คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ช า น มึ น : ต อ น ที่ เ ก้ า
รู้สึกหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลม
เขาหูฝาดไปใช่มั้ย? ได้ยินอะไรผืดไปใช่หรือเปล่า
ดวงตาคู่น้อยกระพริบปริบๆด้วยความงุนงง เขาค่อยๆเงยหน้าสบตามองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง "เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ"
"เราเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย?"
"กะ.....ก็ต้องไม่ใช่ดิพี่!....อื้อ"
พอพูดคำอื่นนอกจากคำว่า ใช่ คนตัวสูงที่เอาแต่ใจก็ขยับเข้ามาปิดปากเขาเอาไว้ด้วยริมฝีปากตัวเอง เป็นการแตะกันแบบเบาๆชวนให้ใจสั่นเสียมากกว่าไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งไปมากกว่านั้น ปาร์คชานยอลขยับออกไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะถามย้ำอีกรอบ
"เราเป็นแฟนกัน....ใช่มั้ย?"
"ไม่ใช่!"
แน่นอนว่าเขาโดนจูบปากอีกครั้ง เหมือนเช่นเคยคือเป็นการเอาริมฝีปากสัมผัสกับริมฝีปาก พอชานยอลผละออกห่างเขาก็ถอยหลังกะว่าถ้าปฏิเสธรอบต่อไปจะได้มีเวลาหลบได้ทัน แต่อีกฝ่ายไม่ให้เขาได้ทำอย่างที่หวัง วงแขนแข็งแรงโอบรัดเอวเขาเอาไว้
ไอ้โอบเอวนี่หลายรอบแล้วนะ! นี่พอมีโอกาสก็จับเอาจับเอาอะ!
"ถ้างั้นเปลี่ยนกติกา นายต้องพูดแค่คำว่าตกลง"
"อะไรอีกอะ"
"รับปากมาก่อน"
"ตกลงๆๆๆ" รีบรับคำเพราะอีกคนเริ่มรั้งเขาให้เข้าไปใกล้อีกครั้ง แบคฮยอนเหมือนตัวเองมีแต่เสียกับเสียยังไงก็ไม่รู้ ปาร์คชานยอลยิ้มออกมาอีกครั้งจนดวงตาคู่โตๆนั่นหยีลงนิดหน่อย
"เป็นแฟนกันมั้ย"
".........."
".........." แบคฮยอนเม้มปากแน่น ดวงหน้าหวานร้อนเห่อจัดจนหน้าแทบจะกลายเป็นมะเขือเทศ ก้มหน้างุดหนีอีกคนไม่อยากให้เห็นว่าเขากำลังเขินขนาดไหนที่ต้องมาทนมองอีกคนพูดประโยคนั้นแถมยังจะส่งยิ้มที่ดูแล้วชวนใจสั่นมาอีก
ยังจะต้องถามอีกหรอ!
เดี๋ยวดิ! ไม่ใช่แล้วไม่ใช่
"ว่าไง......"
แบคฮยอนเม้มปากแน่นเพราะไม่กล้าพูดอะไรออกไป ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะรวดเร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน คนตัวเล็กหลับตาปี๋เมื่อปาร์คชานยอลก้มหน้าลงมาใกล้ อยากจะผลักแต่ใจก็ไม่กล้าเลยได้แต่ยืนนิ่งๆอยู่แบบนี้
ออดดดดดดด ออดดดดดดด ออดดดดดดดดดดดด
พลั่ก!
พอได้ยินเสียงออดมือน้อยก็ดันอีกคนออกไปโดยอัตโนมัติและตอนนั้นเองแบคฮยอนถึงได้รู้ว่าตัวเองก็มีแรงพอจะสู้กับคนข้างบ้านได้เหมือนกัน เสียงหัวใจกำลังดังอย่างบ้าคลั่งในอก นึกขอบคุณคนที่มากดออดตอนนี้
'ชานยอล! เฮ้ยมึง อยู่มั้ยวะ'
เสียงจากด้านนอกดังเข้ามา แบคฮยอนรีบส่งสายตาให้อีกคนเปิดประตู แต่ชานยอลก็ยังคงเป็นชานยอล อีกคนทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไรพลางจ้องมองมายังเขา คิ้วเรียวเข้าหากันแน่นอาจจะเพราะขัดใจที่ถูกขัดจังหวะ
"นายไม่ตอบ....แพ้นะ"
"เปิดประตูดิพี่ จะพังอยู่แล้วมั้งน่ะ"
เสียงทุบประตูสลับกับออดยังดังเรื่อยๆ ต่อเนื่องเสียจนน่ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นแบบนั้นแล้วปาร์คชานยอลเลยกลอกตาไปมาแล้วตัดสินใจหันไปเปิดประตู ทันทีที่เปิดแน่นอนว่าร่างของใครบางคนก็พุ่งเข้ามา
อื้อหือ.....มากันเป็นพรวน
คิมจงอินวิ่งเข้าห้องน้ำส่วนพี่อีทึกพี่คังอิน อีทงเฮและเซฮุนยืนอยู่ด้านหลัง ดวงตาทั้งสี่คู่มองมาทางคนที่ยืนอยู่ในห้องด้วยความสนอกสนใจ ไอ้เซฮุนเบนสายตามาทางเขามองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
วอนตีนไหมล่ะ.....
"มีอะไร" เสียงทุ้มของคนตัวสูงเอ่ยขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ไล่สายตาส่งไปหาทีละคน แต่แทนที่จะสำนึกผิด กลับพากันยิ้มเสียอย่างนั้น
"ทำไม? พวกกูมาขัดจังหวะอะไรหรอ" เป็นพี่คังอินที่เอ่ยปากก่อน ส่งสายตาทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้ "เออ"
"หูยยยยย หูยยยยยยยย น้องแบคของพี่เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ"
อีทงเฮ(ที่ยังไงเขาก็ยังทำใจเรียกมันว่าพี่จริงจังไม่ได้)รีบแหวกเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะก่อนจะกอดเขาเอาไว้หลวมๆ แน่นอนว่าทำเอาปาร์คชานยอลคิ้วกระตุกได้อีกรอบ "พี่ทงเฮ......"
"หิวข้าวใช่มั้ยล่าาา ไปๆ ไปกินข้าวกัน จงอินขี้เสร็จแล้วตามมานะ"
โอเค เขาอยากจะยกมือไหว้กราดกราบขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเขาให้พ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้
แบคฮยอนถูกลากให้เดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาของปาร์คชานยอลมองตามมาระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องอาหาร แน่นอนว่ารู้สึกเสียวหลังไปตลอด
ปาร์คชานยอลจะไม่ปล่อยเรื่องวันนี้ให้เป็นแค่คำถามที่ไม่ได้คำตอบแน่
------ GIDDY CHANYEOL ------
วันนี้เปิดเทอมวันแรก
และป่วยด้วย.....
เขาตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก แม่เข้ามาดูอาการจับตามเนื้อตามตัวก่อนจะพบว่าตัวรุมๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนยันว่าจะต้องเข้าเรียนในวันแรกให้ได้ พอกินข้าวก็รีบกินยาแล้วเดินออกจากบ้านเพื่อสวมรองเท้า
"อ้าว สวัสดีตอนเช้าจ้ะชานยอล"
"สวัสดีครับ"
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพบว่าร่างสูงในชุดนักศึกษาที่ดูแล้วก็ยังผิดระเบียบยืนรออยู่หน้าบ้าน โค้งตัวลงเมื่อแม่ของเขาทักทาย "ยังไม่ไปเรียนอีกหรอ"
"ผมรอ....แบคฮยอนน่ะครับ"
ว่าพลางเบนสายตามายังเขาที่สวมผ้าปิดปาก แบคฮยอนสบตาเพียงชั่วครู่ก่อนจะทำเป็นง่วนกับการเช็คของในกระเป๋าเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไร แน่นอนว่าหลังจากกลับมาจากค่ายเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาก็หลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับปาร์คชานยอลเพียงลำพัง แต่วันนี้เขากำลังจะต้องอยู่บนรถกับอีกคนสองต่อสอง
"ไม่เห็นต้องลำบากเลย เดี๋ยวน้าไปส่งแบคฮยอนเองก็ได้"
"ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมเองก็มีเรียน"
"ถ้างั้นฝากน้องด้วยนะ"
แม่ของเขาส่งยิ้มให้กับคนใจดีที่ยืนอยู่หน้าบ้าน หันมากำชับเขาเรื่องยาอีกครั้งก่อนจะพามาส่งขึ้นรถของใครอีกคนที่เปิดประตูไว้รอ แบคฮยอนเอ่ยขอบคุณเบาๆผ่านหน้ากากอนามัย
"ไหวมั้ย?"
"อือ"
"ไม่เปิดแอร์แล้วกัน จะดึงหน้ากากออกก่อนก็ได้นะ"
แบคฮยอนพยักหน้าสองสามทีก่อนจะดึงหน้ากากลงเมื่ออีกคนเปิดกระจกรถเพื่อให้อากาศถ่ายเท คนป่วยทำหน้าโล่งเมื่อสามารถหายใจได้สะดวก จมูกรั้นตอนนี้แดงก่ำเพราะเจ้าตัวเอาแต่สูดน้ำมูกเข้า ชานยอลเหลือบมองก่อนจะเอื้อมมือไปอังหน้าผาก
"ทำไมป่วย"
"เอ้า...จะรู้มั้ยเล่า" คนถูกถามทำหน้านิ่ว จะให้เขาไปถามใครล่ะทีนี้ เพราะรู้ตัวอีกทีมันก็ป่วยไปแล้ว
"ทำไมถึงไม่หยุดเรียน"
"มันเปิดเทอมวันแรกนะ...จะหยุดได้ไง" ตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกก่อนจะสูดน้ำมูกอีกครั้ง แน่นอนว่าอาการเหล่านี้มันทำให้เขาค่อนข้างหงุดหงิดขยับตัวแต่ละทีก็พาลเวียนหัวไปเสียหมด
พอติดไฟแดงปาร์คชานยอลก็หันไปมองคนที่กำลังทำหน้าหงุดหงิด แก้มขาวๆนั่นก็กำลังขึ้นสีคิดว่าคงเป็นเพราะพิษไข้อีกนั่นแหละ เห็นว่ายังติดไฟแดงอีกนานคนตัวสูงเลยขยับตัวไปปรับเบาะให้คนป่วยได้เอนกายพัก
"...เฮ้ย" แบคฮยอนร้องออกมาเบาๆเมื่อพบว่าอีกคนขยับเข้ามาใกล้พลางเอนเบาะลงก่อนจะเบนหน้าไปทางอื่น ปาร์คชานยอลกระตุกยิ้มนิดหน่อยเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆของเด็กข้างบ้าน ที่จริงแล้วแค่หวังดีอยากจะให้อีกคนได้นอนสบายๆ แต่พอเห็นสีหน้าแบบนี้นึกสนุกไม่หยอก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้แกล้งอะไรคนป่วยไปมากกว่านี้
"เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก"
"เอนเบาะเองได้น่า...."
"อยากทำให้"
".....ผมเรียนที่คณะวิดยานะ" รีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อโดนหยอดเข้าให้แล้วค่อยๆหลับตาลงเพื่อพักผ่อนเมื่อรู้สึกหน้าร้อนๆ เดาเอาว่าเป็นเพราะไข้ไม่ใช่เพราะคำพูดของอีกคนหรอกนะ
แบคฮยอนตื่นอีกทีก็ตอนที่รู้สึกได้ว่าทุกอย่างมันนิ่งเกินไป เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าตัวเองอยู่บนรถของใครบางคน ไม่ใช่ที่บ้านอย่างที่คิดแต่แรก ร่างน้อยค่อยๆยันกายขึ้นมาแล้วหันมองคนขับรถที่กำลังจ้องเขาอยู่
มันจะมากเกินไปแล้ว....จ้องกันโต้งๆแบบนี้ได้ไง
"ไหน...ไหนว่าจะปลุก"
"ก็กำลังจะปลุก แต่นายตื่นก่อน" ปาร์คชานยอลยักไหล่ราวกับไม่แยแส แบคฮยอนปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะจัดผมให้เข้าที่นิดหน่อย เขาขยับหน้ากากอนามัยให้เข้าที่ที่มันควรจะอยู่แล้วทำท่าจะลงจากรถ
"เดี๋ยวก่อน"
"หือ?"
มือใหญ่รั้งแขนเขาไว้ ร่างเล็กเลยเอี้ยวใบหน้าไปมองอีกคน ร่างสูงเอื้อมมือมาแตะหน้าผากเขาอีกครั้ง "ตัวไม่ร้อนเหมือนเมื่อกี้แล้ว"
"....อื้อ"
"เลิกกี่โมง?"
"สะ...สามโมง"
"เดี๋ยวมารับ เรียนที่นี่ใช่มั้ย?"
"หื้อ?"
"โอเค ไปได้แล้ว"
คนป่วยทำหน้ามึนรู้ตัวอีกทีก็ลงมายืนบนพื้นก่อนจะมองรถคันสวยเคลื่อนตัวออกไป กระพริบตาอีกสองสามครั้งแล้วเอามือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองที่จู่ๆก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา
ปาร์คชานยอลทำเขาตัวร้อน...
แบคฮยอนขยับกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางก่อนหันหลังกลับเดินเข้าตัวตึกด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ ก้าวแรกอย่างเป็นทางการในรั้วมหาวิทยาลัยมันเริ่มขึ้นวันนี้ แม้เขาจะสวมชุดนักศึกษามามหาลัยหลายรอบแล้วก็ตาม
แต่วันนี้เป็นวันที่เริ่มเรียนวันแรก แบคฮยอนเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะพบว่ามันกำลังสั่นครืดคราดเพราะโอเซฮุนโทรหา มือเล็กเลื่อนผ้าปิดปากลงแล้วกรอกเสียงอู้อี้ใส่ลงไป "ฮัลโหล"
[อยู่ไหนแล้ว]
"กำลังจะขึ้นห้อง อาจารย์เข้าแล้วหรอ"
[ยังๆ กลัวมึงหลง ไม่หลงก็ดีละ แล้วนี่ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นวะ]
"กูเป็นหวัดอะ"
พูดเสร็จก็จามทันที เหมือนกับกลัวว่าอีกคนจะไม่เชื่อว่าเขาเป็นหวัดจริงๆ เสียงปลายสายบ่นอะไรงุ้งงิ้งก่อนที่จะบอกว่าเขาให้เขารีบขึ้นมาแล้วจึงตัดสายไป
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงตรงหน้าอีกครั้งแล้วจึงขยับจับหน้ากากอนามัยให้เข้าที่ กะว่าจะไปแบบสบายๆชิวๆแต่พอเสียงออดดังขึ้นเท่านั้นแหละเท้าเล็กก็โกยแนบวิ่งเข้าตัวตึกแบบไม่รีรอ
วันแรกก็สายเลย ให้ตายสิ!
