ยังไงก็มันเป็นเรื่องจริงนิ เขากับแม่ของลูกแต่งงานกันตั้งแต่พิมพ์ลภัสอายุ17 เพราะเหตุจำเป็นที่อาของอีกฝ่ายหนีงานแต่งงานตามที่ตกลงกับเขาไว้ ความจริงเขาต้องแต่งงานกับอาของภรรยาสุดที่รักแต่เพราะไม่ได้รักกันจึงตกลงให้เธอหนีงานแต่งงานแต่ทุกอย่างผิดแผนเพราะพ่อเขารู้ทันจึงแก้เผ็ดด้วยการจับพิมพ์ลภัสที่ตอนนั้นเป็นเพียงเด็กสาวจอมแสบมาเป็นเจ้าสาวสำรองให้เขาแทนแต่ความรักที่ก่อขึ้นในใจลึกๆของเขาและเธอจึงทำให้รักกันมาจนตอนนี้ ปฏิเสธพายัพเมฆได้ที่ไหนว่าไม่เคยกอดเคยหอมพิมพ์ลภัสในตอนนั้นแต่เขาก็ไม่ได้พรากผู้เยาว์ซะหน่อย ไม่ได้ล่วงเกินมากกว่ากอดจูบ
"ก็ความจริงอ่ะ" คนกวนตอบแล้วยักไหล่ทำให้ธนกฤตหันมาค้าน "ก็แค่กอดแค่จูบเว้ย ฉันไม่เคยเกินกว่านั้นตอนพริกหวานเรียนมัธยม"
"แล้วมาห้ามผมกอดจูบได้ไง อาทำได้ผมก็ทำได้ และจะไม่เกินกว่านั้นด้วยเหมือนกัน" คำของพายัพเมฆทำให้คำนึงแว่บเข้ามาในหัวธนกฤต 'เสร็จมัน' ในที่สุดเขาก็รู้ว่าพลาดให้พายัพเมฆแล้ว เจ้านั่นต้องการให้เขาค้านให้เข้าทางมัน
"ไม่เชื่อเว้ย แกมันไว้ใจไม่ได้" คนหวงลูกว่าแล้วกระแทกตัวนั่งบนโซฟาในขณะที่พายัพเมฆนั่นหันมามองอย่างสงสัยแล้วถามออกไป "ถ้าเป็นอาพีผมจะไม่สงสัยเลยทำไมหวงเจ๊พั้น เพราะอาพีเคยเจ้าชู้เยกลัวคนอื่นจะมาเจ้าชู้ใส่เจ๊พั้น แต่กับอาธามผมไม่เข้าใจอาก็ไม่เจ้าชู้นิทำไมหวงลูกสาวจังวะ"
"คนมันหวงนิวะ เหตุผลมีแปดพันเก้าฉันต้องสาธยายด้วยเหรอ" คนหวงลูกบอก เหตุผลการหวงลูกหวงเมียของเขามีมากมาย อันดับแรกก็คือรักไง เขารักลูกรักเมียมาก
"ก็ต้องบอกดิ เพราะผมอยากรู้" ว่าอย่างกวนประสาทแล้วยิ้มยั่ว
"ไอ้หมาพลาย" คนหวงลูกเรียกอย่างโมโหคนกวนประสาทและพายัพเมฆก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อธนกฤตขุดชื่อที่เขาไม่ชอบมาเรียก"เฮ้ยอา ขุดชื่อสมัยเด็กมาเรียกเลยเหรอ ผมไม่ชอบชื่อนี่เว้ย"
"จะเรียกทำไมหมาพลาย" เมื่อโดนยียวนมาก่อนหน้านี้คนหวงลูกจึงยียวนใส่บ้าง "ไอ้ลูกหมา หมาพลายตัวน้อย"
ไม่ชอบโมโหแต่จะแสดงออกไม่ได้จึงเลือกที่จะตอบกลับด้วยท่าทียั่วโมโห"พ่อตาใจร้ายอ่าาาา รังแกกันตั้งแต่ยังไม่แต่งเลย พลายโกรธแล้วโป้ง"
"อย่ามาดัดจริตไอ้หมาพลาย กับมาที่เรื่องที่ฉันสั่งห้ามเว้ย" คนเป็นว่าที่พ่อตาชักจะโมโหและปวดหัวกับความกวนระดับพระกาฬของอีกฝ่ายจนต้องเปลี่ยนเรื่องกลับมาสนใจเรื่องที่คุยค้างกันไว้
