ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dark world Box **Close

    ลำดับตอนที่ #11 : Villain School ตัวร้ายอยู่ไหนยกมือขึ้น ! ! [เชอร์ลิก้า ไมเนอร์]

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 59


    } Application




    "สวัสดีครับคุณวัว ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยบริจาคยอดหญ้านั่นมาเป็นอาหารเช้าให้ผมหน่อยได้ไหมครับ---ห๊ะ? อะไรนะครับ? คุณจะบอกว่า คุณไม่ใช่วัว แต่เป็นควายงั้นเหรอครับ!?"

    บท :: ตัวเอก

    เป็นตัวร้ายมาจากนิยายแนวไหน :: ตัวร้ายที่มาจากนิยายแฟนตาซี

    ชื่อ - นามสกุล :: เชอร์ลิก้า ไมเนอร์ [Sherlica Minor]

    ชื่อเล่น :: เชอร์ [Sher] / ลิตัน [Litun] >เป็นชื่อที่ชาวบ้านชอบใช้เรียกกันลับหลัง แต่ถ้าไปพูดต่อหน้าอาจเจอถีบ เพราะเจ้าตัวคิดว่ามันมุ้งมิ้งไป (ชื่อเต็มนี่ไม่มุ้งมิ้งเลยนะลูก---)

    อายุ :: 16 ปี

    รูปร่างหน้าตาลักษณะตัวละคร :: เป็นคนเล็กเพราะสารอาหารไม่ครบถ้วน ส่วนสูง 165 ซม. (เตี้ยมาก..) น้ำหนัก 46 กก. เท่านั้น แถมยังไม่มีกล้ามเนื้ออีกต่างหาก โชคดีที่เกิดมาหล่อ (?) ไม่งั้นคงโดนเข้าใจผิดว่าเป็นสาวน้อยก็เป็นได้---เขามีผมสีทองอ่อนตัดสั้นระต้นคอ เข้าคู่กับผิวขาวสว่าง และดวงตาสีอำพันเรียวสวย ที่มองแล้วชวนให้ใจเต้น แต่ถ้าจ้องนานเกินไปอาจจะเกิดอาการขนลุกแบบแปลกๆ เพราะโดนเจ้าตัวส่งสายตาวิบวับใส่----