------ GIDDY CHANYEOL ------
พอถึงเวลาบ่ายสามโมงตรงทุกคนก็เก็บของเข้ากระเป๋า นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์เกือบร้อยชีวิตค่อยๆทยอยเดินออกจากห้อง แบคฮยอนสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อหมกคาบ วันนี้ผ่านพ้นไปได้อย่างหมดจดไม่มีปัญหา จะติดก็ตรงแต่ว่าเขาฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่องบ้างเพราะตาฉ่ำจะหลับอยู่รำไร
"กูว่าพรุ่งนี้มึงไม่ต้องมาหรอก นอนอยู่บ้านไปนั่นแหละ หายแล้วค่อยมา"
"แล้วกูจะเรียนทันได้ไง"
"มีเพื่อนไว้ทำไมครับเตี้ย กูจดให้แล้วมึงค่อยเอาไปซีรอกซ์"
"เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจารย์เชคชื่อขึ้นมา....."
"กูถามไอ้ทงเฮแล้วมันบอกไม่เชค"
"โอเค...ถ้าไม่หายจะนอนอยู่บ้าน" ไร้ซึ่งข้ออ้างหาเหตุผลที่ต้องกระเสือกกระสนมาเรียน โอเซฮุนยิ้มออกมานิดหน่อยแล้วจึงขยี้ศีรษะเขาเบาๆ เพื่อนซี้ต่างไซส์เดินลงมาจากตึก ไอ้เพื่อนตัวสูงสะกิดเขายิกๆเมื่อมองไปยังด้านหน้า
"อะไร?"
"พี่ชานยอลเขามารอมึงแหนะ"
"รอ?" เขย่งปลายเท้าขึ้นหวังว่าจะได้เห็นบ้างว่าใช่อย่างที่เซฮุนบอกจริงหรือแท้จริงแล้วแค่อยากล้อเขาเฉยๆ ตอนนี้ใครๆในบ้านรับน้องเอสเอ็มก็รู้กันหมดแล้วว่าตอนนี้ปาร์คชานยอลกำลังจีบใครและทำอะไรอยู่
แน่นอนว่าตัวตั้งตัวตีชงไม่พ้นพวกพี่อีทึกกับพี่คังอินเลย ถ้าสองคนนี้ก็โลกรู้แล้วไม่อยากจะบอกเลย
"รับส่งกันด้วยหรอวะ ถามจริงนี่เป็นอะไรกัน"
โอเซฮุนขมวดคิ้วนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยปากถามเพื่อนตัวเล็กที่ตอนนี้นิ่งเงียบไปแล้ว แบคฮยอนเอื้อมมือไปจับหน้ากากอนามัยของตัวเองอีกครั้งหลุบสายตาลงต่ำแล้วตอบด้วยน้ำเสียงอื้ออึงในลำคอ
"ก็...ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน"
"อะไร นี่ยังไม่ได้ขอเป็นแฟนอีกหรอวะ"
"........."
"ห่า อย่ามามีความลับกับเพื่อนนะ"
"ก็ขอแล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบ...."
"ตอนไหน"
"ตอนที่พวกมึงเข้ามาเคาะประตูวันนั้นอะ" เพื่อนตัวขาวหน้านิ่วทำท่านึกก่อนที่คิ้วเรียวจะคลายปมออก ก้มมองหน้าคนป่วยที่เริ่มแดงๆไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือกำลังเขิน สุดท้ายแล้วเลยยกมือขึ้นโบกพลางตะโกนเรียกอีกคนที่ยืนรออยู่ไม่ห่าง
"พี่ชานยอล! ทางนี้พี่!"
คนถูกเรียกละสายตาจากโทรศัพท์ที่กำลังจะกดโทรหาเด็กข้างบ้านไปตามเสียงเรียก ขายาวก้าวฉับๆเข้าไปหาก็เห็นบยอนแบคฮยอนที่ยังคงทำหน้าป่วยเหมือนตอนเช้า ไม่สิ...เขาคิดว่าตอนนี้เป็นมากกว่าเมื่อเช้าอีก ถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากคนตัวเล็กก่อนจะใช้มืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเอง
"ไปหาหมอมั้ย"
"ไม่เอา...."
"อะไรนะ?"
"ไม่ไป" พูดให้ดังขึ้นอีกนิดพลางดันมืออีกคนออก เกลียดตัวเองที่ใจเต้นตึกตักเพียงแค่อีกคนแตะหน้าผาก เขาขยับตัวเองไปหลบอยู่ด้านหลังโอเซฮุน โขลกไอน้อยๆตามอาการที่กำลังเริ่มแสดง แต่ดูเหมือนเพื่อนจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ มันหลบออกไปด้านข้างแล้วใช้ก้นดันให้เขาไปด้านหน้า
แหม....ปาร์คชานยอลจ้างมาเท่าไหร่ล่ะ
"ช่วยพามันไปหาหมอหน่อยนะพี่ แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องให้มันมาเรียนผมจะจดเลคเชอร์ให้มันเอง"
"โอเค"
"นี่....ไม่ไปหาหมอนะ แล้วไม่ต้องจับมือได้มั้ยเล่า"
จากที่มึนอยู่แล้วพอเขาพูดเสียงอู้อี้ในลำคอเลยยิ่งทำมึนหนัก ชานยอลจับข้อมือเขาแล้วออกแรงลากเบาๆให้เดินตามไป แน่นอนว่าตกเป็นเป้าสายตาของคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ซึ่งจำนวนคนก็ไม่ใช่ว่าจะน้อยๆ แต่ยังดีที่เขามีผ้าปิดปากเลยทำให้มองได้ไม่ชัดว่าหน้าตาเป็นแบบไหน
ไม่งั้นได้เป็นผู้โด่งดังต่างคณะอีกแหงเลย
3 0 %
ในที่สุดแบคฮยอนก็กลับมานั่งที่เดิมตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อเช้าซึ่งปาร์คชานยอลจัดการยัด ย้ำว่ายัดตัวเขาเข้าไปในรถไม่รู้ว่ากลัวเขาไม่ขึ้นรถหรือจะวิ่งหนีไปเลยทำแบบนี้มีการคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยอีกต่างหาก
เอาเล้ย...เอาที่สบายใจเลยครับคนข้างบ้าน
อาจจะด้วยเพราะฤทธิ์ยาที่กำลังจะหมดแบคฮยอนเลยไม่อยากจะสู้รบปรบมือหรือขัดขืนปาร์คชานยอลอีก แค่จะลืมตาให้เหมือนปกติยังทำยากเลย เขาจัดการเอนเบาะลงไม่ให้อีกคนมาฉวยโอกาสกับเขาเหมือนเมื่อเช้าแน่ๆ
ปาร์คชานยอลเอื้อมมือไปแตะหน้าผากคนข้างบ้านอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจพาเด็กตัวเล็กนี่ไปหาหมอ
รถยนต์คันสวยมาจอดอยู่ด้านหน้าคลีนิคที่ไม่ไกลจากบ้านมากเท่าไรนัก หันไปหวังว่าจะปลุกคนป่วยให้ตื่นแต่พอเห็นอีกคนหลับสนิทเขาเลยไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมอง
สุดท้ายแล้วพอไม่เห็นว่าแบคฮยอนจะตื่นเขาเลยเดินลงจากรถเข้าไปในคลีนิก ทักทายพยาบาลสองสามคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันด้วยการโค้งเล็กน้อย
“พี่ยุนโฮอยู่มั้ยครับ”
“อยู่ค่า น้องชานยอลรอตรงนี้แป๊บนึงนะคะพี่จะเข้าไปเรียกให้”
พี่พยาบาลที่เคยเห็นหน้ากันเป็นประจำแต่จำชื่อไม่ได้บอกด้วยท่าทางยิ้มแย้มก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องตรวจ ใช้เวลาไม่นานนักก็เดินออกมาพร้อมกับคนที่เขาต้องการตัวเดินตามหลังมา “เป็นอะไรมาล่ะ?”