"ผมรับไว้แค่ข้อเดียว นอกนั้นไม่รับ"พายัพเมฆบอกก่อนที่จะเปลี่ยนจากท่าทีทะเล้นมานั่งตัวตรง "ผมจะไม่ล่วงเกินพริกไทย นอกนั้นผมไม่รับ ผมมีสิทธิ์กอด จูบ และหอมพริกไทย"
"หึย ก็ได้แต่แกต้องไม่บังคับข่มเหงล่วงเกินพริกไทยเด็ดขาด" เอาเถอะ ก็ดีกว่าพายัพเมฆจะปฏิเสธทุกข้อ
"โอเค ถ้าพริกไทยไม่ยอมผมจะไม่บังคับข่มเหงล่วงเกิน" เขาบอกก่อนที่จะยักคิ้วข้างเดียวใส่อย่างเจ้าเล่ห์
"จะยอมไม่ยอมแกก็ห้ามเว้ย" คนขี้หวงบอก
พายัพเมฆยั่วโมโหอีกฝ่ายได้ก็ยิ้มร่าและเปลี่ยนเป็นท่าทีไม่เข้าใจ "มันเป็นเรื่องปกติของคนเป็นสามีภรรยาป่าววะ"
"เรื่องปกติก็ห้ามเว้ย ห้าม ห้าม ถ้าแกหวังดีกับพริกไทยแกก็ต้องทำ อย่าทำลายอนาคตพริกไทย อย่าให้เรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วต้องมานั่งแก้ปัญหาทีหลัง น่าจะมีบทเรียนให้เห็นแล้วนะไม่ต้องสาธยายหรอกมั้ง" คำพูดอันยาวเยียดของธนกฤตทำให้อารมณ์อยากแกล้งของพายัพเมฆเหือดหาย ไม่ใช่เพราะหน้าตาจริงจังแต่เพราะคำพูดถึงบทเรียนเสียมากกว่าเขาเคยรู้บทเรียนของการผิดพลาดมาจากเรื่องของคนข้างๆแล้ว
" " ความเงียบปกคลุมใจพายัพเมฆ พลางนึกถึงเรื่องของคนข้างๆในสมันก่อน ในขณะที่พิมพ์ลภัสยังเป็นนักศึกษาอยู่นั้นว่าที่แม่ยายเกิดตั้งท้องพิมพ์ชนกและพชรดนัยขึ้นมาก่อนที่จะจบปีสี่ไม่นาน ทั้งที่เหลืออีกเพียงปีเดียวก็จะจบแล้วแต่ก็เกิดปัญหาขึ้นซะก่อน พิมพ์ลภัสต้องดร็อปเรียนมาคลอดลูกและดูแลลูกถึงสองปี เขาจำได้ว่าหลังจากนั้นพิมพ์ลภัสก็ต้องห่างจากธนกฤตและเจ้าตัวเล็กสองคน ที่หนึ่งในนั้นคือว่าที่เจ้าสาวเขาไปฝึกสอนที่บ้านของพ่อแม่ธนกฤต หนึ่งปีที่เขาเห็นอาการทรมานๆของธนกฤต การร้องหาแม่ของพิมพ์ชนกและพชรดนัย
"ถ้าแกปรารถนาดีกัยพริกไทย แกก็ไม่ควรทำลายอนาคตน้อง มันพลาดได้ง่ายมาก อย่าคิดว่าป้องกันได้มันไม่ได้เสมอไปหรอก" เสียงนั้นเรียกสติของพายัพเมฆให้กลับมาสนใจเรื่องที่คุยกับธนกฤต จริงอย่างที่ธนกฤตบอกอย่าคิดว่าป้องกันได้มันไม่เสมอไปหรอก ขนาดธนกฤตป้องกันอย่างดียังมีคนคิดร้ายแอบเจาะเครื่องป้องกันได้เลย
"ได้ ผมจะไม่ล่วงเกินพริกไทยจนกว่าพริกไทยจะเรียนจบมหาวิทยาลัย" ในที่สุดพายัพเมฆก็เอ่ยบอกและนั้นทำให้ใบหน้าคนหวงลูกยิ้มขึ้นมาได้
"ดี" ธนกฤตบอกก่อนที่จะยิ้มอย่างโล่งใจ
แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มกับคำพูดต่อมาของว่าที่ลูกเขย "แลกกับ..."
