คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : My Boyfriend is Serial Killer
โดโลเรสไม่ได้ไปโรงเรียนมาหลายวันแล้ว
เธอไม่รู้ว่าแม่ได้บอกใครเรื่องที่เธอหนีจากบ้านหรือเปล่า
เธอเกรงว่าถ้าหากไปโรงเรียนแล้วอาจจะถูกอาจารย์พากลับไปหาแม่ก็ได้ และแน่นอนว่าเธอไม่ต้องการอย่างนั้น
การหลบซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ อยู่ที่นี่จึงเป็นหนทางที่สร้างความสบายใจที่สุดแล้ว
เด็กสาวพลิกตัวบนโซฟาเก่า ๆ ภายในห้องรับแขก ก่อนเงยหน้าจะมองเข็มนาฬิกาอันใหญ่บนฝาผนังที่เคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า บ้านทั้งหลังดูจะเงียบเหงาลงไปมากโขเมื่อบิลไม่อยู่ เพราะเขายังคงไปเรียนเหมือนเดิมตามปกติ เธอจึงต้องอยู่เพียงคนเดียวลำพังในบ้านหลังนี้ ซึ่งการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่คนเดียวทั้งวันแบบนี้ก็นับว่าน่าเบื่อไม่น้อยเลยทีเดียว
คงยังอีกนานกว่าที่บิลจะกลับมาบ้าน เพราะนี่พึ่งบ่ายโมงเท่านั้น โดโลเรสคิดก่อนจะดันตัวเองขึ้นจากโซฟา บางทีเธอควรจะหาอะไรทำแก้เบื่อสักอย่าง และสิ่งแรกที่เด็กสาวคิดขึ้นมาได้ก็คือการเดินสำรวจภายในบ้านหลังนี้ จริงอยู่ที่โดโลเรสอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยสังเกตอะไรในบ้านอย่างจริงจังเลย บางทีการสำรวจบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ในยามว่างอาจจะทำให้ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากกว่านี้ก็ได้
สองเท้าก้าวเดินไปตามพื้นกระเบื้องเย็นเชียบ สายตาไล่มองสิ่งของต่าง ๆ ที่วางประดับในบ้าน โดโลเรสได้กลิ่นแอลกอฮอล์เจือจางอ่อน ๆ ในอากาศทั่วทั้งบ้าน และขวดเหล้าราคาถูกที่ตั้งอยู่ในตู้ไม้เรียงรายเป็นตับในห้องครัวก็ดูจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าจมูกของเธอไม่ได้เพี้ยนแต่อย่างใด บางทีแม่ของบิลคงจะขี้เหล้าไม่ต่างจากแม่ของเธอเท่าไรนัก
เมื่อคิดถึงคุณนายฮันเตอร์ก็ทำให้เกิดความสงสัยไม่ได้ เพราะนี่ก็นานแล้วที่เธอมาอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีวี่แว่วว่าแม่ของบิลจะกลับมาที่นี่เลยสักที เธอเคยลองถามบิลเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่เขาก็หลีกเลี่ยงที่จะตอบทุกที จนสุดท้ายโดโลเรสก็ต้องเลิกรบเร้าไปเอง ถึงอย่างนั้นในใจเธอก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าหล่อนหายไปไหนกันแน่ เพราะการไปเยี่ยมญาติต่างเมืองคงไม่น่าจะไปนานขนาดนี้
บ้านของบิลเป็นเพียงบ้านเล็ก ๆ
ใช้เวลาเดินสำรวจไม่นานก็แทบจะครบทุกที่ในบ้านแล้ว โดโลเรสจึงยืดเวลาด้วยการก้าวเท้าให้ช้าลงกว่าเดิมเล็กน้อย
ในขณะที่จ้องมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างพิจารณาถี่ถ้วนเหมือนนักล่าสมบัติในหนังอเมริกันยุคเก่า
และตอนนั้นเองที่เธอได้มองเห็นประตูไม้เก่า ๆ หลบซ่อนอยู่ข้างตู้ไม้
มองดูผิวเผนแทบจะไม่รู้เลยว่ามีประตูนี้อยู่ในบ้านด้วย โดโลเรสจึงหยุดฝีเท้าลงทันทีก่อนจะหรี่ตาลงด้วยความสงสัยเล็ก
ๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นประตูของห้องใต้ดินก็ได้
แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ขาของเธอก็ก้าวไปที่ประตูบานนั้นอย่างไม่รู้ตัว ความใคร่รู้บางอย่างดึงดูดให้โดโลเรสเปิดประตูบานนั้น ไอร้อนและกลิ่นเหม็นเน่าที่พวยพุ่งออกมาจากหลังประตูทำให้เด็กสาวต้องย่นคิ้วโดยอัตโนมัติ มันเหม็นอย่างร้ายกาจจนชวนให้อาเจียน ถึงอย่างนั้นกลิ่นเหม็นพวกนี้ก็ไม่สามารถหยุดเด็กสาวไม่ให้เข้าไปในห้องใต้ดินได้
โดโลเรสยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเองในขณะที่ก้าวขาเข้าไปในห้องที่มืดมิดอย่างระมัดระวัง เธอลงบันไดทีละขั้นช้า ๆ ในขณะที่มือก็คลำผนังเพื่อควานหาสวิตช์ไฟที่พอจะให้ความสว่างภายในห้องใต้ดินได้ สัมผัสของผิวปูนและหยากไย่ที่ไล่ผ่านนิ้วใบบางครั้งชวนให้รู้สึกขยะแขยง ในใจของเด็กสาวเริ่มลังเลว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ลงมาในที่แห่งนี้?
