คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : หงส์ซาน #8 หัวใจไหวไม่เป็นจังหวะ
#8 หัวใจไหวไม่เป็นจังหวะ
‘หงส์รักเฮียหลง’
อ้ากกกกกก
ไอ้สมองบ้า ไอ้สมองระยำ ไอ้สมองเจ้ากรรม จะไปคิดถึงคำพูดนั้นทำไมกัน!!
ผมในจินตนาการกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะใช้ยางลบแท่งใหญ่ๆ ลบคำพูดเมื่อกี้ออกจากหัว
มันต้องเป็นนักสะกดจิตแน่ๆ แล้วเป็นบ้าอะไรมาสะกดจิตให้ผมรักมัน ต้องการอะไรจากผม!!
ไม่รู้ว่ายาจีนที่มันป้อนดีหรือว่าเพราะร่างกายผมปรับสภาพได้แล้ว สองวันผมก็เดินได้คล่อง เคล็ดขัดยอกนิดหน่อยเท่านั้น ผมบอกมันว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ มันบอกจะพาไป แต่ขอเคลียร์งานก่อน จะพาไปกินข้าวเย็นกับคนที่บ้าน
“เจ็กหงส์!”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงเรียก ฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าเป็นใคร
อาฮง
หลานผมเองครับ คงจะมาทำหน้าที่พาผมกลับบ้านตามธรรมเนียม ผมรีบเดินเข้าไปกอดคอหลานแน่นทันที ห่างกันแค่อาทิตย์เดียวก็คิดถึงได้เหมือนกัน
“ได้ข่าวว่าป่วยเหรอเจ็ก”
ผมแก้มร้อนผ่าวกับคำถามนั้น ไม่กล้าบอกว่าโดนเอาจนนอนซม
“นิดหน่อย ผิดที่”
หลานผมพยักหน้ารับหงึกๆ
“มาไง”
“ตอนแรกอากงจะให้คนที่บ้านมาส่ง แต่อั๊วแวะไปทำธุระจึงนั่งแท็กซี่มาเอง”
ผมพยักหน้ารับทราบ หลานผมกวาดมองไปรอบๆ
“บ้านโคตรใหญ่ กว้างกว่าบ้านเราอีก”
ผมแอบเบ้หน้า ไม่ได้ออกความเห็นอะไร
“ดีนะที่มีปลาคาร์ปให้เจ็กไม่เหงา”
“มาเล่นกับเจ็กบ่อยๆ สิ”
“เรียนแทบจะไม่ได้โงหัวโงหาง”
ผมหน้าบูดใส่ พี่ๆ ผมรวมถึงหลานๆ ทุกคนได้เรียนกันในโรงเรียนดีๆ ทั้งนั้น ยกเว้นผมนี่แหละที่อาป๊าให้เรียนที่บ้านตั้งแต่จำความได้ เพราะงี้แหละผมถึงได้ชอบแผลงฤทธิ์
ประมาณสี่โมงครึ่ง รถของไอ้บ๊วยก็วนเข้ามาจอดภายในรั้วบ้าน วิกเซอร์วิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ ผมไม่ได้ขยับ เพียงแต่มองตามเท่านั้น หลานผมรีบยกมือไหว้คนตัวสูงทันที
“มานานแล้วเหรอ”
“ครับ อาเตี๋ยหลง”
“เจ็กหลง”
ผมรีบแก้ให้หลานเปลี่ยนคำพูดทันที (อธิบายกันนิดนะครับ สำหรับคนที่ไม่รู้ อาเตี๋ยที่ฮงเรียกคือพี่เขยครับ นั่นหมายถึงผมจะอยู่ในฐานะเมียมันทันที ซึ่งผมไม่ยอม)
“อ่า..ก็เขาเป็น”
“เจ็ก”
ผมบอกสั้นๆ เสียงขุ่น
“เรียกเจ็กก็ได้ฮง รอก่อนนะขอเจ็กไปอาบน้ำก่อน”
“ครับ”
“มานี่สิอาหงส์”
ผมมองตามคนเรียกงงๆ
“ไปทำไม”
“มาก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนออกเดินทาง”
ผมนิ่งคิด บางทีอาจมีเรื่องต้องคุยกันจริงๆ ก็ได้ ผมพยักหน้า เดินตามไปติดๆ พอเข้าห้อง มันก็ดึงผมเข้าไปกอดทันที กดจูบลงมา จูบไม่จูบเปล่า สอดลิ้นเข้ามาด้วย ผมครางอื้อในลำคอ สมองกำลังประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่มันหลอกผมเข้ามาจูบเหรอ!!
