คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #206 : THE EVIL WITHIN | Prologue: Descent To Doom
๑.
เพิ่งจะล่วงบ่ายมาได้ไม่เท่าไหร่
แต่สายฝนที่คลาคล้ายกับว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตกกระทบลงมาบนกระจกหน้ารถซึ่งที่ปัดน้ำฝนกำลังทำหน้าที่อยู่อย่างแข็งขันก็จะยิ่งทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้มมัวหม่น
หน่วงหนักไม่ต่างจากคดีฆ่ายกครัวที่พวกเขาเพิ่งได้รับแจ้งและกำลังจะไปตรวจสอบ หากเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากศูนย์ผ่านวิทยุที่ว่า
“ทุกหน่วย ขอย้ำ ทุกหน่วย ต้องการกำลังเสริมไปที่โรงพยาบาลจิตเวชบีคอน โค้ด 3” ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นทางที่เขากำลังบังคับพวงมาลัยให้ขับเคลื่อนไปเพียงแค่สามนาทีเท่านั้น
สายสืบทามาโมริ ยูตะก็ตัดสินใจตอบรับคำขอ เบี่ยงทิศทางไปยังอีกสี่แยกหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องหารือกับทากาฮาชิ
เคียวเฮ เด็กใหม่ ซึ่งจะเอ่ยมาจากที่นั่งเบาะหลังว่า “ฟังดูร้ายแรงนะครับ มีการก่อจลาจลหรือเปล่า?”
“น่าจะเป็นการสังหารหมู่มากกว่า”
เหมือนกับที่เขาก็ไม่จำเป็นต้องหารือกับสายสืบโฮโซยะ
โมโมฮะ คู่หูที่คอยอยู่เคียงข้างเขาในการออกภาคสนาม หรือแม้แต่บนรถตอนนี้ที่เธอจะหันไปตอบคำถามเด็กใหม่ที่ให้ความเอ็นดูด้วยรอยยิ้ม
ถึงเรื่องที่กำลังพูดอยู่นั้นจะไม่มีอะไรให้ชวนยิ้มได้เลยก็ตาม
“ทากาฮาชิคุงเพิ่งมาอยู่ที่นี่คงยังไม่รู้
แต่เมื่อก่อนมีหมอที่กลายเป็นคนบ้าแล้วไล่ฆ่าคนไข้ด้วยล่ะ แถมยังมีคนไข้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่แน่ว่าอาจเป็นผี...”
“เรื่องหมอโรคจิตนั่นมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว
ส่วนคนไข้ที่หายตัวไปก็ไม่มีหลักฐานอะไรนอกจากคำร่ำลือ” ทามาโมริตัดสินใจขัดจังหวะเรื่องเล่างมงายของเธอก่อนที่เด็กใหม่จะถูกฝังหัว “เลิกคาดเดาอะไรไร้สาระ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ”
เธอเดาะลิ้น ไม่ปิดบังความหงุดหงิดใจในท่าทียามหันกลับมานั่งตัวตรงทำคอตั้ง
แต่อย่างกับว่าเขาจะสนใจ ใช่ว่าเขาพอใจที่ต้องได้จับคู่ทำงานกับผู้หญิง...พ่วงมาด้วยคำว่าไม่ได้เรื่องได้ราวซ้ำยังน่ารำคาญ
ระยะเวลาสามเดือนมากพอที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานเหล่านั้น เอาไว้จบงานนี้เมื่อไหร่ ทามาโมริหวังว่าบางทีเขาอาจจะเข้าไปคุยกับหัวหน้า
แล้วขอเด็กใหม่ที่ทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับหนึ่งของรุ่น ทั้งยังขยันขันแข็งและดูกระตือรือร้นกับเรื่องงานมากมาเป็นคู่หูแทน
คนที่ก็จะแสดงความกระตือรือร้นผ่านสีหน้าตื่นเต้นเมื่อพาหนะของพวกเขาชะลอความเร็วลง
ผ่านประตูรั้วเหล็กดัดราวป้อมปราการแข็งขืนจนยากที่จะหลบหนีผ่านกำแพงอิฐสูงที่ปิดล้อม