“ป่วย”
“ห๊ะ?”
“แต่ไม่ใช่ผม” พูดจบก็จับข้อมืออีกคนลากออกมายังรถที่ไม่ยอมดับเครื่อง คนเป็นหมอบ่นอุบ “แกไม่ควรสตาร์ทรถทิ้งไว้ที่หน้าคลีนิกฉันนะ มันไม่ดีต่อคนไข้ของฉัน”
“คนป่วยอยู่บนรถ”
พยักเพยิดหน้าไปบนรถที่ตอนนี้แบคฮยอนก็ยังคงหลับปุ๋ย แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะเหมือนตอนที่เขาลงจากรถไม่มีผิด ชองยุนโฮเกาหัวด้วยความงุนงง “ปลุกสิ”
“ตรวจสิ”
“เอ้า”
“ไม่อยากปลุก ตรวจสิ”
อยากจะจับมันเขกกะโหลกจริงๆ
คุณหมอประจำคลีนิกส่ายศีรษะตัวเองน้อยๆก่อนจะเปิดประตูรถแล้วขยับตัวเข้าไปในรถมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้ก็ยังคงหลับสนิท ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อคนที่ยืนอยู่นอกรถก็ลากเสื้อเขาออกมา
“เอ้า อะไรวะ”
“ทำไมต้องใกล้ขนาดนั้น”
“ก็จะตรวจไหมล่ะ เขานอนในรถไหมล่ะ”
“ห่างกว่านี้หน่อย”
ชองยุนโฮหันกลับไปมองเด็กมหาลัยที่ยืนอยู่ เขาคิดว่าเด็กนี่จะพูดเล่นเสียอีก แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วค่อยๆขยับตัวเข้าไปอีกครั้งโดยที่ให้ตัวชิดกับกระจกหน้าให้มากที่สุด สุดท้ายแล้วก็โดนลากออกมาอีกครั้ง
“ก็ยังใกล้ไป”
“แกตรวจเองเลยไป ตรวจเองเลยเอ้า”
ทำท่าจะถอดสเตทโทรสโคปส่งให้คนเอาแต่ใจ ปาร์คชานยอลเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจก่อนจะดึงให้อีกคนถอยห่าง ตัดสินใจสอดแขนเข้าที่ใต้หลังและข้อพับที่เข่า คนที่กำลังนอนหลับปุ๋ยเลยสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้จัดการกับความคิดตัวเองก็รู้สึกว่าจู่ๆตัวก็ลอยขึ้น
“ฮะ...เฮ้ย!”
ตาตี่ๆเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะสบเข้ากับดวงตาคู่โตที่อยู่ไม่ห่าง อยากจะเอามือยันหน้าแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆเขาก็ลอยได้ บางทีพี่ตูนอาจจะสมหวังแล้วที่ได้เห็นคนไทยบินได้
แต่ เขา ไม่ ใช่ คนไทย!
เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว บางทีแบคฮยอนควรจะรีบปีนป่ายลงจากอ้อมแขนอีกคน ถลึงตาใส่ปาร์คชานยอลให้วางเขาลงเสียทีแต่อีกคนกลับทำมึนอุ้มเขาเข้าไปในรั้วที่ที่มีป้ายชื่อแขวนไว้ว่า 'คลีนิกหมอชอง'
“ปะ...ปล่อยนะเว้ย”
“ตื่นแล้วหรอ”
ละเมอมั้งครับ!! เบิกตากว้างขนาดนี้ละเมอมั้งครับ!
แบคฮยอนกวาดสายตามองไปรอบๆ แทบจะมุดแผ่นดินหนีเมื่อพบว่ามีผู้หญิงสองถึงสามคนยืนอยู่แถมยังมองด้วยสายตาที่ติดจะยิ้มๆ ดวงตาคู่เล็กหลับลงพร้อมกับกัดริมฝีปากแน่นแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อถูกปล่อยตัวให้นอนลงบนเตียง
จากที่เคยง่วงๆตอนแรกตอนนี้กลับรู้สึกหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ไอ้อาการที่เหมือนจะเจ็บคอตัวร้อนน้ำมูกไหลก็เหมือนจะหายไปชั่วขณะจนกระทั่งถูกวางลงบนเตียงนั่นแหละเขาถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังป่วย
ผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้อง ที่คอมีสเตทโทรสโคปห้อยอยู่ มองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงสลับกับญาติคนสนิทไปมาด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วปาร์คชานยอลไม่เคยพาใครมาที่นี่ มาทีไรก็มาคนเดียวตลอดไม่เคยพ่วงใครมาด้วยแบบวันนี้
แปลก....แปลกสุดๆ
“ห้ามเข้าใกล้แบคฮยอนเกินเมตร”
“งั้นพากลับบ้านไปเลย แกไม่ต้องให้ฉันตรวจแล้ว”
พอจะขยับเข้าไปใกล้ไอ้เด็กตัวสูงก็เข้ามาขวางพลางพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังจนชองยุนโฮอยากจะจะบมันมาฟาดก้นแรงๆให้หายหมั่นเขี้ยวแล้วตะโกนใส่หน้ามันว่า สเปคเขาต้องไม่ใช่แบบเด็กนี่แน่นอนให้เอาตีนยันหน้าเลยก็ได้ด้วยความสัตย์จริง
“ก็ได้ งั้นหนึ่งไม้บรรทัด”
“........”
“ครึ่งฟุตเอ้า”
“........”
“ฮัดเช้ย!” คนป่วยจามขัดขึ้นมาภายใต้หน้ากาก
สุดท้ายแล้วปาร์คชานยอลเลยถูกเตะให้ออกมาจากนอกห้องเพราะทั้งคนป่วยและคุณหมอพร้อมใจกันขับไล่ไสส่งออกมา เขาหันไปทำหน้าตัดพ้อกับเด็กข้างบ้านก่อนที่จะโดนพี่ยุนโฮไล่ ร่างสูงแอบชะเง้อมองตามช่องประตูที่ปิดไม่สนิทแต่พอสบตากับคุณหมอเข้าอย่างจังเท่านั้นแหละก็โดนขัดขวางด้วยการปิดประตูบานเลื่อนให้สนิททันที
โธ่เอ๊ย....แอบดูนิดดูหน่อยก็ไม่ได้
ถ้ารู้ว่าแอบลวนลามเด็กข้างบ้านล่ะก็เขาไม่เอาไว้แน่ๆ
------ GIDDY CHANYEOL ------
“ผม...ผมคิดว่าต้องจ่ายค่ารักษา”
“ไม่เป็นไรๆ แค่ค่ายาก็พอแล้วล่ะ”
“แต่.....”
“รีบกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเถอะ แล้วถ้าพรุ่งนี้เช้ายังมีไข้ก็ขอให้หยุดนะ พี่จะเขียนใบรับรองให้ ถ้ามีเช็คชื่อก็ค่อยเอาไปให้อาจารย์”
“อ่า....ขอบคุณมากนะครับ”
แบคฮยอนโค้งตัวลงขอบคุณคุณหมอใจดีที่กำลังยืนเขียนใบรับรองแพทย์ให้ที่เคาต์เตอร์พยาบาลด้านหน้า ระหว่างที่นั่งตรวจก็ทำให้ได้ทราบว่าหมอชองหรือชองยุนโฮเป็นลูกพี่ลูกน้องของปาร์คชานยอล เพราะอย่างนั้นเวลาป่วยทีไรก็มักจะมารักษาที่นี่ ไม่ค่อยได้ไปที่โรงพยาบาลบ่อยเท่าไหร่
“ขอบคุณฉันด้วยสิ” ไม่ทันขาดคำคนตัวสูงก็เดินเข้ามาใกล้ แบคฮยอนเหล่ตามองก่อนจะเบะปากออกภายใต้หน้ากากอนามัย คิดเอาว่าอีกคนคงจะไม่ทันเห็น แต่ทว่าชานยอลกลับไวกว่า มือใหญ่เอื้อมมาดึงผ้าปิดปากของเขาลง
“อะไร ให้พี่ยุนโฮรักษาแค่นี้ปากเบี้ยวหรอ รักษาไงวะ”
ประโยคหลังหันไปหาเรื่องคุณหมอที่มีพระคุณกับเขา แน่นอนว่าท้ายที่สุดปาร์คชานยอลก็โดนจับล็อคคอก่อนที่คนเป็นพี่จะฟัดด้วยความหมั่นเขี้ยวท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่ๆพยาบาลที่ยืนอยู่ แบคฮยอนเองก็หลุดขำออกมาเหมือนกัน ไม่บ่อยนักที่จะเห็นชานยอลตกเป็นรองใคร อย่างมากก็แค่โดนแซวแบบพูดลอยๆ ไม่ได้ถึงขั้นแกล้งกันขนาดนี้
“แกนะชานยอล ต่อไปฉันจะเก็บค่ารักษาแก!”
“ผมก็จะบอกแม่พี่เหมือนกัน กับน้องนุ่งยังขี้งก”
“แต่แบคฮยอนให้รักษาฟรี”
“......โอเค ผมยอมจ่ายเองก็ได้”
ใช้เวลาคิดแทบจะไม่นานเลยชานยอลก็ตอบออกมา จากที่ตอนแรกทุกคนกำลังยิ้มให้กับความน่ารัก(?)ของสองพี่น้องที่อายุห่างกันเกือบจะสิบปี ตอนนี้เลยมาพากันอมยิ้มแล้วเบนสายตามาทางเขา แบคฮยอนค่อยๆหุบยิ้มก่อนจะเลื่อนหน้ากากอนามัยขึ้นปิดปากตัวเองอีกครั้ง
“ถะ...ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับหมอชอง”
คนป่วยโค้งตัวอีกครั้งก่อนจะหันไปขอบคุณพี่พยาบาลที่ยืนมองเขาด้วยสายตาเอ็นดูแล้วจึงเดินออกจากคลีนิกเล็กๆสวนกับคนป่วยรายอื่นที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ปาร์คชานยอลเดินตามออกมาทีหลังไม่นานมากนัก
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็กลับมาถึงบ้าน เวลาสี่โมงกว่าๆแน่นอนว่าไม่ใช่เวลาที่จะแม่จะกลับบ้าน แบคฮยอนเดินลงจากรถก่อนจะมองซ้ายขวาโยนกระเป๋าข้ามรั้วบ้านตัวเองไป พอทำท่าจะปีนใครอีกคนก็อุ้มเขาตัวลอยเสียก่อน
นี่ปาร์คชานยอลแต๊ะอั๋งอีกแล้วนะเนี่ย!
“จะทำอะไร ย่องเบาบ้านตัวเองหรือไง”
“ก็แค่จะปีนเข้าบ้านป่าวว้า”
“ปีนแล้วยังไง แม่นายก็ยังไม่มา”
“กุญแจบ้านมันอยู่ใต้กระถางของลิซซี่”
“ลิซซี่?”
“.....ดอกไม้ของแม่ ไอ้ที่ผมคุยด้วยบ่อยๆ”
เท่านั้นแหละปาร์คชานยอลก็จัดการกระโดดข้ามรั้วบ้านก่อนจะเดินตรงไปยังกระถางต้นไม้ของแม่ที่ตอนนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว(ถึงแม่จะบอกว่าล้อเล่นก็เถอะ แต่เขาคิดว่าแม่เองก็คงจะตั้งใจตั้งชื่อให้มันแบบนี้จริงๆ) ใช้เวลาหาไม่นานชานยอลก็เดินกลับมาพร้อมกับกุญแจจัดการเปิดประตูรั้วออกให้เจ้าของบ้านเดินเข้ามา
แบคฮยอนจัดการถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านแล้วจึงเดินเข้าไปด้านในเมื่อปาร์คชานยอลก็เป็นคนจัดการเหมือนเดิม
“....วันนี้ผมไม่มีข้าวให้พี่กินนะ”
“อืม ไม่เป็นไร....ว่าแต่ อยากให้ฉันทำให้กินมั้ย?”
“......พี่เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะทำให้ผมกินวะ”
บ่นพึมพำพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หลังที่ปาร์คชานยอลได้โชว์สกิลการทำกับข้าวได้โคตรจะติดลบแล้วเขาเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกล้าพูดออกมา แบคฮยอนค่อยๆเอนตัวลง ตั้งใจว่าจะนอนรอแม่อยู่ตรงนี้ แม้มันจะหลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่แต่เขาก็ยังไม่อยากจะขึ้นไปบนห้อง ปาร์คชานยอลหันมามองคนที่กำลังจะยึดโซฟาเป็นที่นอนก็ขมวดคิ้วแน่น
“ทำไร?”
“นอนไงพี่”
“ไปนอนบนห้องดีๆดิ”
“จะรอแม่อะ” คนตัวสูงเงียบไปนิดหน่อยก่อนจะเดินมานั้งโซฟาที่ถัดไปไม่ห่าง แบคฮยอนมองตา “พี่กลับบ้านไปเลยก็ได้นะ.....”
“ไม่ไล่ดิ”
“.........”
“อยากอยู่ใกล้ๆ ทีหลังห้ามไล่ เข้าใจมั้ย?”