พอสาแก่ใจมันก็ค่อยๆ คลายปล่อย ปากชาช้ำไปหมด มันใช้ปลายจมูกเกลี่ยริมฝีปากผมไปมา
“อยู่บ้านคิดถึงเฮียบ้างรึเปล่า”
“ไม่”
เป็นคำตอบที่หนักแน่น มั่นคงและรวดเร็วจนผมยังทึ่ง ผมน่าจะไปเล่นเกมชิงรางวัลนะเนี่ย น่าจะชนะ
“เหรอ ไม่ได้คิดสักนิดเลยเหรอ”
“ไม่”
ผมตอบกลับรวดเร็วและน้ำเสียงโทนเดิม มันหัวเราะหึๆ
มึงจะดมอะไรกูหนักหนา
“แต่เฮียคิดถึงหงส์นะ คิดถึงคำพูดที่หงส์บอกรักเฮียด้วย”
อ้ากกกกก กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับมึง มึงบังคับให้กูพูดเองต่างหาก มึงบังคับให้กูรู้สึก นี่กูอุตส่าห์ลืมมันไปแล้วแท้ๆ มาพูดทำไมให้กูได้ย้อนเวลาไปหาจิ๋นซี
ผมร้อนไปทั่วทั้งหน้าลามไปถึงหู
“หน้าแดงเชียว เขินเฮียเหรอ”
เปล่า กูกำลังโกรธมึงอยู่ต่างหาก!
ผมมองมันตาขุ่นขวาง ชี้มาที่ปากตัวเอง
“เฮียอ่านปากหงส์นะ”
มันจ้องปากผมตาม สีหน้าดูลุ้นนิดๆ
“หงส์..รัก..เฮีย”
ตามันมีแววดีใจนิดๆ
“นั่นเป็นคำพูดที่หงส์ไม่ได้รู้สึก แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกคือ อ่านปากนะ อ่านปาก”
ผมจิ้มให้ดูชัดๆ
“หงส์ เกลียด เฮีย ชัดยัง!!”
มันนิ่งไป นิ่งแบบนิ่งจริงๆ นัยน์ตาดีใจก่อนหน้าเรียบสงบลง
“ออกไปรอเฮียข้างนอกก่อนก็ได้ เดี๋ยวเฮียอาบน้ำก่อน”
มันพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ คลายปล่อยผมออกจากอ้อมแขน เดินเข้าห้องน้ำไป
ผมยืนเคว้ง
คือเอาตามจริง ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยพูดว่าเกลียดใครสักคน เพราะไม่เคยมีคนทำให้ผมรู้สึกเกลียดมาก่อน
และถามว่าผมเกลียดมันจริงๆ ไหม ก็เกลียดนะ เพราะมันบังคับผมทุกอย่าง ทำให้ผมเจ็บตัว ทำให้ผมระบม ทำให้ผมหมดศักดิ์ศรี ทำให้ผมเป็นของมัน
และตอนนี้ มันกำลังทำให้ผมคิดถึงแต่เรื่องของมัน
ใช่ ผมเกลียดมัน…
เพราะมันทำตัวอยู่เหนือชีวิตผม
ผมเกลียดมัน…
เพราะตอนนี้ในหัวผมมีแต่เรื่องของมัน ภาพมัน
ผมยืนนิ่ง มองผ่านบานประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ได้ยินเสียงน้ำดังซู่ คาดเดาเอาว่าคนด้านหลังบานประตูคงกำลังอาบน้ำอยู่
ผมหันหลังทันทีเพื่อออกไปให้ห่างที่สุด
นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้เกิดไม่ใช่เหรอ ให้เขารู้สึกไม่พอใจ รู้สึกไม่ดี โกรธ หรืออะไรก็ตาม เพื่อให้เขายอมหย่ากับผมเร็วๆ
แต่เมื่อกี้ รู้สึกว่าบ๊วยมันกำลังเสียใจ
มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้วางแผนไว้แต่ต้น ผมถนัดทำให้คนโกรธแล้วแลกหมัด แต่ไม่ถนัดทำให้คนเสียใจ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ลูกผู้ชาย
แล้วมันจะมาเสียใจกับผมเรื่องอะไร เราแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ สิ่งที่มันต้องการ มีเพียงลายเซ็นผมเพื่อใช้ในสัญญาธุรกิจเท่านั้น
ส่วนเรื่องบนเตียง อาจเพราะอารมณ์พาไป ได้ลองของใหม่ ขนาดผมที่ขยะแขยงเรื่องพวกนี้ยังมีอารมณ์ง่ายๆ มันก็ผู้ชาย จะสนุกสนานรื่นเริงหลงใหลก็ไม่แปลก
“เจ็ก!!”