ทว่าในยามนี้กลับเปิดอ้ากว้างอย่างง่ายดาย ให้พวกเขาได้เข้าไปสมทบกับรถพยาบาลหนึ่งคันและรถตำรวจอีกสามคันที่เปิดไซเรนทิ้งไว้
หากไร้ซึ่งผู้คน หน้าอาคารสิ่งก่อสร้างหลังมหึมาสไตล์ปราสาทแบบยุโรปที่ตกทอดมาจากยุคประวัติศาสตร์และยังคงอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน
ความโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางคริมสัน ซิตี้คือสิ่งที่ทุกคนพบเห็นได้ หากไม่ใช่ทุกคนที่สามารถ...หรือว่าอยาก...เข้ามาชื่นชมเหมือนกับแลนด์มาร์คประจำเมืองอื่นๆ
ดังนั้นปฏิกิริยาของหนุ่มที่มาจากเมืองเล็กจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับทามาโมริ
รวมถึงคำพูดงี่เง่าของโฮโซยะที่เขารู้อยู่แล้วว่าเธอต้องเอ่ย หลังจากที่ทากาฮาชิจะเปิดประตูรถตามลงมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
แล้วต่างแหงนคอมองขึ้นไปโดยไม่ยี่หระต่อเม็ดฝนที่ซัดสาดเลยแม้แต่น้อยไปด้วยกัน
“ขอต้อนรับเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวชที่หลอนที่สุดในประเทศ
โรงพยาบาลจิตเวชบีคอน”
กลิ่นเหม็นสาบตีตื้นขึ้นมากระทบผัสสะของเขาทันทีที่บานประตูไม้ด้านหน้าถูกผลักให้แง้มเปิด
มันชัดเจน เข้มข้น รุนแรง และสายสืบวัยสามสิบสองที่ผ่านคดีฆาตกรรมมานักต่อนักอย่างเขาก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเลือดจำนวนน้อยนิดไม่สามารถสร้างปฏิกิริยาเช่นนี้ได้
ขณะสายสืบที่อ่อนวัยกว่าเองก็จะรีบก้าวนำเด็กใหม่ขึ้นมา พวกเขาพยักหน้าให้กัน ก่อนกระทำการแบบเดียวกันนั่นคือการใช้มือข้างหนึ่งผลักบานประตูคนละด้านให้กว้างขึ้น
ส่วนมืออีกข้างก็หยิบเอาปืนที่เหน็บไว้ขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งใดก็ตามที่รอคอยอยู่
หากภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจะทำให้พวกเขาทั้งสามต้องกลั้นใจ
หาใช่บรรยากาศของความผิดประหลาดจากสถานพยาบาลที่รอต้อนรับพวกเขา
แต่เป็นความวิปริตผิดเพี้ยนจากชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายของบุคลากรและผู้ป่วยในชุดสีอ่อนที่บัดนี้อาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน
มันคือเหตุการณ์สังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่ทามาโมริเคยได้เห็นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
สีหน้าของโฮโซยะที่ก่อนหน้านี้ยังพูดล้อเล่นกับเรื่องนี้ได้อยู่ก็แสดงความผะอืดผะอมออกมาเสียจนต้องยกมือขึ้นกลั้นสิ่งใดก็ตามที่อาจจะขย้อน
แม้แต่กับสายสืบที่คิดว่าผ่านคดีทุกรูปแบบมาแล้วอย่างเขาก็ยังคิดว่ามันมากเกินไป
“ฉันกับทากาฮาชิจะเข้าไปตรวจสอบ
ส่วนเธอเฝ้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ใครหรืออะไรผ่านประตูเข้ามาเด็ดขาด ถ้าเผื่อมีเรื่องอะไรขึ้นมาเธอจะเป็นกำลังเสริมให้เรา”
และนี่ก็อาจเป็นครั้งแรกที่โฮโซยะซึ่งเคยดื้อด้านจะพยักหน้าตอบรับการตัดสินใจที่ไม่เคยมีการถามไถ่ของคู่หูแต่โดยดี
“นายไหวใช่ไหม?”