"แลกกับอะไร" นายพลใหญถามกระชากเสียงก่อนที่พายัพเมฆจะเอ่ยบอก "แลกกับการที่หลังแต่งงานพริกไทยต้องไปอยู่บ้านผมไม่ใช่ผมไปอยู่บ้านอา"
"ไอ้หมาน้อยเจ้าเล่ห์ ไอ้ร้ายลึก" อยากจะด่าและสบถคำหยาบใส่แต่ติดที่กลัวพิมพ์ชนกจะออกมาได้ยินจึงแค่ว่าให้เบาๆ
"ใครล่ะทำให้ผมเป็นแบบนี้" ไม่โกรธและยิ้มพร้อมยักไหล่ นาทีนี้พายัพเมฆไม่แคร์อะไรแล้วเพราะบอกได้เลยคำตอบมันเหมือนการอัดลูกบอลใส่หน้าธนกฤต
"พ่อจอมเจ้าเล่ห์แกไง" ธนกฤตตอบอย่างหัวเสียแต่พายัพเมฆยังยิ้มก่อนที่จะขยับมาใกล้ๆก่อนจะพูด
"จุ จุ จุ สมัยเด็กผมอยู่กับอามากกว่าพ่อกับแม่อีกนะ อย่าลืมๆ " คำพูดนั้นทำเอาธนกฤตถึงกับชะงักยกเท้าจะยันไอ้คนที่บอกกลายๆว่าเขาทำให้มันเป็นแบบนี้แต่สายไปแล้ว ไอ้หมาพลายของเขาวิ่งปร๋อออกจากห้องไปแล้ว
"ไอ้หมาพลายเอ๊ย ฮึย" ธนกฤตเอ่ยอย่างหัวเสีย ให้ตายสิมันหาว่าซึมซับความเจ้าเล่ห์ร้ายลึกมาจากเขาเหรอ เขาล่ะอยากบอกว่าไม่ใช่เว้ย แต่ก็เถียงไม่ออกว่าเจ้าลูกหมาเจ้าเล่ห์นั่นอยู่กับเขามากกว่าพ่อแม่มันจริงๆ เรียกได้ว่าติดกันราวกับพ่อลูกเลยทีเดียว สมัยนั้นพายัพเมฆอายุ5ขวบ เพลิงตะวันต้องไปราชการหลายที่ส่วนนารารินยังไม่ลาออกจากงานพยาบาลจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกๆเขากับพีรวัติเพื่อนอีกคนซึ่งบ้านอยู่ติดๆกันจึงต้องดูแลลูกๆทั้งสามของเพลิงตะวัน จะว่าสามก็ไม่ใช่เพราะพีมตะวันนั้นเข้าโรงเรียนประถมแล้วและก็เป็นโรงเรียนประจำจึงเหลือแต่พายัพเมฆและพิมพ์ดาวฝาแฝดของเจ้าลูกหมาที่เขากับพีรวัติต้องดูแล
เขายอมรับว่าเขาอยู่กับพายัพเมฆมากกว่าพีรวัติที่ดูแลพิมพ์ดาวจากอายุ5ขวบถึงอายุ13เวลาช่วงนั้นไอ้ตัวดีอยู่กับเขาแทบตลอด มีอาธามที่ไหนต้องมีหมาพลายพออายุ13นารารินลาออกมาดูแลลูกจากนั้นสองปีได้มั้งพายัพเมฆก็เข้าโรงเรียนนายเรือ คิดๆแล้ว แทบจะไม่ได้อยู่กับพ่อเลยด้วยซ้ำจนกระทั่งจบออกมารับราชการทหารไอ้หมาพลายจะเอาเวลาไหนไปซ้ำซับความร้ายกาจของเพลิงตะวัน สุดท้ายธนกฤตก็ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลข้อนี้ ไอ้หมาพลายมันซึมซับบางนิสัยมาจากเขาจริงๆ
ต่อครึ่งหลัง
ธนกฤตนั่งถอนหายใจอยู่บนโซฟานึกถึงอดีตในวัยเด็กของคนที่กำลังจะก้าวมาเป็นลูกเขยเขา เจ้านั่นอยู่กับเขายิ่งกว่าเงาตามตัว เขารักมันเหมือนลูกคนนึงแต่...อย่าฝันว่าเขาจะยอมให้มันสมหวังง่ายๆเลย
