ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #206 : THE EVIL WITHIN | Prologue: Descent To Doom

    • อัปเดตล่าสุด 27 มิ.ย. 65


    THE EVIL WITHIN
    Inspiration: The Evil Within (Video Game, 2014) & The Evil Within 2 (Video Game, 2017)
    Playlist: Masafumi Takada – One Eight Four: On-Scene (The Evil Within Soundtrack) & Masatoshi Yanagi – The Bottomless Pit (The Evil Within 2 Soundtrack)











    .

    ๑.

    เพิ่งจะล่วงบ่ายมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่สายฝนที่คลาคล้ายกับว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตกกระทบลงมาบนกระจกหน้ารถซึ่งที่ปัดน้ำฝนกำลังทำหน้าที่อยู่อย่างแข็งขันก็จะยิ่งทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มมัวหม่น หน่วงหนักไม่ต่างจากคดีฆ่ายกครัวที่พวกเขาเพิ่งได้รับแจ้งและกำลังจะไปตรวจสอบ หากเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากศูนย์ผ่านวิทยุที่ว่า “ทุกหน่วย ขอย้ำ ทุกหน่วย ต้องการกำลังเสริมไปที่โรงพยาบาลจิตเวชบีคอน โค้ด 3” ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นทางที่เขากำลังบังคับพวงมาลัยให้ขับเคลื่อนไปเพียงแค่สามนาทีเท่านั้น สายสืบทามาโมริ ยูตะก็ตัดสินใจตอบรับคำขอ เบี่ยงทิศทางไปยังอีกสี่แยกหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องหารือกับทากาฮาชิ เคียวเฮ เด็กใหม่ ซึ่งจะเอ่ยมาจากที่นั่งเบาะหลังว่า “ฟังดูร้ายแรงนะครับ มีการก่อจลาจลหรือเปล่า?”

    “น่าจะเป็นการสังหารหมู่มากกว่า”

    เหมือนกับที่เขาก็ไม่จำเป็นต้องหารือกับสายสืบโฮโซยะ โมโมฮะ คู่หูที่คอยอยู่เคียงข้างเขาในการออกภาคสนาม หรือแม้แต่บนรถตอนนี้ที่เธอจะหันไปตอบคำถามเด็กใหม่ที่ให้ความเอ็นดูด้วยรอยยิ้ม ถึงเรื่องที่กำลังพูดอยู่นั้นจะไม่มีอะไรให้ชวนยิ้มได้เลยก็ตาม

    “ทากาฮาชิคุงเพิ่งมาอยู่ที่นี่คงยังไม่รู้ แต่เมื่อก่อนมีหมอที่กลายเป็นคนบ้าแล้วไล่ฆ่าคนไข้ด้วยล่ะ แถมยังมีคนไข้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่แน่ว่าอาจเป็นผี...”

    “เรื่องหมอโรคจิตนั่นมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ส่วนคนไข้ที่หายตัวไปก็ไม่มีหลักฐานอะไรนอกจากคำร่ำลือ” ทามาโมริตัดสินใจขัดจังหวะเรื่องเล่างมงายของเธอก่อนที่เด็กใหม่จะถูกฝังหัว  “เลิกคาดเดาอะไรไร้สาระ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ”

    เธอเดาะลิ้น ไม่ปิดบังความหงุดหงิดใจในท่าทียามหันกลับมานั่งตัวตรงทำคอตั้ง แต่อย่างกับว่าเขาจะสนใจ ใช่ว่าเขาพอใจที่ต้องได้จับคู่ทำงานกับผู้หญิง...พ่วงมาด้วยคำว่าไม่ได้เรื่องได้ราวซ้ำยังน่ารำคาญ ระยะเวลาสามเดือนมากพอที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานเหล่านั้น เอาไว้จบงานนี้เมื่อไหร่ ทามาโมริหวังว่าบางทีเขาอาจจะเข้าไปคุยกับหัวหน้า แล้วขอเด็กใหม่ที่ทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับหนึ่งของรุ่น ทั้งยังขยันขันแข็งและดูกระตือรือร้นกับเรื่องงานมากมาเป็นคู่หูแทน

    คนที่ก็จะแสดงความกระตือรือร้นผ่านสีหน้าตื่นเต้นเมื่อพาหนะของพวกเขาชะลอความเร็วลง ผ่านประตูรั้วเหล็กดัดราวป้อมปราการแข็งขืนจนยากที่จะหลบหนีผ่านกำแพงอิฐสูงที่ปิดล้อม ทว่าในยามนี้กลับเปิดอ้ากว้างอย่างง่ายดาย ให้พวกเขาได้เข้าไปสมทบกับรถพยาบาลหนึ่งคันและรถตำรวจอีกสามคันที่เปิดไซเรนทิ้งไว้ หากไร้ซึ่งผู้คน หน้าอาคารสิ่งก่อสร้างหลังมหึมาสไตล์ปราสาทแบบยุโรปที่ตกทอดมาจากยุคประวัติศาสตร์และยังคงอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน ความโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางคริมสัน ซิตี้คือสิ่งที่ทุกคนพบเห็นได้ หากไม่ใช่ทุกคนที่สามารถ...หรือว่าอยาก...เข้ามาชื่นชมเหมือนกับแลนด์มาร์คประจำเมืองอื่นๆ ดังนั้นปฏิกิริยาของหนุ่มที่มาจากเมืองเล็กจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับทามาโมริ รวมถึงคำพูดงี่เง่าของโฮโซยะที่เขารู้อยู่แล้วว่าเธอต้องเอ่ย หลังจากที่ทากาฮาชิจะเปิดประตูรถตามลงมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ แล้วต่างแหงนคอมองขึ้นไปโดยไม่ยี่หระต่อเม็ดฝนที่ซัดสาดเลยแม้แต่น้อยไปด้วยกัน