“ครับ” ทากาฮาชิตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาแค่เพียงน้อยเท่านั้น
น่าประทับใจที่เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ยังสามารถบังคับปืนด้วยมือทั้งสองข้างและก้าวย่างขึ้นมาอยู่เคียงกันกับเขาโดยไม่มีทีท่าว่าลังเลใจ
กระทั่งเสียงบานประตูเอี๊ยดอ๊าดที่โฮโซยะปิดไล่หลังจะดังตามมา วินาทีนั้นก็ราวกับการแยกโลกของคนเป็นและคนตายออกจากกัน
โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเยือกที่แล่นปราดเข้าไปลึกถึงกระดูก
ผ่านเข้าไปยังไขสันหลัง อาจลามสะท้านไปถึงขั้วหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรง ณ สถานที่เกิดเหตุซึ่งเต็มไปด้วยชิ้นส่วนและเครื่องในสีแดงสดที่สาดเปรอะอยู่ทั่วพื้นและผนังสีเทาหม่นหมอง
หลอดไฟติดผนังสีขาวที่สาดส่องลงมากลับยิ่งขับเน้นความน่าสะพรึงนั้น หาใช่การให้ความสว่างสดใสอย่างที่ควรเป็น
สิ่งที่มันกำลังสะท้อนส่องนั้นยากที่จะเรียกว่ารูปร่าง...เมื่อทามาโมริคิดว่ามันใกล้เคียงกับคำว่า
‘เศษซาก’ มากกว่า
เขาแน่ใจว่ามันมาจากใบเลื่อยที่เฉือนผ่าน เหมือนกับตอนที่เขาใช้เลื่อยยนต์โค่นต้นไม้ในสวนหลังบ้านมาทำเป็นหัวเตียงให้เด็กหญิงข้างบ้าน
แต่จุดประสงค์ของมันในเวลานี้หาใช่เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ใคร
แต่เป็นการทำลายคุณค่าของทุกชีวิตที่มันได้ไปเยี่ยมเยือน ยามจ้วงกระหน่ำลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อความสะใจส่วนตัวต่างหาก
“ทากาฮาชิ นายไปดูกล้องวงจรปิด
ฉันจะลองเช็กดูรอบๆ นี่เผื่อว่าจะมีใครรอด”
“ครับ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะมีใครรอดพ้นจากเหตุการณ์สยองขวัญเช่นนี้มาได้
ใครก็ตามที่เป็นคนลงมือย่อมต้องคุ้มคลั่งเกินกว่าที่โรงพยาบาลจิตเวชกับเหล่าบุคลากรที่ไร้อาวุธป้องกันตัวจะสามารถรักษาได้
ให้ทามาโมรินึกเสียใจขึ้นมาครามครันที่ออกคำสั่งไปแบบนั้น
ขณะที่ทากาฮาชิแยกตัวเข้าไปในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงส่วนหน้า มือที่จับกระชับปืนพกคู่ใจของเขาไม่เคยชื้นไปด้วยเหงื่อเท่านี้มาก่อน
ลำคอที่พยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงไปก็แห้งผาก สภาพของโถงทางเดินกว้างขวางนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากส่วนรับรองที่เขาเพิ่งจะจากมา
เศษเนื้อ กองเลือด รถเข็นที่ระเกะระกะกับชิ้นส่วนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ที่นอนพังพาบคอตก...ขาด
บ้างแขนขาหรือไส้ในก็ห้อยต่อยแต่งลงมา
ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดที่เขาค้นพบหรือ
— ที่ทามาโมริแน่ใจ — ว่ารอให้ไปค้นพบ
จนเมื่อเขาได้ยินสุ้มเสียงของการขยับไหวที่ด้านหลัง
๒.