เสียงสนทนาของเขา พายัพเมฆ และพีมตะวันในอดีตดังก้องเข้ามาในหัวจนธนกฤตรู้สึกหมั่นไส้พายัพเมฆขึ้นมาอีก อีตอนนั้นมันบอกกว่าลูกเขาจะเกิดจะโตมันมีเมียไปสิบคนแล้ว อีตอนนี้ล่ะตามดูแลเอาใจอยากให้ลูกพริกไทยแต่งงานด้วย 'หน็อย ถ้า20กว่าปีก่อนมันไม่ปากดีเขาจะยอมให้มันสมหวังไปแล้ว'
เพราะมัวแต่คิดหมั่นไส้คนออกจากห้องไปแล้วทำให้นายพลใหญ่ลืมนึกถึงลูกสาวที่เข้าห้องน้ำไปสนิทจึงไม่รู้ว่าพิมพ์ชนกนั่นยืนแอบฟังอยู่ตั้งแต่แรก
ฟังไปเขินไปในบางช่วงตอน บางทีก็อยากหัวเราะที่พายัพเมฆกวนประสาทท่านนายพลได้ขนาดนี้
เธอรู้ว่าคุณพ่อหวังดีแต่ไม่รู้พายัพเมฆคิดยังไง แต่จะมากอดมาหอมเธอน่ะเหรอ ไม่ยอมหรอก เธอไม่ได้ง่ายซะหน่อย
"พ่อขา ลูกเสร็จแล้วค่ะ" ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วต้องสลัดความคิดส่งเสียงบอกผู้เป็นพ่อแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
"ล้างสะอาดรึเปล่าคะลูก ไม่ใช่ว่ายังมีเชื้อโรคติดอยู่นะ" คนเป็นพ่อถามพยุงลูกสาวมานั่งข้างๆ
"พ่อขาก็ว่าไป" เด็กสาวบอกก่อนที่จะแสร้งทำหน้าสงสัยว่าเจ้าแมลงวันตัวนั้นหายไปไหนทั้งที่จริงๆเธอได้ยินทุกอย่างแต่ก็ไม่อยากให้คนเป็นพ่อรู้
"หาไอ้แมลงวันตัวนั้นอยู่เหรอ มันบินไปแล้วล่ะลูก บินไปตกท่อระบายน้ำแล้วมั้งป่านนี้" คนเป็นพ่อบอก "พ่อขาขออะไรหนูสักอย่างได้มั้ยลูก"
"อะไรคะ?" เด็กสาวถามออกมาอย่างแปลกใจ
"อย่าหลงรักนายพลายจนกว่าจะเรียนจบมีงานทำมีเงินใช้ ได้มั้ยพริกไทย" คนหวงลูกเอ่ยบอกทำเอาสีหน้าของพิมพ์ชนกปั้นยากขึ้นมาทันที
"พ่อขากลัวลูกจะหลงรักเขาแล้วทำให้เสียการเรียนเหรอคะ?" เด็กสาวถามตามที่ตนคิด
"เปล่า" คนเป็นพ่อบอกทำให้เด็กสาวตาเบิกกว้าง"อ้าวววว"
"พ่อไม่กลัวว่าความรักจะทำให้เสียการเรียนหรอก เพราะพ่อขากับแม่ขาก็เคยผ่านมาแล้ว แต่ที่พ่อขาขอหนูแบบนี้ก็เพราะ..." ธนกฤตพูดก่อนที่จะหยุดคำพูดไว้แค่นั้นให้ลูกสาวได้สงสัย
"เพราะ...?" ถามพลางขบคิดหาคำตอบร้อยพัน
แต่คำตอบที่เธอคิดไว้ในหัวมันคนละเรื่องกับคำตอบของผู้เป็นพ่อเลย
"เพราะว่าพ่อหมั่นไส้ไอ้สองพ่อลูกนั่นไงละ เรื่องอะไรจะยอมให้เพลิงมันสมหวัง"พูดด้วยสีหน้าหมั่นไส้อย่างจริงจัง
ในขณะที่พิมพ์ชนกได้แต่ร้องออกมาอย่างตกใจ "เอ๋!!!"