------ GIDDY CHANYEOL ------
ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันก็หายไข้ แต่ไอ้อาการเจ็บคอและน้ำมูกไหลใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ และตอนนี้แบคฮยอนเกลือเดียงน้ำมูกที่ยังคงไหลอยู่เป็นครั้งคราว
ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆสำหรับการเรียนแบบใหม่ แตกต่างจากมัธยมแทบจะสิ้นเชิง เสียงในห้องเรียนยามที่อาจารย์เริ่มสอนนั้นเงียบกริบจนน่าใจหาย ในขณะที่ตอนมัธยมคือเสียงยังคงดังวุ่นวายตลอดเวลา ส่วนเรื่องของเพื่อนนั้นก็ยังรู้จักกันไม่ครบเพราะมีเกือบร้อยชีวิต
วันนี้เลิกบ่ายสามโมงในขณะที่คนที่ขับรถมารับเป็นประจำเลิกสี่โมง ตอนแรกก็กะว่าจะหนีกลับเองก่อนหรอกแต่โอเซฮุนกลับลากเขามาหยุดอยู่ที่ใต้ตึกของคณะวิดวะ นั่งอยู่ด้วยกันจนกระทั่งใครบางคนเลิกเรียน
'นี่ตกลงเขาย้างมึงเท่าไหร่ ถึงได้จงรักภักดีขนาดนี้'
'โหย ของแบบนี้ทำด้วยใจ ใจไม่รักจ้างเท่าไหร่ก็ไม่ทำ'
'ไม่ตอแหลดิ'
'พี่เขาจะเลี้ยงเหล้ากูงะ'
เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแล้วโอเซฮุนถึงได้จัดการลากเขามาตามคำสั่ง
กลับบ้านด้วยกันแบบนี้ทุกวัน หากปาร์คชานยอลเลิกก่อนก็จะมารอที่ใต้ตึกคณะวิดยา แต่ถ้าเลิกช้าก็จะเป็นคนให้โอเซฮุนบังคับเขาให้มารอที่นี่ ตอนนี้คิมจงอินบ่นอุบเมื่อพบว่าเพื่อนตัวเองไม่ยอมไปเที่ยวหลังเลิกเรียนด้วยกัน
'แม่ง ไปเป็นเพื่อนกูไม่ได้ไง๊ ได้เมียแล้วลืมเพื่อนหรอ'
แหม...พูดจาแบบนี้น่าจับตีปากซักทีสองที
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ตอนกลางคืนเขาก็เห็นปาร์คชานยอลออกไปข้างนอกทุกที ไอ้ที่รู้นี่ไม่ใช่เพราะแอบมองหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่ได้ยินเสียงรถตอนกลางค่ำกลางคืนช่วงสองทุ่มต่างหากล่ะ กลับมาอีกทีก็เที่ยงคืน
ใครว่าปาร์คชานยอลใสซื่อ ที่จริงแล้วร้ายตัวพ่อเลยแบคฮยอนฟันธง
นี่แทนที่จะได้กลับมาบ้านเลยมีการพาไปขับรถเล่นอีกแน่ะ แต่ถึงกระนั้นแบคฮยอนก็ชอบที่จะนั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆ กลับบ้านไปก็ยังไม่มีใคร อยู่บนรถให้ปาร์คชานยอลขับรถไปดีกว่าอยู่บ้านด้วยกันสองต่อสองแล้วปล่อยให้มือว่างจะได้หาเรื่องมาลวนลามเขาเอาน่ะสิ
ในที่สุดก็เลี้ยวเข้าซอยในช่วงเวลาหกโมงเย็น แบคฮยอนมองเห็นรถอีกคันจอดอยู่ที่หน้าบ้านตัวเอง ซึ่งคุ้นๆว่าจะเป็นรถของคุณลุงจุนยองที่เป็นพ่อของคนข้างบ้าน ปาร์คชานยอลจอดถัดมาที่หน้าบ้านตัวเองก่อนจะปลดล็อคประตูปล่อยให้เขาลงจากรถได้เมื่อจอดสนิท
“พ่อไม่เห็นบอกว่าจะมา”
ได้ยินอีกคนบ่นพึมพำก่อนที่จะลงจากรถ
พอเดินมาหยุดอยู่ที่รั้วก็เห็นร่างสูงๆของใครบางคนเปิดประตูบ้านออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง ร่างเล็กรีบโค้งตัวลงทันที
“ไปกินข้าวข้างนอกกันมั้ย?”
“ครับ?”
------ GIDDY CHANYEOL ------
สุดท้ายแล้วมื้อเย็นวันนี้จบลงที่ร้านอาหารนอกบ้าน แม้จะไม่หรูมากแต่ก็ดูดีพอสมควร คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นเวลาอาหารเย็น แบคฮยอนนั่งข้างแม่ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นคือปาร์คชานยอลที่นั่งเล่นโทรศัพท์ตั้งแต่มาถึง
แม่กับคุณลุงจุนยองคุยเรื่องเกี่ยวกับหุ้นอะไรซักอย่างที่เขาฟังไม่รู้เรื่องก่อนจะวกกลับมาเรื่องงานและจบลงด้วยสถานที่ท่องเที่ยว คุณพ่อที่แสนใจดีของคนข้างบ้านหันมาชวนคุยเมื่อพบว่าเขานั่งแกร่วอยู่คนเดียว
“แบคฮยอนชอบทะเลหรือภูเขามากกว่า?”
“อ่า...ภูเขาครับ ผมชอบอากาศเย็นๆ”
“ไม่เหมือนชานยอล รายนั้นชอบทะเล”
“....ผมเปลี่ยนมาชอบภูเขาแล้ว”
“หื้อ?” แย้งกลับมาโดยที่ไม่ยอมละมือจากโทรศัพท์ คุณลุงจุนยองทำหน้านิ่วให้ลูกชายที่พูดจาแปลกๆ
“แต่เมื่อก่อน....”
“ตอนนี้ผมอยากไปภูเขา”
“........”
“ไปเที่ยวภูเขากันป่ะ?”
ถึงตอนนี้เลยยอมเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะยักคิ้วเล็กน้อย ส่งสายตาเจ้าชู้ประตูดินจนแบคฮยอนต้องเตะหน้าแข้งเสียหนึ่งทีเพราะกลัวว่าแม่จะเห็นเข้า
“งั้นดีเลย...ซักเดือนพฤศจิกาเราไปเที่ยวกันดีมั้ย?”
“ดีครับ” ปาร์คชานยอลหันไปตอบแม่เขาพร้อมกับฉีกยิ้มเล็กน้อย แบคฮยอนหันมองแม่สลับกับคุณลุงจุนยองเล็กน้อยก่อนที่จะโดนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลากออกมาเดินเล่นหน้าร้านที่มีสนามหญ้าและม้านั่งไว้สำหรับนั่งหย่อนใจ มือใหญ่กดบ่าเขานั่งลงบนนั้นก่อนที่ร่างสูงๆจะทิ้งตัวลงข้างๆ
“คิดอะไรอยู่?”
“เอ้า ละพี่จะมาอยากรู้อะไรความคิดผมอะ”
“จะได้รู้ไงว่าคิดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า”
“ไม่เขินหรอกนะ” พูดจบก็เบือนหน้าหนีพยายามจะกลั้นยิ้ม ไม่อยากจะให้อีกคนได้ใจ “เด็กอะไรตายด้าน”
“ตายด้านอะไร”
“ไม่เห็นจะเขิน”
นี่ไม่เขินหรอ! นั่งกลั้นยิ้มจนปากจะเป็นตะคริวนี่ไม่เขินหรอ!
ปาร์คชานยอลเหลือบมองร่างเล็กที่นั่งทำหน้าแปลกๆ มือเรียวนั่นขยับถูขากางเกงไปมาเห็นอยู่ว่ากำลังประหม่า เขาเลยเอื้อมไปจับมือเล็กนั่นมาวางไว้บนตักตัวเอง แบคฮยอนหันขวับแทบจะทันทีแถมยังพยายามถลึงตาตี่ๆใส่เขาอีก
ทำไมน่ารักงี้วะ
“รู้แล้วว่าเขิน”
“ผมยังไม่ได้พูดซักหน่อย!”