ทากาฮาชิ เคียวเฮ เพิ่งจะเข้าบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ใหม่ประจำกรมตำรวจคริมสัน
ซิตี้ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดีด้วยซ้ำ ใช่ว่าบ้านเกิดที่ชานเมืองเล็กๆ ของเขาไม่มีอะไรดีถึงได้ย้ายออกมา ในเมื่อครอบครัวคนสำคัญอย่างตายายที่เลี้ยงดูมาตลอดทั้งชีวิตก็ยังอยู่ที่นั่น
แต่ความฝันการเป็นตำรวจมาเกือบตลอดทั้งชีวิตของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะพบได้ที่นั่น คุณตาที่เป็นทั้งนายอำเภอและฮีโร่สุดเท่ในใจกับเรื่องเล่าสมัยเป็นตำรวจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงที่ไม่เคยมอดดับไป
ณ เมืองใหญ่ กลับต้องมาจมจ่อมอยู่กับความน่าเบื่อหน่ายในเมืองเล็กเมื่อถึงวัยชรา คดีที่ร้ายแรงที่สุดอาจมีแค่คนต่างถิ่นปล้นจี้ปั๊มน้ำมันหรือร้านขายของ
เรื่องเล็กกระจ้อยร่อยพรรค์อย่างนั้น เมื่อไร้ซึ่งความน่าตื่นเต้นก็ไร้ซึ่งความภาคภูมิใจ
เคียวเฮไม่ต้องการจะเป็นแบบนั้น
แต่เขาไม่ได้...ไม่เคย...คาดคิดว่าคดีแรกที่รอต้อนรับเขาอยู่จะเป็นอะไรที่โหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้
เคียวเฮไม่ได้กลัวภาพของเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ดูเหมือนว่าจะพบเห็นได้แต่ในหนัง
เพราะโรงเชือดที่เขาเคยไปเห็นกับตามาแล้วสมัยอยู่ในเมืองเก่าก็ไม่ได้น่าสยดสยองเท่านี้
กระนั้นแม้แต่ตัวเองก็ยังอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงยังคงสามารถรักษาความนิ่งสงบเอาไว้ได้
เหมือนอย่างสายสืบทามาโมริที่เด็กใหม่อย่างเคียวเฮไม่กล้าอาจหาญเสนอความเห็นว่าพวกเขาควรอยู่ด้วยกันจะดีกว่า
หากสิ่งที่ทำให้เขานึกหวาดหวั่นได้มากที่สุดคือความกลัวของสิ่งที่มองไม่เห็น หรือไม่ก็อาจเป็นร่องรอยของฆาตกร
มีบรรยากาศอึดอัดอบอวลอยู่ในทุกย่างก้าวอันหนักอึ้งอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ทำให้หนาววาบไปจนถึงกระดูกสันหลัง
ที่ดูเหมือนว่าบัดนี้จะมีความตื่นตกใจรวมอยู่ด้วยในตอนที่เคียวเฮกำปืนเข้าไปในห้องควบคุมกล้อง
แล้วพบกับเด็กหนุ่มในชุดผู้ป่วยที่ไม่ได้เปรอะไปด้วยเลือดนั่งกอดเข่าทั้งสองข้างอยู่บนพื้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
ขณะงึมงำถ้อยคำแผ่วเบาราวเอ่ยกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างที่เขาพอจะจับใจความแบบไม่ปะติดปะต่อได้ว่า
“ผมไม่ได้ทำ” “ไม่ใช่ผม” “ผมต้องหยุดเขา” “ผมห้ามเขาไม่ได้” “เขาพยายามควบคุมผม” โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับต่อคำถามหรือการเขย่าตัวแรงๆ
เลยแม้แต่น้อย จนเคียวเฮต้องเป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้ไปเอง ค่อยๆ ประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน
ยกท่อนแขนข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่าแม้จะอย่างเก้กังเพราะส่วนสูงที่เก้งก้าง แต่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ปลอดภัย
อย่างไรเคียวเฮก็ต้องพาผู้รอดชีวิตออกไป...ในสภาพที่ยังมีชีวิตให้ได้
“ทากาฮาชิคุง!”