"หนูรู้มั้ยพริกไทย ไอ้เจ้าพลายมันเคยบอกพ่อยังไง" นายพลใหญ่ถาม
และก็ได้รับเสียงตอบกลับในลำคอที่บ่งบอกว่าสงสัย "หืม"
"มันเคยบอกพ่อว่ากว่าลูกสาวพ่อจะโตมันน่ะมีเมียไปสิบคนแล้ว มันน่าหมั่นไส้มั้ยละ" ผู้เป็นเอ่ยบอกในเชิงฟ้องทันที
"น่าหมั่นไส้มากกกก" เด็กสาวผู้รักพ่อมากเอ่ย ชักจะหมั่นไส้คนที่พูดขึ้นมาเลย
"น่าเอาคืนมั้ยล่ะ" พ่อถามก่อนที่ลูกจะตอบทันควัน "ฮือ แบบนี้น่าจะโดนเอาคืน"
"ใช่มั้ยล่ะ ต้องเอาคืน" ธนกฤตเปลี่ยนเป็นยิ้ม
"แล้วจะเอาคืนยังไงล่ะคะ?" ใบหน้าเด็กสาวเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดทันที
นายพลใหญ่ผู้มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเหลือร้ายยิ้มร้ายก่อนที่จะบอก "ไม่ยากๆ แค่หนูไม่ยอมให้ไอ้ปากดีนั่นง่ายๆ และไม่หลงรักมันสักห้าหกปี ไอ้เจ้าพลายมันต้องชักดิ้นชักงอแน่นอน"
"ทำไมถึงจะต้องชักดิ้นชักงอล่ะ" ยิ้งฟังเด็กสาวก็ยิ่งงุนงง ทำไมต้องชักดิ้นชักงอ
"ก็มัน..." ตอบกลับได้เพียงนั้นก็เงียบ จะให้เขาบอกลูกสาวว่าพายัพเมฆคิดไม่ซื่อด้วยอันนั้นยิ่งทำให้ลูกสาวคิดถึงแต่เรื่องพายัพเมฆ 'ไม่ดีๆ บอกไม่ได้'
"มันอะไรคะ?" คนเป็นลูกส่งเสียงถาม
ธนกฤตขบคิดก่อนที่จะเอ่ยบอก "เอ่อ ก็แต่งงานกันไปไอ้เจ้าพลายมันต้อวหลงรักลูกสาวพ่อขาแน่ๆ ดังนั้นถ้ามันรักหนูมันก็อยากให้หนูรักมันตอบ ถ้าหนูไม่รักตอบก็คงได้ชักดิ้นชักงอ ตีอกชกพุงตัวเองแน่ๆ"
"แล้วทำไมเขาจะต้องมาหลงรักลูกด้วยล่ะคะ ไม่มีทางหรอก" จะให้เชื่อ เธอก็คงไม่เชื่อ แต่งงานกันไปเขาจะหลวรักเธอได้เหรอ พิมพ์ชนกน่ะแค่เด็กกะโปโล ไม่เหมือนคุณหมอที่ชื่ออินทุอร หรือคุณพยาบาลลดาภัตร หรือคุณหมอ คุณพยาบาลที่เขาเคยคุยด้วยสักนิด
คนเป็นพ่อหันมามองหน้าหมองๆของลูกสาวแล้วเอ่ยบอก "พริกไทยน่ารักขนาดนี้ไอ้เจ้าพลายไม่รัก มันก็ทึ่มเกินคนแล้ว"
"อืม งั้นจะเอาคืนเขาก็ต้องทำให้เขารักแต่ไม่รักเขาใช่มั้ยคะ" เธอถามทั้งที่ไม่ได้เชื่อเท่าไหร่เลยว่าจะทำให้พายัพเมฆหลงรักได้
"ใช่แล้วคะ" ธนกฤตบอกแล้วลอบถอนหายใจ'บอกไปหรือไม่บอกดูแล้วค่ามันเท่ากันเลย คิดผิดหรือคิดถูกว่ะไอ้ธาม'
