คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : กลรักอสุรา l บทที่๐๙ ตอน เล่าความ {อัพ100%}
ทว่า
สัมผัสอ่อนโยนและน้ำเสียงอบอุ่นที่ท่านอสุราใช้กึ่งบังคับร่างกายให้ขยับเคลื่อนไหวตามจากจังการร่ายรำที่ท่านเป็นผู้กำหนด
ก็ไม่อาจคงอยู่ได้นานเทียบเท่าความรู้สึก
“ทับทิม…”
กระนั้นแล้ว
เสียงดังกล่าวก็ไม่อาจทำให้ท่านอสุราหยุดการเคลื่อนไหวของตนลงเลย
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขากำลังขยับกายประสานมือทั้งสองข้างทาบไขว้กันระดับฐานไหล่ บอกความรู้สึกตนเองผ่านการร่ายรำ
ก่อนที่ภาพของเขาจะค่อยๆ เลือนรางจางลงจนเหลือเพียงความมืดอันเงียบสงัด
แต่ความมืดที่โอบล้อมกายก็ใช่จะอยู่ทนนานเสียที่ไหน
“ทับทิม !” เพราะทันทีที่เสียงเรียกของหญิงสาวคนเดิมดังขึ้น
ร่างทั้งที่เคยตกอยู่ในสภาวะของผู้หลงทิศท่ามกลางความมืด
ก็ถูกเสียงดังกล่าวฉุดกระชากกลับคืนสู่ความเป็นจริงอีกครั้งแบบไม่ทันให้เตรียมเนื้อเตรียมใจ
ฟึ่บ!
“เฮือก !” ตาทั้งสองข้างเบิกขึ้นด้วยอาการไม่ต่างจากการสะดุ้งตื่นจากห้วงความฝันในอาการหอบเหนื่อยคล้ายกับคนเพลียแรง
สิ่งที่รอคอยอยู่ตรงหน้าคือภาพของสวนไม้ภายในบ้านทรงไทยที่ฉันพลัดหลงเข้ามาในตอนแรก
ทว่า ที่ต่างออกไปก็คือ
เบื้องหน้ากลับไม่ได้ปรากฏร่างของท่านอสุราให้ได้พบเห็นเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว แต่กลับเป็นร่างสูงระดับๆ
พอกันอย่างคุณกรองขวัญเข้ามาแทนที่
“ปะ
เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะทับทิม…”
คำถามของคุณกรองขวัญซึ่งฟังดูไม่เต็มเสียงนัก ทำเอาฉันที่เวลานี้มีสติสตังไม่ต่างจากคนเพิ่งตื่นนอนนัก รีบหลุบตาสำรวจสภาพร่างกายตัวเองโดยทันที ก่อนพบว่า อีกสิ่งที่ยังเหลืออยู่ และตอกย้ำว่าทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝัน เห็นทีคงเป็นมือของฉันเอง ซึ่งข้างหนึ่งยังแตะค้างไว้ที่แก้มในท่าเอียงอาย ขณะที่อีกข้างยังคงจับจีบยื่นส่งไปข้างหลังนั่นหล่ะ
“ปะ เปล่าค่ะคุณกรองขวัญ
ฉันไม่ได้เป็นอะไร…” เมื่อตั้งสติได้
ฉันก็รีบให้คำตอบตอบผู้ถามทันที
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะรีบลดมือทั้งสองข้างของตัวเองลงเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกมองอย่างความสงสัยของอีกฝ่ายไปด้วย
หากแต่การคำตอบซึ่งขัดการกระทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถตบตาผู้มองเห็นได้แนบเนียนนัก คุณกรองขวัญแสดงสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยหลังได้รับคำตอบ ไม่บอกก็รู้ว่าลึกๆ เธอเคลือบแคลงใจอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังยิ้ม และกล่าวขึ้น
“ถ้าทับทิมไม่ได้เป็นอะไร
ก็ดีแล้วหล่ะจ่ะ พอดีว่าที่กองวุ่นวายเรื่องอาถรรพ์ท้าวอสุเรนทร์กันนิดหน่อยน่ะ
เจ๊เลยกลัวว่าทับทิมจะเป็นอะไรไปอีกคน…”
“อ้อ…ฉันไม่ได้...อะ” ทว่า จังหวะที่กำลังจะยืนการเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นห่วงอยู่นั้นเอง จู่ๆ คุณกรองขวัญก็เอ่ยแทรกขึ้น
ฟึ่บ...