    นิสัยตัวละคร :: เชอร์ลิก้าคือผู้ชายธรรมดาๆ (ซะเมื่อไหร่) คนหนึ่งที่ชื่นชอบการแทะยอดหญ้ายังกับอะไรดี ในตอนเช้า เวลาเจ็ดโมงตรง เชอร์ลิก้าจะต้องได้แทะยอดหญ้าเพื่อเป็นพลังงานในการเริ่มต้นวันใหม่สำหรับเขาในทุกๆ วัน ไม่อย่างนั้นเขาจะเกิดอาการลงแดง และต้องวิ่งไปทั่วเพื่อหายอดหญ้ามาแทะให้จงได้ ซึ่งมันทำให้เขาสนิทกับเหล่าวัวและผองควาย (?) ที่ชื่นชอบในการแทะยอดหญ้าเช่นเดียวกันเป็นอย่างมาก จนแทบจะตั้งกลุ่มสมาคม คน (?) แทะยอดหญ้า ได้อยู่รอมร่อ แต่ที่ว่ามานั้นคือในความคิดของเชอร์ลิก้าเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วเขากับเหล่าวัวและผองควายไม่ได้สนิทกันแต่อย่างใด เชอร์ลิก้าก็แค่มโนว่าตัวเองพูดภาษาสัตว์ได้ และสามารถสื่อสารกับวัวควายรู้เรื่อง ก่อนจะเดินเข้าไปขอยอดหญ้าด้วยรอยยิ้มสวยๆ งามๆ แล้วจกอาหารชาวบ้านมาเข้าปากเคี้ยวแบบหน้าตาเฉย ไม่เกรงใจสายตาและบาทาของเหล่าวัวและผองควายเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นสายตาพวกนั้นหรอกนะ เชอร์ลิก้าก็แค่ตีความสายตามองแรงหาเรื่องเหล่านั้นผิดไป กลายเป็นสายตาผูกมิตร ประมาณว่าเชิญแทะให้อร่อย วันหลังมากินอีกก็ได้นะ ไปแทนน่ะสิ หลังจากนั้น หากเวลาเจ็ดโมงตรงไม่เจอเชอร์ลิก้านั่งแทะยอดหญ้าอยู่ในห้อง การจะหาตัวเขาได้ ก็แค่หาฝูงวัวฝูงควายให้เจอ สังเกตดีๆ แล้วจะพบเจ้าหัวทองหน้าหล่อนี่นั่งอยู่กลางวง เคี้ยวยอดหญ้าอย่างสุขขี พร้อมกับพูดคุยกับฝูงสัตว์ไปด้วยจนเหมือนกับคนประสาทกลับยังไงยังนั้นเองนั่นแหละ!
         เชอร์ลิก้านั้นเป็นคนที่มีจินตนาการล้ำเลิศ คิดไปไกลได้จนถึงดาวพลูโต งานมโนนั้นเป็นงานอดิเรกยามว่างของเขาเลยด้วยซ้ำ! ถ้าจะให้พูดก็เหมือนการที่เชอร์ลิก้าหันไปหันมา แล้วบังเอิญมีคนเผลอมาสบตากับเขา เจ้าตัวก็มักจะคิดไปเองว่าอีกฝ่ายอยากจะบริจาคยอดหญ้าให้ตน ไว้เป็นเสบียงตุนยามหน้าเเล้ง (?) เขาจะไม่รอช้า ส่งสายตาวิบวับเป็นนัยน์ว่าต้องการทำความรู้จัก แล้วพุ่งเข้าหาทันทีเพื่อทำการตีเนียน ทำเหมือนตัวเองเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชาติปางก่อน พร้อมทักทายด้วยรอยยิ้มกับประโยคสุดฮิตของเจ้าตัวที่ว่า "สวัสดีครับ สนใจบริจาคยอดหญ้าให้ผมหน่อยไหมครับ?" ก่อนจะแบมือของตังค์ (?) อีกฝ่าย ทำสายตาปริบๆ แลดูน่าสงสาร กระแซะออเซาะเกาะติดอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้เงินไปซื้อยอดหญ้ามาเก็บไว้เป็นเสบียงตุน เรียกได้ว่าตามติดเสียยิ่งกว่าวิญญาณหลอนเลยทีเดียว 
         เชอร์ลิก้ามีปัญหาบกพร่องทางสายตา เขาสายตาสั้นมากๆ แต่กระนั้นกลับไม่ยอมใส่แว่น และให้เหตุผลที่ว่ามันหนักหน้า (..) ทำให้เวลามองไปรอบๆ เขาจะมองผิดประจำ ยกตัวอย่างเช่นมองชักโครกเป็นเป็ดยักษ์ (มันมองยังไงวะ..) แล้วเขาก็จะเข้าไปคุยด้วยรอยยิ้มแบบต้องการจะผูกมิตร ที่มากับสกิลมโนว่าสามารถคุยกับสัตว์ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทำไม่ได้ แถมนี่ยังไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นชักโครกโว้ย!----ซึ่งด้วยอาการสายตาสั้นนี้ เขาจึงมักแยกวัวแยกควายไม่ออกเท่าไหร่ มองสลับกันเป็นประจำ จนบางทีควายเขาก็คงนึกหมั่นไส้ เรียกผิดอยู่ได้ เลยวิ่งไล่ควิด (?) มันซะเลย แต่กระนั้นหนาเชอร์ลิก้าหาได้ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด วิ่งหนีพร้อมหัวเราะอย่างเริงร่า ราวกับกำลังวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ มโนเพ้อเจ้อไปเองว่าอีกฝ่ายอยากวิ่งไล่จับกับตัวเองเสียอย่างนั้น..แน่นอนว่าเวลาอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อย่างถ้าโดนด่า เชอร์ลิก้าก็จะแปลงเป็นคำชมได้อย่างน่าตบน่าถีบเป็นที่สุด เอาเป็นว่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่เอาการ แต่โลกในแง่ดีที่ว่านี่หมายถึงการที่เขาถูกเสมอ และไม่มีใครคิดว่าเขาผิดน่ะนะ..