“แล้วเอามือถูกางเกงนี่อะไร คันมือหรอ”
“ทำไมพี่ต้องกวนตีนตลอดด้วยวะ”
“ก็เพราะว่าชอบเลยกวนตีนไง”
อยากจะฟาดหน้าอีกคนด้วยมือจริงๆ
คนถูกบอกชอบ(อีกครั้งแบบไม่ทันตั้งตัว)ย่นจมูกก่อนจะเลิกพยายามจะดึงมือตัวเองออกจากมือของอีกคน รู้แล้วว่ามุนไม่มีทางได้ผลแล้วอีกอย่างในใจลึกๆก็รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน
ไม่ต้องมาหาว่าอ่อยเลย ยอมรับเลยก็ได้
“นายว่าพ่อฉันเป็นคนยังไง”
“หือ....? ก็ดูใจดีนะ”
“แล้วดูเหลาะแหละมั้ย?”
“ไม่นี่ ถ้าเหลาะแหละเขาจะเลี้ยงพี่ให้โตขนาดนี้ได้หรอ”
อีกคนเงียบไปเมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น แบคฮยอนหันหน้ามองคนข้างบ้านแทบจะทันที ชานยอลเงยหน้ามองฟ้าอย่างใช้ความคิดพลางเอานิ้วโป้งลูบวนที่หลังมือของเขา
กำลังคิดอะไรอยู่นะ?
“มีไรปะ?”
“.........พ่อเคยเป็นผู้ชายที่ดูพึ่งพาได้มากกว่านี้ตอนที่แม่อยู่”
“..........”
“แต่พอแม่เสียตอนฉันแปดขวบ พ่อก็เหมือนแบบ......”
ปาร์คชานยอลเงียบไป นิ้วโป้งนั่นวนที่หลังมือของเขาช้าลงแต่แรงกดนั้นค่อยๆหนักขึ้น เจ้าตัวคงกำลังใช้ความคิดอย่างหนักในการพูดเรื่องนี้ แบคฮยอนเปลี่ยนให้มือตัวเองจากที่ถูกกุมอยู่กลายมาเป็นกุมมือใหญ่เอาไว้แทน
“เท่าที่ผมเห็น....คุณลุงเขารักพี่มากนะ”
“อันนี้พ่อบอกทุกวันเลย แถมยังจะพยายามเข้ามากอดทุกครั้งอีก”
“เปลี่ยนไป แต่ความรักที่ให้ไม่ได้น้อยลง ผมว่ามันดีนะพี่”
“........”
“ยังดีกว่าเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งให้เราเติบโตเพียงลำพัง”
ตอนเด็กๆเขาเคยคิดว่าครอบครัวของตัวเองนั้นช่างดูสมบูรณ์แบบ แม้วันธรรมดาพ่อจะกลับบ้านดึกทุกวันแต่วันเสาร์อาทิตย์เราก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกัน แม้บางครั้งพ่อกับแม่จะงอนกันบ้าง สุดท้ายก็คืนดีกัน
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ถึงจุดแตกหัก แม่ขอหย่ากับพ่อหลังจากที่ไม่คุยกันมาเป็นเวลานานกว่า 4 ปี
ถ้าถามว่ารับได้ไหมก็ต้องพูดกันตรงๆว่าแบคฮยอนเองก็ยังคงเป็นเด็ก ยังคงเอาแต่ใจไม่อยากจะให้ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้ แต่แม่เห็นว่าดันทุรังไปก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายเขาเลยต้องยอมรับการตัดสินใจของแม่ และโบกมือลาน้องชายเพื่อแยกกันอยู่
“เพราะคุณแม่ของพี่เสีย คุณลุงคงไม่อยากใช้ความแข็งกระด้างเลี้ยงลูกมั้ง....อันนี้ผมเดานะ ถ้าถามผมก็อยู่กับแม่มากกว่าพ่อ ผู้หญิงจะมีความละเอียดอ่อนเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะงั้น...คุณลุงเลยต้องอ่อนลงมาบ้าง”
พูดจบก็หันไปมองอีกคนที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่ แบคฮยอนผงะไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชานยอลนั่งมองเขาอยู่แบบนี้ ใบหน้าหวานร้อนเห่อขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนมือตัวเองออกมาพลางยกนาฬิกาข้อมือตัวเองขึ้นดูแก้เก้อ
“อาหารน่าจะมาแล้วแหละ ผมว่าเรา......”
“ยังไม่มาหรอก นั่งต่ออีกซักพักแลัวกัน”
ว่าจบก็เอนหัวตัวเองวางลงบนบ่าแคบ แบคฮยอนตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเพราะไม่ทันตั้งตัว ปาร์คชานยอลชอบเล่นทีเผลอเสมอ และที่น่าเจ็บใจกว่าคือเขาไม่สามารถขัดขืนได้เลย
“ขอบใจนะ”
“เรื่องอะไร?”
“ทุกเรื่อง.....รวมถึงเมื่อกี้ด้วย”
“อ้อ ไม่เป็นไรพี่” แบคฮยอนเม้มปากตัวเองน้อยๆ มือทั้งสองข้างที่ประสานกันไว้หน้าตักถูกคนเอาแต่ใจดึงไปจับอีกครั้ง และคราวนี้คนตัวสูงไม่รอช้าปล่อยหมัดฮุคเข้าตรงๆจนคนตัวเล็กมึนไปชั่วครู่
“ตกลงจะเป็นแฟนกันยัง?”
“.....”
“ให้เวลาคิดตั้งสองอาทิตย์แล้วนะ”
“......”
“นายเป็นคนใจร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
ปาร์คชานยอลบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ติดจะน้อยอกน้อยใจ แบคฮยอนแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่จนคิดว่าปากตัวเองคงจะเป็นตะคริวเข้าซักวัน
จะยิ้มทำไม หยุดสิ หยุด!
ไม่หยุดว่ะ......
เอาวะ จะหาว่าอ่อยว่าอ้อยว่าอะไรก็ยอมหมดแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จะให้โผล่ขึ้นมาว่ายอมแล้วก็ใช่เรื่อง เขาไม่รู้ว่ามันจะต้องเริ่มตรงไหนหรือตอบรับว่าอะไร แล้วควรจะเล่นตัวต่อดีไหม
“นี่....ใจคอจะเงียบอย่างเดียวเลยหรือไง”
“แล้วพี่จะให้ผมตอบว่าอะไรล่ะ” พอโดนดึงแก้มแบคฮยอนเลยทำหน้าเบ้นิดหน่อย
“น้องแบคฮยอนยอมเป็นแฟนพี่ชานยอลแล้วครับ”
“พี่ครับ ตื่นมั้ย ก็ยังไม่ดึกนี่ เฮ่นโหล๋ว”
ปาร์คชานยอลถึงกับเบ้ปากเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของเด็กข้างบ้านที่ไม่มีท่าทีจะเขินอายแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังจะมีหน้ามาปลุกเขาบอกให้ออกจากความฝัน เขาถึงได้บอกไงว่าที่จริงแล้วแบคฮยอนน่ะใจร้ายจะตายไป
“ไอ้เด็กใจร้ายเอ๊ย” เขาบ่นพึมพำเบาๆแต่ก็ยังไม่ยกศีรษะของตัวเองออกจากบ่าเล็ก แถมยังขยับให้เข้าไปชิดกับต้นคออีกคน ซบไปอีกซักพักก็ได้ยินเสียงอะไรงึมงำดังมา
“มาถึงขนาดนี้แล้วยังต้องถามอีกหรอ.....”
“........”