“จะว่าไปแล้ว…” พลางเอื้อมมาจับมือฉันเอาไว้ สังเกตได้ว่านัยน์ตาคู่สวยของเธอนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับสีหน้าฉันเวลาพูดเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบเท่ากับมือที่หล่อนกำลังจับกุมไว้ ทั้งปากยังขยับ “ทับทิมก็รำเป็นเหมือนกันหรือจ๊ะเนี่ย…”
ฉันสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อช่วงเวลาเดียวกัน นัยน์ตาคู่สวยของคุณกรองขวัญเลื่อนขึ้นสบตาอีกครั้งแบบไม่ทันให้เตรียมตัว โดยเฉพาะกับคำชม
“รำส๊วยสวย...ทั้งที่มือยังแข็งอยู่เลยแท้ๆ”
“ระ รำสวยหรือคะ?” ฉันย้อนอย่างคนไม่รู้จะพูดอะไร
“จ๊ะ…ตอนเจ๊เห็นทับทิมรำอยู่หน้าต้นไม้ เจ๊ตกใจแทบแย่ นึกว่าจะเป็นอะไรไปอีกคนแล้วเสียอีก…” มิหนำซ้ำยังบอกเล่าเรื่องน่าตกใจให้ได้รับรู้ “เจ๊น่ะยืนเรียกทับทิมอยู่ตั้งนาน ทับทิมไม่ได้ยินเลยหรือจ๊ะ ?”
เรียกตั้งนานงั้นเหรอ…
ทั้งที่คำพูดประโยคดังกล่าวฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ ทว่า ผู้ถูกถามก็ใช่จะมีโอกาสได้เอ่ยตอบเสียที่ไหน
“รู้หรือเปล่า ว่าตอนเจ๊เห็นทับทิมรำที่หน้าต้นไม้แบบนี้ เจ๊นึกถึงอะไร ?” เพราะมันดันเป็นอีกครั้งที่คุณกรองขวัญกล่าวขึ้นเองแบบไม่ได้คิดจะรอฟังอะไร
แต่ในหนนี้พอถามจบ คุณตัวสูงระดับๆ พอๆ กันก็เลือกที่จะเงียบลง โดยใช้เพียงสายตาเท่านั้นในการกวาดมองสำรวจไปทั่วใบหน้า เมื่อสบโอกาส ฉันจึงไม่รอช้าที่จะย้อนถามกลับไปตามมารยาท
“คุณกรองขวัญนึกถึงอะไรเหรอคะ ?” และเป็นอย่างที่คิด ทันทีที่ถามจบคุณกรองขวัญก็เอ่ยคำตอบกลับมาอย่างทันควัน คล้ายกับรอคอยที่จะพูดมาตั้งแต่ต้น
“เจ๊นึกถึงแม่หญิงนิมมานรดีขณะร่ายรำหน้าต้นไทรหลวงภายในวังน่ะจ่ะ”
แม่หญิงนิมมานรดีงั้นเหรอ…
“แต่ก็นะ ใครๆ
ก็อยากเป็นแม่หญิงนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรากันทั้งนั้นนั่นหล่ะ ในเมื่อผู้ชายดีๆ
ที่รักจริงแบบเขามันไม่สามารถหาได้ในโลกความจริงบ่อยๆ นี่เนอะ…” ซ้ำร้ายคำพูดยืดยาวของคุณกรองขวัญยังทำให้คนฟังรู้สึกคอแห้งผากอย่างไร้เหตุผล
แม้ว่าเธอจะยอมปล่อยมือฉันกลับคืนสู่อิสระแล้วก็ตาม “ขนาดเจ๊เองยังรู้สึกอยากเป็นแม่นิมมานรดีดูสักครั้งบ้างเลย”
อะไรกัน
ความรู้สึกแปลกๆ ที่เหมือนกำลังถูกว่าแบบนี้น่ะ…
ลำพังแค่เพียงคำพูดของคุณกรองขวัญมันก็มากพอแล้วที่จะทำให้คนฟังอย่างรู้สึกแปลกในอก
แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้เลย เมื่อหญิงสาวตัวสูงระดับพอๆ กันเริ่มก้าวเท้าถอยหลัง
ขยับแขนและมือเคลื่อนไหวในท่าร่ายรำเดียวกับที่ฉันเคยทำ
แล้วกล่าวถามขึ้น
“แล้วทับทิมว่า
อย่างเจ๊เนี่ย รำสวยพอจะเป็นแม่หญิงนิมมานรดีได้หรือเปล่า ?”