         ปกติเชอร์ลิก้ามักจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แม้จะมนุษย์สัมพันธ์ดี (ทางด้านออเซาะของตังค์---) แต่นิสัยของเขาก็ค่อนแปลกแยกกว่าชาวบ้านเขาไม่น้อย จึงทำให้เขาไม่ค่อยจะมีเพื่อนสักเท่าไหร่ และด้วยความที่เกิดและโตมาคนเดียว แถมมันสมองยังจินตนาการได้ล้านแปด เชอร์ลิก้าเลยมักจะใช้ชีวิตไปตามสัญตญานและพึ่งโชคเสียส่วนมาก อย่างเวลาทำอาหารแล้วจำไม่ได้ว่าอันไหนเกลือ อันไหนน้ำตา เชอร์ลิก้าก็จะปล่อยมันไปตามบุญตามกรรม (?) ไล่นิ้วร้องจ้ำจี้ แล้วซุ่มหยิบมาใช้มันสักอันไหนก็ได้ จากนั้นก็ชิมรส แล้วทำตาโตพูดว่า "อ้าว..นี่มันชูรสหรอกเหรอครับ" ก่อนจะกะพริบตาสามรอบจบ แล้วยักไหล่ยิ้มพราย คิดกับตัวเองเสร็จสรรพว่า 'ก็น้ำตาลนั่นแหละ แค่เป็นน้ำตาลยี่ห้อใหม่เท่านั้นเองล่ะมั้ง' ก่อนจะประโคมใส่ต่ออย่างบ้าคลั่ง จากนั้นพอกินไม่ได้ เขาก็จะจัดการเอาไปให้หมาน้อยกินแทน พร้อมนั่งจ้องมองเป็นการสั่งว่า กินๆ เข้าไปซะทีสิครับ เสียดายของ ซึ่งเจ้าหมาน้อยก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก ทำใจกระเดือ*อาหารอะไรสักอย่างที่แม้แต่หมายังไม่แลตรงหน้าเข้าปากไป เพราะเห็นอย่างนี้เชอร์ลิก้าก็เป็นคนเอาแต่ใจระดับทริปเปิ้ลเอสคนหนึ่ง บวกกับความหน้าด้านหน้าทน และสมองจินตนาการล้านดวงของอีกฝ่าย บอกเลยว่าถ้าไม่กิน ได้มีไอ้บ้าอย่างเขาตามติดไปทั้งชีวิต (?) แน่ๆ!!
         นอกจากนี้เชอร์ลิก้ายังมีความ กวนประสาท แอบแฝงไว้ในสายเลือดอย่างเข้มข้น เขาเป็นพวกที่ว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องที่สนใจ ก็จะไม่ไยดีมันไปเลย ทำให้เวลามีคนเข้ามาถามอะไร พูดคุยด้วย หรืออยากได้ความร่วมมือจากเขา ถ้าไม่ใช่เรื่องยอดหญ้า หรือที่เขาสนใจ เชอร์ลิก้าก็มักจะยกยิ้มหวานเจี๊ยบราวน้ำตาลก้อน พร้อมตอบด้วยสีหน้าใสซื่อว่า 'ไม่รู้สิครับ'..แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จริงๆ นะ ก็แค่ไม่อยากจะคิดเท่านั้นแหละ! ก็แหม..ไม่ได้สนใจทั้งที แล้วจะไปคิดทำไมให้รกสมอง ไอ้คำว่า ไม่รู้สิครับ นั่นก็ถูกแล้วนี่! ใช่..ถูกแล้วล่ะลูกเอ๊ย แต่ในสายตาของชาวบ้านอ่ะ ไม่ถูกนะคะ เพราะบางครั้งเรื่องที่คนอื่นถามเชอร์ลิก้านั้นก็อาจเป็นเรื่องของตัวเขาเอง หรือเรื่องง่ายๆ ที่ควรจะรู้ก็ได้ เพราะงั้นการตอบว่า ไม่รู้สิครับ ของเขา มันจึงเหมือนการไปกวนประสาทอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง! ยิ่งเชอร์ลิก้าชอบยิ้มหวานๆ เพิ่มเติมไปด้วยแล้ว ยิ่งให้อารมณ์แบบ ก็ไม่อยากตอบอ่ะ มีปัญหาอะไรป่ะล่ะ? (?) จนเขาสามารถสร้างศัตรูได้อย่างล้นหลามในเวลาอันสั้นได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และหากจะให้ยกตัวอย่าง ก็จะเป็นเวลาที่คุณครูถามคำตอบของโจทย์ข้อ -XY- กับเขา เชอร์ลิก้าก็จะให้ความร่วมมือด้วยการตอบทุกคำถามว่า "ไม่รู้สิครับ" พร้อมรอยยิ้มหวานๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนอาจารย์หมดความพยายามนั่นแหละ! หรือบางทีมีรุ่นน้องที่ชอบ (มีด้วยเหรอ?) เดินมาบอกว่า "ชอบนะคะ!" พ่อคุณก็จะทำหน้าไสๆ (?) แล้วตอบกลับไปว่า "ไม่รู้สิครับ" แล้วเดินออกไปเลย ทิ้งให้สาวน้อยน้ำตาตกในไปทั้งอย่างนั้น แต่เพราะด้วยความที่เกิดมาหน้าตาดี เลยมีคนมาชอบเยอะ ทำให้ปริมาณผู้มาสารภาพมีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย การที่ตอบกลับไปว่า ไม่รู้สิครับ แบบนี้มันก็เลยกลายเป็นเหมือนพวกที่จะชอบก็ไม่ชอบ กึ่งๆ กลางๆ ไม่เลือกสักอย่าง เชอร์ลิก้าก็เลยโดนเรียกลับหลังว่า 'เพลย์บอยหน้าซื่อ' ไปเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ในหัวพ่อคุณเขาน่ะ มีแต่ยอดหญ้า กับยอดหญ้า แล้วก็ยอดหญ้าทั้งนั้น!!
         ตามมาติดๆ กับหัวข้อที่ว่าด้วยเรื่อง 'ข้อดีของเชอร์ลิก้า' ในตรงนี้คงจะบอกว่าเป็นข้อดีแบบเต็มปากก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ย์ (?) จะบอกว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ สรุปแล้วเรียกได้ว่าก่ำกึ่งกับไอ้นิสัยที่ สุภาพ นั่นเอง ในข้อแรกหรือสุภาพ นั่นก็คือเชอร์ลิก้ามักพูดจาด้วยภาษาสุภาพแต่ไม่อ้อนน้อมและถ่อมตน อารมณ์เหมือนแค่เติมไปงั้นๆ ให้มันดูมีฟิลลิ่ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือ สมัยเด็กเชอร์ลิก้าคิดว่า เด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อ ไม่ซน เชื่อฟังคนอื่น และพูดจาดีจะเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ เขาจึงพยายามพูดสุภาพเสมอๆ เพื่อว่าบางทีเขาได้เจอพ่อแม่ที่ไม่เคยเจอโดยบังเอิญ ท่านอาจจะเห็นใจและรับเขากลับไปเลี้ยงก็ได้..แต่! นั่นแค่อดีตค่ะ..ปัจจุบันนี้ไอ้คำสุภาพของเขาน่ะ มันก็แค่สร้อยสวยๆ (?) ไว้ปิดประโยค เสริมสร้างฟิลลิ่งและเป็นการอัพเปอร์เซนต์ในการสำเร็จ ยามทำของตังค์ชาวบ้านเขาเท่านั้นแหละ (ซึ่งถ้านำไปหักลบกับประโยคแปลกๆ ของพ่อคุณแล้ว..คิดว่าคนส่วนมากน่าจะให้เพราะสงสารกึ่งเวทนา (?) หรือรำคาญมากกว่านะคะ---) ส่วนอย่างอื่นก็...นั่นสิ เชอร์ลิก้าเนี่ยมีข้อดีอย่างอื่นนอกจากนี้ด้วยเหรอ?