"เอาคืนตลอดชีวิตเลยมั้ยคะ" พิมพ์ชนกถามอย่างนึกสนุกขึ้นมา
"ไม่ต้องขนาดนั้นลูก แค่หนูเรียนจบ มีงานทำก็พอ แล้วหลังจากนั้นค่อยเอาคืนแบบใหม่" เบรคไว้เพราะเขามีวิธีที่ดีกว่า ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณพ่อจอมหวงอีกครั้ง
"ยังไงคะ" ไม่เข้าใจเลยว่าคุณพ่อเธอมีแผนการร้ายอะไรอีก
ธนกฤตหันมายิ้มร้ายให้ก่อนที่จะเอ่ยบอก "ไอ้เจ้านั้นเคยล้อว่าพ่อขาอายุมากซะเปล่าแต่ดันกลัวและยอมลงให้แม่จ๋า..."
"เข้าใจแล้วคะ พ่อขาจะให้เขามีสภาพ เอ๊ย เป็นแบบพ่อขาใช่มั้ยคะ" พิมพ์ชนกพูดอย่างเข้าใจความหมาย
"ลูกสาวพ่อขาฉลาดที่สุดเลย" คำชมจากผู้เป็นพ่อถูกส่งมาให้ก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มชั่วร้ายให้กัน
ในขณะที่สองลูกคุยกันอยู่ภายในห้องพายัพเมฆที่ลืมของไว้แล้วจะเข้ามาเอาถึงกับต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
"เฮ้อ" ถ้าเขาไม่ลืมของจนต้องกลับมาเอาก็คงไม่รู้ว่าคุณอาที่รักวางแผนร้ายไว้กับลูกสาว 'หน็อย คิดจะไม่ให้พริกไทยรักผมเหรออาธาม ไม่ยอมหรอก เดี๋ยวฟ้องพ่อซะเลยนิ'
ต่อครบ100%
เมื่อกลับมาถึงบ้านพิมพ์ชนกก็ขอมาดูสวนของเพลิงตะวันทันที
ดวงตาวาบวับจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ด้านหน้าของเธอคือสวนดอกไม้หลังบ้านของเพลิงตะวันที่ถูกตกแต่งประดับประดาให้กลายเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานในสวนราวกับความฝันที่เธอใฝ่ฝันถึง
"โอ๋โฮ กว่าจะได้แบบนี้หมดไปเท่าไหร่เนี่ยพ่อ" เสียงแสดงความทึ่งและตกใจของพายัพเมฆดังขึ้นทำให้พิมพ์ชนกที่มองดูรอบบริเวณอยู่อย่างชื่นชอบต้องหับไปมอง
"เพื่อให้ได้ในแบบที่หนูพริกไทยใฝ่ฝันเท่าไหร่พ่อก็จ่ายเว้ยไอ้พลาย" เพลิงตะวันเอ่ยบอกอย่างภาคภูมิใจในภาพรวมของงานที่ออกมา แม้จะติดที่ฝนแต่เชื่อซิสายฝนไม่ใช่ปัญหา พิมม์ชนกชอบสายฝนอยู่แล้ว
"ลุงเพลิงรู้ได้ยังไงว่าพรกไทยฝันว่าอยากมีงานแต่งงานแบบนี้" พิมพ์ชนกเดินเข้าไปร่วมวงกับสองพ่อลูกแล้วสอบถามด้วยความสงสัย
"ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับหนูที่ลุงเพลิงไม่รู้หรอก ลุงเพลิงรู้ว่าหนูชอบแบบไหน หนูชอบฝนพรำ จะได้เล่นน้ำกัน นอกจากสวนสวยๆแล้วเอางานแต่งงานท่ามกลางหยาดฝนโปรยปรายมั้ย" เพลิงตะวันเอ่ยบอกว่าที่ลูกสะใภ้ พิมพ์ชนกทำท่าลังเลและขบคิด
พายัพเมฆขมวดคิ้วก่อนที่จะถาม"ฝนตกงานจะไม่พังเหรอพ่อ"
"สวนนี่สำหรับงานกลางคืน ส่วนพิธีหมั้น พิธีสวมแหวนแต่งงาน รดน้ำสังข์ และจดทะเบียนสมรสน่ะจัดในบ้าน สวนนี้สำหรับงานฉลองมงคลสมรสในเย็นวันถัดไป" เพลิงตะวันบอกก่อนที่จะยกยิ้ม "ถ้าฝนตกก็จัดงานกลางสายฝน เจ้าหนูพริกไทยน่ะชอบเล่นฝนจะตาย ใช่มั้ยพริกไทย"
"พริกไทยว่ามันก็จะแปลกๆดี" เด็กสาวบอกก่อนที่จะมองรอบๆอีกครั้ง เหมือนฝันกลางวันที่เคยนั่งวาดฝันสมัยเด็ก ตอนนั้นเธอเห็นงานแต่งงานของพีมตะวันกับกรรณิการ์ เป็นงานที่สวยมาก ไม่นานจากนั้นก็เป็นงานแต่งงานของพัญวลัยนางเอกซุปเปอร์สตาร์ลูกสาวเพื่อนผู้เป็นพ่อที่เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของแม่ งานสวยๆจัดท่ามกลางหาดทราย ทำให้เธอวาดฝันถึงอนาคตงานแต่งงานของตัวเองบ้างตามประสาเด็กช่างฝัน
เธอฝันอยากมีงานแต่งงานในสวน มีเจ้าบ่าว มีเจ้าสาว มีสักขีพยานไม่มากมายแต่อลอวนไปด้วยเสียงหัวเราะ สวนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ ไม่คิดว่าเพลิงตะวันจะเนรมิตออกมาได้ตรงตามที่เธอฝันขนาดนี้
"รักลุงเพลิงจังเลย" เด็กสาวบอกก่อนที่จะเข้าไปออดอ้อนเพื่อนสนิทของผู้เป็นพ่ออย่างประจบประแจง
พายัพเมฆมองตามแล้วหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าเขาหมั่นไส้เธอที่บังอาจกอดพ่อเขาหรือหมั่นไส้พ่อตัวเองที่ได้โดนว่าที่เจ้าสาวเขาประจบออดอ้อนกันแน่ ไม่ยอมล่ะต้องได้กอดบ้าง
"หิวข้าวแล้วพ่อ" พายัพเมฆเอ่ยบอกแล้วพาตัวเองไปกอดร่างบางอย่างออดอ้อน "พาไปกินข้าวกันหน่อยซิพ่อ"
"ตลกแล้วไอ้พลาย พ่อแกอยู่นี่ นั่นมันหนูพริกไทย" เพลิงตะวันเอ่ยบอกแล้วก็ส่ายหน้า นี่มันคงไม่ได้หลอกกอดพิมพ์ชนกหรอกนะ
"อ้าวเหรอ สงสัยหิวข้าวตาลาย" เขาบอกแต่ก็ยังไม่ปล่อยแม่สาวน้อยออกจากอ้อมอก