เหมือนเคยฉันไม่ตอบ
แต่ยังคงมองดูทีท่าของอีกฝ่ายขณะร่ายรำอย่างอ่อนช้อยและงดงามราวกับผ่านร่ำเรียนมา
และทำอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเธอหยุดการร่ายรำลงด้วยตัวเอง
ต่อให้จะรู้สึกแปลกกับสิ่งที่ได้ฟัง แต่ลึกๆ ก็อดชื่นชมไม่ได้
ว่านอกจากคุณกรองขวัญจะมีความสามารถทางเรื่องเส้นสายวงการบันเทิงแล้ว
เธอยังมีความสามารถพิเศษในเรื่องนาฏศิลป์แบบนี้อีกด้วย
โดยเฉพาะกับท่าร่ายรำที่ดำเนินด้วยท่วงท่าเดียวกับที่อสุราพยายามจับกายฉันให้ขยับเคลื่อนไหว
‘เพราะเขาว่ากันว่า… ดอกสร้อยทอง มีกลิ่นหอมแบบเดียวกับกลิ่นกายของนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรายังไงล่ะจ๊ะ’ ไหนจะคำพูดแปลกๆ ที่หาข้อมูลจากตำราเล่มไหนไม่ได้ ซึ่งดันสอดคล้องกับคำพูดของท่านอสุรานั่นอีก
แต่ก่อนที่ความคิดและความสงสัยทั้งหมดจะผลักดันให้ปากขยับถามหรือพูดอะไร
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นกลับมีเสียงโหวกเหวกโวยวายของกลุ่มคนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คุณกรองขวัญคะ
แย่แล้ว!”
เสียงซึ่งฟังดูร้อนรน
ทำความสนใจของฉันและคุณกรองขวัญที่เคยมีต่อกันถูกขัดคั่น
จนต้องเบนทิศทางไปยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน จนได้พบเข้ากับเหล่าทีมงานคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่นและตกใจ
“มีอะไร
ทำไมดูรีบร้อนขนาดนั้นล่ะจ๊ะ ?”
“ยะ แย่แล้วค่ะ
คุณเมรีน่ะค่ะ… คุณเมรีล้มที่หน้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้น็อคหมดสติไปแล้วค่ะ!”
วันเดียวกัน...
เวลา ๑๘.๑๕ นาฬิกา
(นี่คงเป็นอีกข่าวที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับทางฝั่งโลกโซเชียลได้ไม่แพ้กับเหตุการณ์ในวันบวงสรวงเปิดกล้องละครล่มเลยนะคะ
เมื่ออยู่ๆ
นางเอกสาวดันเป็นลมล้มพับไปกลางกองถ่ายละครถึงขั้นไม่ได้สติเชียวเลยนะคะคุณพี่…)
(ตายแล้ว คุณน้อง! หรือว่านี่จะเป็นอาถรรพ์ตามอย่างที่คนในโซเชียลว่าไว้กันจริงคะ
?) นับตั้งแต่ที่ทีมงานวิ่งเข้ามาบอกข่าวร้ายของเมรีให้กับคุณกรองขวัญและฉันได้รู้
สถานการณ์ภายในกองถ่ายที่เคยวุ่นวายอยู่แล้ว กลับยิ่งโกลาหลมากเข้าไปใหญ่
ส่วนเหตุผลก็ตามอย่างที่สองนักข่าวสายบันเทิงกำลังรายงานนั่นหล่ะ
เมรีเพื่อนฉัน
ดันเป็นลมล้มพับลงไปและยังไม่ได้สติจนถึงตอนนี้…
แม้ว่าฉันกับดาราสาวที่ตกเป็นข่าว จะมีสถานะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ถึงอย่างนั้นการเข้าเยี่ยมเพื่อนในแบบที่เพื่อนควรจะทำนั้น ก็ใช่จะเป็นเรื่องง่ายที่ไหน โดยเฉพาะกับวันนี้ วันที่เมรีถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลครั้งแรก คาดว่าคงจะมีบรรดานักข่าวจากหลายๆ สื่อสำนักอัดแน่นเพื่อรอทำข่าวของเธออยู่ๆ