ผมสะดุ้งเฮือกตอนถูกเรียก เบรกกึก ตรงหน้าอีกแค่ครึ่งก้าวคือต้นไม้ขนาดใหญ่ ผมมองตะลึง นี่ถ้าไม่มีเสียงของอาฮง ผมคงได้เดินชนต้นไม้แน่ๆ
หลานผมรีบเดินเข้ามาหา จับผมไปอังหน้าผากเบาๆ
“เหม่ออะไรขนาดนั้นเจ็ก ยังไม่หายป่วยเหรอ”
ผมพยายามปรับอารมณ์ พยักหน้าใส่นิดๆ
“คงงั้น”
ผมมองหน้าหลานชายคนโตของบ้าน มันหล่อเอาการ เป็นความหล่อที่ถูกผสานกันมาได้อย่างลงตัวจากทั้งพ่อและแม่ ของผมได้พ่อมาแค่อย่างเดียวคือคิ้วที่เรียงกันเป็นทางดูชัดกว่าแม่ที่คิ้วบาง จมูกไม่ได้โด่งอย่างพ่อ แต่เชิดงอนนิดๆ เหมือนเหล่าม๊า
ครับ ผมได้จมูกคุณทวดมาแทนที่จะเป็นจมูกพ่อหรือแม่ ผ่าไปไกลมาก ป๊าเคยบอกว่าเป็นจมูกของเด็กดื้อ
ผมดื้อตรงไหน ก็แค่มีความคิดเป็นของตัวเองเท่านั้น
เพราะป๊ากลัวผมเกเรถ้าขืนส่งไปเรียนที่อื่น จึงเลือกที่จะหาครูดีๆ มาสอนผมที่บ้านมากกว่า
แต่มันก็ได้ผลนะ ขนาดสอนอยู่บ้าน ผมยังปีนกำแพงรั้วหนีมาแล้วนักต่อนัก ขืนไปเรียนที่โรงเรียนด้านนอกจริง ผมคงเป็นหัวหน้า หรือไม่ก็ลูกน้องแก๊งเด็กเลวที่ไหนสักแห่งแน่ๆ
เหล้า ป๊าก็ไม่ให้ดื่ม บุหรี่ ม๊าก็ไม่ให้แตะ ถูกเลี้ยงดูเหมือนหงส์สมชื่อนั่นแหละ
ริมฝีปากผมได้เหล่ากง เวลาปกติมันก็ดูเหมือนยิ้ม แต่เวลาอารมณ์เสียมันก็คว่ำได้ใจ ซันไรส์บอกผมเป็นคนอ่านง่าย แต่ผมว่าพวกนั้นอัจฉริยะมากกว่า
ผมมีผมสีเดียวกับม๊า ผิวขาวเป็นเรื่องปกติของคนไทยเชื้อสายจีน ตัวไม่ยืดอีกเลยตั้งแต่อายุ 16
ทำไมผมไม่เก่งแบบเฮียหยก ทำไมผมไม่หล่อเท่าเหล่าอาเฮีย ทำไมผมไม่ได้รับการไว้วางใจแบบคนอื่นบ้าง
“เป็นไรเจ็ก อยู่ๆ ก็ทำหน้าเศร้า ไหวไหม พักก่อนก็ได้นะ กลับวันหลังก็ได้ พวกอาม๊าอากงเข้าใจ”
ผมหันไปยิ้มใส่หลานชาย ลูบหัวเบาๆ
“มีเรื่องให้เจ็กคิดน่ะ เหนื่อยไหมอาฮง”
“เรื่องเรียนเหรอ เหนื่อยมากเจ็ก ต้องตื่นแต่ตีห้า อ่านหนังสือ ไปโรงเรียน ทำกิจกรรม กลับมาทำการบ้าน แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน นี่แค่มอต้นนะ มอปลายจะขนาดไหน มหา’ลัยอีก”
ผมจับหัวหลานโยกเบาๆ ฮงเป็นเด็กเรียนดี เชื่อฟังผู้ใหญ่ อาจจะเพราะเป็นพี่คนโตของบ้านด้วยล่ะมั้ง หน้าที่ความรับผิดชอบต่อครอบครัวค่อนข้างสูง บางครั้งผมก็รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้เกิดเป็นพี่คนโต เพราะเห็นแล้วเหนื่อยแทน เหนื่อยจนแทบขาดใจ แต่มันก็ได้ความภาคภูมิใจกลับคืน ผมว่าเฮียหยกคงถูกหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความภาคภูมิใจนี่แหละ
ภูมิใจที่ทำให้ครอบครัวก้าวหน้าต่อไป ภูมิใจที่ได้ดูแลธุรกิจ ภูมิใจที่ทำให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายภูมิใจด้วย
“ลื้อโชคดีมากรู้ไหมฮง”
เด็กมันมองหน้าผมงงๆ
ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงสว่างอันร้อนแรงยามบายโรยลงบ้างแล้ว
“ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เรียนกอไก่ถึงฮอนกฮูก เรียนจบแค่ชั้นปอสี่ หรือไม่ก็ไม่ได้เรียนเพราะไม่มีเงินมีทอง หรือมี แต่ไม่ได้เรียนหลักสูตรปกติแบบคนอื่นเขา”
“อย่างเจ็กใช่ไหม”
เด็กมันต่อให้ ผมไม่ตอบ แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น
“กงของลื้อมีเหตุผล”
ผมสอนหลานไปงั้น แต่เอาตามจริงลึกๆ แล้วผมก็ยังเสียใจที่ไม่ได้ไปเรียนแบบคนอื่น