ตอนนั้นเองที่มือของเด็กสาวพบกับสวิตช์ไฟจนได้ โดโลเรสกดปุ่มเปิดไฟทันที แสงจากหลอดไฟกระพริบสองสามครั้งก่อนที่แสงสว่างจ้าที่เหลืองอ่อนจะสาดไปทั่วห้อง ความน่ากลัวจึงลดลงไปมากโข เธอจึงเลือกที่จะเดินต่อไปจนถึงชั้นล่างสุดของบันได
สิ่งแรกที่โดโลเรสเห็นคือกระดานไม้อันใหญ่ตรงมุมห้อง
บนกระดานแปะภาพของคนมากมายเต็มไปหมด
เธอจึงเดินเข้าไปใกล้กระดานเพื่อที่จะมองให้ชัด ๆ
และก็พบว่าคนในรูปนั้นล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นที่อายุน่าจะเท่า ๆ กับเธอ ใบหน้าของแต่ละคนดูคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ
และใต้รูปทุกรูปถูกเขียนกำกับด้วยปากกาเมจิกสีแดงเป็นตัวเลขไล่ตั้งแต่เลข1ต่อไปเรื่อย ๆ
รูปพวกนี้ติดไว้ทำไม? และติดไว้เพื่ออะไรกันแน่?
โดโลเรสขมวดคิ้วขณะที่ไล่สายตาผ่านรูปแต่ละคนไปเรื่อย ๆ และตอนนั้นเองก็เธอต้องชะงักเมื่อได้เห็นรูปของใครคนหนึ่งที่ถูกเขียนหมายเลข15กำกับไว้ ใบหน้าของคนในรูปเป็นใบหน้าที่โดโลเรสคุ้นเคยที่สุดบนกระดานนี้ ใบหน้าผู้หญิงผมบลอนด์หน้าตาสะสวย จมูกโด่ง ดวงตากลมโตสีฟ้า และปากสีชมพูเป็นรูปกระจับ....