“ที่ยอมอยู่ทุกวันนี้ยังไม่ชัดอีกหรือไง”
เขากระตุกยิ้มออกมาน้อยๆแล้วหมุนหน้าไปฉวยโอกาสกับแก้มใสๆนั่นด้วยการจุ๊บเสียหนึ่งที แบคฮยอนร้องโวยวายก่อนจะผลักเขาออกห่าง ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงล่ะก็เขาคิดว่าแบคฮยอนจะต้องข่วนหน้าให้เป็นของแถมอีกด้วย
“ยอมมาตั้งนานแล้วก็ไม่บอก.....”
“ทำไม?”
“จะได้จับฟัดไปตั้งนานแล้ว”
------ GIDDY CHANYEOL ------
เช้าวันเสาร์วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าที่ควร เพราะแบบนั้นแบคฮยอนที่แทนที่จะได้นอนโก่งตูดโด่งในเช้าวันเสาร์กลับถูกแงะออกมาจากเตียงเพื่อให้มารดน้ำต้นไม้ ดูแลน้องลิซซี่ในตอนเช้าในขณะที่แม่กำลังทำกับข้าว ระหว่างที่กำลังรดน้ำต้นไม้ก็หาวไปด้วยแถมยังรู้สึกคันพุงเลยล้วงมือเข้าไปในเสื้อเกาแกรกๆด้วยมือที่ยังว่าง แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าคนข้างบ้านกำลังเท้าคางวางแขนลงบนกำแพงบ้านที่ไม่สูงมากมองมายังเขา
“เฮ้ย!”
“มีคนเคยบอกไหมว่าทำแบบนั้นแล้วน่าเกลียดมากๆ”
ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ตัวเองอยู่หรอก!
แบคฮยอนรีบเอามือออกจากใต้เสื้อก่อนจะดึงมันลงให้เข้าที่แล้วทำท่าไม่สนใจรดน้ำต้นไม้ต่อไปทั้งที่ความจริงแล้วในใจอยากจะตะโกนร้องออกมาให้ลั่นซอยแต่ก็กลัวแม่จะแตกตื่นเลยได้ทำเพียงหน้าด้านทำเป็นไม่เห็นคนที่มายืนแอบมอง คาดว่าน่าจะมองอยู่นานแล้วด้วยถึงได้บอกว่ามันน่าเกลียดได้แบบเต็มปากเต็มคำ
ตุ้บ!
ปาร์คชานยอลบุกรุกบ้านเขาอีกแล้ว!
แน่นอนว่าที่มาของเสียงไม่ใช่ที่ไหนแต่เป็นร่างสูงๆของคนข้างบ้านทร่ริอาจปีนกำแพงข้ามมาบ้านเขาอีกครั้ง ซึ่งแบคฮยอนได้แต่นึกแช่งในใจให้ลองกระโดดพลาดซักวันจะได้เลิกทำอะไรแผลงๆเข้าตามตรอกออกทางประตูให้มันเป็นปกติแบบชาวบ้านชาวช่องเสียบ้าง
“เข้าออกดีๆไม่เป็นหรือไง!”
“แล้วคนแถวนี้ทำไมต้องเมิน หื้อ?”
นั่น...ว่าแล้วก็เต๊ะท่าอีกแล้ว กอดอกแล้วยืนพิงกำแพงพลางใช้สายตาดุๆนั่นจ้องมายังเขา นี่ก็อยากจะแช่งให้เกิดลื่นอีกเหมือนกัน จะได้เลิกทำท่าบ้าๆแบบนั้นเสียที
ดูแล้วใจเต้นทุกทีเลย นี่แหละที่เกลียด
ถ้านับแล้ว....นี่ก็ประมาณหนึ่งเดือนแล้วที่เริ่มคบกันแบบจริงจัง
หนึ่งเดือนนี้มีอะไรผ่านมามากมายอยู่เหมือนกัน ทั้งเฉลยพี่รหัสปีสองด้วยวิธีการให้หาจิ๊กซอว์ด้วยการไปตามหาเพื่อนของพี่รหัส ถูกสั่งให้ทำอะไรแปลกๆเพื่อแลกกับจิ๊กซอว์หนึ่งอัน และสุดท้ายแล้วพี่รหัสปีสองของเขาก็คือพี่ลู่หาน ผู้ชายหน้าหวานที่มาดแมนชอบเตะบอลเป็นชีวิตจิตใจแต่ชอบกินอมยิ้มมากเป็นพิเศษ
ส่วนกิจกรรมอื่นๆก็เป็นงานกีฬาสี แข่งแสตนด์เชียร์และประกวดดาวเดือนคณะ ตำแหน่งเดือนตกเป็นของโอเซฮุนอย่างไม่ต้องสงสัย ไอ้เพื่อนตัวดีทำเป็นทำท่างงๆที่ต้องออกไปรับตำแหน่งแต่พอลับหลังกลับมาทำท่าเอวดเสียยกใหญ่
แหงล่ะ โอเซฮุนน่ะแม่ยกเยอะจะตาย
ส่วนปาร์คชานยอลคนที่ขึ้นว่าเป็นแฟนหมาดๆก็ยังคงทำหน้าที่ไปรับไปส่ง แม่เลยไม่ต้องลำบากมารอรับเขา จะมีบางวันที่เขาเรียนเช้าส่วนอีกคนนั้นเรียนสาย เขาเลยต้องออกจากบ้านเอง แต่นั่นก็ไม่ได้เดือดร้อนมากเท่าไหร่ แน่นอนอีกเหมือนเคยว่าทุกวันนี้มื้อเย็นคนตัวสูงจะมาฝากท้องไว้ที่บ้านเขา
แม่ยังไม่รู้...ว่าเขากับคนข้างบ้านเลื่อนขั้นจากพี่น้องกลายมาเป็นคนรัก
เขายังไม่กล้าบอก คิดว่าของแบบนี้น่าจะรอไปอีกซักพักไม่ใช่ว่าปุบปับก็บอแเลย อีกอย่างปาร์คชานยอลก็ไม่คิดจะทำอะไรเขามากไปกว่าการลวนลามหรือฉวยโอกาสเล็กๆน้อยๆ
“เหม่ออะไรอยู่หื้อ?”
เสียงดีดนิ้วดังขึ้นตรงหน้าและนั่นทำให้แบคฮยอนหลุดออกจากภวังค์ ศีรษะเล็กสะบัดไปมาน้อยๆก่อนจะมองหน้าของคนรักที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ คนตัวเล็กแยกเขี้ยวนิดหน่อย “ถอยออกไปเลย”
“จะเช็คให้แน่ใจว่าหน้ามืดจะเป็นลมหรือเปล่า”
“แค่เช็คแต่ทำไมต้องเอามือโอบเอวด้วยวะ”
ปาร์คชานยอลน่ะร้ายตัวพ่อจริงๆ....
แบคฮยอนถอนหายใจไม่ทันไรก็หาเรื่องลวนลามกันอีกแล้ว เห็นอีกคนกระตุกยิ้มมุมปากนิดหน่อยแล้วรั้งให้ขยับเข้าไปอีกนิด แม้จะไม่ได้ใกล้กันมากแต่ถ้าหากใครมาเห็นเข้า คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“เฮียทำไรอยู่วะ”
“.....จื่อเทา?”
------ GIDDY CHANYEOL ------
1 0 0 %
หูยยยมาครบร้อย
แหวกว่ายมากลางคอน 55555
เอ...ตกลงว่าใกล้จบรึยังหน่อ?
ไม่บอกหลอกให้อ่านต่อ
รักส์มาก
#ชานมึน
ความคิดเห็น