“อาป๊าเคยบอกเหตุผลที่ไม่ให้เจ็กไปเรียนข้างนอกแล้ว”
ผมพยักหน้า เลื่อนมือจากหัวลงไปพาดรอบบ่า
“โตขึ้นเยอะเลยนะเรา อีกหน่อยคงโตแซงเจ็กไปไกล”
อาฮงหัวเราะร่วน
“ฮงชอบออกกำลังกายเจ็ก เหนื่อยขนาดไหนก็ลงไปเล่นบาส ป๊าชอบลากฮงไปตีเทนนิสด้วย”
“เออ เนอะ ไม่ได้ตีนานละ อยากตีเหมือนกัน วันไหนว่างๆ โทรหาเจ็กนะ เราไปตีเทนนิสกัน”
“เอาสิ”
ฮงบอกด้วยน้ำเสียงดีใจ
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง ผมหุบยิ้มลงเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาแต่นิ่งเรียบของคนที่เดินมา ผมว่าหน้ามันบูดยิ่งกว่าตอนก่อนอาบน้ำอีก
ผมเดินเข้าไปใกล้ พูดกับมันไม่ให้ฮงได้ยิน
“ถ้าไม่อยากไปขนาดนั้นยกเลิกก็ได้”
มันจ้องตาผม ไม่พูดอะไร โอบไหล่ผมไว้ พยักหน้าใส่ฮง
“ป่ะ”
ฮงยิ้มร่า เดินไปที่รถ ผมพยายามจะดึงตัวออก แต่มันยึดจับแน่น
“ตอนนี้เรากำลังแสดงบทผัวเมียกันนะ ในระยะเวลานี้ กรุณาทำตัวให้เหมือนด้วย”
ผมนิ่งไป เงยหน้ามอง
พูดแบบนี้แปลว่าจะมีวันที่มันจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระใช่ไหม
ไม่มีเวลาและโอกาสได้ถาม ซันไรส์เปิดประตูให้ อาฮงนั่งเบาะหน้าคู่กับวิกเซอร์คนขับ ส่วนผมนั่งหลังกับมัน ซันไรส์ขับตามมาด้วยรถอีกคัน
ผมนั่งตื่นเต้น คุยน้ำลายแตกฟองกับฮง ไม่พูดกับบ๊วยมันสักคำ ในขณะที่มัน นั่งหน้าเครียดมาตลอดทาง
คงเกร็งที่ต้องกลับบ้านไปพบพ่อแม่ผม
พอรถจอดสนิท อาฮงลงไปก่อน ผมรีบถลาตามลงไปทันที วิ่งเข้าไปกอดม้า ส่วนป๊าไม่กอดหรอก กอดเฮียฮันด้วย ไอ้บ๊วยให้ลูกน้องมันนำของเยี่ยมของฝากตามธรรมเนียมมาให้ป๊ากับม้าเพียบ อาฮงนี่ได้อังเปาซองอย่างหนา
ลาภปากเด็กไป
“ไปทำอีท่าไหนมาถึงไม่สบาย หายแล้วรึยังลูก” ม้าลูบหัวผมเบาๆ ถาม ผมหน้าร้อนผ่าว อยากบอกม้าเหลือเกินว่าหลายท่ามาก แต่ไม่เอาครับ เดี๋ยวแม่ช็อก
“หายแล้ว คงเป็นไข้เพราะแปลกที่”
“ไม่ได้ไปดื้อกับอาเฮียเขาใช่ไหม”
“อั๊วเคยดื้อด้วยเหรอ”
“มีด้วยเหรอที่ลื้อจะไม่ดื้อ อาหงส์”
เฮียฮันสวนมาทันที ผมหน้าบูด
“อาหงส์ดื้อกับลื้อมากไหมอาหลง”
อาป๊าถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คงกลัวว่าผมทำให้ไม่พอใจมากๆ แล้วมีผลกับธุรกิจล่ะมั้ง
“ไม่มากครับ ผมเอาอยู่”
เหมือนโดนระเบิดหล่นใส่หัว มีผลทำให้ตัวผมไหม้ในบัดดล
ใช่ เอาอยู่มาก
เอาจนสะโพกคราก นอนซมไปสองสามวันต่อครั้งเลย
“ไปๆ เข้าไปกินข้าว นี่ม้าลงมือทำเองเลยนะ ของโปรดลื้อทั้งนั้น”
ม้าพาผมเข้าบ้าน ผมฉีกยิ้ม ก้าวตามไปติดๆ ไอ้บ๊วยเดินตาม รั้งท้ายด้วยบรรดาลูกน้องของมัน แต่ไม่ได้มานั่งร่วมโต๊ะด้วยหรอก ยืนอยู่แถวๆ หน้าประตูนั่นแหละ
ผมคุยน้ำไหลไฟดับกับคนที่บ้าน ส่วนมันก็ถูกถามไถ่พอประมาณ ที่เหลือก็คุยกับป๊าเรื่องงาน
อยากอยู่นานๆ แต่เผลอแผล็บเดียวก็สามทุ่มแล้ว ป๊าบอกให้กลับเพราะเกรงใจไอ้บ๊วย ผมอิดออดได้ไม่นานก็ต้องกลับตาม บอกลาทุกคน เดินหน้ามุ่ยขึ้นรถ
พอรถเคลื่อนที่ ผมหันกลับไปมองด้านหลัง เหมือนเด็กน้อยสักคนที่กำลังจะจากไปแดนไกล พอลับตาผมก็หันกลับมาที่เดิม ไอ้บ๊วยยังนั่งหน้านิ่ง
“เหนื่อยเหรอ”
ผมเดาเอาจากความเงียบของมัน
“ห่วงด้วยเหรอว่าจะรู้สึกยังไง”
“ถามตามมารยาทไปงั้น”
แล้วผมก็นิ่งไป ไม่อยากยุ่งด้วยอยู่แล้ว
“หงส์”
“หือ?”