เพราะคิดแบบนี้ ที่ฉันทำได้นอกจากช่วยคุณกรองขวัญพาเมรีขึ้นรถเพื่อพาส่งโรงพยาบาลแล้ว
ก็คงมีเพียงแค่นั่งตามข่าวของเธอผ่านจอแก้วแบบนี้เท่านั้น
(ฮึ้ยคุณพี่ก็! อาถงอาถรรพ์อะไรกันคะ น้องกลัวนะคะเนี่ย…แต่ก่อนที่คุณพี่จะทำให้น้องและคุณผู้ชมรู้สึกกลัวกันไปกว่านี้
เราไปฟังเสียงสัมภาษณ์จากคุณกรองขวัญผู้จัดการส่วนตัวของน้องเมรีกันก่อนดีกว่าค่ะ)
ตลอดเวลาที่นั่งฟังรับคราวของเพื่อนสนิท ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันรู้สึกเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเวลานี้เป็นอย่างมาก ยิ่งก่อนหน้านี้ ยัยเพื่อนสาวตัวดีเพิ่งพูดเรื่องแปลกๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่บอกเล่าในตำนาน อีกทั้งยังใกล้เคียงกับสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญด้วยแล้ว มันก็พานให้ยิ่งเป็นห่วงเธอมากเข้าไปใหญ่
(ตอนนี้ขวัญคงให้สัมภาษณ์เรื่องอาการของเมรีได้นะคะ…ฮึก..)
คาดว่าคงไม่ใช่ฉันเท่านั้นที่เป็นห่วงเมรี โดยเฉพาะกับเสียงสัมภาษณ์ของคุณกรองขวัญที่ดังลอดผ่านลำโพงโทรทัศน์ที่ฟังดูเศร้าสร้อย เธอดูเป็นห่วงและกังวลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมรีเอาเสียมากๆ
(ก่อนหน้าที่น้องเมจะเป็นลมล้มพับไป
เรายังคุยเล่นกันอยู่ในห้องแต่งตัวอยู่เลยค่ะ ฮึก…มะ ไม่คิดเลยว่า
หลังจากที่ขวัญแยกจากน้องไปคุยธุระ แล้วน้องจะเป็นแบบนี้)
ธุระงั้นเหรอ...
แปลว่าการที่เธอเข้ามาเจอฉันในสวนวันนี้ เป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นสินะ…
“เฮ้อ…” ความกังวลและเป็นห่วงถูกพ่นทิ้งผ่านลมหายใจเป็นหนที่ร้อยของวัน
ยิ่งได้ฟังข่าวของเพื่อนรักที่มีอาการไม่สู้ดีแบบนี้เท่าไหร่
มันก็พานให้รู้สึกกินข้าวไม่ลงมันเสียดื้อๆ
นอกจากต้องมานั่งคิดเป็นหวงอาการของเธอแล้ว ในหัวก็ยังมีอะไรต่ออะไรไม่รู้
ลอยวนเวียนให้คิดอยู่เต็มไปหมด
เริ่มจากเรื่องแปลกๆ
ที่เมรีพูดขึ้นที่ใต้ถุนบ้านก่อนจะเกิดเรื่องจนกลายเป็นข่าวตอนนี้
หรือแม้แต่เรื่องคำพูดแปลกๆ ของคุณกรองขวัญ
ที่มักเกิดเป็นคำถามให้ต้องขบคิด หาที่มาที่ไปได้เสียทุกครั้งที่มีโอกาสพูดคุย
โดยเฉพาะกับท่าร่ายรำของเธอ ที่ตอนนี้ยังติดตรึงอยู่ในหัวแบบไม่รู้ลืม
จนถึงตอนนี้ ฉันยังรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของเธออยู่เลย…
พอความคิดมาหยุดลงที่คำถามนี้
สายตาก็พลันเหลือบมองไปยังปูนปั้นยักษ์ขนาดเล็กบนมุมชั้นวางหนังสือแบบอัตโนมัติ
เพียงแค่ได้เห็นรูปปั้นของท่านอสุราเท่านั้น
จังหวะการเต้นของหัวใจที่เคยเป็นปกติก็เริ่มแปลกไป จนเหมือนเสียการควบคุมไปชั่วขณะ
“ทะ ท่านอสุราเจ้าคะ…”
เช่นเดียวกับปากที่เผลอขยับเรียกหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่อาจบังคับ
“อยู่ที่นี่หรือเปล่าเจ้าคะ ?”