ทันทีทันใด โฮโซยะที่ช่วยดึงประตูให้เปิดอ้ากว้างจากข้างนอกเมื่อเขาใช้ไหล่ข้างหนึ่งผลักมันราวกับการให้สัญญาณก็จะรีบพุ่งตัวเข้ามาหา
“ฝากดูแลเขาทีนะครับ” เคียวเฮวางร่างปวกเปียกที่เขาช่วยออกมาได้สำเร็จลงบนราวบันได
เพียงเพื่อที่จะให้เจ้าตัวได้กลับไปนั่งคุดคู้ซุกใบหน้าอยู่กับเข่าของตัวเองอีกครั้ง
แต่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจะมัวเสียเวลาอยู่อีกไม่ได้เมื่อมีภาระมอบหมายจากสายสืบรุ่นพี่รอให้เขาไปจัดการ
ตัดสินใจปิดบานประตูไล่หลังเมื่อกลับเข้ามายังห้องควบคุมกล้อง
มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว เพราะถ้ามีใครพยายามเข้ามา เขาที่อาจกำลังจดจ่อก็จะไหวตัวทันมากพอให้คว้าอาวุธขึ้นเล็ง
แต่ยังไม่ทันที่เคียวเฮจะได้ลำดับความคิดว่าควรมองหาอะไรก่อนหลัง
ภาพจากกล้องสดในโถงทางเดินของทามาโมริที่หยุดยืนอย่างปุบปับก็พลันเรียกเร้นความสนใจ
ทว่าสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์ไม่ได้มีแค่รุ่นพี่ เคียวเฮมองเห็นชายในชุดคลุมตัวยาวที่ดึงฮู้ดขึ้นสวมหัวเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง
ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้หันขวับมามองด้วยซ้ำ ยามที่ชายในชุดคลุมผู้นั้นจะปราดเข้าประชิดแล้วเงื้อมือขึ้นยกมีดเล่มใหญ่ปาดเข้าไปที่ลำคอทันที
ของเหลวพุ่งกระฉูดออกมาเหมือนท่อน้ำรั่วที่สาดกระจายลงบนพื้น ตามด้วยร่างไร้วิญญาณที่ร่วงดิ่งจมลงไป
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เป็นชั่วระยะที่ไม่ทันให้ได้กะพริบตาด้วยซ้ำจนเขาได้แต่อึ้งงัน
แต่ก่อนที่เสียงใดจะหลุดรอดออกมาพ้นลำคอ ชายในชุดคลุมก็จะค่อยๆ หันใบหน้าที่เลอะเกรอะกรังไปด้วยเลือดมา
เคียวเฮรู้ว่าต้องใช่ ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นสีสันอื่นใดจากกล้องสีขาวดำเลยก็ตาม
ดวงตาแข็งกร้าวของชายผู้นั้นจดเขม็งมองขึ้นมาราวกับต้องการสบประสานกับใครก็ตามที่มองดูอยู่...กับเขา
พลันนั้นเองที่เคียวเฮจะรู้สึกได้ถึงความคลับคล้ายคลับคลาบางอย่าง
หากไม่ทันให้ความคิดได้ประมวล ร่างของชายผู้นั้นก็จะหายวับไป
เขาไม่อยากเชื่อสายตากับภาพที่เห็น
ครั้นพยายามกวาดตาเพ่งจ้องดูภาพจากกล้องตัวนั้นอีกครั้งก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไร ไม่...เพราะสุ้มเสียงของการขยับเคลื่อนไหวนั้นมาจากทางด้านหลัง
และเมื่อเคียวเฮรีบหันขวับกลับไปพร้อมกับกระบอกปืนในมือ สิ่งที่ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นเป็นภาพสุดท้ายก็คือใบหน้าที่ถูกย้อมเปรอะด้วยสีแดงฉาน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำสนิท
๓.