ผมหันไปขานรับ ก่อนร้องเหวอ เพราะถูกดึงขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักกว้าง
“ทำบ้าอะไรเนี่ย!!”
“นั่งอยู่เฉยๆ น่า”
“จะบ้ารึไง ให้นั่งเฉยๆ ในท่าทุเรศแบบนี้เนี่ยนะ อายวิกเซอร์บ้าง!!”
“อายทำไม วิกเซอร์ขับรถ”
“ปล่อยสิโว้ย ไอ้หน้าด้าน”
ผมพยายามดิ้นขลุกขลัก รถมันก็เบาะกว๊างกว้าง
“นั่งนิ่งๆ”
มันสั่งต่อ โอบรอบลำตัวผมไว้จนเนื้อตัวแนบประสาน สภาพตอนนี้เหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาหมีที่ถูกเด็กน้อยสักคนกอดแน่น
“ที่นั่งตั้งกว้าง ต่างคนต่างนั่งไปดิ”
ผมยังไม่หยุดยื้อ มันไม่พูดอะไร โอบกอดผมไว้จนรอบ รู้สึกถึงริมฝีปากที่กดลงมาบนหัว ยิ่งกอด หัวใจผมยิ่งแนบประสานเข้ากับหัวใจมัน
พอสู้ไม่ได้ยกนี้ผมจึงต้องยอมแพ้ไปตามระเบียบ ยอมนั่งนิ่งๆ ให้มันโอบกอดไว้แบบนั้น
“บ้า โรคจิต ประสาท วิปริต”
ผมด่ามันไปให้ได้ยินเบาๆ เสียงผมมันคงดังหึ่งๆ เป็นยุงตอมหู
“อย่าให้เฮียเกิดอารมณ์ในรถอาหงส์”
“นั่นแหละที่ว่าบ้า โรคจิต วิปริต ชอบเกิดอารมณ์ในที่สาธารณะ ปล่อยสิเว้ย”
“ด่าเฮียอีกคำเดียว จะเมคเลิฟตรงนี้ให้วิกเซอร์ดู”
ผมหุบปากลงฉับ นั่งนิ่งให้มันกอดเพียงอย่างเดียว ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ
เปล่าครับ ไม่ใช่จากไอ้บ๊วย แต่มาจากคนขับต่างหาก
ไอ้วิกเซอร์ ขอร้องล่ะ ถึงรู้ว่าเป็นพี่น้องซันไรส์ แต่อย่าได้หัวเราะเย้ยหยันกูแบบพี่มึงได้ไหม!!
ผมพลิกเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ดูวิวข้างทาง กลิ่นตัวมันลอยคลุ้ง มันเป็นกลิ่นเท่ๆ แต่นุ่มนวล วงแขนมันคล้ายปีกนก โอบกอดผมไว้จนแน่น ได้ยินเสียงหัวใจกำลังเต้น ผมขมวดคิ้ว
แล้วที่ได้ยินตอนนี้ เป็นเสียงหัวใจของใครกันแน่
ผมนิ่งฟัง มันมีทั้งหัวใจของมันและหัวใจของตัวผมเอง ยิ่งเอียงหน้าแนบแบบนี้ยิ่งได้ยินเสียงชัด มันกระชับกอดผมแน่นขึ้นไปอีก ปากจูบซับบนหัวผมครั้งแล้วครั้งเล่า
“ได้ยินเสียงหัวใจเฮียหรือเปล่าอาหงส์”
“ไม่ได้ยิน”
ผมปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ได้ยินชัดเลย
“ฟังสิ ฟังเสียงหัวใจเฮีย ฟังว่ามันเต้นยังไง เต้นในจังหวะของใคร”
“ทำไมต้องฟัง ไม่ฟัง”
ผมงัดหัวตัวเองขึ้น แต่ถูกกดจนหูแนบตำแหน่งหัวใจมันตามเดิม
“นี่ ถ้าอยากตรวจหัวใจตัวเองขนาดนั้น โทรเรียกพี่หมอมาเลย รับรองรู้อาการ เผื่อเป็นโรคหัวใจจะได้รีบผ่าตัดเอามันออก”
“เลิกดื้อ แล้วฟังเงียบๆ อาหงส์” มันสั่งเสียงเฉียบ ผมดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่อาจเอาชนะเจ้าของวงแขนแกร่งนั้นได้ สุดท้ายผมต้องยอมฟังเสียงมันเต้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มันเต้นยังไง ตอนนี้ก็ยังเต้นเหมือนเดิม ฟังไปฟังมาก็ชักเพลินแฮะ
เปลือกตาผมค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
“ได้ยินเสียงไหมอาหงส์”
ได้ยินเสียงถามลอยละล่องมาตามลม คำสุดท้ายที่ได้ยินแว่วๆ ปิดท้ายสวิตซ์ที่กำลังจะดับของผมคือ...