ใบหน้าแบบเดียวกับในใบโปสเตอร์ประกาศตามหาคนหายที่ติดอยู่ภายในโรงเรียนนั่นไง
โดโลเรสเบิกตากว้าง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเธอว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เด็กสาวไล่สายตามองรูปในกระดาษอีกครั้งแล้วพบว่าทุกคนล้วนเป็นคนในโรงเรียนเดียวกับเธอ และหลายๆ คนเธอก็เคยพบหน้ามาแล้ว รูปผู้หญิงผมบลอนด์ที่เธอคุ้นเคยความจริงแล้วเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เคยพูดจาเยาะเย้ยบิล(ซึ่งเธอได้เจอตอนเข้าโรงเรียนครั้งแรก) รวมถึงกลุ่มเด็กผู้ชายที่เคยกลั่นแกล้งเขา และยังมีแม่สาวผิวแทนนิสัยเสียที่ผลักเธอจนล้มในตอนนั้น หรือแม้กระทั่งประธานนักเรียนเอง
รูปของเซบาสเตียนเป็นรูปที่ถูกติดอยู่ท้ายสุดของกระดาน
เป็นรูปเดียวที่ยังไม่ถูกเขียนตัวเลขกำกับ
โดโลเรสไม่เข้าใจว่ารูปที่ติดบนกระดานมันมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ และแน่นอนว่ามันทำให้เธอรู้สึกกลัว
ราวกับว่าได้มาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว
คนที่หายตัวไปล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเธอและบิล เพียงแต่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้
เด็กสาวรีบถอยหลังหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องเสียการทรงตัวกะทันหันเมื่อขาไปสะดุดเข้ากับพื้นไม้ต่างระดับ ร่างของเธอจึงล้มทับลงไปบนถุงกระดาษสีดำถุงหนึ่งที่วางบนพื้นชิดกับผนังห้อง กลิ่นเหม็นเน่าดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับถุงดำเหล่านั้น โดโลเรสจึงรีบลุกออกมาจากตรงนั้นทันที และตอนนั้นเองเธอก็สังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งหลุดออกจากจากถุงดำที่เธอล้มทับไปเมื่อสักครู่
มันคือเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ประเปื้อนไปด้วยเลือด...
โดโลเรสตัวแข็งค้าง ใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่หลายนาทีกว่าจะเอื้อมมือไปเปิดถุงดำถุงนั้น และสิ่งที่อยู่ภายในก็ทำให้เด็กสาวต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ
สิ่งที่อยู่ในถุงดำมันคือร่างที่ไร้วิญญาณของแม่บิลนั่นเอง
หล่อนไม่ได้หายไปไหนเลย คุณนายฮันเตอร์อยู่ที่นี่มาตลอด อยู่ที่ใต้ดินนี้เอง
โดโลเรสไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่เห็นทุกอย่างเธอก็สามารถประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างในหัวได้เป็นอย่างดี ดวงตาสีเขียวมองไปรอบ ๆ ห้องนั้นอย่างตื่นกลัว แล้วก็พบว่าภายในห้องยังมีเตียงเหล็กเก่า ๆ ตั้งอยู่ รอยเลือดแห้งกรังเกาะอยู่ตามเตียงจนทั่วทั้งเตียงมีแต่สีแดงเข้ม ตรงข้าง ๆ เตียงก็มีโต๊ะขนาดใหญ่ที่วางเรียงรายไปด้วยของมีคมต่าง ๆ ที่ถูกจัดวางเป็นระเบียบ นอกจากนี้เธอยังเจอถุงสีดำที่วางเรียงรายอยู่หลายถุง ซึ่งภายในถุงนั้นคงไม่ต่างจากถุงที่เธอพึ่งเปิดดูเมื่อสักครู่นี้
ในนั้นคงมีศพอยู่เช่นกัน เป็นศพของคนอื่น ๆ ที่ได้หายตัวไปก่อนหน้านี้ คนในรูปที่มีตัวเลขเขียนอยู่บนกระดานไม้นั่น
ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย แต่พวกเขาถูกฆ่าไปแล้ว ซึ่งคนที่ฆ่าพวกเขาทั้งหมดก็คือบิล และที่นี่คือที่ ๆ บิลเอาไว้จัดการกับคนพวกนั้น นี่คือความลับที่เขาปกปิดเธอมาตลอด
แฟนของเธอคือฆาตกรโรคจิต!
.................................
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นรัว ๆ ราวกับว่าถ้าไม่ได้รับการตอบรับภายในไม่กี่วินาทีเจ้าเสียงเคาะคงจะพังประตูเข้ามาแน่นอน ทำให้หมอไอเบิร์ตที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิด ร่างของชายวัยกลางคนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะตรงไปเปิดประตู แล้วทันทีที่ประตูเปิดออกเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“โดโลเรส?”