    ประวัติ :: เชอร์ลิก้าเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ (เขาว่ามางั้นอ่ะ..) เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ซึ่งในที่เเห่งนั้นเขาไม่ได้รับความสนใจสักเท่าไหร่ เชอร์ลิก้าจึงไม่มีอะไรผูกพันธ์มากนัก และในวันหนึ่งเขาได้ยินว่าความจริงเขา (อาจจะ) มีพ่อแม่ เด็กชายผู้เบื่อสุดขีด (?) จึงรีบแพ็คกระเป๋า แล้วออกเดินทางตามหาพ่อแม่ทันที แบบไม่เอาอะไรติดตัวไปเลย นอกจากกระเป๋าโล่งๆ และช็อกโกแลตแท่งอีกจำนวนหนึ่ง แต่ในระหว่างการเดินทาง เขาที่ไม่เงินติดตัวสักแดงเกิดหิวจัดจนตาลาย ถึงขั้นเผลอคว้ายอดหญ้าเข้าปาก อนิจจา..เชอร์ลิก้าดันเกิดอาการหลงใหลและติดใจในรสชาตินั้นขึ้นมาดื้อๆ แถมยังหยุดไม่ได้และติดใจอย่างหนักอีกด้วย นับแต่นั้นมา เชอร์ลิก้าก็เปลี่ยนเป้าหมายจากการตามพ่อแม่ เป็นการตามหายอดหญ้าที่อร่อยที่สุดในโลกแทนได้อย่างง่ายดาย------