“อ้าว”
แค่นั้นแหละ
(80%)
“หงส์”
อืม…
อะไร แผ่นดินไหวในเมืองไทยเหรอ
“หงส์ตื่น”
ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง
“อืม…”
“ถึงบ้านแล้ว ไปอาบน้ำนอนป่ะ”
“ไม่อาบไม่ได้เหรอ ง่วง” ผมงอแง
“ไปอาบก่อน จะได้สบายตัว”
ผมพยักหน้า ขยับ รู้สึกแปลกๆ ผมตาโตเมื่อเห็นว่าตัวเองยังนั่งคร่อมอยู่บนตักกว้างเหมือนเดิม
นี่อย่าบอกนะว่าผมนั่งท่านี้มาตลอดทาง
คนที่เดินมาเปิดประตูให้คือซันไรส์ ผมรีบขยับจากตักมันลงจากรถไปยืนที่พื้นทันที ซันไรส์มองมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่นัยน์ตาดูเอือมระอา
เฮ้ย! ทำไมมึงต้องมองกูด้วยสายตาแบบนี้ด้วยวะ ไงกูก็เป็นเมียเจ้านายมึงนะ เวลาปฏิบัติกับเจ้านายล่ะดี๊ดี กับกูล่ะเหยียดหยามกันเข้าไป
“มองหน้าหาเรื่อง”
ผมถามมันไปฉุนๆ
“รีบไปอาบน้ำดีกว่าครับ หน้ายับจนขี้เหร่ยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
อ้ากกกกกกกกกกก
ไอ้น้ำยาล้างจาน ปากมึงมีไว้กัดกูอย่างเดียวใช่ไหม!!
ผมรำงิ้วถวายแหวนใส่มันทันที (แน่นอน ว่าเป็นแค่ความคิดเท่านั้น เพราะในชีวิตจริง ผมไม่กล้าหือกับมันหรอก ขืนทำจริง คงเป็นผมนี่แหละ ที่จะกลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนไปติดรั้วแทน)
“เร็วเข้าเถอะ”
ไอ้บ๊วยมันประคองเอวผมเบาๆ ให้เดิน ผมดีดตัวหนีทันที เดินลิ่วๆ นำมาก่อน
ผมเข้าอาบน้ำก่อนเป็นคนแรก ออกไปก็เห็นสามี(ทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย) นั่งอ่านหนังสืออยู่ ผมไม่สนใจคนตัวสูง โดดขึ้นเตียง มุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ปิดตาลง
ผมสะดุ้งโหยงรีบลืมตาโพลงเพราะแรงยุบข้างๆ
ระแวงครับ เกิดมันเฮี้ยนอยากทดสอบความอึดของผมขึ้นมาคงยุ่ง
“มีอะไร”
ผมกำผ้าห่มแนบอกแน่น มองแบบไม่ไว้ใจ มันมองหน้าผม เกลี่ยเส้นผมผมแผ่วเบา
“ทำไมไม่เช็ดหัว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
“เย็นดี รีบไปอาบน้ำสิ จะได้มานอน”
มันยกยิ้ม
“เป็นห่วงเฮียเหรอ”
“เปล่า จะได้ปิดไฟเร็วๆ แสงแยงตา เวลาหลับเขาไม่ให้มีแสงภายในห้องไม่รู้รึไง”
มันพ่นลมหายใจแรง ดีดมะกอกมาหนึ่งเปรี้ยง ผมร้องโอ๊ย ขยับลุกนั่งถลกแขนเสื้อขึ้นสูง จ้องมันตาขวาง
“หาเรื่อง!”
มันหัวเราะหึๆ
“อยากไปฮันนีมูนไหม”
ผมขมวดคิ้วมองงงๆ
ฮันนีมูน?