    “ขอต้อนรับเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวชที่หลอนที่สุดในประเทศ โรงพยาบาลจิตเวชบีคอน”

     

    กลิ่นเหม็นสาบตีตื้นขึ้นมากระทบผัสสะของเขาทันทีที่บานประตูไม้ด้านหน้าถูกผลักให้แง้มเปิด มันชัดเจน เข้มข้น รุนแรง และสายสืบวัยสามสิบสองที่ผ่านคดีฆาตกรรมมานักต่อนักอย่างเขาก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเลือดจำนวนน้อยนิดไม่สามารถสร้างปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ ขณะสายสืบที่อ่อนวัยกว่าเองก็จะรีบก้าวนำเด็กใหม่ขึ้นมา พวกเขาพยักหน้าให้กัน ก่อนกระทำการแบบเดียวกันนั่นคือการใช้มือข้างหนึ่งผลักบานประตูคนละด้านให้กว้างขึ้น ส่วนมืออีกข้างก็หยิบเอาปืนที่เหน็บไว้ขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งใดก็ตามที่รอคอยอยู่

    หากภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจะทำให้พวกเขาทั้งสามต้องกลั้นใจ

    หาใช่บรรยากาศของความผิดประหลาดจากสถานพยาบาลที่รอต้อนรับพวกเขา แต่เป็นความวิปริตผิดเพี้ยนจากชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายของบุคลากรและผู้ป่วยในชุดสีอ่อนที่บัดนี้อาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน มันคือเหตุการณ์สังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่ทามาโมริเคยได้เห็นมาอย่างไม่ต้องสงสัย สีหน้าของโฮโซยะที่ก่อนหน้านี้ยังพูดล้อเล่นกับเรื่องนี้ได้อยู่ก็แสดงความผะอืดผะอมออกมาเสียจนต้องยกมือขึ้นกลั้นสิ่งใดก็ตามที่อาจจะขย้อน แม้แต่กับสายสืบที่คิดว่าผ่านคดีทุกรูปแบบมาแล้วอย่างเขาก็ยังคิดว่ามันมากเกินไป

    “ฉันกับทากาฮาชิจะเข้าไปตรวจสอบ ส่วนเธอเฝ้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ใครหรืออะไรผ่านประตูเข้ามาเด็ดขาด ถ้าเผื่อมีเรื่องอะไรขึ้นมาเธอจะเป็นกำลังเสริมให้เรา”

    และนี่ก็อาจเป็นครั้งแรกที่โฮโซยะซึ่งเคยดื้อด้านจะพยักหน้าตอบรับการตัดสินใจที่ไม่เคยมีการถามไถ่ของคู่หูแต่โดยดี

    “นายไหวใช่ไหม?”

    “ครับ” ทากาฮาชิตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาแค่เพียงน้อยเท่านั้น น่าประทับใจที่เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ยังสามารถบังคับปืนด้วยมือทั้งสองข้างและก้าวย่างขึ้นมาอยู่เคียงกันกับเขาโดยไม่มีทีท่าว่าลังเลใจ กระทั่งเสียงบานประตูเอี๊ยดอ๊าดที่โฮโซยะปิดไล่หลังจะดังตามมา วินาทีนั้นก็ราวกับการแยกโลกของคนเป็นและคนตายออกจากกัน โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเยือกที่แล่นปราดเข้าไปลึกถึงกระดูก ผ่านเข้าไปยังไขสันหลัง อาจลามสะท้านไปถึงขั้วหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรง ณ สถานที่เกิดเหตุซึ่งเต็มไปด้วยชิ้นส่วนและเครื่องในสีแดงสดที่สาดเปรอะอยู่ทั่วพื้นและผนังสีเทาหม่นหมอง หลอดไฟติดผนังสีขาวที่สาดส่องลงมากลับยิ่งขับเน้นความน่าสะพรึงนั้น หาใช่การให้ความสว่างสดใสอย่างที่ควรเป็น สิ่งที่มันกำลังสะท้อนส่องนั้นยากที่จะเรียกว่ารูปร่าง...เมื่อทามาโมริคิดว่ามันใกล้เคียงกับคำว่า เศษซาก มากกว่า เขาแน่ใจว่ามันมาจากใบเลื่อยที่เฉือนผ่าน เหมือนกับตอนที่เขาใช้เลื่อยยนต์โค่นต้นไม้ในสวนหลังบ้านมาทำเป็นหัวเตียงให้เด็กหญิงข้างบ้าน แต่จุดประสงค์ของมันในเวลานี้หาใช่เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ใคร แต่เป็นการทำลายคุณค่าของทุกชีวิตที่มันได้ไปเยี่ยมเยือน ยามจ้วงกระหน่ำลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อความสะใจส่วนตัวต่างหาก

    “ทากาฮาชิ นายไปดูกล้องวงจรปิด ฉันจะลองเช็กดูรอบๆ นี่เผื่อว่าจะมีใครรอด”

    “ครับ”

    ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะมีใครรอดพ้นจากเหตุการณ์สยองขวัญเช่นนี้มาได้ ใครก็ตามที่เป็นคนลงมือย่อมต้องคุ้มคลั่งเกินกว่าที่โรงพยาบาลจิตเวชกับเหล่าบุคลากรที่ไร้อาวุธป้องกันตัวจะสามารถรักษาได้

    ให้ทามาโมรินึกเสียใจขึ้นมาครามครันที่ออกคำสั่งไปแบบนั้น ขณะที่ทากาฮาชิแยกตัวเข้าไปในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงส่วนหน้า มือที่จับกระชับปืนพกคู่ใจของเขาไม่เคยชื้นไปด้วยเหงื่อเท่านี้มาก่อน ลำคอที่พยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงไปก็แห้งผาก สภาพของโถงทางเดินกว้างขวางนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากส่วนรับรองที่เขาเพิ่งจะจากมา เศษเนื้อ กองเลือด รถเข็นที่ระเกะระกะกับชิ้นส่วนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ที่นอนพังพาบคอตก...ขาด บ้างแขนขาหรือไส้ในก็ห้อยต่อยแต่งลงมา

    ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดที่เขาค้นพบหรือ — ที่ทามาโมริแน่ใจ — ว่ารอให้ไปค้นพบ

    จนเมื่อเขาได้ยินสุ้มเสียงของการขยับไหวที่ด้านหลัง

     

    ๒.

    ทากาฮาชิ เคียวเฮ เพิ่งจะเข้าบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ใหม่ประจำกรมตำรวจคริมสัน ซิตี้ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดีด้วยซ้ำ ใช่ว่าบ้านเกิดที่ชานเมืองเล็กๆ  ของเขาไม่มีอะไรดีถึงได้ย้ายออกมา ในเมื่อครอบครัวคนสำคัญอย่างตายายที่เลี้ยงดูมาตลอดทั้งชีวิตก็ยังอยู่ที่นั่น แต่ความฝันการเป็นตำรวจมาเกือบตลอดทั้งชีวิตของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ที่นั่น คุณตาที่เป็นทั้งนายอำเภอและฮีโร่สุดเท่ในใจกับเรื่องเล่าสมัยเป็นตำรวจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงที่ไม่เคยมอดดับไป ณ เมืองใหญ่ กลับต้องมาจมจ่อมอยู่กับความน่าเบื่อหน่ายในเมืองเล็กเมื่อถึงวัยชรา คดีที่ร้ายแรงที่สุดอาจมีแค่คนต่างถิ่นปล้นจี้ปั๊มน้ำมันหรือร้านขายของ เรื่องเล็กกระจ้อยร่อยพรรค์อย่างนั้น เมื่อไร้ซึ่งความน่าตื่นเต้นก็ไร้ซึ่งความภาคภูมิใจ เคียวเฮไม่ต้องการจะเป็นแบบนั้น

    แต่เขาไม่ได้...ไม่เคย...คาดคิดว่าคดีแรกที่รอต้อนรับเขาอยู่จะเป็นอะไรที่โหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้

    เคียวเฮไม่ได้กลัวภาพของเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ดูเหมือนว่าจะพบเห็นได้แต่ในหนัง เพราะโรงเชือดที่เขาเคยไปเห็นกับตามาแล้วสมัยอยู่ในเมืองเก่าก็ไม่ได้น่าสยดสยองเท่านี้ กระนั้นแม้แต่ตัวเองก็ยังอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงยังคงสามารถรักษาความนิ่งสงบเอาไว้ได้ เหมือนอย่างสายสืบทามาโมริที่เด็กใหม่อย่างเคียวเฮไม่กล้าอาจหาญเสนอความเห็นว่าพวกเขาควรอยู่ด้วยกันจะดีกว่า หากสิ่งที่ทำให้เขานึกหวาดหวั่นได้มากที่สุดคือความกลัวของสิ่งที่มองไม่เห็น หรือไม่ก็อาจเป็นร่องรอยของฆาตกร มีบรรยากาศอึดอัดอบอวลอยู่ในทุกย่างก้าวอันหนักอึ้งอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ทำให้หนาววาบไปจนถึงกระดูกสันหลัง ที่ดูเหมือนว่าบัดนี้จะมีความตื่นตกใจรวมอยู่ด้วยในตอนที่เคียวเฮกำปืนเข้าไปในห้องควบคุมกล้อง แล้วพบกับเด็กหนุ่มในชุดผู้ป่วยที่ไม่ได้เปรอะไปด้วยเลือดนั่งกอดเข่าทั้งสองข้างอยู่บนพื้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ขณะงึมงำถ้อยคำแผ่วเบาราวเอ่ยกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างที่เขาพอจะจับใจความแบบไม่ปะติดปะต่อได้ว่า “ผมไม่ได้ทำ” “ไม่ใช่ผม” “ผมต้องหยุดเขา” “ผมห้ามเขาไม่ได้” “เขาพยายามควบคุมผม” โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับต่อคำถามหรือการเขย่าตัวแรงๆ เลยแม้แต่น้อย จนเคียวเฮต้องเป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้ไปเอง ค่อยๆ ประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน ยกท่อนแขนข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่าแม้จะอย่างเก้กังเพราะส่วนสูงที่เก้งก้าง แต่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ปลอดภัย อย่างไรเคียวเฮก็ต้องพาผู้รอดชีวิตออกไป...ในสภาพที่ยังมีชีวิตให้ได้

    “ทากาฮาชิคุง!