สิ้นเสียงการเรียกขานเสมือนคนบ้าพูดกับอากาศ
ชั่วพริบตาเดียวก็บังเกิดเรื่องอัศจรรย์ให้ได้เห็นอีกครั้ง เมื่อที่หน้าชั้นหนังสือปรากฏร่างสูงใหญ่ของผู้ถูกเรียกขณะเดินก้าวเท้าแทรกผ่านอากาศเดินออกมา
ราวกับว่าเจ้าตัว กำลังรอการเรียกหาอย่างไรอย่างนั้น
ขณะเดียวกันการมาของเขาก็เหมือนเป็นการให้คำตอบในสิ่งที่ฉันเพิ่งถามด้วยเช่นกัน
เมื่อสถานการณ์ลงเอยแบบนั้น
ฉันจึงไม่รอช้า รีบดีดตัวลุกออกจากโซฟาลงไปนั่งพับเพียบบนพื้นบ้านทันทีด้วยทีท่าสำรวมตามมารยาทที่ควรทำ พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะพนมมือขึ้นกลางอกเพื่อไถ่ถาม
“ฉันรบกวนท่านหรือเปล่าเจ้าคะ ?” ถามจบ ผู้ถูกถามก็เริ่มขยับยิ้ม พร้อมกันนั้นก็เดินก้าวเข้ามาหา อีกทั้งยังกล่าวขึ้นเมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดลงตรงหน้าโดยทิ้งระยะระหว่างเราไว้นิดหน่อย
“ไยแม่ทับทิมจึงคิดว่าเป็นการรบกวนพี่เล่า
ในเมื่อพี่นั้นเต็มใจและหมายพบเจอเจ้า ตั้งแต่เริ่มเดิมที…”
แม้ว่าการมาของเขา จะไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกกหวาดหวั่นได้อย่างครั้งแรกๆ ถึงอย่างนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่กล้าที่จะสบตากับเขาแม้จะมีโอกาสอยู่ดี ยิ่งด้วยเพิ่งผ่านเรื่องร่ายรำอะไรนั่นมาสดๆ ร้อนๆ ด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่กล้าสบตาเข้าไปใหญ่...
“วันนี้เมรีเพื่อนฉันป่วยเจ้าค่ะ…”
ถึงจะไม่กล้าสบตา แต่ไม่ใช่กับปากซึ่งยังใช้งานได้เป็นปกติ “ฉันถามท่านได้หรือเปล่าเจ้าคะ ว่ามันเกี่ยวข้องกับการมาของท่านด้วยหรือเปล่า ?”
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดตอบกลับมา
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรับรู้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ขณะที่เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาได้อยู่ดี
ซึ่งการที่ท่านอสุราไม่ยอมให้คำตอบอะไรกลับมาเลยนั้น
ชั่ววูบหนึ่งมันก็อดไม่ไหวที่แอบชำเลืองลอบมองทีท่าอีกฝ่าย ก่อนต้องตกใจ
เมื่อพบว่าผู้ซึ่งถูกลอบมองนั้น กำลังจับจ้องสายตามองมา ซึ่งดูท่าว่า
เขาน่าจะมองแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายเสียด้วย
แต่ก่อนที่บทสนทนาระหว่างเราจะเงียบลงไป ยักษ์หนุ่มซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ทุกช่วงเวลา จึงแทรกเสียงถามขึ้นแกมดุ
“เหตุใดแม่ทับทิมจึงเป็นห่วงสหายนางนั้นถึงเพียงนี้เล่า
ถึงได้เอ่ยถ้อยถามพี่หาได้รู้จักจบสิ้น” เขาทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว เหมือนตอนที่อยู่ในสวนไม่มีผิด
“ก็…เมรีเป็นเพื่อนฉันนี่เจ้าคะ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นด้วยกัน เรียนด้วยกัน ถ้าไม่ให้ฉันเป็นห่วงเธอแล้วฉันจะไปห่วงใคร” แน่นอนว่าฉันเองก็ให้คำตอบเขากลับไปด้วยความสัตย์จริงไม่อ้อมค้อมเหมือนครั้งแรกที่พยายามหาคำตอบจากเขานั่นหล่ะ
แต่ใครจะคิดว่าสิ่งที่ยินจากปากท่านอสุราหลังจากนั้น จะฟังดูดุดันกว่าปกติ
ซ้ำยังออกมาในรูปแบบนี้
“ห่วงใย…แม้นว่าในภพชาติอดีต แม่ทับทิมจักเคยถูกสหายตนนี้เข่นฆ่าจนชีวาวายงั้นรึ ?”