นั่นมันกิจกรรมสำหรับคู่แต่งงานใหม่ไม่ใช่เหรอ
ผมเบรกความคิดลงกึก ผมกับมันก็เพิ่งแต่งงานกันนี่หว่า
แต่ผมไม่ได้เต็มใจนี่ ถ้าจะไปฮันนีมูนกับใครสักคน เราต้องไปกับคนที่เรารักสิ
“มัลดีฟ อยากไปไหม หรือมีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ผมตาโต ชีวิตที่ถูกจำกัดอยู่แต่ในบ้านทำให้ไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้างเท่าไหร่
“พูดจริงหรือเปล่า ไปวันไหน!”
“ขอเคลียร์งานสักวีคละกัน”
ผมเลิกผ้าห่มทิ้ง
“ได้ดำน้ำด้วยหรือเปล่า”
มันพยักหน้ารับ
“พายเรือ”
มันพยักหน้าอีก
“ให้อาหารปลา”
มันพยักหน้าอีกรอบ ผมฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
มันมองผมอึ้งๆ
“ไป!”
ผมอยากไปมัลดีฟ จริงๆ ก็อยากไปทุกที่แหละ แต่ไม่มีใครพาไป จะไปเองป๊ากับม้าก็ไม่ยอมให้ไป บอกรอให้เฮียๆ ว่างแล้วพาผมไป
เหอะ จนแต่งงานมีลูกโตกันหมดแล้วยังไม่เห็นมีใครว่างพาผมไปกันสักคน (ขนาดเจ้าดูคาติที่เฮียหยกซื้อให้ ผมยังทำได้แค่บิดเล่นภายในสวนเท่านั้นเอง ปล.ผมไม่ได้เอามาครับ ป๊ายังไม่อนุญาต) ได้แต่นั่งตาละห้อยดูในเว็บไซต์หรือทีวีเท่านั้น
“หายง่วงแล้วเหรอ”
มันถามผมยิ้มๆ
“แพ็คเสื้อผ้าตอนนี้เลยจะดูเห่อเกินไปรึเปล่า”
มันหัวเราะเสียงดัง
“ไว้ใกล้ๆ ก่อนละกัน เสื้อผ้าน่ะจัดไม่เกินชั่วโมงก็เสร็จแล้ว”
ผมจิ๊ปาก หัวใจเต้นแรง อยากไป อยากไป อยากไป
“ขอรางวัลนำเที่ยวล่วงหน้าได้ไหม”
ผมมองมันงงๆ
“อะไร รางวัลนำเที่ยว”
มันมองหน้าผม นิ่งคิด แล้วจิ้มแก้มตัวเองเบาๆ
“ตรงนี้ หนึ่งที”
“อยากโดนต่อยเหรอ”
“อาหงส์ เฮียว่าลื้อไม่โง่นะ”
แต่กูไม่อยากฉลาดตอนนี้ว่ะ รู้หรอกว่ามันต้องการอะไร แต่เรื่องอะไรผมจะทำ
“ราตรีสวัสดิ์”
ผมปฏิเสธดื้อๆ ทิ้งตัวมุดเข้าไปในผ้าห่ม ตะแคงหันหลังให้ ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงตา
“เด็กดื้อ!!”
มันกอดผมไว้ทั้งผ้าห่ม พลิกผมเข้าหาตัวเอง ผมเบิกตากว้าง กอดผ้าห่มแน่นขึ้นป้องกันการล่าอาณานิคม
มันหัวเราะหึๆ
“ปล่อย!!”
ผมพูดอู้อี้ผ่านผ้าห่มที่ปิดไว้เกือบคลุมหัว ขยับดิ้นดุ๊กดิ๊กเป็นดักแด้ภายใน
“หอมแก้มเฮียก่อน แล้วเฮียจะยอมให้นอน”
ผมจะโหม่งหน้าผากมัน แต่มันเบนหัวหนี
“หอมสิ”
“อยู่ในครัว”
มันทำหน้างุงงง ก่อนหัวเราะออกมาอีกรอบ
“ตั้งแต่นอนกับผู้หญิงมา ลื้อเป็นคนที่พูดยากที่สุดเลยนะหงส์”
ตาผมเป็นประกาย ยอมดึงผ้าห่มลงจนปากเป็นอิสระ
“พอดีอั๊วไม่ใช่ผู้หญิง และที่สำคัญ ไม่ได้เต็มใจจะนอนกับเฮียด้วย”
มันยกยิ้ม
รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรพลาดไปอย่างแฮะ
ใช่แล้ว
ผ้าห่มหลุดปาก
แล้วคาดเดากันออกไหมครับ ว่าระหว่างผมยกผ้าห่มขึ้นมาปิดปากอีกรอบ กับนักล่าอาณานิคม ใครจะเร็วกว่ากัน
แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ
“อื้อ…”
ผมครางท้วงในลำคอเมื่อโดนสูบปากอย่างรุนแรงชนิดปลิงยังอาย หนำซ้ำมันยังส่งงูเข้ามาฉกลิ้นผมด้วย มันบดเบียดแนบชิดชนิดพรากไปหมด ทั้งสติและลมหายใจผม กว่ามันจะปล่อยปากผมก็ชาช้ำไปหมด
ผมหอบแฮก จ้องมันตาขวาง แทนที่มันจะหวาดเกรงสายตาผมบ้าง กลับมองมาตาวาว เลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ
“ขอบใจสำหรับจูบหวานๆ”
ไอ้บ้าเอ๊ย ใครไปให้มันวะ มันบังคับเอาเองต่างหาก ผมด่าทอมันด้วยสายตา ปากยังคงหอบแฮก
“อย่ายั่วเฮียหงส์”
กูไปยั่วมึงตรงไหน!!