เด็กสาวรีบแทรกตัวเข้าไปในบ้านโดยไม่รอคำอนุมัติจากเจ้าของบ้าน ท่าทีที่ตื่นกลัวของเธอทำให้ไอเบิร์ตนึกสงสัย แต่ผู้เป็นหมอไม่คิดจะเซ้าซี้ว่าทำไมหล่อนถึงมาปรากฏตัวที่หน้าบ้านของเขาได้ เขาสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้สวมเสื้อกันหนาวเลยและตัวของเธอจึงสั่นเทาผิดปกติ ชายวัยกลางคนจึงถอดแว่นออกก่อนจะรีบพาอีกฝ่ายไปที่โซฟาในบ้านทันที
เสียงของท่อนไม้ที่กำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ดูจะเป็นเสียงเดียวที่ไม่ทำให้ภายในห้องรับแขกเงียบเหงาจนเกินไป ไอเบิร์ตปล่อยให้โดโลเรสนั่งหน้าตรงหน้าเตาผิง ส่วนเขาก็เลือกที่จะไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม โดยไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากลอบมองเธออย่างสังเกตอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
เพราะคนบางคนมักจะเรียนรู้ที่จะศึกษาคนอื่นด้วยการจ้องมอง โดยเฉพาะจิตแพทย์อย่างไอเบิร์ต และด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของคนไข้อย่างง่ายดายจากการมองอย่างพินิจเพียงไม่กี่ครั้ง สำหรับไอเบิร์ตแล้ว โดโลเรสเป็นผู้หญิงที่ซับซ้อน บางครั้งก็อ่านได้ยาก แต่บางครั้งก็อ่านได้ง่ายดังเช่นครั้งนี้ ท่าทางของเธอดูแตกตื่นลนลาน นัยน์ตาแดงและบวมเล็กน้อยบ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักพอดู
‘เธอกำลังมีปัญหา’ เขาคิด แต่การเร่งเร้าคงไม่ใช่เรื่องดีในตอนนี้นัก
“เธอรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันมา” สุดท้ายไอเบิร์ตก็เป็นฝ่ายเปิดปากคนแรก แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกจากโซฟาอีกฝ่ายก็หันมาจ้องเขาเขม็งเสียก่อน
“คุณจะไปไหน”
“ไปบอกแม่ของเธอไง” ไอเบิร์ตพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด เพราะเขาไม่ต้องการให้เธอรู้สึกหงุดหงิดในตอนนี้ “แม่ของเธอเป็นห่วงเธอมาก...”
“ไม่ต้อง!” เธอพูดขึ้นเสียงด้วยใบหน้าเหยเก “ฉันไม่อยากเจอแม่ คุณก็น่าจะรู้”
เพราะคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ไอเบิร์ตจำต้องกลับมานั่งที่เดิม ผู้เป็นหมอถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะประสานมือไว้ที่ปลายคางในขณะที่ดวงตาสีฟ้าหม่นของผู้ที่ผ่านโลกมามากกำลังจับจ้องไปที่คนไข้ตรงหน้าอีกครั้ง
“เธอโอเคหรือเปล่า?”
คำพูดของเขาทำให้โดโลเรสต้องหันมาสบตากับอีกฝ่าย เธอรู้ดีว่าไอเบิร์ตมีคำถามอยู่ในใจแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยถามเธอตรง ๆ ก็ตาม ถึงอย่างนั้นตอนนี้เธอก็สับสนเกินกว่าจะให้คำตอบแก่อีกฝ่ายได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ส่วนหนึ่งในใจของโดโลเรสนั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เธออยากจะบอกไอเบิร์ตถึงสิ่งที่ได้เห็นมา อยากจะบอกว่าบิลคือฆาตกรที่ทุกคนกำลังตามหา แต่อีกส่วนหนึ่งในใจกลับเต็มไปด้วยความลังเล เพราะเธอไม่อยากบอกใคร อยากจะเก็บมันไว้เป็นความลับเหมือนกับเป็นเพียงแค่ฝันร้ายในค่ำคืนอันแสนธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวว่าเขาจะทำร้ายเธอหากเธอเปิดเผยความลับออกไป แต่ด้วยเหตุผลเล็ก ๆ อันธรรมดาที่แสนงี่เง่าเท่านั้น...