“…” ตอนได้ยินคำถามน่ะ
ฉันก็รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ว่าทำไมท่านอสุราถึงพูดแบบนั้น
แต่พอหัวนึกถึงคำพูดของเมรีที่บ้านทรงไทยวันนี้ขึ้นมาได้
‘ก็เรื่องผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันเห็นไง
เขาปรากฏตัวตรงหน้าฉันอย่างไร้ที่มา และหายตัวไปราวกับใช้เวทมนต์ ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นเขามาแล้วรอบหนึ่งที่วัดก่อนงานบวงสรวงจะเริ่ม
ชายคนนั้นเรียกฉันด้วยชื่อยักษ์มารในตำนานของท้าวอสุเรนทร์’
บวกรวมกับคำพูดและเสียงของท่านอสุราเมื่อตอนอยู่ในสวนบ้านทรงไทยที่ฟังดูโกรธจัดและคล้ายกับไม่อยากพูดถึง
‘มันเป็นเรื่องของกงเกวียนกำเกวียนผู้อื่น
หาใช่เรื่องที่แม่ทับทิมต้องรู้ไม่ กรรมใด ผู้นั้นพึงรับผิด…ฉะนั้นแล้ว
จงปล่อยให้วงล้อวิบากหมุนเวียนตามหน้าที่ของมันเถิด’
มันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะจับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้จนเกิดเป็นคำถามคาใจ
ผูกโยงเข้ากับพงศาวดารที่ได้อ่านผ่านตาอยู่บ่อยๆ
ซึ่งในพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่เคยอ่านนั้น ได้เขียนบอกเล่าไว้ว่า
ก่อนที่ท้าวอสุเรนทร์จะปราบยักษ์มารได้สำเร็จนั้น
คนรักของท่านอสุราได้ถูกยักษ์มารฆ่าตัดคอจนมีอันต้องพลัดพรากจากคนรักไปก่อนจะทันได้บอกลา
ยิ่งด้วยก่อนหน้านี้ท่านอสุรายอมรับว่า
ตนเองได้ติดตามพี่ชาย (ท้าวอสุเรนทร์) ลงมาที่เมืองมนุษย์ มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า
หากสิ่งที่เมรีกำลังประสบพบเจอ
จนสามารถเล่าเรื่องที่ตนเองไม่เคยอ่านหรือศึกษามาก่อนได้อย่างฉะฉานนั้น
จะเป็นผลมาจากการสาปส่งของท้าวอสุเรนทร์ในภพชาติก่อน
และถ้าเป็นแบบที่ฉันกำลังคิดจริงๆ
หากท่านอสุราจะมีทีท่าโกรธเกรี้ยวและพูดถึงเรื่องเมรีด้วยน้ำเสียงแค้นอกแค้นใจแบบนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ยิ่งด้วยเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่า ฉันคือแม่หญิงนิมมานรดี
ทุกอย่างก็คล้ายกับจะยิ่งลงล็อกเข้าไปใหญ่
ถึงจะเชื่อมโยงออกมาได้แบบนั้นก็เถอะ
แต่คิดจะโผงผางถามตรงๆ มันก็ดูจะเสียมารยาทไปหน่อย งั้นลองแกล้งพูดอ้อมๆ
ดูเสียหน่อยก็แล้วกัน
“อดีตก็คืออดีตนะเจ้าคะ ยิ่งเป็นอดีตที่ไม่สามารถนึกถึงหรือจดจำได้ด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่มีเหตุผลที่ต้องโกรธอะไรเลย ในเมื่อฉันจำเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้ ต่อให้เพื่อนฉันคนนี้ ในอดีตจะเคยเข่นฆ่ากันมาก่อน ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเธออยู่ดีเจ้าค่ะ…”
ตลอดที่ปากขยับถาม สายตาก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน จับทุกอิริยาบถบนดวงหน้าคมคายเพื่อดูปฏิกิริยาไปด้วย
“อีกอย่างตอนนี้คนบนฟ้าก็ลิขิตให้เราสองคนเกิดมาเป็นเพื่อนกัน
คอยดูและช่วยเหลือกันยามมีเรื่องเดือดร้อน เป็นแบบนี้แล้ว หากเป็นท่าน
ท่านยังจะรู้สึกโกรธลงอีกหรือเจ้าคะ ?”