    ทันทีทันใด โฮโซยะที่ช่วยดึงประตูให้เปิดอ้ากว้างจากข้างนอกเมื่อเขาใช้ไหล่ข้างหนึ่งผลักมันราวกับการให้สัญญาณก็จะรีบพุ่งตัวเข้ามาหา

    “ฝากดูแลเขาทีนะครับ” เคียวเฮวางร่างปวกเปียกที่เขาช่วยออกมาได้สำเร็จลงบนราวบันได เพียงเพื่อที่จะให้เจ้าตัวได้กลับไปนั่งคุดคู้ซุกใบหน้าอยู่กับเข่าของตัวเองอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจะมัวเสียเวลาอยู่อีกไม่ได้เมื่อมีภาระมอบหมายจากสายสืบรุ่นพี่รอให้เขาไปจัดการ

    ตัดสินใจปิดบานประตูไล่หลังเมื่อกลับเข้ามายังห้องควบคุมกล้อง มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว เพราะถ้ามีใครพยายามเข้ามา เขาที่อาจกำลังจดจ่อก็จะไหวตัวทันมากพอให้คว้าอาวุธขึ้นเล็ง

    แต่ยังไม่ทันที่เคียวเฮจะได้ลำดับความคิดว่าควรมองหาอะไรก่อนหลัง ภาพจากกล้องสดในโถงทางเดินของทามาโมริที่หยุดยืนอย่างปุบปับก็พลันเรียกเร้นความสนใจ ทว่าสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์ไม่ได้มีแค่รุ่นพี่ เคียวเฮมองเห็นชายในชุดคลุมตัวยาวที่ดึงฮู้ดขึ้นสวมหัวเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้หันขวับมามองด้วยซ้ำ ยามที่ชายในชุดคลุมผู้นั้นจะปราดเข้าประชิดแล้วเงื้อมือขึ้นยกมีดเล่มใหญ่ปาดเข้าไปที่ลำคอทันที ของเหลวพุ่งกระฉูดออกมาเหมือนท่อน้ำรั่วที่สาดกระจายลงบนพื้น ตามด้วยร่างไร้วิญญาณที่ร่วงดิ่งจมลงไป เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็นชั่วระยะที่ไม่ทันให้ได้กะพริบตาด้วยซ้ำจนเขาได้แต่อึ้งงัน แต่ก่อนที่เสียงใดจะหลุดรอดออกมาพ้นลำคอ ชายในชุดคลุมก็จะค่อยๆ หันใบหน้าที่เลอะเกรอะกรังไปด้วยเลือดมา เคียวเฮรู้ว่าต้องใช่ ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นสีสันอื่นใดจากกล้องสีขาวดำเลยก็ตาม ดวงตาแข็งกร้าวของชายผู้นั้นจดเขม็งมองขึ้นมาราวกับต้องการสบประสานกับใครก็ตามที่มองดูอยู่...กับเขา

    พลันนั้นเองที่เคียวเฮจะรู้สึกได้ถึงความคลับคล้ายคลับคลาบางอย่าง หากไม่ทันให้ความคิดได้ประมวล ร่างของชายผู้นั้นก็จะหายวับไป

    เขาไม่อยากเชื่อสายตากับภาพที่เห็น ครั้นพยายามกวาดตาเพ่งจ้องดูภาพจากกล้องตัวนั้นอีกครั้งก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไร ไม่...เพราะสุ้มเสียงของการขยับเคลื่อนไหวนั้นมาจากทางด้านหลัง

    และเมื่อเคียวเฮรีบหันขวับกลับไปพร้อมกับกระบอกปืนในมือ สิ่งที่ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นเป็นภาพสุดท้ายก็คือใบหน้าที่ถูกย้อมเปรอะด้วยสีแดงฉาน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำสนิท

     

     

    ๓.

    ท่วงทำนองที่ดังแว่วมาอย่างแผ่วผิน ราวกับเส้นแบ่งของความฝันและความจริงในตอนที่เคียวเฮพยายามขยับเปลือกตาขึ้นปรือตื่นนั้นคือเซเรเนด ฟอร์ สตริงส์ อิน ซี เมเจอร์ ลำดับที่ 48 ของนักประพันธ์ปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี ไม่ใช่เพราะว่ามันคือบทเพลงชื่อก้องโลก อย่างน้อยๆ คนที่ไม่ได้นิยมฟังเพลงคลาสสิกเป็นอาจิณย่อมไม่มีทางเดาชื่อเพลงได้ถูกตั้งแต่ในทีแรก แน่นอนว่าหากเป็นกรณีทั่วไปแล้วจะนับรวมเขาเข้าไปด้วยก็คงได้ ทว่าไม่ใช่กับบทเพลงนี้ที่มีความหมายสำหรับเขามากกว่านั้น ถึงเวลาจะผันผ่านมาเนิ่นนานถึงกว่าสิบปีได้แล้วก็ตาม อีกครั้งคราที่ความทรงจำอันมัวพร่าระคนปนเปไปกับความเป็นจริงที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเป็นภาพกลับหัว