นั่นก็เพราะเธอยังรักเขาอยู่
ความรักเป็นเรื่องที่ลึกลับ เป็นความรู้สึกที่คนไม่เคยได้สัมผัสจะไม่มีทางเข้าใจเด็ดขาดจนกว่าได้เจอกับตัวเอง
ความรักทำให้หลายครั้งคนเรามักจะทำสิ่งที่งมงาย เพ้อเจ้อ เลวร้าย
และโง่งมได้อย่างไม่น่าเชื่อเฉกเช่นเธอ โดโลเรสหวาดกลัวบิลแต่ในขณะเดียวกันก็รักเขา
เธอไม่อยากเข้าใกล้เขาอีกแล้วแต่ในขณะเดียวกับเธอก็ไม่อยากให้เขาต้องเข้าคุก มันเป็นความขัดแย้งที่ต่อสู้กันอยู่ภายในใจและทำให้เด็กสาวอึดอัดจนแทบบ้า
โดโลเรสคิดว่าถ้าหากเธอเกลียดเขาขึ้นมาสักนิดเรื่องทั้งหมดคงง่ายดายกว่านี้ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะมันคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี
เช่นเดียวกับความจริงที่ว่าบิลคือฆาตกร
“โดโลเรส ฉันเข้าใจว่าคงเธอไม่อยากพูด และฉันเองก็ไม่คิดบังคับเธออยู่แล้ว” ท่ามกลางความเงียบงันอันเนิ่นนาน คุณหมอไอเบิร์ตก็เปิดปากขึ้นมาจนได้ เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันคงต้องแจ้งแม่ของเธอให้ทราบว่าเธออยู่ที่นี่แล้ว”
“ไม่นะคะ” เธอแย้งขึ้นทันที “ฉันไม่อยากอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
“แล้วเธอจะไปอยู่ไหนล่ะ”
“รับฉันกลับเข้าไปในสถานบำบัดเถอะค่ะ” เด็กสาวเว้าวอนอย่างอ่อนแรงก่อนจะเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดและแดงสลับไปมา ดวงตาร้อนผ่าวเหมือนว่าพร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา “ฉันไม่เหมาะกับที่นี่เลย ฉันทนไม่ไหวแล้ว”
ไม่ว่าจะหันไปทางไหนทุกอย่างก็ช่างดูเลวร้ายเหลือเกิดสำหรับโดโลเรส เธอไม่ต้องการเจอหน้าใครทั้งนั้นไม่ว่าจะบิลหรือแม่ก็ตาม เธอคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดและสับสนกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้อีกแล้ว และหนทางเดียวที่ดีที่สุดคือการกลับเข้าสถานบำบัดจิตอีกครั้ง แม้ว่าจะต้องทนอยู่ในห้องแคบ ๆ มองแสงเดือนและแสงตะวันผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ และอาหารจะรสชาติเลวร้ายเหลือบรรยายก็ตาม แต่เธอก็รู้สึกว่าที่นั่นอบอุ่นและปลอดภัยกว่าโลกภายนอกที่ได้เผชิญมามากนัก
เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว...
ทางด้านของหมอไอเบิร์ตนั้นมีสีหน้าที่ลำบากใจไม่น้อย เขาเงียบไปนานราวกับกำลังใช้ความคิด แต่สุดท้ายก็พูดออกมา
“ฉันเข้าใจความทุกข์ของเธอนะ แต่การหนีปัญหาไม่ใช่หนทางของการแก้ไข เธอต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมัน..”
“ไม่ คุณไม่เข้าใจฉันหรอก ไม่เลยสักนิดเดียว!”
โดโลเรสกรีดร้องออกมาอย่างเหลืออด เธอรู้สึกเกลียดน้ำเสียงและท่าทางใจบุญราวกับบาทหลวงของผู้ชายตรงหน้าไม่น้อย
เกลียดความเห็นอกเห็นใจอันเสแสร้งที่เขามีให้กับเธอด้วยการเพียงแค่พูดปลอบใจไปวัน
ๆ แต่ไม่เคยคิดจะช่วยเหลือเธอได้เลยจริง ๆ สักที
ก่อนหน้านี้ในชั่วขณะหนึ่งเธอคิดว่าเธอสามารถพึ่งพาเขาได้ เธอถึงได้เลือกมาหาเขา แต่สุดท้ายก็ได้รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด
ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สามารถช่วยเธอได้ ไม่เลยสักนิด สุดท้ายแล้วเธอก็เหลือแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น