    พลัง :: คัดสรรยอดหญ้า (?) [เป็นพลังที่ใช้ตรวจดูว่ายอดหญ้านั้นสดหรือไม่ และเป็นของจริงหรือเปล่า สะอาดแค่ไหน และบลาๆๆ มากมายที่สามารถตรวจสอบได้ จนกลายมาเป็น ยอดหญ้าออแกนิคปลอดสารพิษ แบบที่เชอร์ลิก้าชอบแทะค่ะ----]

    ชอบ :: ยอดหญ้า / คนที่ให้เงินไปซื้อยอดหญ้า / เหล่าวัวและผองควายที่แบ่งยอดหญ้าให้ (?) / คนใจดีที่บริจาคยอดหญ้าให้กับเขา (ชีวิตมีแต่ยอดหญ้า...)

    ไม่ชอบ :: พืชผักสีเขียวทุกชนิด นอกจากยอดหญ้าสด / คนที่มาขโมยยอดหญ้าของเขา / คนใจร้าย (?) ที่ไม่ยอมให้เงินเขาไปซื้อยอดหญ้า หรือบริจาคยอดหญ้าให้กับเขา

    แพ้ :: เหล็กในผึ้ง [เป็นการแพ้แบบรุนแรงค่ะ เวลาโดนจะตัวบวมและแดงแปร๊ด ระบบหายใจจะติดข้อง และอาจม่องได้ถ้าไม่รีบรักษาค่ะ]

    กลัว :: ผึ้ง (เพราะตอนเด็กเกือบตายจากการโดนผึ้งต่อย โชคดีมีคนมาช่วยไว้) / หอยทาก (เข้าขั้นสยดสยอง แบบที่เห็นในระยะสิบเมตรต้องกรีดร้องโหยหวน แล้ววิ่งหนีค่ะ---)

    เพิ่มเติม :: ชื่อ เชอร์ลิก้า นั้น ความจริงไม่ใช่ชื่อจริงๆ นะคะ ชื่อจริงของเขาคือ อามาเน่ แต่เชอร์ลิก้าบอกว่าไม่ชอบชื่อนี้ เพราะมันเป็นชื่อที่พ่อแม่ (หรือใครสักคนที่เป็นคนเลี้ยงเขามาก่อนจะได้มาสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า) ตั้งให้..คนที่เกลียดเขาถึงขั้นทิ้งกันได้ลงคอ เชอร์ลิก้าก็ไม่อยากจะจดจำให้รกหัวค่ะ และตอนนั้นเขากำลังหม่ำเชอร์รี่อยู่ เขาก็เลยเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นเชอร์ลิก้าแทนเสียเลย ส่วนชื่ออามาเน่นั้น จะมีเฉพาะคนที่เคยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีอายุเท่ากันเท่านั้นที่รู้ ตรงนี้ไม่ต้องสนก็ได้นะคะ รู้แค่ว่ามันเป็นชื่อเก่าที่เชอร์ลิก้าไม่ต้องการก็ได้ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×