    ให้เขาได้มองเห็นชายในชุดผู้ป่วยที่ถูกมัดห้อยหัวอยู่เหมือนกันกับเขา เว้นแต่ว่าชายผู้นั้นจะไม่ได้มีลมหายใจเหมือนกันกับเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่จากมีดเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ตรงสีข้าง หากทว่ายังรวมไปถึงเลือดที่เลอะเปรอะทั่วเนื้อตัวกับใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง ทั้งหมดเหล่านั้นคือสิ่งย้ำเตือนให้เคียวเฮให้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงบาดแผลเดียวที่ปลิดชีวิตของคนไข้รายนี้

    ในโรงเชือด...มนุษย์

    กับนักชำแหละร่างใหญ่ที่สวมหน้ากากเหล็กมีหนามคาดปกปิดครึ่งหนึ่งของใบหน้าซึ่งมีแต่เลือดเกรอะกรัง บางจุดเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกถึงระยะเวลา มันเดินผ่านหน้าเขาไปพร้อมส่วนลำคอของสัตว์ — มนุษย์ — ถูกชำแหละผู้โชคร้ายที่หอบหิ้วติดไปยังอีกห้องหนึ่งด้วย เคียวเฮรู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว ในมือของมันอาจจะเป็นชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของเขา เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ด้วยความคิดและการตัดสินใจที่ฉับไว เขาเหวี่ยงพาร่างของตัวเองไปหาศพที่ห้อยหัวอยู่เบื้องหน้า เพียงครั้งเดียวก็ดึงเอามีดเล่มใหญ่ออกจากสีข้างแล้วตัดเชือกที่มัดขาเขาห้อยต่องแต่งให้ร่วงตกลงมากระแทกแผ่นหลังลงบนพื้นแข็งๆ โดยพยายามไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้ว่าจะกำลังระบม

    มองเห็นแผ่นหลังของนักชำแหละที่กำลังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเองบนโต๊ะไม้ซึ่งมีแต่คราบสีน้ำตาลแดงเกรอะกรัง ตรงนี้ไม่มีประตูให้เขาใช้หลบหนี ภายในห้องด้านในสุดซึ่งมันเอาไว้เก็บรวบรวมเหยื่อแทบไม่ได้แตกต่างอะไรจากห้องเย็น มีเพียงวิธีเดียวคือเขาต้องผ่านห้องชำแหละของมันออกไป แต่เคียวเฮรู้ว่าเขาจะบุ่มบ่ามไม่ได้ ปืนของเขาดูเหมือนจะถูกยึดไปแล้ว หรือต่อให้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถต่อสู้กับคนที่ตัวใหญ่กว่ามากโดยไม่ต้องเอาชีวิตเข้าแลกได้ไหวหรือเปล่า เช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ ย่อตัวลง เฝ้าจับตาดูการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของมันผ่านหลังกำแพงอิฐด้วยความอดทน โชคดีที่เคียวเฮไม่ต้องรอนานขนาดนั้น เมื่อปุบปับมันก็จะทิ้งเหยื่อที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ ออกไป แต่หนนี้เคียวเฮไม่ได้โชคดี เพราะนั่นคือทิศทางเดียวกับที่เขาต้องไป ทว่าอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะฉวยโอกาสนี้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสที่สองให้ได้คว้าอีก  ขณะหมอบผ่านออกไปในเงามืด ผ่านแสงสลัวที่ส่องมาจากโคมไฟเหนือเพดานที่ติดๆ ดับๆ และคร่ำครึถึงขนาดส่งเสียงหวึ่งหวี่ออกมา โดยพยายามไม่มองไปยังเศษชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกชำแหละอยู่บนโต๊ะ เคียวเฮยิ่งกว่าแน่ใจว่าเขาได้พบกับผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ของโรงพยาบาลจิตเวชบีคอนเข้าให้แล้ว แต่ชายร่างยักษ์ผู้นี้เป็นใคร มีจุดมุ่งหมายคืออะไร แล้วตอนนี้เขาถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหน

    และชายในชุดคลุมผู้นั้นเป็นใคร...หรืออะไรกันแน่

     

    ทันทีที่พ้นจากห้องชำแหละมาได้ เขาก็ไม่รีรอที่จะลุกขึ้นวิ่งออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเสียงโลหะหนักกระทบกันกึงกัง เขาไม่รู้หรอกว่ามีทางออกอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่มีทางเสี่ยงที่จะไปยังทิศทางที่รู้ว่ามีอันตรายรออยู่

    เพียงแต่เขาไม่มีวันจะล่วงรู้ได้เลยว่ายังมีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่จากกับดักที่ปลายเท้าซึ่งเขาเหยียบย่างมันลงไปเต็มรัก พลันนั้นเองที่เสียงสัญญาณจะแผดดังลั่นพร้อมกับดวงไฟสีแดงที่วูบวาบอยู่เหนือศีรษะ เคียวเฮได้ยินเสียงของเลื่อยไฟฟ้าดังแว่วมาแต่ไกล โดยไม่จำเป็นต้องหันขวับไปมอง สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้คือวิ่งไปตามทางเดินแคบๆ อย่างไม่คิดชีวิตให้เร็วที่สุดเท่าที่สองขาจะพาไปไหว เพื่อหนีจากมัจจุราชและความตายอันน่าสยดสยองที่กำลังวิ่งไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด ทันทีที่มองเห็นบานประตูตรงสุดทางเดิน เคียวเฮก็ไม่รีรอที่จะผลักมันออกไป แต่ด้วยจังหวะที่หน่วงช้าระหว่างวิ่งผ่านช่องสี่เหลี่ยมมายังพื้นที่โล่งกว้างแค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวนั้นเอง เขาก็จะถูกใบเลื่อยเฉือนเข้าที่ข้อเท้าจนทรุดฮวบลงไปกับพื้น