ท่วงทำนองที่ดังแว่วมาอย่างแผ่วผิน
ราวกับเส้นแบ่งของความฝันและความจริงในตอนที่เคียวเฮพยายามขยับเปลือกตาขึ้นปรือตื่นนั้นคือเซเรเนด
ฟอร์ สตริงส์ อิน ซี เมเจอร์ ลำดับที่ 48 ของนักประพันธ์ปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี ไม่ใช่เพราะว่ามันคือบทเพลงชื่อก้องโลก
อย่างน้อยๆ คนที่ไม่ได้นิยมฟังเพลงคลาสสิกเป็นอาจิณย่อมไม่มีทางเดาชื่อเพลงได้ถูกตั้งแต่ในทีแรก
แน่นอนว่าหากเป็นกรณีทั่วไปแล้วจะนับรวมเขาเข้าไปด้วยก็คงได้ ทว่าไม่ใช่กับบทเพลงนี้ที่มีความหมายสำหรับเขามากกว่านั้น
ถึงเวลาจะผันผ่านมาเนิ่นนานถึงกว่าสิบปีได้แล้วก็ตาม อีกครั้งคราที่ความทรงจำอันมัวพร่าระคนปนเปไปกับความเป็นจริงที่ค่อยๆ
ชัดเจนขึ้นเป็นภาพกลับหัว
ให้เขาได้มองเห็นชายในชุดผู้ป่วยที่ถูกมัดห้อยหัวอยู่เหมือนกันกับเขา
เว้นแต่ว่าชายผู้นั้นจะไม่ได้มีลมหายใจเหมือนกันกับเขาอีกต่อไปแล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่จากมีดเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ตรงสีข้าง หากทว่ายังรวมไปถึงเลือดที่เลอะเปรอะทั่วเนื้อตัวกับใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง
ทั้งหมดเหล่านั้นคือสิ่งย้ำเตือนให้เคียวเฮให้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงบาดแผลเดียวที่ปลิดชีวิตของคนไข้รายนี้
ในโรงเชือด...มนุษย์
กับนักชำแหละร่างใหญ่ที่สวมหน้ากากเหล็กมีหนามคาดปกปิดครึ่งหนึ่งของใบหน้าซึ่งมีแต่เลือดเกรอะกรัง
บางจุดเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มบ่งบอกถึงระยะเวลา มันเดินผ่านหน้าเขาไปพร้อมส่วนลำคอของสัตว์
— มนุษย์ — ถูกชำแหละผู้โชคร้ายที่หอบหิ้วติดไปยังอีกห้องหนึ่งด้วย เคียวเฮรู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว
ในมือของมันอาจจะเป็นชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของเขา เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ด้วยความคิดและการตัดสินใจที่ฉับไว
เขาเหวี่ยงพาร่างของตัวเองไปหาศพที่ห้อยหัวอยู่เบื้องหน้า เพียงครั้งเดียวก็ดึงเอามีดเล่มใหญ่ออกจากสีข้างแล้วตัดเชือกที่มัดขาเขาห้อยต่องแต่งให้ร่วงตกลงมากระแทกแผ่นหลังลงบนพื้นแข็งๆ
โดยพยายามไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้ว่าจะกำลังระบม
มองเห็นแผ่นหลังของนักชำแหละที่กำลังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเองบนโต๊ะไม้ซึ่งมีแต่คราบสีน้ำตาลแดงเกรอะกรัง
ตรงนี้ไม่มีประตูให้เขาใช้หลบหนี ภายในห้องด้านในสุดซึ่งมันเอาไว้เก็บรวบรวมเหยื่อแทบไม่ได้แตกต่างอะไรจากห้องเย็น
มีเพียงวิธีเดียวคือเขาต้องผ่านห้องชำแหละของมันออกไป แต่เคียวเฮรู้ว่าเขาจะบุ่มบ่ามไม่ได้
ปืนของเขาดูเหมือนจะถูกยึดไปแล้ว หรือต่อให้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถต่อสู้กับคนที่ตัวใหญ่กว่ามากโดยไม่ต้องเอาชีวิตเข้าแลกได้ไหวหรือเปล่า
เช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ ย่อตัวลง เฝ้าจับตาดูการกระทำอันน่าสะอิดสะเอียนของมันผ่านหลังกำแพงอิฐด้วยความอดทน