สิ้นเสียง
สังเกตได้ว่าบนหน้าคมคายเริ่มเปลี่ยนสี จากที่เคยเขม้นมองอย่างดุดันด้วยอารมณ์โกรธ
ค่อยๆ เจือจางลงอย่างเห็นได้ชัด และเพียงไม่นาน รอยยิ้มคุ้นเคยที่เลือนหายไปก็ผุดขึ้นบนหน้าเขาอีกครั้งในที่สุด
“แม้เพลาจะเคลื่อนผ่านเป็นพันเป็นหมื่นชั่วยาม หากแต่จิตใจที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนของเจ้า หาได้เปลี่ยนผันตาม…” นอกจากจะยิ้มแล้ว ท่านอสุรายังออกปากชมอย่างพึงพอใจ แม้นว่าทุกวลีที่ได้รับนั้นจะไม่มีตรงไหนเกี่ยวข้องกับคำถามแรกของฉันเลยก็ตาม
อย่างไรเสีย มันก็มากพอแล้วที่จะบอกให้รู้ว่า บางสิ่งที่ฉันคิดไว้ในหัวนั้น
น่าจะมีส่นของมูลความจริงปะปนอยู่ แถมยังเป็นที่น่าเหลือเชื่ออย่างสุดๆ
เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี
ในหนนี้ เมื่อสบโอกาสฉันจึงไม่รอช้าที่จะถามออกไปตรงๆ
“เหตุผลที่เมรีเพื่อนฉันต้องเป็นแบบนี้
เป็นเพราะฝีมือของท่านท้าวอสุเรนทร์พี่ชายของท่านใช่ไหมเจ้าคะ ?”
ครู่หนึ่งที่คนถูกถามนิ่งไป แต่ก้นั้น สุดท้ายเขาก็ยินยอมให้คำตอบอยู่ดี ด้วยโทนเสียงเดิม
“หากแม่ทับทิมจะกล่าวความเช่นนั้น
มันก็ใช่…”
นี่มัน…เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ หรือเนี่ย
!?
“หากแต่ประสงค์ของพี่ชายคู่บุญนั้น
หาใช่กงการใดของพี่หรือแม่ทับทิมไม่
กระนั้นแล้วจงปล่อยให้เวรกรรมหมุนเวียนตามวงวิบากของมันเถิด จงอย่าได้เป็นกังวล…”
ท่านอสุรากล่าวเสริม ก่อนที่บทสนทนาระหว่างเราจะขาดช่วงลง
แต่ก็ใช่บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้จะเงียบสนิทจนวังเวงเสียที่ไหน
เมื่อโทรทัศน์ซึ่งยังเปิดช่องข่าวบันเทิงทิ้งไว้ยังคงส่งเสียงดังอยู่
(ตายแล้วค่ะคุณพี่! พักชมโฆษณาแป๊บเดียวเท่านั้น
ตอนนี้มีสายข่าวเพิ่งรายงานให้คุณน้องฟังสดๆ ร้อนเมื่อกี้เองนะคะ
ว่าน้องเมรีตอนนี้เริ่มมีสติพูดคุยได้แล้วล่ะค่ะ) ซ้ำเสียงรายงานข่าวที่ดังแทรกเข้ามานั้น
ก็ชวนให้สายตารีบตวัดมองไปยังจอแก้วได้แทบจะทันทีที่ได้ยินอีกด้วย
(ตายแล้วคุณน้อง
นี่มันปาฏิหาริย์หรืออะไรกันละคะเนี่ย !?)