หมอไอเบิร์ตเลือกที่จะเงียบในเวลานี้ เขาไม่ได้โต้ตอบคนตรงหน้าเพราะรู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรในเวลาที่คนไข้รู้สึกโมโห จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าโดโลเรสไม่พูดอะไรต่ออีก เขาจึงเอ่ยปากขึ้น
“โดโลเรส ฉันเข้าใจที่เธอเกลียดฉัน ได้โปรดเชื่อเถอะว่าฉันอย่างช่วยเธอจริง ๆ แต่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้ก็คือแม่ของเธอ” ชายวัยกลางคนแตะไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ “เอาเป็นว่าเธอกลับไปที่บ้านก่อน แล้วฉันจะคุยกับแม่ของเธออีกทีเรื่องนี้ ฉันอยากให้เธออดทนก่อนนะ”
คำพูดเพียงเล็กน้อยจุดประกายความหวังกลับมาอีกครั้ง
อารมณ์ที่ขุ่นมัวจึงค่อยเลือนหายไปเหลือเพียงความเครียดที่ยังตกค้างอยู่เท่านั้น เด็กสาวก้มหน้าลงก่อนจะร้องไห้โฮออกมาเหมือนเด็ก
ๆ ท่าทางของเธอทั้งอ่อนแอและบอบบางราวกับกระเบื้องที่พร้อมจะแตกสลายได้ตลอดเวลา แตกต่างจากโดโลเรสคนที่แข็งกระด้างและก้าวร้าวก่อนหน้านี้นัก
และเมื่อหมอไอเบิร์ตเข้ามาสวมกอดเธอไว้อย่างปลอบประโลม ก็ยิ่งทำให้เด็กสาวร้องไห้หนักเข้าไปอีก
เธอได้แต่หวัง...หวังว่าเธอจะหลุดพ้นจากเรื่องทั้งหมดนี้สักที
..............................
หลังจากที่หมอไอเบิร์ตได้โทรไปแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้น สุดท้ายแม่ก็เป็นคนที่มารับเธอกลับไปที่บ้าน เราไม่ได้พูดอะไรต่อกันเลยตั้งแต่ที่เจอหน้ากันจนกระทั่งมาถึงบ้าน โดโลเรสรู้ดีว่าเราทั้งคู่ต่างมีทิฐิที่สูงนัก ไม่มีใครหรอกที่จะยอมแสดงท่าทีอ่อนกว่าให้อีกฝ่าย เพราะต่างคนต่างก็คิดว่าตัวเองถูกต้อง
มันเป็นเรื่องตลกที่เธอสบายใจที่จะร้องไห้กับคนนอกอย่างหมอไอเบิร์ตมากกว่าจะร้องไห้ต่อหน้าแม่ และแม่เองก็คงจะไม่ต่างกับเธอเช่นกัน
เราต่างอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากันและกัน เรากลับเลือกที่จะแข็งกระด้างใส่กันมากกว่าจะเอ่ยคำว่าขอโทษ
ช่างเป็นครอบครัวที่แปลกประหลาดเสียจริง
โดโลเรสเชื่อว่าไอเบิร์ตจะสามารถพูดกับแม่ให้พาเธอกลับไปเข้าสถานบำบัดจิตอีกครั้งได้แน่ ฉะนั้นเธอเลยคิดว่าจะใช้เวลาที่เหลือต่อจากนี้ด้วยการหมกตัวอยู่ภายในบ้านเงียบ ๆ รอวันที่จะได้ออกไปจากที่นี่สักทีอย่างที่ต้องการ เธอคาดหวังว่าจะไม่ต้องเผชิญกับใครอื่นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือบิล โดโลเรสยอมรับอย่างเต็มอกว่าเธอหวาดกลัวเขา และความหวาดกลัวนั้นก็พัฒนาขึ้นจนไม่อาจไว้วางใจใครได้อีกแล้ว
แต่ความตั้งใจที่คิดเอาไว้ก็ต้องล้มเหลวไปอย่างง่ายดายในวันรุ่งขึ้น เมื่อจู่ ๆ ประธานนักเรียนก็บุกมาหาเธอถึงที่บ้านในช่วงสาย ๆ โดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า(แต่โดโลเรสคิดว่าเขาคงคุยกับแม่ของเธอแล้วล่ะถึงได้รู้ว่าเธอกลับมาแล้ว) ท่าทีของเขาดูร้อนรนมาก โดโลเรสจึงคิดว่าข่าวคราวการหายตัวไปของเธอคงจะเป็นเรื่องใหญ่ในโรงเรียนพอดูทีเดียว
“ให้ตายเถอะโดโลเรส!” ทันทีที่เจอหน้าเธอ เขาก็สบถออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนจะถอนหายใจออกมา “เธอหายไปเป็นอาทิตย์เลยนะ รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ฉันคิดว่าเธอ...”