โชคดีที่เคียวเฮไม่ต้องรอนานขนาดนั้น เมื่อปุบปับมันก็จะทิ้งเหยื่อที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ
ออกไป แต่หนนี้เคียวเฮไม่ได้โชคดี เพราะนั่นคือทิศทางเดียวกับที่เขาต้องไป ทว่าอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะฉวยโอกาสนี้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสที่สองให้ได้คว้าอีก
ขณะหมอบผ่านออกไปในเงามืด ผ่านแสงสลัวที่ส่องมาจากโคมไฟเหนือเพดานที่ติดๆ
ดับๆ และคร่ำครึถึงขนาดส่งเสียงหวึ่งหวี่ออกมา โดยพยายามไม่มองไปยังเศษชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกชำแหละอยู่บนโต๊ะ เคียวเฮยิ่งกว่าแน่ใจว่าเขาได้พบกับผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ของโรงพยาบาลจิตเวชบีคอนเข้าให้แล้ว
แต่ชายร่างยักษ์ผู้นี้เป็นใคร มีจุดมุ่งหมายคืออะไร แล้วตอนนี้เขาถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหน
และชายในชุดคลุมผู้นั้นเป็นใคร...หรืออะไรกันแน่
ทันทีที่พ้นจากห้องชำแหละมาได้
เขาก็ไม่รีรอที่จะลุกขึ้นวิ่งออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเสียงโลหะหนักกระทบกันกึงกัง
เขาไม่รู้หรอกว่ามีทางออกอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่มีทางเสี่ยงที่จะไปยังทิศทางที่รู้ว่ามีอันตรายรออยู่
เพียงแต่เขาไม่มีวันจะล่วงรู้ได้เลยว่ายังมีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่จากกับดักที่ปลายเท้าซึ่งเขาเหยียบย่างมันลงไปเต็มรัก
พลันนั้นเองที่เสียงสัญญาณจะแผดดังลั่นพร้อมกับดวงไฟสีแดงที่วูบวาบอยู่เหนือศีรษะ เคียวเฮได้ยินเสียงของเลื่อยไฟฟ้าดังแว่วมาแต่ไกล
โดยไม่จำเป็นต้องหันขวับไปมอง สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้คือวิ่งไปตามทางเดินแคบๆ
อย่างไม่คิดชีวิตให้เร็วที่สุดเท่าที่สองขาจะพาไปไหว เพื่อหนีจากมัจจุราชและความตายอันน่าสยดสยองที่กำลังวิ่งไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด
ทันทีที่มองเห็นบานประตูตรงสุดทางเดิน เคียวเฮก็ไม่รีรอที่จะผลักมันออกไป แต่ด้วยจังหวะที่หน่วงช้าระหว่างวิ่งผ่านช่องสี่เหลี่ยมมายังพื้นที่โล่งกว้างแค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวนั้นเอง
เขาก็จะถูกใบเลื่อยเฉือนเข้าที่ข้อเท้าจนทรุดฮวบลงไปกับพื้น
น่าแปลกที่มันไม่ได้ไล่ตามมา ทว่ากลับเดินไปเหยียบกลไกบางอย่างที่ริมผนัง
ก่อนซี่ลูกกรงจะตกลงมากั้นขวางระหว่างกลาง เคียวเฮยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในทีแรก
กระทั่งในตอนที่เขาได้ยินเสียงเสียดแก้วหูน่าขนลุก และเมื่อเขาขยับใบหน้าหันมองก็จะได้เห็นกงล้อใบเลื่อยหมุนออกมาจากกำแพงทั้งสองข้าง
อะดรีนาลีนที่สูบฉีดผลักให้ร่างของเขาลุกพรวดขึ้น ทนทานต่อความเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ
เพื่อกระเสือกกระสนลากเอาขากะเผลกข้างหนึ่งไปยังสุดทางเดินนั้นให้ได้ก่อนที่จะกลายเป็นเนื้อบด
เขาไม่รีรอเลยแม้แต่น้อยเมื่อพุ่งตัวเข้าไปผ่านประตูลิฟต์ที่เปิดอ้ากว้างราวกับรอคอยอยู่