    น่าแปลกที่มันไม่ได้ไล่ตามมา ทว่ากลับเดินไปเหยียบกลไกบางอย่างที่ริมผนัง ก่อนซี่ลูกกรงจะตกลงมากั้นขวางระหว่างกลาง เคียวเฮยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในทีแรก กระทั่งในตอนที่เขาได้ยินเสียงเสียดแก้วหูน่าขนลุก และเมื่อเขาขยับใบหน้าหันมองก็จะได้เห็นกงล้อใบเลื่อยหมุนออกมาจากกำแพงทั้งสองข้าง อะดรีนาลีนที่สูบฉีดผลักให้ร่างของเขาลุกพรวดขึ้น ทนทานต่อความเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ เพื่อกระเสือกกระสนลากเอาขากะเผลกข้างหนึ่งไปยังสุดทางเดินนั้นให้ได้ก่อนที่จะกลายเป็นเนื้อบด เขาไม่รีรอเลยแม้แต่น้อยเมื่อพุ่งตัวเข้าไปผ่านประตูลิฟต์ที่เปิดอ้ากว้างราวกับรอคอยอยู่ เสียงคำรามกรีดร้องโหยหวนด้วยความผิดหวังของมันดังไล่หลังตามมา และยังคงดังก้องอยู่ในหัวสมองที่ปวดหนึบของเขาอีกพักใหญ่ๆ ตลอดเวลาที่ลิฟต์พาโดยสารขึ้นไปข้างบน ทั้งที่เขาไม่ได้แม้แต่จะกดปุ่มอะไรเลยด้วยซ้ำ

    เคียวเฮได้พบกับสถานที่อันคุ้นตาในที่สุดเมื่อลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง แต่เขารู้ว่าจะนั่งรอคอยความช่วยเหลืออยู่ตรงนี้ไม่ได้ เขายังต้องไปต่อ อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะพ้นจากโรงพยาบาลจิตเวช...ที่มีโรงชำแหละอยู่ข้างใต้ ที่ภายนอกลิฟต์นั้นคือโถงทางเดินที่เขาเคยเห็นเป็นภาพสีขาวดำผ่านทางกล้องวงจรปิด และสภาพจริงที่บัดนี้ถูกละเลงไปด้วยสีสรรพ์อันเปื้อนเปรอะก็น่าคลื่นเหียนสะอิดสะเอียน เคียวเฮพยายามมองหารุ่นพี่ในแต่ละเศษซากที่เดินผ่านมา แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้มัวเสียอีกแล้ว เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง จนเขาไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอาคารที่สั่นไหวโคลงเคลงหรือร่างกายของเขาเสียการทรงตัวกันแน่ อย่างไรก็ดี เคียวเฮก็ยังสามารถลากขาตัวเองออกไปจนถึงประตูหน้า ก่อนใช้ไหล่ข้างหนึ่งผลักกระแทกมันเปิดออกไปอย่างแรง

    เพื่อจะได้พานพบกับแสงสว่างสีขาวซึ่งส่องสะท้อนเข้ามาในดวงตาอันพร่ามัวของเขาเป็นสิ่งแรก เมื่อเขม้นจ้องเขาจึงได้พบว่าแท้จริงแล้วมันคือฝุ่นควันที่คละคลุ้งจากตึกรามอาคารสูงรวมถึงถนนที่ทรุดตัวลงไป เคียวเฮได้แต่แหงนมองดูอีกหนึ่งแลนด์มาร์คประจำคริมสัน ซิตี้อย่างตึกแปดสิบห้าชั้นกำลังพังครืนลงมาด้วยความตื่นตะลึง กระทั่งเสียงบีบแตรรถที่พ่วงมากับเสียงตะโกนเรียกนามสกุลของเขาจะช่วยรั้งเรียกสติที่ไม่อยู่กับรูปกับรอยกลับคืนมา

    ทากาฮาชิคุง! ขึ้นรถเร็วเข้า!”

    เขากัดฟันใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายขึ้นไปนั่งข้างรุ่นพี่บนรถตำรวจ เด็กหนุ่มที่เขาช่วยเอาไว้ได้ยังคงนั่งคุดคู้กอดเข่าตัวเอง พึมพำคำพูดซ้ำเดิมไปมา ราวกับว่าเหตุการณ์ใดก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการรับรู้ของเขา ความสนใจของเคียวเฮอยู่กับความใคร่ครวญได้เพียงแค่ครู่สั้นๆ เมื่อเป็นอีกครั้งที่โฮโซยะจะดึงมันกลับมาผ่านคำถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นพร่าที่ว่า ท...ทามาโมริล่ะ? ข...เขาไม่รอดใช่ไหม?”