จู่ ๆ เซบาสเตียนก็หยุดพูด แต่เธอก็รู้ดีว่าคำต่อไปที่เขาจะพูดคืออะไร “นายคิดว่าฉันตายแล้ว?”
“ฉันไม่ได้จะแช่งเธอนะ แต่มีคนในโรงเรียนหายตัวไปเยอะมาก ฉันเลยกลัวว่าเธอจะเป็นเหมือนคนพวกนั้น”
คำพูดของผู้เป็นประธานนักเรียนทำให้โดโลเรสนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นในห้องใต้ดินวันนั้นขึ้นมา ภายในกระดานนั้นมีรูปของเซบาสเตียนอยู่ด้วย และรูปนั้นเป็นรูปยังไม่มีตัวเลขกำกับ นั่นหมายความว่าเขาเป็นเหยื่อที่กำลังถูกเพ่งเล็งจากบิลอยู่ เมื่อคิดได้อย่างนั้นโดโลเรสก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา แม้เธอไม่อยากจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้ก็ตามที แต่ประธานนักเรียนเป็นคนดีคนหนึ่ง เธอคงไม่สามารถวางเฉยแล้วปล่อยให้เขาถูกฆ่าไปได้แน่
“เซบ ฟังฉันนะ” เด็กสาวคว้าแขนคนตรงหน้าไว้ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อในหัวกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดที่จะพูดกับอีกฝ่าย “นายระวังตัวด้วยนะ”
“ระวัง? ระวังเรื่องอะไรล่ะ”
“ฉันแค่รู้สึกไม่ได้ดีเท่าไรนัก” เธอเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าที่จะสบตากับเขาตรง ๆ เพราะกลัวว่าเขาจะจับสังเกตความผิดปกติได้ “ฉันเป็นห่วงนายนะ อยากให้นายดูแลตัวเองให้ดี ๆ แล้วก็อย่าอยู่คนเดียวนะ จะไปไหนก็พาเพื่อนไปด้วยล่ะ”
เด็กหนุ่มผมแดงขมวดคิ้วกับคำพูดแปลก ๆ อันยาวเหยียดของคนตรงหน้า แต่ครู่เดียวเขาก็ยิ้มกว้างออกมา “ถ้าเธอเป็นห่วงฉันก็รีบกลับมาเรียนสิ จะได้อยู่เป็นเพื่อนฉันไง”
“นายไม่มีเพื่อนเลยหรือไง”
“ก็มีสิ เธอไงเพื่อนฉัน”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะหงุดหงิดกับการล้อเล่นไม่เข้าเรื่องของเขา แต่ตอนนี้โดโลเรสรู้สึกกังวลมากเกินกว่าจะหงุดหงิด เซบาสเตียนยังไม่รู้เรื่องที่เธอคิดจะกลับไปสถานบำบัดจิตในเร็ววันนี้ และแน่นอนว่าเธอบอกเขาเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั่นเท่ากับความลับที่ปกปิดไว้เรื่องที่เธอป่วยทางจิตจะถูกเปิดเผยไปด้วย
โดโลเรสพึ่งตระหนักได้ในตอนนี้เองว่าการมีความลับนั้นสร้างความลำบากให้กับเธอได้มากมายจริง ๆ
“เอ่อ..ฉัน”
ท่าทีอ้ำอึ้งของคนตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้เด็กหนุ่มได้ไม่น้อย เซบาสเตียนขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถาม
“เธอมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่า?”
“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก” เธอรีบปฏิเสธ “งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนแล้วกันนะ”
โดโลเรสตอบรับอย่างเสียไม่ได้ นึกก่นด่าตัวเองในใจที่พาตัวเองกลับเข้าสู่ปัญหาอันยุ่งยากอีกครั้ง เพราะเธอไม่มีเหตุผลดีพอที่จะเอามาอ้างในการปฏิเสธได้ และอีกอย่างคือเธอเองก็เป็นกังวลกับความปลอดภัยของเซบาสเตียนไม่น้อย อย่างน้อยก็อยากดูให้แน่ชัดว่าเขาจะไม่เป็นอะไรก่อนที่จะต้องกลับไปสถานบำบัดจิตอีกครั้ง
แต่โดโลเรสไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจไปโรงเรียนครั้งนี้จะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของเธอ
___________________
ความคิดเห็น