เสียงคำรามกรีดร้องโหยหวนด้วยความผิดหวังของมันดังไล่หลังตามมา และยังคงดังก้องอยู่ในหัวสมองที่ปวดหนึบของเขาอีกพักใหญ่ๆ
ตลอดเวลาที่ลิฟต์พาโดยสารขึ้นไปข้างบน ทั้งที่เขาไม่ได้แม้แต่จะกดปุ่มอะไรเลยด้วยซ้ำ
เคียวเฮได้พบกับสถานที่อันคุ้นตาในที่สุดเมื่อลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง
แต่เขารู้ว่าจะนั่งรอคอยความช่วยเหลืออยู่ตรงนี้ไม่ได้ เขายังต้องไปต่อ อย่างน้อยๆ
ก็จนกว่าจะพ้นจากโรงพยาบาลจิตเวช...ที่มีโรงชำแหละอยู่ข้างใต้ ที่ภายนอกลิฟต์นั้นคือโถงทางเดินที่เขาเคยเห็นเป็นภาพสีขาวดำผ่านทางกล้องวงจรปิด
และสภาพจริงที่บัดนี้ถูกละเลงไปด้วยสีสรรพ์อันเปื้อนเปรอะก็น่าคลื่นเหียนสะอิดสะเอียน
เคียวเฮพยายามมองหารุ่นพี่ในแต่ละเศษซากที่เดินผ่านมา แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้มัวเสียอีกแล้ว
เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง
จนเขาไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอาคารที่สั่นไหวโคลงเคลงหรือร่างกายของเขาเสียการทรงตัวกันแน่
อย่างไรก็ดี เคียวเฮก็ยังสามารถลากขาตัวเองออกไปจนถึงประตูหน้า ก่อนใช้ไหล่ข้างหนึ่งผลักกระแทกมันเปิดออกไปอย่างแรง
เพื่อจะได้พานพบกับแสงสว่างสีขาวซึ่งส่องสะท้อนเข้ามาในดวงตาอันพร่ามัวของเขาเป็นสิ่งแรก
เมื่อเขม้นจ้องเขาจึงได้พบว่าแท้จริงแล้วมันคือฝุ่นควันที่คละคลุ้งจากตึกรามอาคารสูงรวมถึงถนนที่ทรุดตัวลงไป
เคียวเฮได้แต่แหงนมองดูอีกหนึ่งแลนด์มาร์คประจำคริมสัน ซิตี้อย่างตึกแปดสิบห้าชั้นกำลังพังครืนลงมาด้วยความตื่นตะลึง
กระทั่งเสียงบีบแตรรถที่พ่วงมากับเสียงตะโกนเรียกนามสกุลของเขาจะช่วยรั้งเรียกสติที่ไม่อยู่กับรูปกับรอยกลับคืนมา
“ทากาฮาชิคุง! ขึ้นรถเร็วเข้า!”
เขากัดฟันใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายขึ้นไปนั่งข้างรุ่นพี่บนรถตำรวจ
เด็กหนุ่มที่เขาช่วยเอาไว้ได้ยังคงนั่งคุดคู้กอดเข่าตัวเอง พึมพำคำพูดซ้ำเดิมไปมา ราวกับว่าเหตุการณ์ใดก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการรับรู้ของเขา
ความสนใจของเคียวเฮอยู่กับความใคร่ครวญได้เพียงแค่ครู่สั้นๆ เมื่อเป็นอีกครั้งที่โฮโซยะจะดึงมันกลับมาผ่านคำถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นพร่าที่ว่า
“ท...ทามาโมริล่ะ? ข...เขาไม่รอดใช่ไหม?”
เคียวเฮทำได้แค่สั่นหัว ไม่กล้าแม้แต่จะตอบรับมันด้วยถ้อยประโยคเดียว
หลังจากนั้น โฮโซยะก็เอาแต่พร่ำพูดไม่ได้ศัพท์อย่างคนขาดสติไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่เบาะหลังไปตลอดเส้นทาง ความผูกพันที่เธอมีให้คู่หูอาจมากกว่าที่เด็กใหม่เพิ่งเข้ามาไม่กี่วันอย่างเขาจะตระหนักถึง จนเคียวเฮอดนึกทึ่งใจไม่ได้ที่เธอยังสามารถประคองพาหนะไปบนถนนที่กำลังทรุดตัวได้โดยไม่คลอนแคลน ถ้าไม่ใช่ว่าจู่ๆ พื้นถนนก็จะแตกเป็นรอยแยกที่รวดเร็วมากเสียจนเขาไม่ทันได้ร้องเตือน เหมือนกับที่เธอก็ไม่มีทางจะเหยียบเบรกได้ทัน จากนั้นทุกอย่างก็พลันร่วงหล่น
_______________
_______________
ความคิดเห็น