    เคียวเฮทำได้แค่สั่นหัว ไม่กล้าแม้แต่จะตอบรับมันด้วยถ้อยประโยคเดียว

    หลังจากนั้น โฮโซยะก็เอาแต่พร่ำพูดไม่ได้ศัพท์อย่างคนขาดสติไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่เบาะหลังไปตลอดเส้นทาง ความผูกพันที่เธอมีให้คู่หูอาจมากกว่าที่เด็กใหม่เพิ่งเข้ามาไม่กี่วันอย่างเขาจะตระหนักถึง จนเคียวเฮอดนึกทึ่งใจไม่ได้ที่เธอยังสามารถประคองพาหนะไปบนถนนที่กำลังทรุดตัวได้โดยไม่คลอนแคลน ถ้าไม่ใช่ว่าจู่ๆ พื้นถนนก็จะแตกเป็นรอยแยกที่รวดเร็วมากเสียจนเขาไม่ทันได้ร้องเตือน เหมือนกับที่เธอก็ไม่มีทางจะเหยียบเบรกได้ทัน จากนั้นทุกอย่างก็พลันร่วงหล่น















    2022年05月27日
    _______________
     เอาฟิคมาลงวันนี้เพราะประกาศข่าวอัลบั้มแรกของนานิวะและปล่อยทีเซอร์กับภาพใหม่ และเคียวเฮที่กูรักเล่นเกมฟอลกายที่กูรักลงช่อง JGR พอดี กรี๊ดๆๆๆ >_< อันที่จริงแล้วมีการผิดแผนเพราะฟิคใสกิ๊งที่แต่งไว้เพื่อกะจะเปิดตัวเคียวเฮนั้นภาพคอมมิชยังบ่าเสร็จ! เอ้า! กูเลยเอาเรื่องนี้มาเปิดตัวหล่อๆ ก่อนก็ได้ (ไหนวะมีแต่ทามะ) อย่างที่ได้เคยโม้ไปว่ามีพล็อตจากอีวิลวิทอินจริงๆ ไม่ได้จกตา เป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ประจำปีนี้ที่เกาะกะโหลกสตูดิโอหมายมั่นปั้นมือในแผนกฟิคดัดแปลงจากเกม ที่มาเกิดจากวันหนึ่งในเดือนห้ากูก็เปิดทวิตช์หาเกมดูไปเรื่อยตามประสา ซึ่งกูบอกมึงตลอดว่าชอบบทสเตฟาโน่มาก โคตรอยากแต่ง แต่ไม่เคยมีเมนคนไหนที่เปิงใจกระทั่งมาเจอไทเซย์...ที่ก็ไม่เปิงหมดหรอกแต่ก็ดัดแปลงบทให้ได้ ถึงอย่างนั้นก็ดองไว้ไม่แต่งสักทีจนมาชอบเคียวเฮ! ดูเค้าเล่นเกมยิงกับจูริ! แถมไปยิงหัวซอมบี้ใน RE8 มาด้วย! จากนั้นกูที่บ้าผู้ชายสายบู๊เลยคิดว่าไม่ได้ละ ถ้าไม่ได้แต่งเค้าจับปืนกูต้องลงแดงแน่นวล แล้วบทสเตฟาโน่จะเอาไงล่ะทีนี้ บอกเลยว่าตอนแรกวางให้เจสซี่ แต่มึงก็เทพอดี แล้วก็อยากแต่งไคโตะให้มึงเป็นการตอบแทน เอาไงดีวะเนี่ย เอาไงไม่รู้ ไว้รอดูตอนกูลงคาแรกฯแล้วกัน มันจะมาพร้อมครึ่งหลัง ที่มาแน่ แต่ช้ามาก เพราะงานกูมันเยอะเกินปุยมุ้ย o<--<
     โค้ด 3 คือเปิดไฟฉุกเฉินและไซเรน แต่กูอยากเขียนว่าโค้ด 3 มึงจะทำไม / เออมึง กูงงมากที่สายสืบไปกันสองคนแล้วมีคิดแมนเป็นจูเนียร์ฯไปด้วย ไม่ใช่ว่านางต้องมีคู่หูเองเหรอวะ กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ก็อปในเกมมา สวัสดี / ส่วนที่เลือกพี่ทามะเพราะอยู่ในช่อง JGR แล้วดูดุจัง ตอนแรกเคียวเฮไม่กล้าเล่นเกมด้วยเลยเอามาเป็นซีเนียร์ฯดีกว่า 55555 สปอยล์เลยว่าสองคนนี้ไม่เด่นหรอก เป็นแค่ตัวเปิด เนื้อเรื่องหลักจะดำเนินอยู่ที่ยูเนียน (ในภาคสอง) เพราะต้องมีทีมโมเบียส ต้องไปพิพิธภัณฑ์ของสเตฟาโน่ และเพราะกูชอบบรรยากาศเมืองนั้นมากกว่ามากๆ ภาคแรกมัน gore ไป อี๋ย์ ขนลุกข้าวพอง >_< โธ่อีเหี้ยเลิกปลอม ในเกมตายธรรมดาแต่แต่งออกมาอย่างกับซอว์ยังมีหน้า แต่แต่งไปแล้วสนุกจริงว่ะมึง เหมือนกูเกิดมาเพื่อแนวบู๊ แนวโหดแบบซอว์ภาคหลังๆ ที่ทำมาขายโหดอย่างเดียวเนื้อเรื่องช่างมัน เอามะเขือเน่าไป ไรงี้ เห้อ และกูยังมีนิยายเรื่องร่างวิปลาส (โมจู) ของรัมโปเป็นแรงบันดาลใจอีกแรงหนึ่งด้วยนะ ฮิฮิ เขิน / แต่ขอเมาท์หน่อยว่าบทเคียวเฮปลอมนะ เพราะเจ้าตัวไม่เล่นเกมสยอง ขนาดตอนเล่น RE8 ฉากเจ๊ดูดเลือด ฉากอีธานดึงตะขอออกจากมือ ฯลฯ ก็ทำหน้าแบบบ่าไหวละ ยี้จริง กลัวจริง 55555 / เรื่องนี้กูจิ๊กแค่โลเคชั่น ชื่อ ฯลฯ อะไรมา แต่พล็อตหลักๆ ไม่เหมือนในเกมแน่นอน เพราะกูนี่แหละไม่รู้เรื่องเอง orz ไม่ขอบอกว่ามันจะเริ่ดๆๆ เหมือนเรื่องริงกุที่พล็อตไว้จนจบแล้ว เพราะเรื่องนี้กูไม่มีพล็อตอะไรเลย อ้าวกรรม แค่อยากขายฉากบู๊ ฉากโหด กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ให้คนด่าว่ากูจะดูหนังบู๊ต่างหากโว้ย! แต่ก็จะขอชมตัวเองว่าดัดแปลงพล็อตได้เก่งจัง และบทผู้ชายในเรื่องนี้กูจะขายความหล่อมาก ให้คนด่าว่ากูจะดูหนังบู๊ต่างหากโว้ย! 