ด้านคนที่อยู่ๆก็ถูกกอดออดอ้อนอย่างไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าร้อนผ่าว 'คนบ้า กอดมาได้ ใจหายหมด'
"รู้แล้วก็รีบปล่อยน้องซิวะ จะกอดน้องให้ขาดใจตายก่อนรึไง" เพลิงตะวันส่งเสียงเตือนพลางส่ายหัว 'เจ้าเล่ห์ได้พ่อกับอาธามมันจริง'
"ไม่ปล่อยได้มั้ยอะ อุ๊นอุ่น" พายัพเมฆบอกอย่างหน้าด้าน "อุ๊นอุ่น ห๊อม หอม นุ๊มนุ่ม น่าเอากับไปนอนกอดที่ห้องจัง"
หน้าแดงเป็นริ้วๆขึ้นกับคำพูดของพายัพเมฆ จะพูดทำไมกันนะ พูดให้คนเขินนี่เก่งจังเลย
"ด้านก็เป็น ลูกฉัน เฮ้อ" เพลิงตะวันพูดเบาๆอย่างยกธงขาวให้กับจริตจก้านของเจ้าลูกชายตัวดีก่อนที่จะเดินออกไปปล่อยให้หนุ่ม(ใหญ่)กับสาว(น้อย)ได้อยู่กันสองต่อสอง 'เพิ่งเคยเห็นไอ้ลูกชายมันหลอกลวนลามสาวก็วันนี้ ลูกพ่อจริงๆ'
"พี่พลายปล่อย" สาวน้อยบอก
แต่พายัพเมฆไม่วายยังหน้าด้าน "ไม่ปล่อยยย"
"ปล่อยยยยยย" ทั้งดิ้นทั้งสั่งแต่มีเหรอพายัพเมฆจะยอมปล่อย ก็แม่คุณตัวหอมนุ่มนิ่มขนาดนี้ถ้าจะปล่อยข้อแลกเปลี่ยนต้องดี
"ปล่อยก็ได้ แต่...หอมแก้มทีนึง" ขอต่อรองอย่างเจ้าเล่ห์แต่มีเหรอพิมพ์ชนกจะยอมแลกเปลี่ยน "ไม่ให้"
"งั้นกอดแน่นกว่าเดิมนะ" ว่าแล่วก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดแน่นขึ้น
"ลองดูซิ จะตะโกนเรียกพ่อขาให้มายิง" เธอขู่
"กล้าเหรอ?" เขาถาม
"พ่อธามมมม" เธอแหกปากเรียกแต่ก่อนที่พ่อธามของเธอจะมาถึงพายัพเมฆก็คลายอ้อมแขนออกแล้วจุมพิตแก้มใสๆอย่างรวดเร็วก่อนที่จะวิ่งหายไป " อือ ไอ้คนขี้ขโมย"
อิอิ ไม่ขอกล่าวอารายมาก
แค่อยากบอกว่าหลังจากวันนี้ไรต์จะพยายามมาบ่อยๆนะคะ ตอนหน้าเขาจะแต่งกันแล้วเด้อขอบอก ลุยพี่พลายต่อยาวๆเลยทีนี้
(อีกนิดๆ)ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้จัดเต็มตอนพิเศษน่ารักๆ ฮาๆค่ะ ตอนพิเศษทั้งรุ่นพ่อ และรุ่นลูก ปูเสื่อปูสาดรอเลยคร่าาา
และปีหน้า ไรต์จะรีไรต์รุ่นพ่อนะคะ ความน่ารักจะเยอะขึ้น (ความกวนของพี่พลายจะเยอะขึ้นด้วย) ปรับให้สมเหตุสมผลและน่ารักขึ้น ใครไม่เคยอ่านรุ่นพ่อแม่ก็รออ่านได้ค่ะ จริงๆจะเริ่มรีไรต์ตั้งแต่วันที่20ธันวานี้แหละ
ความคิดเห็น