ผมรีบดิ้นอีกรอบ มารอบนี้มันยอมปล่อยผมออกดีๆ ก่อนปล่อยยังไม่วายฉกแก้มผมไปฟอดใหญ่
มันจะอะไรนักหนากับร่างกายผมวะ!
แล้วมันก็เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไป ผมรีบฝังร่างกับที่นอนอีกรอบ หวังว่ามันจะไม่เฮี้ยนทำอะไรผมอีกนะ
ผมพยายามข่มใจให้หลับ เวลาเกือบ 15 นาทีที่มันอาบน้ำแต่งตัว เป็นเวลานานมากพอให้ผมหลับได้ แต่เพราะรสจูบเร่าร้อนเมื่อกี้ทำให้หัวใจผมทำงานผิดปกติ กว่ามันจะสงบแรงเต้นลงมาให้เป็นปกติและพร้อมสำหรับการหลับได้ ไอ้บ๊วยก็เดินออกมาแล้ว ผมแกล้งหลับเฝ้าฟังเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้อง
แม้จะปิดตา แต่ก็เห็นแสงไฟในห้องได้ไรๆ พอมันปิดไฟทุกอย่างก็มืดสนิท
มันเดินขึ้นเตียง ณ ฟากของมัน ขยับยกผ้าห่มขึ้น แทรกตัวเข้ามา ขยับร่างเข้ามาชิด ยิ่งทำหัวใจผมยิ่งไหวแรง
ให้ตาย สงบเดี๋ยวนี้เจ้าหัวใจบ้า
มันแนบหน้าอกลงกับแผ่นหลังผม
ตามด้วยวงแขนที่โอบมารอบเอว
ตามด้วยริมฝีปากที่หัว
หัวใจผมยังคงไหวแรง
ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเหนือขึ้นไป มันเบาจนผมไม่แน่ใจว่าคนพูดจงใจให้ผมได้ยิน หรือไม่ต้องการให้ผมได้ยินกันแน่
“ราตรีสวัสดิ์ อาหงส์ของเฮีย”
ใครเป็นของมึงกัน!
ผมได้แต่เถียงอยู่ในใจ ไม่อยากให้มันแนบหัวใจลงมาติดมาก ไม่งั้นมันคงได้ยินเสียงหัวใจผมที่เต้นในจังหวะผิดปกตินี้แน่ๆ
แม้ดวงตาจะปิด แต่สติไม่ได้ปิดตามไปด้วย
หลังสิ้นคำพูดของมันไม่กี่วินาที ก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอแล้ว
ใจอยากขยับหนีไปจากอ้อมแขนมัน เพราะรู้สึกจั๊กจี้หัวใจยังไงพิกล
แต่มันก็รู้สึกอบอุ่นจนคิดว่าน่าจะนอนได้แล้ว
ง่วงแล้ว
ตาผมปิด เพียงไม่นาน สติผมก็ดับตามลงไปด้วยช้าๆ
To be Con...
ละมุนมากกกก >///< ตอนต่อไปไม่ใช่หงส์เล่านะคะ ส่วนใครจะมาเล่านั้นลุ้นกันได้เลย หึๆ (หัวเราะอย่างมีเลศนัย)
(เจอกันเมื่อเม้นท์ชน 950 - ไม่ปั่นนะคะ ^^)
[>>เปิดจองจองหนังสือแล้ว ดูรายละเอียดที่นี่ค่ะ<<]
#หงส์ซาน
Add FAB เป็นแฟนคลับน้องหงส์ได้ที่นี่เลย {ADD FAB}
อีบุ๊ค(e-book) หงส์ซานพร้อมโหลด 339.- จากราคาปก 480.- เนื้อหานิยายมี 27 ตอนจบค่ะ มีตอนพิเศษอีก 3 ตอน (อีบุ๊คจบแล้ว) ดาวโหลดได้ที่ Meb เลยน้า [>>ดาวน์โหลด หงส์ซานอีบุ๊ค<<]
Follow and Contact writer Memew here
เพจ : facebook.com/memew28
ทวิต : @Memew28
เมล : Memew28(แอท)gmail.com
instagram : Memew28
Line : Memew28
ความคิดเห็น