(ถ้าหากคุณพี่สงสัย
ถ้างั้นเราตัดไปดูภาพสดกันดีกว่าค่ะ ป่ะ!…) จากที่เครียดมาครึ่งค่อนวัน
ทันทีที่ภาพของสองนักข่าวมีกรอบสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นมุมขวา
ฉายภาพเหตุการณ์วุ่นวายบริเวณโถงทางเดินหน้าพักพักฟื้นผู้ป่วย
รอยยิ้มที่ช่วงนี้เคยหายไปก็ผุดขึ้นบนหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้ โดยเฉพาะเมื่อเสียงรายงานสดจากนักข่าวภาคสนามดังขึ้น
(ตอนนี้ดิฉันอยู่ที่หน้าโถงทางเดินห้องพักผู้ป่วยที่คุณเมรีพักรักษาตัวอยู่นะคะ
คุณหมอเจ้าของไข้ให้สัมภาษณ์กับทางเราเมื่อครู่ว่า
สาเหตุของอาการเป็นลมล้มหมดสติของคุณเมรีในครั้งเกิดจากพักผ่อนร่างกายไม่เพียงพอค่ะ
คาดว่าคุณเมรีน่าจะพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกสักคืนสองคืน
จึงจะสามารถกลับบ้านและทำงานได้เป็นปกติค่ะ)
“หึๆ…” แต่แล้ว รอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความยินดีและหมดห่วงก็ไม่อาจอยู่บนหน้าได้นานนัก
เมื่อช่วงเวลาเดียวกัน
หูดันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบอกชอบใจของใครอีกคนดังแทรกขัดเสียงจากจอแก้ว
พลอยให้ต้องเหลือบตามองไปยังเจ้าของเสียงหัวเราะพร้อมทั้งออกปากถาม
“ท่านหัวเราะอะไรเจ้าคะ
?”
“พี่หัวร่อเจ้ายังไงเล่า
แม่ทับทิม”
“หัวเราะฉัน? ฉันมีอะไรน่าขำหรือเจ้าคะ
ทำไมท่านต้องหัวเราะใส่ด้วยไม่ทราบ?” พอย้อนกลับไป
เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจที่ยักษ์แสดงออกในตอนแรกจึงลดเบาเสียงลง
จนหลงเหลือเพียงรอยยิ้มและแววตาบ่งบอกถึงความสุข
“หลายชั่วยามมาแล้วที่พี่มิได้มีโอกาสได้ยลมองดวงใจแย้มยิ้มเปี่ยมสุขเช่นนี้…”
เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เขาใช้ เวลาพูดคุยนั่นหล่ะ “นับแต่ได้พบ แม่ทับทิมหาได้เคยแย้มยิ้มเช่นยามนี้ให้พี่ยลไม่
ได้เห็นแล้วพี่จึงอดมิได้ ที่จักหัวร่อด้วยความเกษมเช่นนี้”
“ก็แหม
คนมันดีใจนี่ท่าน เพื่อนทั้งคนปลอดภัยทั้งที่จะให้ฉันนั่งร้องไห้หรือยังไงล่ะเจ้าคะ”
“พี่หาได้หมายความเช่นนั้นไม่…พี่เพียงขยายความ” เขาแย้ง
“ฉันก็ไม่ได้กล่าวหาท่านเหมือนกันเจ้าค่ะ
ฉันเพียงแค่เปรียบเปรย” ว่าจบ
คงฟังก็เลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับพินิจพิจารณาอะไร
แม้ว่าเขาแสดงอากัปกิริยาบนหน้าให้เห็นเช่นนั้น แต่ฉันก็ยังรับรู้ได้ว่าความสุขที่ท่านอสุราพูดถึงน่ะ
มันยังคงอยู่ แม้ว่าเขาจะเริ่มปริปากต่ว่า
“ยอกย้อนเก่งนัก…”
หากแต่เป็นการต่อว่าระคนกับเสียงหัวเราะซึ่งมากล้นไปด้วยความสุขผ่านน้ำเสียง
ได้เห็นท่านอสุราแย้มยิ้มแบบนี้
มันก็พานให้คนที่ได้เห็นอดไม่ได้ที่ยิ้มตามได้ไม่ยาก หากแต่การหลุดยิ้มเช่นนั้นกลับกลายเป็นเหมือนบ่วงรัดความรู้สึกที่เคยนิ่งงันให้ตื่นตัวขึ้น
เมื่อท่านอสุราลั่นวาจาไถ่ถามขึ้นด้วยตัวเอง
“แย้มยิ้มได้เช่นนี้
หมายความว่าแม่ทับทิมสบายอกสบายใจขึ้นแล้วใช่หรือไม่…”
“เจ้าค่ะ
ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลยที่เมรีไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“หากเช่นนั้น ยามนี้พี่จักขอเป็นเอ่ยถ้อยถามแม่ทับทิมบ้างได้หรือไม่ ?”
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น