    2022年06月18日
    _______________
     เกลาเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็คิดว่าค้างไว้ก่อนดีไหมนะ แต่สุดท้ายก็ทนบ่าได้ ดีมากขนาดนี้โลกต้องได้ยล ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันเกิดโฮคุโตะ วันที่ทราจาลงคลิปช่อง +81 วันอะไรนะ ไม่มีนี่ มีแค่วันที่เคียวเฮอัพบล็อกรายสัปดาห์ และวันประกาศศิลปินในมิวสิกเดย์ที่ไปกันเกือบยกค่ายเท่านั้นเองนี่นา คนับ
     ฉากก๊อปมาจากในเกมเรียกว่า 95% เลยดีกว่า เอาดีๆ ตอนแต่งลวกๆ ไปก่อนนึกว่าง่าย พอเอามาเกลาให้เป็นเรื่องเป็นราวถึงพบว่าโอ๊ยยากจังแย่จังวะ ตอนไปเจอบุทเชอร์คือแต่งโคตรยาก มากๆ! เฮี้ยๆ! ยากฉิบหาย! กูเลยตัดฉากมาแค่นี้พอ เพราะที่จริงในเกมเซบาสเตียนต้องตกลงไปข้างล่าง ไปเจอปริศนาโน่นนี่นั่น แต่กูไม่ไหวละ ตายก่อนพอดี กูก็ไม่ได้จะก็อปในเกมมาทั้งหมดสักหน่อย o<-< ประการหนึ่งคือทดลองแต่งให้รู้ว่ากูมีปัญญากับแนวนี้จริงไหมนะ ที่เก๊าะต้องมีจริงสิจ๊ะ ระดับกู >_< บทชายในชุดคลุมมาจากรูวิค ก็สปอยล์ไปเลยสิว่าจะเป็นใครได้อีกนอกจากไทเซย์! 55555 เด็กหนุ่มที่เก้งก้างก็มิจิคนเดียวไหมล่ะ แต่บอกใบ้แค่นี้แหละ เพราะเรื่องของไทเซย์จะเฉลยในตอนที่หนึ่งเลยจ้า เอ้า นี่ก๊ไวเกิ๊น! เนื่องจากกูอยากรีบแต่งเรื่องของไทเซย์ไปไล่ควายมากๆ เมื่อเค้าคือตัวร้ายหลักของเรื่องนี้ยังไงล่ะ! แต่จะเป็นลาสต์บอสไหมไม่รู้ กูก็ไม่รู้ว่ะ ส่วนฝั่งโมเบียสรอไปก่อนนะ เพราะต้องรอให้เคียวเฮเข้าไปก่อนงับ แต่แค่คิดถึงบทพวกโมเบียสแต่ละคนกูก็มีฟามสุขฟามใจ ใครไม่ชอบเราชอบเองได้ไม่ต้องกลัวใคร (มึงบอกกูจะรู้ไหมว่าชอบไม่ชอบ ยังไม่ได้อ่านอิยูอิควาย)
     ว่าแต่กูทำได้ไงก่อน แต่งแนวนี้โดยให้ผู้ชายเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งตอน (ปกติกูชอบแต่งฝั่งนางเอกมากกว่าสิวะพับผ่า) ไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลย แถมแต่งจนจบอินโทรได้เพลินมากด้วย หรือนี่แหละวะแนวที่ใช่ของกู...ใช่ซะเมื่อไหร่ล่ะ! อีควาย ยากขนาดนี้ เกลาไม่รู้ตั้งกี่วัน พอ! เลิก! กูจะกลับมาแต่งแนวรักสักทีแล้ว ตอนหน้ามาแน่! กูเองแหร่ะ ขอบคุณ / และกูขอโทษมากนะที่พี่ทามะกับโมโมฮะมึงต้องตาย ที่จริงตอนแต่งไปกูก็ชอบบทสองคนนี้มากนะ ตอนอยู่กับเคียวเฮก็ชอบ แต่เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อไป มันก็จำเป็นต้องมีการเสียสละเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า สุดท้ายก็ตายทั้งเรื่องแหละ ยกเว้นกูกับเคียวเฮ นี่แหละคือทรูเอนดิ้งและกู๊ดเอนดิ้ง U_U
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×